swtp99 wrote:ความกังวล ใน OK Nation
http://www.oknation.net/blog/aplang/2011/10/16/entry-1
# 1 ผมรู้สึกมีความกังวลใจเรื่องความเร็วของน้ำที่ไหลเร็วขึ้นในแม่น้ำซึ่งเร็วกว่าปกติมาก จะทำให้น้ำกัดเซาะตลิ่งพังลงได้ โดยเฉพาะบริเวณคุ้งน้ำ ไม่ทราบว่าทางผู้ดำเนินการในเรื่องนี้ ได้คำนึงถึงประเด็นนี้บ้างหรือเปล่า ถ้าเกิดตลิ่งพังอาจเป็นการซ้ำเติมปัญหาขึ้นมาอีกก็ได้ เพราะฉะนั้นเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ต้องเฝ้าระวังให้ดี
# 2 น้ำที่ไหลจากการใช้เรือครั้งนี้ถ้าเป็นเรือใหญ่จะทำให้น้ำลึกไหลเร็ว ตะกอนดินที่อยู่ใต้ท้องน้ำจะถูกพัดพาลงไปด้วย จะทำให้คลองลึกขึ้นเพราะดินใต้พื้นน้ำถูกกัดเซาะออก ถ้ากัดเซาะมาก ๆ จนทำให้กำแพงกั้นน้ำลดความแข็งแรงลง ถ้าพนังกั้นน้ำรอบกรุงเทพพังลง เกิดเรื่องใหญ่แน่
swtp99 wrote:ความกังวล ใน OK Nation
http://www.oknation.net/blog/aplang/2011/10/16/entry-1
# 1 ผมรู้สึกมีความกังวลใจเรื่องความเร็วของน้ำที่ไหลเร็วขึ้นในแม่น้ำซึ่งเร็วกว่าปกติมาก จะทำให้น้ำกัดเซาะตลิ่งพังลงได้ โดยเฉพาะบริเวณคุ้งน้ำ ไม่ทราบว่าทางผู้ดำเนินการในเรื่องนี้ ได้คำนึงถึงประเด็นนี้บ้างหรือเปล่า ถ้าเกิดตลิ่งพังอาจเป็นการซ้ำเติมปัญหาขึ้นมาอีกก็ได้ เพราะฉะนั้นเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ต้องเฝ้าระวังให้ดี
# 2 น้ำที่ไหลจากการใช้เรือครั้งนี้ถ้าเป็นเรือใหญ่จะทำให้น้ำลึกไหลเร็ว ตะกอนดินที่อยู่ใต้ท้องน้ำจะถูกพัดพาลงไปด้วย จะทำให้คลองลึกขึ้นเพราะดินใต้พื้นน้ำถูกกัดเซาะออก ถ้ากัดเซาะมาก ๆ จนทำให้กำแพงกั้นน้ำลดความแข็งแรงลง ถ้าพนังกั้นน้ำรอบกรุงเทพพังลง เกิดเรื่องใหญ่แน่
ความคิดเห็นที่ 22
เป็นเรื่องน่าสนใจมาก ให้ปรัชญาชีวิตกับมนุษย์เราได้ดีว่า "สิ่งที่เราเห็น (perception) อยู่บนผิวน้ำ อาจไม่เพียงพอให้เราสรุปได้ว่าอะไรเป็นอะไรที่เกิดขึ้นจริง (reality) จนกว่าเราจะเข้าใจพฤติกรรมที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวน้ำได้แล้วเท่านั้น"
1. ปริมาณการไหลของมวลน้ำ (Flow Rate) ขึ้นกับระดับน้ำที่ต่างกันระหว่างต้นทางกับปลายทาง (ความต่างศักย์) และ พื้นที่หน้าตัดของช่องน้ำไหล (Q = vA; 1/2mv^2 = mgh)
2. โดยธรรมชาติ ถ้าระดับต้นน้ำไม่สูงกว่าระดับปลายน้ำ เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้กำลังงานภายนอกผลักมวลน้ำออกไปโดยถาวร เพราะเมื่อมวลน้ำถูกผลักไปข้างหน้า ก็จะไปเพิ่มระดับน้ำทีี่ปลายทาง ทำให้ต้องใช้กำลังงานที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และหยุดใช้กำลังงานภายนอกเมื่อไหร่ น้ำก็จะไหลย้อนกลับมาทันที (ฟังดู ก็คล้ายๆเรื่องการเมืองอยู่นะ)
3. ถ้าระดับต้นน้ำสูงกว่าปลายน้ำ โดยธรรมชาติ พลังงานศักย์จะถูกแปลงเป็นพลังงานจลน์ (1/2mv^2 = mgh) มวลน้ำทั้งก้อน จะเคลื่อนด้วยความเร็ว v ประกอบเป็นโมเมนตั้มมหาศาล (ถ้ากรณีไม่มีความต่างศักย์ และหวังจะใช้พลังงานกลในการขับเคลื่อนมวลน้ำขนาดเดียวกันด้วยความเร็วเดียวกัน เราจะต้องใช้กำลังงานขนาดไหน?)
4. จุดประสงค์ของเรือดันน้ำ? เพื่อลดปริมาณน้ำที่ขังท่วมอยู่ในลุ่มน้ำภาคกลาง โดยต้องการเพิ่มความเร็วของมวลน้ำ (Flow Rate) ให้ไหลออกสู่ทะเลในช่วงที่น้ำทะเลกำลังลดระดับ จึงได้มีความคิดที่จะใช้พลังงานกลในการเพิ่มความเร็วน้ำ ถามว่า ทำได้หรือไม่? คำตอบคือ ทำได้ แต่ต้องใช้พลังงานกลที่มีกำลังงานสูงมากๆทำต่อมวลน้ำทั้งก้อน ให้เคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น(กว่าการไหลโดยธรรมชาติ)อย่างมีนัยยะสำคัญ ดังนั้น จึงไม่น่าจะใช่เพียงอาศัยพลังงานกลจากแรงขับของเรือหางยาวบนผิวน้ำ
5 การใช้พลังงานกลที่ได้จากเรือที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ขับดันน้ำไปข้างหน้าพร้อมๆกันเป็นหมู่ จะมีกำลังพอขับมวลน้ำไปข้างหน้าทั้งก้อนหรือไม่?
เพื่อให้เข้าใจ Scale ที่เกี่ยวข้อง สมมติว่า ก้อนน้ำ (water column in the cross-section of the river) นี้มีสภาพเป็นน้ำแข็ง จะมีมวลมหาศาลขนาดไหน และการเคลื่อนที่มันสัก 1 เมตร จะต้องใช้ "งาน"ขนาดไหน แต่เผอิญน้ำเป็นของไหล ที่คุณสมบัติต้านแรงเฉือนเป็นศูนย์ เราสามารถผลักดันมวลน้ำไปข้างหน้าแยกเป็นส่วนๆได้ แรงขับของเครื่องกลจะสามารถผลักมวลน้ำในส่วนที่ปะทะไปข้างหน้า และด้วยความต่อเนื่องและความฝืด (viscosity) ผิวน้ำที่ไหลไปข้างหน้าก็จะพามวลที่อยู่ใกล้เคียงไปด้วย ในขณะเดียวกันพลังงานจลน์ก็จะค่อยๆถูกซับหายไป
6. พลังงานกลที่ใส่ไปบนระดับผิวน้ำ ในภาพใหญ่ ไม่ต่างจากลมที่พัดบนผิวน้ำทะเล จะดันพาน้ำกระเพื่อมไปข้างหน้าได้ระยะหนึ่ง ก็จะไปปะทะกับมวลน้ำที่ไหลช้ากว่า ก็จะสะท้อนไหลม้วนกลับไปกลับมา เรียกว่า Elliptical Wave (ดูรูปเคลื่อนไหว สังเกต particle สีน้ำเงิน) เป็นเช่นนี้จนค่อยๆหมดพลังงานไป ดังนั้น อาจอธิบายว่า ผลของการใส่พลังงานกล (water propellers) บนบริเวณชั้นผิวของแม่น้ำอย่างต่อเนื่อง จะทำให้เกิดคลื่นผิวน้ำ เป็น local effect อยู่บนกระแสน้ำที่ (มวลน้ำทั้งก้อน)ที่ไหลไปโดยธรรมชาติอยู่แล้วด้วยความต่างศักย์
จากคุณ : วิศวกรอาวุโส
ตอบ คคห 23
ความคิดเห็นที่ 24
เครื่องขับน้ำที่ใช้กับเรือ การทำงานคือ สร้างแรงดันไปปะทะน้ำที่อยู่นิ่งกว่า ส่งผลให้เกิด Reaction ส่งตัวเรือเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ถ้าเราสามารถยึดเรือไม่ให้ไปข้างหน้าอย่างที่ถาม แรงดันย่อมจะส่งให้น้ำไปอีกทิศทางหนึ่งแทน เราก็คงได้มวลน้ำที่ผิวที่เคลื่อนด้วยความเร็วสูงขึ้น แต่การไหลใน open channel อย่างที่ผมอธิบายแบบง่ายๆ ถึงมันจะวิ่งเร็วขึ้น แต่มวลน้ำข้างหน้ามันอ่อนล้าลงจากการสูญเสียพลังงาน ก็จะปะทะกันเป็นระยะ ทำให้น้ำม้วนตัวลง กลายเป็นเพียงคลื่นผิวน้ำสั้นๆ เวลาเราดูจากผิวน้ำ เราอาจเข้าใจว่าน้ำไหลเร็วขึ้น แต่มันเร็วขึ้นเฉพาะช่วงใกล้ๆ พอผ่านไปก็จะอ่อนแรงลง
และถึงเราสมมติว่า layer ที่ผิวจะได้ความเร็วมากขึ้น ปริมาณน้ำที่สามารถระบายออกก็มีค่าน้อยมากๆ เทียบกับปริมาณน้ำที่ไหลออกโดยน้ำหนักโน้มถ่วงโดยธรรมชาติ (ดู คคห 13)
งานนี้ว่าไป เหมือนการตำพริกละลายแม่น้ำ ถามว่า น้ำเผ็ดขึ้นไหม?
จากคุณ : วิศวกรอาวุโส
http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X11160814/X11160814.html
redfrog53 wrote:
ได้ผลนะคครับบบบบ 0.0005% จะได้หรือป่าวววว!!!
redfrog53 wrote:
ได้ผลนะคครับบบบบ 0.0005% จะได้หรือป่าวววว!!!
redfrog53 wrote:ขอให้สมาชิก เสรีไทยฯ ช่วยๆกันเอาพัดโบกไล่อากาศให้ดันเมฆฝนออกไป ตกในทะเลด้วย
ช่วยๆๆกันนะครับ จะช่วยลดน้ำท่วมประเทศไทยได้ 100%
(จะบอกให้ผูกเครื่องบิน ก้อเกรงใจมากไป 55555)
55555 wrote:ผมสงสัยอย่างเดียว...
เลยไอ้ตรงที่เรือดันน้ำไปซัก 500 เมตร น้ำจะไหลเร็วเหมือนตรงจุดที่ดันด้วยเครื่องเรือป่าว..
เอามาใช้กับแม่น้ำใหญ่รึนี่ สิ้นหวังแล้ว สิ้นหวังแล้วredfrog53 wrote:
ได้ผลนะคครับบบบบ 0.0005% จะได้หรือป่าวววว!!!