ความรู้สึกของวีรชน ยุคกรุงศรีแตกครั้งที่สองเป็นอย่างนี้เอง

เรื่องการเมือง เชิญที่นี่เลยครับ
Forum rules
- ห้ามใช้คำพูดหยาบคาย
- ห้ามโพสกระทู้หรือข้อความที่ดูหมิ่นเสียดสีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอันขาด

เชิญทุกท่านเข้าสู่บอร์ดใหม่ได้ที่ http://webboard.serithai.net ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ viewtopic.php?f=2&t=44976 ครับ

ความรู้สึกของวีรชน ยุคกรุงศรีแตกครั้งที่สองเป็นอย่างนี้เอง

Postby JFreak » Thu Oct 30, 2008 12:48 am

สมัยเด็กตอนเรียนประวัติศาสตร์ ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมผู้คนยุคกรุงแตกถึงได้นิ่งดูดายจนพม่าเข้ามาเผาบ้านเผาเมืองสำหรับ ทำไมมีผู้คนกร่นด่าคนที่ยิงปืนใหญ่ต่อสู้กับพม่า ทำไมเมืองหลวงจึงไม่ให้ความร่วมมือกับชาวบ้านบางระจันที่ช่วยกันสู้รบกับพม่า ไม่ให้กำลังเสริม ไม่ให้ปืนใหญ่ไปต่อสู้ แต่กลับนิ่งเฉยขัดขากันเอง

วันนี้เห็นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในยุคนั้น

คนบางคนอาศัยความเป็นคนที่ทำงานในมูลนิธิที่ดีงาม ใครไม่รู้นึกว่าเขานี้ดีนักหนา แต่แท้ที่จริงเป็นนักสร้างภาพตัวยง ไม่ต่างจากอดีตผู้ว่ากทม บางคนที่จะทำอะไรที ต้องรอกล้องของนักข่าวมา จึงจะโผล่หัวออกมาอย่าง พิจิตต รัตตกุล จู่ ๆ ไม่รู้มาจากรูไม้ที่ไหน มาเรียกร้องให้สันติ มันไม่รู้เลยหรือว่า พวกรัฐบาลชั่วมันขายชาติ ฆ่าคนเลือดเย็น และจาบจ้วงสถาบันที่ตัวเองแอบอ้างหากินมาตลอด ช่างไม่ต่างจากสมัยกรุงแตกเลย ที่ไม่ช่วยสู้รบแล้วยังขัดขา ไม่ให้ส่งปืนใหญ่ไปช่วยชาวบ้านบางระจัน อ้างทุเรศ ๆ ว่ากลัวพม่าชิงไป

พันธมิตรสู้จนแทบจะหมดแรง สู้เพื่อความยุติธรรมและศีลธรรม วันนี้มีแต่คนตำหนิ ช่างเหมือนวีรชนที่ช่วยกันกอบกู้แผ่นดิน ช่วยกันรบกับพม่า ยันทัพ แต่คนอยุธยาด้วยกันกลับตำหนิหาว่า ทำความเดือดร้อน หนวกหูเพราะเสียงปืนใหญ่

คงใกล้เวลาสิ้นแผ่นดินกันแล้ว
"เทพเทือกต้องมาก่อน" วาระประชาชน วาระอภิสิทธิ์
User avatar
JFreak
 
Posts: 591
Joined: Mon Oct 13, 2008 1:04 am

Re: ความรู้สึกของวีรชน ยุคกรุงศรีแตกครั้งที่สองเป็นอย่างนี้เอง

Postby Moon » Thu Oct 30, 2008 1:22 am

ขอรายละเอียดหน่อยได้มั้ยคร้าบ
จันทร์เอ๋ย จันทร์เจ้า ขอข้าวขอแกง
User avatar
Moon
 
Posts: 6807
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:51 am

Re: ความรู้สึกของวีรชน ยุคกรุงศรีแตกครั้งที่สองเป็นอย่างนี้เอง

Postby 不能说的事实 » Thu Oct 30, 2008 9:25 am

บอกแล้วไงว่า สีเขียวไม่เข้มแข็ง ลังเล อยากจะเอาตัวรอดซะเอง ตรงนี้เหมือนรอยปริแตกหรือ crack สังเกตดิว่า เลขามูลนิธิสมัยปี 48 กับ ปี 51 การพูดการจาเปลี่ยนจากหลักการ กลายเป็นการตัดช่องน้อยแต่พอตัวไปเฉยเลย ส่วนประเทศเพื่อนบ้านที่ปกติอ่อนแอกว่าก็เห็นเป็นโอกาสทองจะได้เข้ามามีเอี่ยวบ้าง ร้อยปีมีหน

ส่วนประชาชนถ้าคุณอยากจะรู้ว่าเป็นไง ไปดูได้ตาม hi5 ผับ สถานบันเทิง บอลพรีเมียร์ลีก ต่างๆ โพลล์สำรวจออกมาจึงเป็นแบบ "ทำไมทะเลาะกัน" "มารักกันดีกว่า" "ทำไมต้องวุ่นวายกันนักหนา ก็เขาขอสมานฉันท์แล้ว" "เกลียดทั้งสีแดงและสีเหลือง" ฯลฯ ไม่แปลกหรอกที่สังคมจะเสื่อมทรามลงทุกวัน คนสนใจแต่เงินด่วน ของฟรี อะไรก็ได้ที่ได้เงินมาง่ายๆ อย่างอื่นว่ากันทีหลัง, อาชญากรรมแพร่หลาย, การพนันบูมทุกหัวระแหง, ญ ธรรมดากลายเป็นโสสมัครเล่นค่าตัวฟรีได้, ตำรวจหาแดรกเอง ฯลฯ ดูท่าจะเน่ากว่า "ฟิลิปปินส์ 2"


เผอิญนึกถึงคำนี้ขึ้นมาได้ เคยได้ยินคำว่า Pax Romana, Pax Americana อาจจะมีคำว่า Pax Shinawatra เร็วๆนี้
Last edited by 不能说的事实 on Thu Oct 30, 2008 9:57 am, edited 1 time in total.
เชิญท่านที่อยากสร้างอนาคตให้ลูกหลาน ห่างไกลจากความโหลยโท่ย ไร้ความยุติธรรม
ย้ายไปเิติบโตและได้รับโอกาสในสังคมที่มีความยุติธรรมอย่างแท้จริง ไปเว็บลิ้งค์นี้

CANADA | NEW ZEALAND | AUSTRALIA
User avatar
不能说的事实
 
Posts: 460
Joined: Tue Oct 14, 2008 8:45 am
Location: I'm gonna be where rule of law prevails

Re: ความรู้สึกของวีรชน ยุคกรุงศรีแตกครั้งที่สองเป็นอย่างนี้เอง

Postby katindork » Thu Oct 30, 2008 9:44 am

ผม ผ่านเหตุการณ์ ตุลามาแล้ว
อยากจะบอกว่า ผมไม่เคยเชื่อใจมาแต่ต้นกับสิ่งที่หวัง
พวกนี้จะลอยตัวเหนือปัญหา ทำตัวเป็นปราชญ์

ต่อรองลงตัวเมื่อไร มีการทรยศนิ่มๆ เราอาจถูกหักหลัง หลังจากโดนทหารหักหลังมาแล้ว :cry:

ยืนบนขาตัวเองแล้วประคองตัวไว้ทวงคืนทีหลังก็ยังดี
หากโจรครองเมืองเบ็ดเสร็จเมื่อไร พวกปราชญ์ สนม แวดล้อมเหล่านี้ี้จะไม่มีที่ยืน ยังไม่รู้สึกตัว :|
katindork
 
Posts: 995
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:00 am

Re: ความรู้สึกของวีรชน ยุคกรุงศรีแตกครั้งที่สองเป็นอย่างนี้เอง

Postby OMEGA » Thu Oct 30, 2008 10:00 am

คนในสังคมมันกลายเป็นพวก สุขนิยม ธนานิยม ทุนนิยมไปหมดแล้ว
พวกชาตินิยมกลายเป็นตัวประหลาดในสังคม กลายเป็นพวกคลั่งชาติ
ทุกอย่างมันมีที่มามีที่ไป..เพราะไอ้จัญไรทักษิณคนเดียว

ขออภัย..ที่หยาบคายอึดอัดกับพวกสันติเป็นกลางมาก กลางห่.เหวอะไร
จะสิ้นชาติสิ้นแผ่นดินอยู่แล้ว ..จะให้นอนดูบ้านเมืองล่มสลายไปกับตา
กระนั้นหรือจึงจะพอใจท่าน..เฮ้อครับ :(
Only three things in life are certain birth, death and change
User avatar
OMEGA
 
Posts: 1134
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:14 am

Re: ความรู้สึกของวีรชน ยุคกรุงศรีแตกครั้งที่สองเป็นอย่างนี้เอง

Postby ล้างโคตรทักษิณ » Thu Oct 30, 2008 10:17 am

ขอค้านเรื่อง ปวศ.นิด
JFreak wrote:สมัยเด็กตอนเรียนประวัติศาสตร์ ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมผู้คนยุคกรุงแตกถึงได้นิ่งดูดายจนพม่าเข้ามาเผาบ้านเผาเมืองสำหรับ ทำไมมีผู้คนกร่นด่าคนที่ยิงปืนใหญ่ต่อสู้กับพม่า .......ช่างไม่ต่างจากสมัยกรุงแตกเลย ที่ไม่ช่วยสู้รบแล้วยังขัดขา ไม่ให้ส่งปืนใหญ่ไปช่วยชาวบ้านบางระจัน อ้างทุเรศ ๆ ว่ากลัวพม่าชิงไป

- ปัญหาการชิงปืนใหญ่น่าจะเป็นเรื่องข้ออ้าง เหตุผลจริงๆ คือ อยุธยาไม่ได้สนใจ บางระจันนัก เพราะ ไม่ใช่ ยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ( บางระจัน ที่ สิงหืบุรี อยู่คนละมุม เยื้องหลังของ ทัพพม่าที่ค่ายคลองประสบ เรียกได้ อยู่นอกเส้นทางเดินทัพด้วยซ้ำ )

และ การลุกฮือของชาวบ้านที่สิงห์บุรี ไม่ได้เป็นไปเพื่อปกป้องอยุธยา แต่พวกเขาเพีบยงปกป้อง"บ้าน"ของตัวเอง และ ป้องกันตัวจากการปล้นสะดม-กวาดต้อนแรงงานของกองทัพพม่า "ชาติ และ แผ่นดิน"เป็นสิ่งทีใหญ่เกินการรับรู้ของไพร่สมัยก่อนรัฐชาติ

จะเรียกได้ว่าเป็น คน"หนีทัพ"ก็ไม่ผิด ก็ไม่แปลกที่อยุธยาไม่ให้ปืนใหญ่ไปใช้

ในขณะที่ ไพร่ทหารที่ปกป้องแผ่นดินขอบขัณฑสีมาสยามจริงๆ ได้ไปรวมตัวกันที่พระนคร กับ 20 ค่ายรอบเมือง ต่อรบกับกองทัพแสนนายของพม่าอย่างทรหดกว่า 14 เดือนจึงปราชัย โดนสาปแช่งจากลูกหลานจนวันนี้ว่า เหลวไหล ขลาดเขลา เพียงเพราะ....พวกเขาเอาชนะศัตรูไม่ได้



พันธมิตรสู้จนแทบจะหมดแรง สู้เพื่อความยุติธรรมและศีลธรรม วันนี้มีแต่คนตำหนิ ช่างเหมือนวีรชนที่ช่วยกันกอบกู้แผ่นดิน ช่วยกันรบกับพม่า ยันทัพ แต่คนอยุธยาด้วยกันกลับตำหนิหาว่า ทำความเดือดร้อน หนวกหูเพราะเสียงปืนใหญ่


- เรื่องก่นด่าการยิงปืนแต่งที่ผู้มีอำนาจยุคหลังเติมลงไปเพื่อใส่ไฟอยุธยาว่า เหลวไหล สมควรล่มจม เพราะ ถ้าปืนใหญ่อยุธยา"ฝืด"ขนาดนี้ ทำไม ทหารพม่าต้องใช้แผนขุดอุโมงค์ลอดกำแพง แทนที่จะ ปีนกระไดปล้นเมืองไปตามปกติ
เสียใจ เกลียดแด.กสิ้น เอ๊ย ทักษิณ มากกว่า รัฐประหาร มีอะไรมั้ย?

รักประชาธิปไตย น้อยกว่า การล้างตระกูลชิงหมาเกิด เอ๊ย ชินวัตร จะทำไม

ล้างโคตรทักษิณ ก่อนค่อย มาเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างบริสุทธิ
User avatar
ล้างโคตรทักษิณ
Moderator
 
Posts: 2027
Joined: Mon Oct 13, 2008 5:20 pm

Re: ความรู้สึกของวีรชน ยุคกรุงศรีแตกครั้งที่สองเป็นอย่างนี้เอง

Postby tangte » Thu Oct 30, 2008 10:30 am

แสดงว่า ปชช และทหารพระเจ้าตากในสมัยนั้น กลับชาติมาเกิดเป็น พธม ปชช เพื่อ ปชต
ซตพ พธม ปชช ก็ต้องกอบกู้บ้านเมืองสำเร็จแน่นอน
:mrgreen: :mrgreen:

สุนทรพจน์ นายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๗ (๑๗ ธ.ค. ๕๑)

http://www.youtube.com/watch?v=eiSdgPw9 ... re=related

คัมภีร์โบราณจารึกไว้ มันผู้ใดโกงหลวงแม้สักเฟื้องสลึง โคตรมันต้องวิบัติเจ็ดชั่วโคตร
User avatar
tangte
 
Posts: 3124
Joined: Tue Oct 14, 2008 5:32 pm

Re: ความรู้สึกของวีรชน ยุคกรุงศรีแตกครั้งที่สองเป็นอย่างนี้เอง

Postby 不能说的事实 » Thu Oct 30, 2008 10:34 am

katindork wrote:ผม ผ่านเหตุการณ์ ตุลามาแล้ว
อยากจะบอกว่า ผมไม่เคยเชื่อใจมาแต่ต้นกับสิ่งที่หวัง
พวกนี้จะลอยตัวเหนือปัญหา ทำตัวเป็นปราชญ์

ต่อรองลงตัวเมื่อไร มีการทรยศนิ่มๆ เราอาจถูกหักหลัง หลังจากโดนทหารหักหลังมาแล้ว :cry:

ยืนบนขาตัวเองแล้วประคองตัวไว้ทวงคืนทีหลังก็ยังดี
หากโจรครองเมืองเบ็ดเสร็จเมื่อไร พวกปราชญ์ สนม แวดล้อมเหล่านี้ี้จะไม่มีที่ยืน ยังไม่รู้สึกตัว :|


ผมเกิดไม่ทันเลยไม่รู้ แต่ได้เห็นความพิลึกพึลั่นทั้งก่อน 19 ก.ย. และในปี 50 แล้วคุณพี่พูดงี้ ก็เข้าใจสิ่งที่คุณพี่พูดมากขึ้น
เชิญท่านที่อยากสร้างอนาคตให้ลูกหลาน ห่างไกลจากความโหลยโท่ย ไร้ความยุติธรรม
ย้ายไปเิติบโตและได้รับโอกาสในสังคมที่มีความยุติธรรมอย่างแท้จริง ไปเว็บลิ้งค์นี้

CANADA | NEW ZEALAND | AUSTRALIA
User avatar
不能说的事实
 
Posts: 460
Joined: Tue Oct 14, 2008 8:45 am
Location: I'm gonna be where rule of law prevails

Re: ความรู้สึกของวีรชน ยุคกรุงศรีแตกครั้งที่สองเป็นอย่างนี้เอง

Postby tangte » Thu Oct 30, 2008 11:26 am

ประวัติศาสตร์การเมือง ไม่ว่าประเทศไหน ไล่เหลือบฝูงหนึ่งออกไป เหลือบฝูงให่มก็เข้ามาสูบเลือดสูบเนื้อ
พวกลอยตัวรอดูว่า ฝ่ายไหนชนะ ก็ฉวยโอกาส เรื่องแบบนี้ คนไทยก็รู้ พลังเงียบก็เหตุนี้ด้วย

แต่ไม่ใช่พลังเงียบทุกคน ที่คิดแบบนี้

บางคน (จำนวนมาก) สู้เพื่อสังคมใหม่ การเมืองใหม่ เลยจุดเรื่องทรยศหักหลัง

เพราะการต้อสู้ที่าำคัญ คือ การต่อสู้ทางความคิด การต่อสู้มีหลายรูปแบบ
แต่ไม่ว่ารูปแบบไหน จะมีการต่อสู้ทางความคิดอยุ่ด้วย เมื่อไหร่ที่ ความคิดเปลี่ยน
เมื่อนั้น สังคมเปลี่ยน แต่ถ้าสู้แล้ว ความคิดไม่เปลี่ยน วนเวียนอยุ่ในอ่าง แบบนั้นคือแพ้

คน ที่ถืออำนาจกดขี่ข่มเหง ปชช ไม่มีวันยืนอยุ่ได้ในสังคม มันจึงไม่มีแผ่นดินอยู่
การถืออำนาจกดขี่ อาจแฝงตัวในรูปของ ความปรารถนาดี สมานฉันท์

และถ้าถูกทรยสหักหลัง ก็กินยา ทำใจ แล้วสู้กันต่อไป

เฮ้อ :mrgreen:

สุนทรพจน์ นายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๗ (๑๗ ธ.ค. ๕๑)

http://www.youtube.com/watch?v=eiSdgPw9 ... re=related

คัมภีร์โบราณจารึกไว้ มันผู้ใดโกงหลวงแม้สักเฟื้องสลึง โคตรมันต้องวิบัติเจ็ดชั่วโคตร
User avatar
tangte
 
Posts: 3124
Joined: Tue Oct 14, 2008 5:32 pm


Return to สภากาแฟ



cron