Yasuhiro wrote:มันจะได้ผลจริงๆในทางปฏิบัติหรือเปล่าครับ ผมอยากทราบความเห็นจากผู้ที่รู้เรื่องพวกนี้จริงๆ
เพราะภาพที่ผมเห็น เหมือนผมดูหนังตลกอยู่ แต่มันเป็นตลกเจ็บปวดยังไงไม่รู้ซิครับ
ได้ผลจริงในคลองแคบ ๆ ครับ แต่ถ้าแม่น้ำใหญ่ ๆ อย่างเจ้าพระยา เจอความหนืดเข้าไปก็หายไปเยอะแล้วครับrinrin1356 wrote:Yasuhiro wrote:มันจะได้ผลจริงๆในทางปฏิบัติหรือเปล่าครับ ผมอยากทราบความเห็นจากผู้ที่รู้เรื่องพวกนี้จริงๆ
เพราะภาพที่ผมเห็น เหมือนผมดูหนังตลกอยู่ แต่มันเป็นตลกเจ็บปวดยังไงไม่รู้ซิครับ
เรื่องนี้รินก็อยากรู้เหมือนกัน แต่เห็นภาพความเวิ้งว้างแล้วถอดใจค่ะ
Yasuhiro wrote:มันจะได้ผลจริงๆในทางปฏิบัติหรือเปล่าครับ ผมอยากทราบความเห็นจากผู้ที่รู้เรื่องพวกนี้จริงๆ
เพราะภาพที่ผมเห็น เหมือนผมดูหนังตลกอยู่ แต่มันเป็นตลกเจ็บปวดยังไงไม่รู้ซิครับ
Solidus wrote:ได้ผลจริงในคลองแคบ ๆ ครับ แต่ถ้าแม่น้ำใหญ่ ๆ อย่างเจ้าพระยา เจอความหนืดเข้าไปก็หายไปเยอะแล้วครับrinrin1356 wrote:Yasuhiro wrote:มันจะได้ผลจริงๆในทางปฏิบัติหรือเปล่าครับ ผมอยากทราบความเห็นจากผู้ที่รู้เรื่องพวกนี้จริงๆ
เพราะภาพที่ผมเห็น เหมือนผมดูหนังตลกอยู่ แต่มันเป็นตลกเจ็บปวดยังไงไม่รู้ซิครับ
เรื่องนี้รินก็อยากรู้เหมือนกัน แต่เห็นภาพความเวิ้งว้างแล้วถอดใจค่ะ
Solidus wrote:ถ้าเรือเล็ก ๆ ไปใช้กับแม่น้ำใหญ่ ๆ นึกถึงเจ้านี่เลย
ลุงแฉ่มเอง wrote:เป็นหนื่งในโครงการนะครับ พูดอะไร ระวังด้วย
dutchout wrote:ลุงแฉ่มเอง wrote:เป็นหนื่งในโครงการนะครับ พูดอะไร ระวังด้วย
ทำไมต้องระวังครับ งง โครงการของปูแหล ทำไมต้องระวังอะไร ไหนจะบางระกำโมเดล ไหนจะโครงการดันน้ำ มันไม่ได้เรื่องเลยสักกะอย่าง
http://www.oknation.net/blog/prompzy/2011/10/15/entry-1
"การเอาเรือไปดันน้ำจะดันได้เฉพาะผิวน้ำเท่านั้น ไม่สามารถดันน้ำที่อยู่ลึกไปข้างล่างได้ พระราชดำรัสของในหลวงเรื่องการสร้างคลองลัดโพธิ์ การที่เป็นคลองแคบจะทำให้การดันน้ำไหลออกจากคลองได้เร็ว แต่ถ้าเอาเรือหลายลำไปผูกแล้วดันน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาที่กว้าง เป็นการเสียน้ำมันเปล่า เพราะดันได้แค่ผิวน้ำเท่านั้นเรื่องนี้ต้องคิดต้องรู้ลักษณะของน้ำ ดังนั้นที่ถูกต้องคือการตั้งระบบสูบน้ำที่ปลายคลองหรือปลายแม่น้ำออกสู่ทะเลเลย"
โครงการของท่าน poo ต้องระวังอะไรหรือครับ ถ้าแนวพระราชดำรินั่นใช้กับคลองแคบ ๆ ไม่ได้ใช้กับแม่น้ำขนาดใหญ่อย่างเจ้าพระยา อย่างคลองลัดโพธิ์ที่ว่าแคบรู้สึกจะเพิ่มประมาณ 20 ลบ.ม./วินาที เฉพาะตอนน้ำลง ส่วนตอนน้ำขึ้นไม่ได้ช่วยอะไร ปริมาณการไหลเดิมประมาณ 400 เพิ่มอีก 20 ก็เพิ่มประมาณ 5% เองดราม่า wrote:dutchout wrote:ลุงแฉ่มเอง wrote:เป็นหนื่งในโครงการนะครับ พูดอะไร ระวังด้วย
ทำไมต้องระวังครับ งง โครงการของปูแหล ทำไมต้องระวังอะไร ไหนจะบางระกำโมเดล ไหนจะโครงการดันน้ำ มันไม่ได้เรื่องเลยสักกะอย่าง
http://www.oknation.net/blog/prompzy/2011/10/15/entry-1
"การเอาเรือไปดันน้ำจะดันได้เฉพาะผิวน้ำเท่านั้น ไม่สามารถดันน้ำที่อยู่ลึกไปข้างล่างได้ พระราชดำรัสของในหลวงเรื่องการสร้างคลองลัดโพธิ์ การที่เป็นคลองแคบจะทำให้การดันน้ำไหลออกจากคลองได้เร็ว แต่ถ้าเอาเรือหลายลำไปผูกแล้วดันน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาที่กว้าง เป็นการเสียน้ำมันเปล่า เพราะดันได้แค่ผิวน้ำเท่านั้นเรื่องนี้ต้องคิดต้องรู้ลักษณะของน้ำ ดังนั้นที่ถูกต้องคือการตั้งระบบสูบน้ำที่ปลายคลองหรือปลายแม่น้ำออกสู่ทะเลเลย"
เห็นด้วยครับ ดันน้ำที่คลองลัดโพธิ์มันต่างกับดันน้ำที่เจ้าพระยา คนล่ะเรื่องกันเลย
ส่วนสาเหตุที่เขาเลือกเอาวันน้ำขึ้นสูงสุดเพราะ อีกสองวันน้ำลงจะได้เอามาคุยไง เพราะมีกลุ่มคนพิเศษที่พร้อมจะเชื่ออยู่
การติดตามประเมินผลการระบายน้ำ ของแม่น้ำเจ้าพระยาหลังจากเปิดใช้โครงการใน เดือน ตุลาคม 2549 จากการตรวจสอบการไหลบริเวณปลายคลองลัดโพธิ์พบว่า สภาพการไหลเป็นไปตามผลการศึกษาก่อนก่อสร้างโครงการ กระแสน้ำจากปลายคลองรุนแรงจนเป็นอันตรายต่อการสัญจรของเรือ และบริเวณที่ตรวจสอบว่าอาจเกิดปัญหากัดเซาะ ได้มีการป้องกันแข็งแรงโครงการจึงเร่งระบายน้ำผ่านคลองลัดโพธิ์ออกทะเลได้มากขึ้น ซึ่งผลการศึกษาในเชิงเปรียบเทียบได้ใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ ศึกษาวิเคราะห์โดยใช้ข้อมูลพื้นฐานสภาพจริงของการระบายน้ำในช่วงเวลาน้ำหลากสูงสุด เดือน ตุลาคม 2549 กับกรณีสมมุติไม่มีโครงการ พบว่า
กรณีที่ 1 ภายใต้เงื่อนไขสภาวะน้ำหลากเดือน ตุลาคม 2549 อัตราการไหลผ่านบางไทร 3,000-3,500 ลบ.ม./วินาที และระดับน้ำทะเลขึ้นสูงสุด +1.86 ม.รทก. ลงต่ำสุด-1.34 ม.รทก.
การเปิดประตูระบายน้ำผ่านคลองลัดโพธิ์ 390-524 ลบ.ม./วินาที ทำให้ระดับสูงสุดในแม่น้ำเจ้าพระยาลดลงต่ำกว่ากรณีที่ไม่มีโครงการเฉลี่ย 0.08 เมตร
กรณีที่ 2 ภายใต้เงื่อนไขสภาวะน้ำหลากเดือน ตุลาคม 2549 และระดับน้ำเจ้าพระยาสูงสุดที่บางไทร และระดับน้ำทะเลขึ้นลงเท่ากัน พบว่าการเปิดประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ ทำให้
ปริมาณที่ระบายออกทะเลที่ปากแม่น้ำใน 1 เดือน ประมาณ 8,726 ล้าน ลบ.ม. มากกว่ากรณีปิดบานประตูคลองลัดโพธิ์ ประมาณ 136 ล้าน ลบ.ม. ( ปริมาณน้ำสะสมที่ระบายออกทะเลกรณีปิดบาน
8,590 ล้าน ลบ.ม. ) คิดเป็นอัตราระบายน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยา เพิ่มขึ้นประมาณ 50 ลบ.ม./ วินาทีหรือประมาณ 4.4 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน
ผลจากการเร่งระบายน้ำท่วมของคลองลัดโพธิ์ ทำให้การลดระดับน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยา ลดลงได้เร็วกว่าปกติ โดยวิธีธรรมชาติด้วยแรงโน้มถ่วงของโลก ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายแทน
การระบายน้ำด้วยเครื่องสูบน้ำ ทำให้ปริมาณน้ำท่วมขังริมสองฝั่งแม่น้ำโดยเฉพาะในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ระบายลงสู่ทะเลได้อย่างรวดเร็ว ลดระยะเวลาน้ำท่วมขัง ลดความ
เสียหายต่อพื้นที่เศรษฐกิจของประเทศ
ถ้าแบ่งน้ำเป็นก้อนๆ โมเมนตัมของมวลน้ำก้อนที่เรื่อดันน้ำเพิ่มความเร็วให้ ( M1) มันนิดเดียวเมื่อเทียบกับมวลน้ำก้อนข้างหน้า (M2,M3,...) ชนแล้ว M2 ความเร็วเพิ่มขึ้นไม่ถึง 3% หรอกครับ และพอเจอแรงเสียดทานเข้าไป ความเร็วของ M2 ที่จะไปชน M3 ก็แทบจะไม่มีแล้ว M3 ไม่สามารถเขยื้อนไปเร็วขึ้นได้หรอกครับ นี่ยังไม่คิดว่า M1 จะกระดอนกลับไปชนมวลน้ำด้านหลังอีก บวกลบแล้ว ผลลัพธ์น่าจะเท่ากับศูนย์นะ
จุกครับ จุกคนบาป wrote:ถ้าทำตอนน้ำทะเลลงต่ำสุดจะได้ผลดี่สุด...ไม่ทราบว่าเวลาที่รวมตัวเรือนั้น รอจนน้ำทะเลลงต่ำสุดหรือไม่?
การทำงานที่ใช้แรงน้อยได้งานมากคือเสริมธรรมชาติ ไม่ฝืนธรรมชาติ ถ้าฝืนก็เหนื่อยเปล่า
เหมือนคนโง่อยากนอนเตียง
ด้านนายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า วันนี้ได้มีการระดมเรือทั้งหมดกว่า 1,100 ลำ ซึ่งมากที่สุดในประเทศไทย เพื่อผลักดันน้ำลงสู่ทะเลโดยพร้อมเพรียงกันตั้งแต่เวลา 10.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่น้ำทะเลหนุนสูงสุด
ใต้หล้า wrote:เก่งกันจังไอ้พวกดีแต่พูด มาดูผลลัพธ์ดีกว่าไหม