ผลงานที่น่าภาคภูมิใจของกลุ่ม เสวนา

เรื่องการเมือง เชิญที่นี่เลยครับ
Forum rules
- ห้ามใช้คำพูดหยาบคาย
- ห้ามโพสกระทู้หรือข้อความที่ดูหมิ่นเสียดสีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอันขาด

เชิญทุกท่านเข้าสู่บอร์ดใหม่ได้ที่ http://webboard.serithai.net ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ viewtopic.php?f=2&t=44976 ครับ

ผลงานที่น่าภาคภูมิใจของกลุ่ม เสวนา

Postby Disconnected » Sun Nov 02, 2008 2:12 pm

:lol:

Image
Image
:lol: :lol: :lol:

จนได้นปกเลยมีมุขเอาไปใช่ นำเสนอโดย บกลายเหลี่ยม :lol: :lol: :lol:

อยากจะขำเป็นภาษา ปอร์ตุเกส

พึ่งจะเข้าใจคำว่ากลางกลวง ของไอลิ้มที่ว่ามันเป็นยังไงก้ วันนี้แหละ :lol: :lol:


นี่ยังไม่นับไอ้ประธานมูลนิธิชัยพัฒนา อีกคน ที่อาศัยจังหวะตอนไอลิ้มที่โดนคนอื่นลุมด่าหลังจากที่มันไปด่า ดร.สุเมธ แหม มาบอกว่าตัวเองอยู่พรรคในหลวง :twisted:
ปากเปราะ จริงๆ แล้วไง หายไปไหนแล้ว ไม่ออกมาพล่ามต่อหละ รอฟังอยู่ สงสัยจะโดนเรียกไปเขกกระโหลก :lol: :lol:


ไหนๆท่านจะยกระดับความไฮโซให้นปกแล้ว ผมขออณุญาติเอารูิป(ตัดต่อ)มาเตือนสติท่านสักหน่อยจะพูดอะไรให้คิดให้มากกว่านี้อย่างที่ท่านบอก
คนไทยก็แบบนี้แหละไม่ค่อยที่จะคิดก่อนพูด
Image

Image

Image

Image

Image


:lol: :lol: :lol: เอาแค่นี้พอนะ ตั้งนานทำไมไม่ออกมา
หาเพื่อนหยิงคุยแก้เหงาครับ


ประชาธิปไตยต้องมีสิทธิ์เท่ากันทุกคน แล้วทำไมเด็กต่ำ 18 ไม่มี

http://www.imeem.com/honeylollipop/musi ... _raise_up/
User avatar
Disconnected
 
Posts: 1337
Joined: Tue Oct 14, 2008 6:26 pm

Re: ผลงานที่น่าภาคภูมิใจของกลุ่ม เสวนา

Postby แผ่นดิน » Sun Nov 02, 2008 2:31 pm

พวกเป็นกลางเลือกข้างสัตว์นรก
ทำมาเป็นสีขาวแต่คือปีศาจแดงนั้นเอง
พวกอีแอบพวกนี้ผมไม่ชอบกว่าปีศาจแดงที่เห็นชัดๆอีกครับ
มันทำเป็นว่าตัวเองก็มีจุดยืนนะ ตัวเองฉลาดล้ำโลกกว่าคนอื่นเขา
โคตรบัดซบเลยครับ พวกเป็นกลางเลือกข้างสัตว์นรก
ประชาธิปไตยเทวดามหาหอคอยงาช้างแดนสววรค์
...เบื่อพวกเป็นกลาง เลือกข้างสัตว์นรกวะ!!!!!!
:?: :?: :?: :roll: :roll: :roll: :roll: :shock: :shock: :shock:
"แม้มันไม่มีทางเป็นไปได้"
http://www.oknation.net/blog/peanpean
User avatar
แผ่นดิน
 
Posts: 173
Joined: Sat Nov 01, 2008 5:11 am

Re: ผลงานที่น่าภาคภูมิใจของกลุ่ม เสวนา

Postby istyle » Sun Nov 02, 2008 2:34 pm

เป็นกลางๆๆๆๆๆ

กลางใจนปก.เรย 555
User avatar
istyle
 
Posts: 1160
Joined: Mon Oct 13, 2008 9:18 am

Re: ผลงานที่น่าภาคภูมิใจของกลุ่ม เสวนา

Postby Shelmikedmu » Sun Nov 02, 2008 3:03 pm

สงสัยเจ้าของกระทู้จะตามข่าวไม่ค่อยละเอียด
แ้ล้วเอาข้อมูลผิดๆ มาอวดชาวบ้าน

ไอเดีย 3 หยุดไม่ใช่กลุ่มสานเสวนานะครับ
แต่มันเป็นเครือข่ายสันติประชาธรรม ซึ่งกลุ่ม สนนท เป็นแกนนำจัดตั้ง

ส่วนกลุ่มสานเสวนาเพื่อสันติธรรมนั้นนำโดย ดร สุเมธ ประกาศแล้วว่า
จะไม่ไปร่วมเสวนากับใครที่ไหน เพราะไม่อยากให้มองว่าเป็นกลุ่มเลือกข้าง
User avatar
Shelmikedmu
 
Posts: 130
Joined: Tue Oct 28, 2008 5:51 pm

Re: ผลงานที่น่าภาคภูมิใจของกลุ่ม เสวนา

Postby agent » Sun Nov 02, 2008 3:06 pm

กลุ่มสันติประชาธรรมนี้ก็เดิมๆ ต้องการ ประชาธิปไตยแบบ ไม่มีกษัตริย์ เอาทักษิณเป็นแนวร่วมแบบแอบๆ ทำให้ทักษิณใช้เป็นเครื่องมือได้ พวกฟ้าเดียวกัน ประชาไท ฯลฯ

มีพฤติกรรม ต่อต้านพันธมิตร ให้ข้อมูลบิดเบือน หรือข้อมูลเท็จ ถึงขนาดผมชี้ให้เห็นว่าบิดเบือนหรือเท็จอย่างไร เขาก็โต้ตอบไม่ได้ แต่ยังคงออก 3 หยุดออกมา

เป็นกลุ่มแถ ทางวิชาการ แกนนำระดับ ดอกเตอร์ ประวัติศาสตร์(ที่อ้างว่า เขาพระวิหาร เป็นของเขมร) มิจฉาทิฏฐิแท้ๆ
นักปฏิวัติ
User avatar
agent
 
Posts: 105
Joined: Mon Oct 13, 2008 11:58 am

Re: ผลงานที่น่าภาคภูมิใจของกลุ่ม เสวนา

Postby OMEGA » Sun Nov 02, 2008 3:36 pm

ถูกใจให้กิ๊ฟ ไม่ว่าจะกลางไหนมันก็กลวงทั้งนั้นแหละ
ออกมาทีเหมือนลูกหาบแตกรัง ...กลางแต่ให้ท้าย
ความรุนแรงอีกฝ่าย กดอีกฝ่าย..

เหมือนแยกคนต่อยกันจับอีกคนปากบอกเฮ้ยเลิกกันๆ
อีกคนไม่ได้ถูกกันก็สาวเอาๆ ได้ใจทีเดียวกระทู้นี้
Only three things in life are certain birth, death and change
User avatar
OMEGA
 
Posts: 1134
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:14 am

Re: ผลงานที่น่าภาคภูมิใจของกลุ่ม เสวนา

Postby sk-sint » Sun Nov 02, 2008 4:00 pm

ใช้คำว่า"เป็นกลาง" กันผิดความหมาย ผิดที่ิผิดทาง ไม่รู้ว่าไร้ปัญญาหรือว่า แกล้งโง่ ...

เป็นกลางคืออะไร .... อยู่เฉยๆ ไม่เข้ากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งงั้นรึ ... ถ้าคิดแบบนั้น ก็สมแล้วที่โดนด่าว่า "กลางกลวง" ... เพราะมันก็ไม่ต่างอะไรกับ นกกระจอกเทศ ซุกหัวลงดิน .... ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ว่ารอบๆตัวมันวิกฤติขนาดไหนแล้ว ...

ในสงครามห้ำหั่น ... ยังมีการยกย่องให้เกียรติ ต่อศัตรู ที่รบกันอย่างซึ่งหน้า ... แม้ในภควัตคีตา ... ทั้งเการพ และปาณฑพ ก็ยังยกย่องซึ่งกันและกัน ..

แต่กับนกมีหู หนูมีปีก ... ค้างคาว กลางกลวง มีแต่จะโดนเด็ดหัวทิ้ง เมื่อเสร็จศึก ... เพราะทำตัวไม่ต่างอะไรกับ เศษมูลฝอยที่ไร้คุณค่า ลอยไปลอยมาในสระน้ำ

เป็นกลางที่ถูกต้อง ... ควรหมายถึง .... ใช้วิจารณญาณตัดสินถูกผิดอย่างไร้อคติ ... นี่จึงเป็นกลางที่ถูกต้องตามวิถี ไม่ใช่กลางกลวง ..

สำคัญที่เมื่อมีสติ มีปัญญา ที่จะตัดสินได้ว่าอะไรถูกผิด .... ที่เหลือก็อยู่ที่ มีความกล้าหาญพอที่จะยืนหยัดกับความถูกต้องอันนั้นหรือไม่ !!!


สาธุ
User avatar
sk-sint
 
Posts: 86
Joined: Wed Oct 15, 2008 7:34 pm

Re: ผลงานที่น่าภาคภูมิใจของกลุ่ม เสวนา

Postby Sootyod » Sun Nov 02, 2008 5:02 pm

sk-sint wrote:ใช้คำว่า"เป็นกลาง" กันผิดความหมาย ผิดที่ิผิดทาง ไม่รู้ว่าไร้ปัญญาหรือว่า แกล้งโง่ ...

เป็นกลางคืออะไร .... อยู่เฉยๆ ไม่เข้ากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งงั้นรึ ... ถ้าคิดแบบนั้น ก็สมแล้วที่โดนด่าว่า "กลางกลวง" ... เพราะมันก็ไม่ต่างอะไรกับ นกกระจอกเทศ ซุกหัวลงดิน .... ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ว่ารอบๆตัวมันวิกฤติขนาดไหนแล้ว ...

ในสงครามห้ำหั่น ... ยังมีการยกย่องให้เกียรติ ต่อศัตรู ที่รบกันอย่างซึ่งหน้า ... แม้ในภควัตคีตา ... ทั้งเการพ และปาณฑพ ก็ยังยกย่องซึ่งกันและกัน ..

แต่กับนกมีหู หนูมีปีก ... ค้างคาว กลางกลวง มีแต่จะโดนเด็ดหัวทิ้ง เมื่อเสร็จศึก ... เพราะทำตัวไม่ต่างอะไรกับ เศษมูลฝอยที่ไร้คุณค่า ลอยไปลอยมาในสระน้ำ

เป็นกลางที่ถูกต้อง ... ควรหมายถึง .... ใช้วิจารณญาณตัดสินถูกผิดอย่างไร้อคติ ... นี่จึงเป็นกลางที่ถูกต้องตามวิถี ไม่ใช่กลางกลวง ..

สำคัญที่เมื่อมีสติ มีปัญญา ที่จะตัดสินได้ว่าอะไรถูกผิด .... ที่เหลือก็อยู่ที่ มีความกล้าหาญพอที่จะยืนหยัดกับความถูกต้องอันนั้นหรือไม่ !!!


สาธุ



คุณก็พูดตรงไป

นักวิชาการเค้าฉลาดกว่าคุณเยอะ
(ฉลาดรอทิศทางลม ไม่เลือกข้าง)

เรียนก็เก่ง มีความรู้มากมาย
(แต่ใช้ไม่เป็น และคิดเพื่อสังคมไม่เป็น)

เป็นคนดีมากมายก่ายกอง เป็นกลาง
(ลอยตัวเหนือปัญหา กลาง"กลวง")


ผมว่านะ นักวิชาการ(เฉพาะพวกกลางกลวง)น่ะเงียบไปเหอะ
อยากได้ชื่อว่าเป็นกลาง สันติ สามัคคี ก็คิดหน่อย

ปัญหาไม่ใช่เพราะแค่ทักษิณ หรือระบอบทักษิณ
คนชั่วครองอำนาจ ทำร้ายทำลายคนดี
ข้อเท็จจริงง่ายๆ ไม่ต้องจบด็อกเตอร์ ก็คิดได้
เรื่องแค่นี้คิดไม่ป็นหรือ พวกกลางกลวง!!
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
User avatar
Sootyod
 
Posts: 81
Joined: Wed Oct 15, 2008 7:24 am

Re: ผลงานที่น่าภาคภูมิใจของกลุ่ม เสวนา

Postby Disconnected » Sun Nov 02, 2008 11:47 pm

Shelmikedmu wrote:สงสัยเจ้าของกระทู้จะตามข่าวไม่ค่อยละเอียด
แ้ล้วเอาข้อมูลผิดๆ มาอวดชาวบ้าน

ไอเดีย 3 หยุดไม่ใช่กลุ่มสานเสวนานะครับ
แต่มันเป็นเครือข่ายสันติประชาธรรม ซึ่งกลุ่ม สนนท เป็นแกนนำจัดตั้ง

ส่วนกลุ่มสานเสวนาเพื่อสันติธรรมนั้นนำโดย ดร สุเมธ ประกาศแล้วว่า
จะไม่ไปร่วมเสวนากับใครที่ไหน เพราะไม่อยากให้มองว่าเป็นกลุ่มเลือกข้าง



เข้าใจไม่ผิดดอกฮะ ที่ผมด่าผมด่าเหมา เลย ไม่ได้ด่าเฉพาะ กลุ่ม สานเสวนา แต่ด่าไอพวก กลุ่ม เสวนา

แล้วไม่ได้ด่าดร. สุเมธ เพราะเข้าใจ ดร.สุเมธ แต่ด่าไอประธาน มูลนิธิชัยพัฒนา ที่พูดไม่เหมาะสม ในช่วงเวลานี้ และในกลุ่มเสวนา

ที่ออก มามันมีกันหลายกลุ่มฮะ มีทั้ง กลุ่มของสื่อ กลุ่มสันติธรรม แล้วไหนจะ กลุ่ม ของพวกไอปลื้มจาตุรน อีก แม่มเลยมีสารพัดกลุ่ม ที่มันใช้ชื่อ เสวนา หากิน เก็ตยังฮะ

ถึงบอกไงฮะ ผลงานของ กลุ่มเสวนา
หาเพื่อนหยิงคุยแก้เหงาครับ


ประชาธิปไตยต้องมีสิทธิ์เท่ากันทุกคน แล้วทำไมเด็กต่ำ 18 ไม่มี

http://www.imeem.com/honeylollipop/musi ... _raise_up/
User avatar
Disconnected
 
Posts: 1337
Joined: Tue Oct 14, 2008 6:26 pm

Re: ผลงานที่น่าภาคภูมิใจของกลุ่ม เสวนา

Postby MIRO » Mon Nov 03, 2008 12:05 am

เป็นกลาง คือ กระดาษทิชชู่ ที่อยู่ระหว่างแก้มก้น .. :lol:
ยามบุญมา กาไก่กลายเป็นหงษ์
ยามบุญหลง หงส์เป็นกาน่าฉงน
ยามบุญมา หมูหมากลายเป็นคน
ยามบุญหล่นคนเป็นหมาน่าอัศจรรย์
User avatar
MIRO
 
Posts: 1407
Joined: Sat Oct 25, 2008 4:21 pm

Re: ผลงานที่น่าภาคภูมิใจของกลุ่ม เสวนา

Postby Cherub Rock » Mon Nov 03, 2008 12:07 am

เอาข่าวไปบอกเค้าแล้ว
รับรองไม่ผิดตัว(ดูจากโปสเตอร์เอา :mrgreen: )

http://ruleoflawthailand.wordpress.com/ ... p/#comment
:idea: 1 ปีตุลาเลือด ฆาตรกรต้องไม่ลอยนวล
วันข้างหน้า ผู้มีอำนาจ จะไม่บังอาจฆ่าประชาชน
-->
User avatar
Cherub Rock
 
Posts: 2769
Joined: Mon Oct 13, 2008 12:47 am

Re: ผลงานที่น่าภาคภูมิใจของกลุ่ม เสวนา

Postby Disconnected » Mon Nov 03, 2008 3:20 am

Cherub Rock wrote:เอาข่าวไปบอกเค้าแล้ว
รับรองไม่ผิดตัว(ดูจากโปสเตอร์เอา :mrgreen: )

http://ruleoflawthailand.wordpress.com/ ... p/#comment


บทความส่อความคิด เขียนครึ่งเดียวเหมือน บางจำพวก :lol:

http://ruleoflawthailand.wordpress.com/ ... democracy/

อนาธิปไตย กับประชาธิปไตย โดยปรีดี พนมยงค์

24 ตุลาคม 2008 โดย ruleoflawthailand

“อนาธิปไตย กับประชาธิปไตย โดยปรีดี พนมยงค์”

Anarchy vs Democracy and Pridi Banomyong

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ



เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2489 กว่าครึ่งศตวรรษมาแล้ว ในขณะที่สังคมไทยกำลังค้นหาให้ได้มาซึ่งระบอบ “ประชาธิปไตย” นั้น ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งในตอนนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวปราสัยในวันปิดประชุมสภาเมื่อ วันที่ 7 พฤษภาคม ด้วยคำเตือนเรื่อง “ประชาธิปไตย” กับ “อนาธิปไตย” ไว้ดังนี้

“ระบอบประชาธิปไตยนั้น เราหมายถึงประชาธิปไตย อันมีระเบียบตามกฎหมายและศีลธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ใช่ประชาธิปไตยอันไม่มีระเบียบ หรือประชาธิปไตยที่ไร้ศีลธรรม เช่น การใช้สิทธิเสรีภาพอันมีแต่จะให้เกิดความปั่นป่วน ความไม่สงบเรียบร้อย ความเสื่อมศีลธรรม ระบอบชนิดนี้เรียกว่าอนาธิปไตย หาใช่ประชาธิปไตยไม่ ขอให้ระวัง อย่าปนประชาธิปไตยกับอนาธิปไตย”

ท่านปรีดี กล่าวต่อไปอีกว่า “ข้าพเจ้าไม่พึงประสงค์ที่จะให้มีระบอบเผด็จการในประเทศไทย ในการนี้ก็จำเป็นต้องป้องกันหรือขัดขวางมิให้มีอนาธิปไตย อันเป็นทางที่ระบอบเผด็จการจะอ้างได้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าถ้าเราช่วยกันประคองใช้ให้ระบอบประชาธิปไตยนี้ได้เป็นไปตาม ระเบียบเรียบร้อย …. ระบอบเผด็จการย่อมมีขึ้นไม่ได้”

ท่านปรีดีกล่าวอย่างน่าสนใจต่อไปอีกว่า “การใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตย ต้องทำโดยความบริสุทธิ์ใจ มุ่งหวังผลส่วนรวมจริงๆ ไม่ใช่มุ่งหวังส่วนตัว หรือมีความอิจฉาริษยากันเป็นมูลฐาน เนื่องมาจากความเห็นแก่ตัว (เอ็กโกอีสม์)”

แล้วท่านปรีดี ก็เข้าสู่ไคลแมกซ์ของคำปราศัยด้วยการกล่าวว่า “โดยมีอุดมคติซื่อสัตย์ต่อองค์พระมหากษัตริย์ ข้าพเจ้าเคารพในความซื่อสัตย์ ซึ่งมีตัวอย่างอยู่มากหลายที่ผู้ซื่อสัตย์เหล่านี้ได้ร่วมกิจการรับใช้ชาติ กับข้าพเจ้า… แต่ผู้ซึ่งแสดงว่าซื่อสัตย์ต่อองค์พระมหากษัตริย์ในภายนอก ส่วนภายในหวังผลส่วนตน หรือมูลสืบเนื่องมาแต่ความไม่พอใจเป็นส่วนตัวเช่นนี้แล้ว ก็เกรงว่าผู้นั้นก็อาจหันเหไปได้ สุดแต่ว่าตนจะได้รับประโยชน์ส่วนตนอย่างไรมากกว่า”

ท่านปรีดี จบคำปราศัยด้วยการฝากฝังไว้กับ สส. ในสภาว่า “ข้าพเจ้าหวังว่าท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหลาย คงจะใช้สิทธิของท่านด้วยความบริสุทธิ์ใจ และอาศัยกฏหมายและศีลธรรมความสุจริตเป็นหลัก ไม่ช่วยกันส่งเสริมให้มีระบอบอนาธิปไตย

ข้าพเจ้าขอฝากความคิดไว้ต่อท่านผู้แทนราษฎรทั้งหลาย โดยเป็นห่วงถึงอนาคตของชาติ ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะได้เห็นประเทศชาติปลอดจากระบอบเผด็จการ และปลอดจากระบอบอนาธิปไตย คงมีแต่ระบอบประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อมไปด้วยสามัคคีธรรม

ระบอบประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อมด้วยสามัคคีธรรมนี้เป็นวัตถุประสงค์ของคณะ ราษฎร ที่ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ และเป็นพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานรัฐ ธรรมนูญ”

ท่านปรีดีฝากฝังอะไรไว้มากมายกับ สส. ท่านปรีดีฝากไว้เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 ต่อมาอีก 2 วัน คือ วันที่ 9 พฤษภาคม ท่านปรีดี ก็ถวายรัฐธรรมนูญฉบับที่ 3 ให้ในหลวงอานันท์ รัชกาลที่ 8 ลงพระปรมาภิไธย แต่อีก 1 เดือนต่อมา คือ ในวันที่ 9 มิถุนายน ในหลวงอานันท์ ก็ต้องพระแสงปืนเสด็จสวรรคต

และแล้ววิกฤตการเมืองก็บังเกิดขึ้น ระบอบอำนาจนิยมและอนุรักษ์นิยม ดำเนินการใส่ร้ายป้ายสีว่า “ปรีดี ฆ่าในหลวง” ท่านปรีดีแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่ง และหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ก็ขึ้นเป็น นรม. แทน รัฐบาลหลวงธำรงฯ ถูกพรรคฝ่ายค้าน คือ ประชาธิปัตย์ (เจ้าเก่า) เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจหลายวันหลายคืน และเมื่อล้มรัฐบาลด้วยวิถีทางประชาธิปไตยไม่ได้ นายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคฯ ก็หันไปร่วมมือกับ “ระบอบทหาร” ที่นำโดยพลโทผิน ชุณหะวัณ ทำ “การรัฐประหาร” ยึดอำนาจเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2490

จากนั้นสยามประเทศ(ไทย) ของเรา ก็เข้าสู่ “ยุดมืดบอดทางการเมือง” กลายเป็น “ระบอบเผด็จการครึ่งใบ” อยู่ 10 ปีภายใต้ “ระบอบพิบูลสงคราม” ระหว่าง พ.ศ. 2491-2500 แล้วก็ต้องตกอยู่ภายใต้ “ระบอบเผด็จการเต็มใบ” ของ “ระบอบสฤษดิ์-ถนอม-ประภาส” อีก 15 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2501-2516 รวมแล้วกว่าจะถูกโค่นล้มไปเมื่อ “14 ตุลา” พ.ศ. 2516 ก็กินเวลาถึง 26 ปี

ท่านปรีดีของเราต้องกลายเป็น “พ่อกู นามระบือ ชื่อปรีดี แต่คนดี เมืองไทย ไม่ต้องการ” (เช่นเดียวกับ ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ฯลฯ) ท่านต้องลี้ภัยการเมือง ลี้ภัยจาก “อนาธิปไตย” และ “เผด็จการทหารและอนุรักษ์นิยม” ไปอยู่เมืองจีนถึง 21 ปี แล้วก็จะไปจบชีวิตลงที่ปารีสเมื่อปี พ.ศ. 2526

ครับ ท่านปรีดีและคำเตือนว่าด้วย “อนาธิปไตย” กับ “ประชาธิปไตย” ทำให้เราต้องคิดใคร่ครวญหนักต่อสถานการณ์ปัจจุบันของ “ระบอบ5พันธมิตร” กับกิจกรรม “ล้มรัฐบาลสมัคร” กับ “โค่นระบอบทักษิณ” เราจะแก้วิกฤตครั้งนี้ได้อย่างไร เราจะทำอย่างไรที่จะไม่ให้เกิด “อนาธิไตย” อันนำมาสู่ “ระบอบเผด็จการทหารและอนุรักษ์นิยม” หรือบานปลายไปจนเป็น “สงครามกลางเมือง” กลายเป็น “กลียุค”

หากเราสามารถจะตระหนักในคำเตือนล่วงหน้าก่อนเวลาของท่านปรีดีได้ ที่ท่านให้เรายึดมั่นใน “ประชาธิปไตย” ไม่นำไป “สับสน” หรือ “ปนเปื้อน” กับ “อนาธิปไตย” อันจะนำเราไปสู่ “ระบอบเผด็จการ” (ครึ่งใบ หรือเต็มใบ หรือ 30/70 ก็ตาม) เมื่อนั้นแหละที่บ้านเมืองของเราจะพอมีอนาคตกันบ้าง

หรือว่าทุกอย่างจะสายเกินแก้ไปแล้ว และ “พระอิศวรศิวะเทพ” ก็จะปรากฏกายเป็น “ศิวะนาฏราช” เหนือปราสาทเขาพระวิหารและปราสาทเขาพนมรุ้ง เพื่อทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างให้สิ้นซาก แล้วให้ “พระนารายณ์วิษณุเทพ” บันดาลให้ดอกบัวผุดขึ้นมาจากพระนาภี เผย “องค์ท้าวมหาพรหม” ที่จะทรงสร้างโลกใหม่ ที่มี “สิทธิ เสรีภาพ และภราดรภาพ” มีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงเสียที

บันทึกโพสใน นานาทัศนะ | 3 ความคิดเห็น
3 Responses to “อนาธิปไตย กับประชาธิปไตย โดยปรีดี พนมยงค์”
หาเพื่อนหยิงคุยแก้เหงาครับ


ประชาธิปไตยต้องมีสิทธิ์เท่ากันทุกคน แล้วทำไมเด็กต่ำ 18 ไม่มี

http://www.imeem.com/honeylollipop/musi ... _raise_up/
User avatar
Disconnected
 
Posts: 1337
Joined: Tue Oct 14, 2008 6:26 pm

Re: ผลงานที่น่าภาคภูมิใจของกลุ่ม เสวนา

Postby Disconnected » Mon Nov 03, 2008 3:29 am

Disconnected wrote:
Cherub Rock wrote:เอาข่าวไปบอกเค้าแล้ว
รับรองไม่ผิดตัว(ดูจากโปสเตอร์เอา :mrgreen: )

http://ruleoflawthailand.wordpress.com/ ... p/#comment


บทความส่อความคิด เขียนครึ่งเดียวเหมือน บางจำพวก :lol:
เอามาให้อ่านเฉยๆ :lol:

http://ruleoflawthailand.wordpress.com/ ... democracy/

อนาธิปไตย กับประชาธิปไตย โดยปรีดี พนมยงค์

24 ตุลาคม 2008 โดย ruleoflawthailand

“อนาธิปไตย กับประชาธิปไตย โดยปรีดี พนมยงค์”

Anarchy vs Democracy and Pridi Banomyong

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ



เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2489 กว่าครึ่งศตวรรษมาแล้ว ในขณะที่สังคมไทยกำลังค้นหาให้ได้มาซึ่งระบอบ “ประชาธิปไตย” นั้น ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งในตอนนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวปราสัยในวันปิดประชุมสภาเมื่อ วันที่ 7 พฤษภาคม ด้วยคำเตือนเรื่อง “ประชาธิปไตย” กับ “อนาธิปไตย” ไว้ดังนี้

“ระบอบประชาธิปไตยนั้น เราหมายถึงประชาธิปไตย อันมีระเบียบตามกฎหมายและศีลธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ใช่ประชาธิปไตยอันไม่มีระเบียบ หรือประชาธิปไตยที่ไร้ศีลธรรม เช่น การใช้สิทธิเสรีภาพอันมีแต่จะให้เกิดความปั่นป่วน ความไม่สงบเรียบร้อย ความเสื่อมศีลธรรม ระบอบชนิดนี้เรียกว่าอนาธิปไตย หาใช่ประชาธิปไตยไม่ ขอให้ระวัง อย่าปนประชาธิปไตยกับอนาธิปไตย”

ท่านปรีดี กล่าวต่อไปอีกว่า “ข้าพเจ้าไม่พึงประสงค์ที่จะให้มีระบอบเผด็จการในประเทศไทย ในการนี้ก็จำเป็นต้องป้องกันหรือขัดขวางมิให้มีอนาธิปไตย อันเป็นทางที่ระบอบเผด็จการจะอ้างได้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าถ้าเราช่วยกันประคองใช้ให้ระบอบประชาธิปไตยนี้ได้เป็นไปตาม ระเบียบเรียบร้อย …. ระบอบเผด็จการย่อมมีขึ้นไม่ได้”

ท่านปรีดีกล่าวอย่างน่าสนใจต่อไปอีกว่า “การใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตย ต้องทำโดยความบริสุทธิ์ใจ มุ่งหวังผลส่วนรวมจริงๆ ไม่ใช่มุ่งหวังส่วนตัว หรือมีความอิจฉาริษยากันเป็นมูลฐาน เนื่องมาจากความเห็นแก่ตัว (เอ็กโกอีสม์)”

แล้วท่านปรีดี ก็เข้าสู่ไคลแมกซ์ของคำปราศัยด้วยการกล่าวว่า “โดยมีอุดมคติซื่อสัตย์ต่อองค์พระมหากษัตริย์ ข้าพเจ้าเคารพในความซื่อสัตย์ ซึ่งมีตัวอย่างอยู่มากหลายที่ผู้ซื่อสัตย์เหล่านี้ได้ร่วมกิจการรับใช้ชาติ กับข้าพเจ้า… แต่ผู้ซึ่งแสดงว่าซื่อสัตย์ต่อองค์พระมหากษัตริย์ในภายนอก ส่วนภายในหวังผลส่วนตน หรือมูลสืบเนื่องมาแต่ความไม่พอใจเป็นส่วนตัวเช่นนี้แล้ว ก็เกรงว่าผู้นั้นก็อาจหันเหไปได้ สุดแต่ว่าตนจะได้รับประโยชน์ส่วนตนอย่างไรมากกว่า”

ท่านปรีดี จบคำปราศัยด้วยการฝากฝังไว้กับ สส. ในสภาว่า “ข้าพเจ้าหวังว่าท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหลาย คงจะใช้สิทธิของท่านด้วยความบริสุทธิ์ใจ และอาศัยกฏหมายและศีลธรรมความสุจริตเป็นหลัก ไม่ช่วยกันส่งเสริมให้มีระบอบอนาธิปไตย

ข้าพเจ้าขอฝากความคิดไว้ต่อท่านผู้แทนราษฎรทั้งหลาย โดยเป็นห่วงถึงอนาคตของชาติ ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะได้เห็นประเทศชาติปลอดจากระบอบเผด็จการ และปลอดจากระบอบอนาธิปไตย คงมีแต่ระบอบประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อมไปด้วยสามัคคีธรรม

ระบอบประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อมด้วยสามัคคีธรรมนี้เป็นวัตถุประสงค์ของคณะ ราษฎร ที่ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ และเป็นพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานรัฐ ธรรมนูญ”

ท่านปรีดีฝากฝังอะไรไว้มากมายกับ สส. ท่านปรีดีฝากไว้เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 ต่อมาอีก 2 วัน คือ วันที่ 9 พฤษภาคม ท่านปรีดี ก็ถวายรัฐธรรมนูญฉบับที่ 3 ให้ในหลวงอานันท์ รัชกาลที่ 8 ลงพระปรมาภิไธย แต่อีก 1 เดือนต่อมา คือ ในวันที่ 9 มิถุนายน ในหลวงอานันท์ ก็ต้องพระแสงปืนเสด็จสวรรคต

และแล้ววิกฤตการเมืองก็บังเกิดขึ้น ระบอบอำนาจนิยมและอนุรักษ์นิยม ดำเนินการใส่ร้ายป้ายสีว่า “ปรีดี ฆ่าในหลวง” ท่านปรีดีแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่ง และหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ก็ขึ้นเป็น นรม. แทน รัฐบาลหลวงธำรงฯ ถูกพรรคฝ่ายค้าน คือ ประชาธิปัตย์ (เจ้าเก่า) เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจหลายวันหลายคืน และเมื่อล้มรัฐบาลด้วยวิถีทางประชาธิปไตยไม่ได้ นายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคฯ ก็หันไปร่วมมือกับ “ระบอบทหาร” ที่นำโดยพลโทผิน ชุณหะวัณ ทำ “การรัฐประหาร” ยึดอำนาจเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2490

จากนั้นสยามประเทศ(ไทย) ของเรา ก็เข้าสู่ “ยุดมืดบอดทางการเมือง” กลายเป็น “ระบอบเผด็จการครึ่งใบ” อยู่ 10 ปีภายใต้ “ระบอบพิบูลสงคราม” ระหว่าง พ.ศ. 2491-2500 แล้วก็ต้องตกอยู่ภายใต้ “ระบอบเผด็จการเต็มใบ” ของ “ระบอบสฤษดิ์-ถนอม-ประภาส” อีก 15 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2501-2516 รวมแล้วกว่าจะถูกโค่นล้มไปเมื่อ “14 ตุลา” พ.ศ. 2516 ก็กินเวลาถึง 26 ปี

ท่านปรีดีของเราต้องกลายเป็น “พ่อกู นามระบือ ชื่อปรีดี แต่คนดี เมืองไทย ไม่ต้องการ” (เช่นเดียวกับ ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ฯลฯ) ท่านต้องลี้ภัยการเมือง ลี้ภัยจาก “อนาธิปไตย” และ “เผด็จการทหารและอนุรักษ์นิยม” ไปอยู่เมืองจีนถึง 21 ปี แล้วก็จะไปจบชีวิตลงที่ปารีสเมื่อปี พ.ศ. 2526

ครับ ท่านปรีดีและคำเตือนว่าด้วย “อนาธิปไตย” กับ “ประชาธิปไตย” ทำให้เราต้องคิดใคร่ครวญหนักต่อสถานการณ์ปัจจุบันของ “ระบอบ5พันธมิตร” กับกิจกรรม “ล้มรัฐบาลสมัคร” กับ “โค่นระบอบทักษิณ” เราจะแก้วิกฤตครั้งนี้ได้อย่างไร เราจะทำอย่างไรที่จะไม่ให้เกิด “อนาธิไตย” อันนำมาสู่ “ระบอบเผด็จการทหารและอนุรักษ์นิยม” หรือบานปลายไปจนเป็น “สงครามกลางเมือง” กลายเป็น “กลียุค”

หากเราสามารถจะตระหนักในคำเตือนล่วงหน้าก่อนเวลาของท่านปรีดีได้ ที่ท่านให้เรายึดมั่นใน “ประชาธิปไตย” ไม่นำไป “สับสน” หรือ “ปนเปื้อน” กับ “อนาธิปไตย” อันจะนำเราไปสู่ “ระบอบเผด็จการ” (ครึ่งใบ หรือเต็มใบ หรือ 30/70 ก็ตาม) เมื่อนั้นแหละที่บ้านเมืองของเราจะพอมีอนาคตกันบ้าง

หรือว่าทุกอย่างจะสายเกินแก้ไปแล้ว และ “พระอิศวรศิวะเทพ” ก็จะปรากฏกายเป็น “ศิวะนาฏราช” เหนือปราสาทเขาพระวิหารและปราสาทเขาพนมรุ้ง เพื่อทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างให้สิ้นซาก แล้วให้ “พระนารายณ์วิษณุเทพ” บันดาลให้ดอกบัวผุดขึ้นมาจากพระนาภี เผย “องค์ท้าวมหาพรหม” ที่จะทรงสร้างโลกใหม่ ที่มี “สิทธิ เสรีภาพ และภราดรภาพ” มีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงเสียที

บันทึกโพสใน นานาทัศนะ | 3 ความคิดเห็น
3 Responses to “อนาธิปไตย กับประชาธิปไตย โดยปรีดี พนมยงค์”
หาเพื่อนหยิงคุยแก้เหงาครับ


ประชาธิปไตยต้องมีสิทธิ์เท่ากันทุกคน แล้วทำไมเด็กต่ำ 18 ไม่มี

http://www.imeem.com/honeylollipop/musi ... _raise_up/
User avatar
Disconnected
 
Posts: 1337
Joined: Tue Oct 14, 2008 6:26 pm

Re: ผลงานที่น่าภาคภูมิใจของกลุ่ม เสวนา

Postby คนไทยคนหนึ่ง » Mon Nov 03, 2008 6:04 am

คนที่จะทำยังตีโจทย์ไม่แตกเลย ยังไม่รู้สาเหตุของปัญหาอยู่ที่ไหน จับกลุ่มมั่วไปหมด
ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกเหมือนว่ามีเจตนาแอบแฝง เหมือนใส่เสื้อสีขาวทับเสื้อสีแดงเลย
ออกมาตอนแรกดูดีกว่า 3หยุดหน่อยนึง แต่ยิ่งพูดยิ่งมั่ว เลยไม่แน่ใจว่าความตั้งใจลึกๆของคน
ที่จะทำคืออะไร เหมือนจะยื้อเวลาให้ฝ่ายรัฐบาลเลย

ถ้ามีเจตนาดีจริงก็แสดงว่าไม่รู้อะไรเลย อยากออกมาเท่ห์ๆเท่านั้น เป็นพวกกลางกลวง
อย่างที่สนธิพูดเลย วิธีการดี แต่คนที่จะเอามาใช้มันมั่วหรือไม่กล้าที่จะสู้ความจริงก็ไม่รู้
ประชาธิปไตย คือการที่ฟังเสียงส่วนน้อย แต่ทำเพื่อคนส่วนใหญ่
ประชาธิปไตยต้องมีศีลธรรมเป็นรากฐาน ไม่อย่างนั้นจะเป็นประชาธิปไตยไม่ได้
เมื่อไม่มีศีลธรรมเป็นพื้นฐานแล้ว ระบบประชาธิปไตยนั่นแหละ จะเป็นระบบที่เลวร้ายที่สุด
User avatar
คนไทยคนหนึ่ง
 
Posts: 1884
Joined: Mon Oct 13, 2008 6:51 am

Re: ผลงานที่น่าภาคภูมิใจของกลุ่ม เสวนา

Postby คนไทยคนหนึ่ง » Mon Nov 03, 2008 6:41 am

ท่านอาจารย์ ชัยอนันต์ เขียนได้ชัดเจนมากครับ
เป็นบทความที่พวกอ้างตัวว่าเป็นกลางควรอ่าน

สมานฉันท์?
โดย ชัยอนันต์ สมุทวณิช 2 พฤศจิกายน 2551 20:02 น.
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews ... 0000130018
--------------------------------------------------------------------------------------------

สังคมไทยเป็นสังคมที่มีกฎหมายมากที่สุดสังคมหนึ่ง ไม่เชื่อก็ลองสำรวจดูก็ได้ เรามีกฎหมายทุกประเภท แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงที่มีหรือไม่มีกฎหมาย หากอยู่ที่การนำกฎหมายไปใช้ผิด ทำได้ไม่เต็มที่ ตัวอย่างที่เห็นกันชัดๆ ก็คือ กฎหมายเกี่ยวกับการคอร์รัปชัน แม้จะมีกฎหมายที่ดี แต่ก็มักไม่ค่อยจะมีการนำคนที่โกงมาลงโทษอย่างเด็ดขาด และจริงจัง

เหตุที่สังคมไทยไม่สามารถจัดการกับปัญหาหลายอย่างได้ก็เป็นเพราะ ระบบคิดของเราค่อนข้างจะพิกลพิการ ที่กำลังสับสนกันอยู่ในเวลานี้ก็คือ การเรียกร้องให้เกิดความสมานฉันท์ระหว่างคนในชาติ

การเรียกร้องเช่นนี้เหมือนกับว่าอยู่ๆ คนไทยก็เกิดการแตกสามัคคีขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย การดูแค่ปลายเหตุว่ามีการชุมนุมประท้วงอย่างยืดเยื้อ โดยไม่ย้อนไปดูต้นเหตุเป็นอันตราย เพราะจะทำให้เกิดการยอมรับพฤติกรรมของผู้กระทำความผิด

เหตุที่เกิดการชุมนุมขึ้น ก็เพราะมีความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ยกเลิกบางมาตราที่จะช่วยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ระหว่างที่มีการชุมนุมก็มีเหตุการณ์อีกหลายเหตุการณ์ เช่น กรณีเขาพระวิหาร กรณีการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นต้น การเรียกร้องให้สมานฉันท์จึงเป็นการมองปัญหาที่ผิดประเด็น การสมานฉันท์หมายถึง การเลิกประณาม พ.ต.ท.ทักษิณ ใช่หรือไม่ การสมานฉันท์หมายถึง การเลิกชุมนุมเพื่อกดดันมิให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญใช่หรือไม่

ผมมองไม่ออกจริงๆ ว่า กรณีการเอาผิด พ.ต.ท.ทักษิณ ทำไมจึงมีฝ่ายที่ “เป็นกลาง” ความเป็นกลางในวงวิชาการเกิดขึ้นได้อย่างไร เท่าที่ทราบมานักวิชาการบางคนไม่ชอบที่ฝ่ายพันธมิตรฯ ใช้วิธีการที่ “ขวาจัด” คือ การนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาอ้างว่า มีการหมิ่นสถาบัน แต่การหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็มิได้เป็นข้อกล่าวหาลอยๆ หากมีเว็บไซต์ มีนิตยสาร มีการพูด การกระทำของบุคคลที่หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์จริงๆ ผมเองก็เคยอยู่ในวงวิชาการ และรู้ว่าสำหรับนักวิชาการบางคนนั้น การวิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ ถือว่าความเป็นคน “หัวก้าวหน้า” นักวิชาการเหล่านี้ไม่ได้คำนึงถึงเนื้อหา แต่ต่อต้านรูปแบบการมีสถาบันพระมหากษัตริย์

มีคนหลายคนที่ใกล้ชิดสถาบันพระมหากษัตริย์ออกมาเรียกร้องให้มีความสมานฉันท์ นี่หมายความว่าจะให้พวกพันธมิตรฯ หยุดชุมนุม หยุดเรียกร้องให้มีการดำเนินการกับผู้หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์กระนั้นหรือ

ผมคิดว่าคงไม่เป็นเช่นนั้น แต่สังคมไทยเรามีความคิดว่า คนเราไม่ควรขัดแย้งกัน คนที่ไม่แสดงการเลือกข้าง มักได้รับการยอมรับ บางคนในชีวิตได้ดีมาก็เพราะเหตุนี้คือ หลีกเลี่ยงไม่แสดงจุดยืน ดังนั้น ความถูก-ผิดในสังคมไทย จึงมีแต่ความคลุมเครือมาโดยตรง กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นเป็นกรณีพิเศษคือ มีอำนาจเงินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย หลายคนที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ในเวลานี้ ก็เป็นเพราะได้รับเงินช่วยเหลือจาก พ.ต.ท.ทักษิณนั่นเอง ส่วนมากเป็นผู้ซึ่งไม่มีอาชีพที่แน่นอน ไม่มีรายได้ บางคนก็สารภาพว่าเกิดมาไม่เคยเห็นเงินมากอย่างนี้มาก่อน

ผมเห็นว่า ใครก็ตามที่ออกมาพูดเรื่องความสมานฉันท์ในวันนี้ ควรเข้าใจว่า พวกพันธมิตรฯ นั้น กำลังต่อสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งศาลก็ได้พิพากษาแล้วว่ามีความผิด และกำลังมีอีกหลายคดี คนที่ออกมาปกป้องแต่ต่อสู้แทน พ.ต.ท.ทักษิณ หรือแม้แต่นักวิชาการที่ออกมาแสดงความเห็นว่า เหตุใดทักษิณจึงเป็นที่ชื่นชอบของประชาชน น่าจะนำเอาความผิดของทักษิณมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่พวกเขาคิดว่า เป็นความดีของทักษิณด้วย

เวลานี้คนบางส่วนเห็นว่า พวกพันธมิตรฯ ผิดเพราะไปยึดทำเนียบฯ ความผิดนี้จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องการเมือง การยึดสถานที่ทำการของรัฐ หากทำด้วยสันติวิธีก็เป็นวิธีการต่อสู้ทางการเมืองแบบอหิงสาอย่างหนึ่ง

บางคนถึงกับกล้าออกมาอ้างตัวว่ารู้ดีที่สุดว่า เราควรแสดงความจงรักภักดีอย่างไร เช่น ให้อยู่บ้านเฉยๆ ไม่ต้องออกมา หากทุกคนเชื่อเช่นนี้ จะมีการดำเนินการกับผู้หมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือ ผมไม่แน่ใจว่าผู้ซึ่งอ้างว่าจงรักภักดีนั้น พร้อมที่จะออกมาแสดงตนหรือไม่ หรือยังนิยมการสงวนตัวไม่พูดให้กระทบกระเทือนใจทักษิณ

เวลานี้การหวังให้ประเทศไทยดีขึ้นอยู่กับการนำเอาคนผิดมาลงโทษอย่างจริงจัง ไม่ใช่เรียกร้องให้มีความสมานฉันท์ซึ่งหมายความว่า แต่ละฝ่ายต้องยอมลดราวาศอกให้แก่กัน การสมานฉันท์หมายถึงการให้อภัยคน 111 คนหรือเปล่า หมายถึงการเลิก “จองเวร” กับทักษิณหรือเปล่า

หากสังคมไทยเต็มไปด้วยคนที่ไม่อยากเลือกข้าง ระมัดระวังตัวกลัวจะมัวหมองเช่นนี้ อย่าหวังเลยว่าสังคมไทยจะแก้ปัญหาได้ เพราะจะมีแต่คนเอาตัวรอด

เราน่าจะสมานฉันท์กันเอาผิดนักการเมืองที่โกงกินชาติมากกว่า

ความผิดของทักษิณมีมากมายขณะนี้ ทำไมบางคนจึงนิยมชมชอบ มีคำอธิบายอย่างเดียวครับคือ เพราะอำนาจเงินนั่นเอง ไม่ใช่อะไรอื่น
ประชาธิปไตย คือการที่ฟังเสียงส่วนน้อย แต่ทำเพื่อคนส่วนใหญ่
ประชาธิปไตยต้องมีศีลธรรมเป็นรากฐาน ไม่อย่างนั้นจะเป็นประชาธิปไตยไม่ได้
เมื่อไม่มีศีลธรรมเป็นพื้นฐานแล้ว ระบบประชาธิปไตยนั่นแหละ จะเป็นระบบที่เลวร้ายที่สุด
User avatar
คนไทยคนหนึ่ง
 
Posts: 1884
Joined: Mon Oct 13, 2008 6:51 am


Return to สภากาแฟ



cron