สมัยเด็กตอนเรียนประวัติศาสตร์ ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมผู้คนยุคกรุงแตกถึงได้นิ่งดูดายจนพม่าเข้ามาเผาบ้านเผาเมืองสำหรับ ทำไมมีผู้คนกร่นด่าคนที่ยิงปืนใหญ่ต่อสู้กับพม่า ทำไมเมืองหลวงจึงไม่ให้ความร่วมมือกับชาวบ้านบางระจันที่ช่วยกันสู้รบกับพม่า ไม่ให้กำลังเสริม ไม่ให้ปืนใหญ่ไปต่อสู้ แต่กลับนิ่งเฉยขัดขากันเอง
วันนี้เห็นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในยุคนั้น
คนบางคนอาศัยความเป็นคนที่ทำงานในมูลนิธิที่ดีงาม ใครไม่รู้นึกว่าเขานี้ดีนักหนา แต่แท้ที่จริงเป็นนักสร้างภาพตัวยง ไม่ต่างจากอดีตผู้ว่ากทม บางคนที่จะทำอะไรที ต้องรอกล้องของนักข่าวมา จึงจะโผล่หัวออกมาอย่าง พิจิตต รัตตกุล จู่ ๆ ไม่รู้มาจากรูไม้ที่ไหน มาเรียกร้องให้สันติ มันไม่รู้เลยหรือว่า พวกรัฐบาลชั่วมันขายชาติ ฆ่าคนเลือดเย็น และจาบจ้วงสถาบันที่ตัวเองแอบอ้างหากินมาตลอด ช่างไม่ต่างจากสมัยกรุงแตกเลย ที่ไม่ช่วยสู้รบแล้วยังขัดขา ไม่ให้ส่งปืนใหญ่ไปช่วยชาวบ้านบางระจัน อ้างทุเรศ ๆ ว่ากลัวพม่าชิงไป
พันธมิตรสู้จนแทบจะหมดแรง สู้เพื่อความยุติธรรมและศีลธรรม วันนี้มีแต่คนตำหนิ ช่างเหมือนวีรชนที่ช่วยกันกอบกู้แผ่นดิน ช่วยกันรบกับพม่า ยันทัพ แต่คนอยุธยาด้วยกันกลับตำหนิหาว่า ทำความเดือดร้อน หนวกหูเพราะเสียงปืนใหญ่
คงใกล้เวลาสิ้นแผ่นดินกันแล้ว