sk-sint wrote:ใช้คำว่า"เป็นกลาง" กันผิดความหมาย ผิดที่ิผิดทาง ไม่รู้ว่าไร้ปัญญาหรือว่า แกล้งโง่ ...
เป็นกลางคืออะไร .... อยู่เฉยๆ ไม่เข้ากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งงั้นรึ ... ถ้าคิดแบบนั้น ก็สมแล้วที่โดนด่าว่า "กลางกลวง" ... เพราะมันก็ไม่ต่างอะไรกับ นกกระจอกเทศ ซุกหัวลงดิน .... ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ว่ารอบๆตัวมันวิกฤติขนาดไหนแล้ว ...
ในสงครามห้ำหั่น ... ยังมีการยกย่องให้เกียรติ ต่อศัตรู ที่รบกันอย่างซึ่งหน้า ... แม้ในภควัตคีตา ... ทั้งเการพ และปาณฑพ ก็ยังยกย่องซึ่งกันและกัน ..
แต่กับนกมีหู หนูมีปีก ... ค้างคาว กลางกลวง มีแต่จะโดนเด็ดหัวทิ้ง เมื่อเสร็จศึก ... เพราะทำตัวไม่ต่างอะไรกับ เศษมูลฝอยที่ไร้คุณค่า ลอยไปลอยมาในสระน้ำ
เป็นกลางที่ถูกต้อง ... ควรหมายถึง .... ใช้วิจารณญาณตัดสินถูกผิดอย่างไร้อคติ ... นี่จึงเป็นกลางที่ถูกต้องตามวิถี ไม่ใช่กลางกลวง ..
สำคัญที่เมื่อมีสติ มีปัญญา ที่จะตัดสินได้ว่าอะไรถูกผิด .... ที่เหลือก็อยู่ที่ มีความกล้าหาญพอที่จะยืนหยัดกับความถูกต้องอันนั้นหรือไม่ !!!
สาธุ
Shelmikedmu wrote:สงสัยเจ้าของกระทู้จะตามข่าวไม่ค่อยละเอียด
แ้ล้วเอาข้อมูลผิดๆ มาอวดชาวบ้าน
ไอเดีย 3 หยุดไม่ใช่กลุ่มสานเสวนานะครับ
แต่มันเป็นเครือข่ายสันติประชาธรรม ซึ่งกลุ่ม สนนท เป็นแกนนำจัดตั้ง
ส่วนกลุ่มสานเสวนาเพื่อสันติธรรมนั้นนำโดย ดร สุเมธ ประกาศแล้วว่า
จะไม่ไปร่วมเสวนากับใครที่ไหน เพราะไม่อยากให้มองว่าเป็นกลุ่มเลือกข้าง
Cherub Rock wrote:เอาข่าวไปบอกเค้าแล้ว
รับรองไม่ผิดตัว(ดูจากโปสเตอร์เอา )
http://ruleoflawthailand.wordpress.com/ ... p/#comment
อนาธิปไตย กับประชาธิปไตย โดยปรีดี พนมยงค์
24 ตุลาคม 2008 โดย ruleoflawthailand
“อนาธิปไตย กับประชาธิปไตย โดยปรีดี พนมยงค์”
Anarchy vs Democracy and Pridi Banomyong
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2489 กว่าครึ่งศตวรรษมาแล้ว ในขณะที่สังคมไทยกำลังค้นหาให้ได้มาซึ่งระบอบ “ประชาธิปไตย” นั้น ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งในตอนนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวปราสัยในวันปิดประชุมสภาเมื่อ วันที่ 7 พฤษภาคม ด้วยคำเตือนเรื่อง “ประชาธิปไตย” กับ “อนาธิปไตย” ไว้ดังนี้
“ระบอบประชาธิปไตยนั้น เราหมายถึงประชาธิปไตย อันมีระเบียบตามกฎหมายและศีลธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ใช่ประชาธิปไตยอันไม่มีระเบียบ หรือประชาธิปไตยที่ไร้ศีลธรรม เช่น การใช้สิทธิเสรีภาพอันมีแต่จะให้เกิดความปั่นป่วน ความไม่สงบเรียบร้อย ความเสื่อมศีลธรรม ระบอบชนิดนี้เรียกว่าอนาธิปไตย หาใช่ประชาธิปไตยไม่ ขอให้ระวัง อย่าปนประชาธิปไตยกับอนาธิปไตย”
ท่านปรีดี กล่าวต่อไปอีกว่า “ข้าพเจ้าไม่พึงประสงค์ที่จะให้มีระบอบเผด็จการในประเทศไทย ในการนี้ก็จำเป็นต้องป้องกันหรือขัดขวางมิให้มีอนาธิปไตย อันเป็นทางที่ระบอบเผด็จการจะอ้างได้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าถ้าเราช่วยกันประคองใช้ให้ระบอบประชาธิปไตยนี้ได้เป็นไปตาม ระเบียบเรียบร้อย …. ระบอบเผด็จการย่อมมีขึ้นไม่ได้”
ท่านปรีดีกล่าวอย่างน่าสนใจต่อไปอีกว่า “การใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตย ต้องทำโดยความบริสุทธิ์ใจ มุ่งหวังผลส่วนรวมจริงๆ ไม่ใช่มุ่งหวังส่วนตัว หรือมีความอิจฉาริษยากันเป็นมูลฐาน เนื่องมาจากความเห็นแก่ตัว (เอ็กโกอีสม์)”
แล้วท่านปรีดี ก็เข้าสู่ไคลแมกซ์ของคำปราศัยด้วยการกล่าวว่า “โดยมีอุดมคติซื่อสัตย์ต่อองค์พระมหากษัตริย์ ข้าพเจ้าเคารพในความซื่อสัตย์ ซึ่งมีตัวอย่างอยู่มากหลายที่ผู้ซื่อสัตย์เหล่านี้ได้ร่วมกิจการรับใช้ชาติ กับข้าพเจ้า… แต่ผู้ซึ่งแสดงว่าซื่อสัตย์ต่อองค์พระมหากษัตริย์ในภายนอก ส่วนภายในหวังผลส่วนตน หรือมูลสืบเนื่องมาแต่ความไม่พอใจเป็นส่วนตัวเช่นนี้แล้ว ก็เกรงว่าผู้นั้นก็อาจหันเหไปได้ สุดแต่ว่าตนจะได้รับประโยชน์ส่วนตนอย่างไรมากกว่า”
ท่านปรีดี จบคำปราศัยด้วยการฝากฝังไว้กับ สส. ในสภาว่า “ข้าพเจ้าหวังว่าท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหลาย คงจะใช้สิทธิของท่านด้วยความบริสุทธิ์ใจ และอาศัยกฏหมายและศีลธรรมความสุจริตเป็นหลัก ไม่ช่วยกันส่งเสริมให้มีระบอบอนาธิปไตย
ข้าพเจ้าขอฝากความคิดไว้ต่อท่านผู้แทนราษฎรทั้งหลาย โดยเป็นห่วงถึงอนาคตของชาติ ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะได้เห็นประเทศชาติปลอดจากระบอบเผด็จการ และปลอดจากระบอบอนาธิปไตย คงมีแต่ระบอบประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อมไปด้วยสามัคคีธรรม
ระบอบประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อมด้วยสามัคคีธรรมนี้เป็นวัตถุประสงค์ของคณะ ราษฎร ที่ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ และเป็นพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานรัฐ ธรรมนูญ”
ท่านปรีดีฝากฝังอะไรไว้มากมายกับ สส. ท่านปรีดีฝากไว้เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 ต่อมาอีก 2 วัน คือ วันที่ 9 พฤษภาคม ท่านปรีดี ก็ถวายรัฐธรรมนูญฉบับที่ 3 ให้ในหลวงอานันท์ รัชกาลที่ 8 ลงพระปรมาภิไธย แต่อีก 1 เดือนต่อมา คือ ในวันที่ 9 มิถุนายน ในหลวงอานันท์ ก็ต้องพระแสงปืนเสด็จสวรรคต
และแล้ววิกฤตการเมืองก็บังเกิดขึ้น ระบอบอำนาจนิยมและอนุรักษ์นิยม ดำเนินการใส่ร้ายป้ายสีว่า “ปรีดี ฆ่าในหลวง” ท่านปรีดีแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่ง และหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ก็ขึ้นเป็น นรม. แทน รัฐบาลหลวงธำรงฯ ถูกพรรคฝ่ายค้าน คือ ประชาธิปัตย์ (เจ้าเก่า) เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจหลายวันหลายคืน และเมื่อล้มรัฐบาลด้วยวิถีทางประชาธิปไตยไม่ได้ นายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคฯ ก็หันไปร่วมมือกับ “ระบอบทหาร” ที่นำโดยพลโทผิน ชุณหะวัณ ทำ “การรัฐประหาร” ยึดอำนาจเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2490
จากนั้นสยามประเทศ(ไทย) ของเรา ก็เข้าสู่ “ยุดมืดบอดทางการเมือง” กลายเป็น “ระบอบเผด็จการครึ่งใบ” อยู่ 10 ปีภายใต้ “ระบอบพิบูลสงคราม” ระหว่าง พ.ศ. 2491-2500 แล้วก็ต้องตกอยู่ภายใต้ “ระบอบเผด็จการเต็มใบ” ของ “ระบอบสฤษดิ์-ถนอม-ประภาส” อีก 15 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2501-2516 รวมแล้วกว่าจะถูกโค่นล้มไปเมื่อ “14 ตุลา” พ.ศ. 2516 ก็กินเวลาถึง 26 ปี
ท่านปรีดีของเราต้องกลายเป็น “พ่อกู นามระบือ ชื่อปรีดี แต่คนดี เมืองไทย ไม่ต้องการ” (เช่นเดียวกับ ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ฯลฯ) ท่านต้องลี้ภัยการเมือง ลี้ภัยจาก “อนาธิปไตย” และ “เผด็จการทหารและอนุรักษ์นิยม” ไปอยู่เมืองจีนถึง 21 ปี แล้วก็จะไปจบชีวิตลงที่ปารีสเมื่อปี พ.ศ. 2526
ครับ ท่านปรีดีและคำเตือนว่าด้วย “อนาธิปไตย” กับ “ประชาธิปไตย” ทำให้เราต้องคิดใคร่ครวญหนักต่อสถานการณ์ปัจจุบันของ “ระบอบ5พันธมิตร” กับกิจกรรม “ล้มรัฐบาลสมัคร” กับ “โค่นระบอบทักษิณ” เราจะแก้วิกฤตครั้งนี้ได้อย่างไร เราจะทำอย่างไรที่จะไม่ให้เกิด “อนาธิไตย” อันนำมาสู่ “ระบอบเผด็จการทหารและอนุรักษ์นิยม” หรือบานปลายไปจนเป็น “สงครามกลางเมือง” กลายเป็น “กลียุค”
หากเราสามารถจะตระหนักในคำเตือนล่วงหน้าก่อนเวลาของท่านปรีดีได้ ที่ท่านให้เรายึดมั่นใน “ประชาธิปไตย” ไม่นำไป “สับสน” หรือ “ปนเปื้อน” กับ “อนาธิปไตย” อันจะนำเราไปสู่ “ระบอบเผด็จการ” (ครึ่งใบ หรือเต็มใบ หรือ 30/70 ก็ตาม) เมื่อนั้นแหละที่บ้านเมืองของเราจะพอมีอนาคตกันบ้าง
หรือว่าทุกอย่างจะสายเกินแก้ไปแล้ว และ “พระอิศวรศิวะเทพ” ก็จะปรากฏกายเป็น “ศิวะนาฏราช” เหนือปราสาทเขาพระวิหารและปราสาทเขาพนมรุ้ง เพื่อทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างให้สิ้นซาก แล้วให้ “พระนารายณ์วิษณุเทพ” บันดาลให้ดอกบัวผุดขึ้นมาจากพระนาภี เผย “องค์ท้าวมหาพรหม” ที่จะทรงสร้างโลกใหม่ ที่มี “สิทธิ เสรีภาพ และภราดรภาพ” มีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงเสียที
บันทึกโพสใน นานาทัศนะ | 3 ความคิดเห็น
3 Responses to “อนาธิปไตย กับประชาธิปไตย โดยปรีดี พนมยงค์”
Disconnected wrote:Cherub Rock wrote:เอาข่าวไปบอกเค้าแล้ว
รับรองไม่ผิดตัว(ดูจากโปสเตอร์เอา )
http://ruleoflawthailand.wordpress.com/ ... p/#comment
บทความส่อความคิด เขียนครึ่งเดียวเหมือน บางจำพวก
เอามาให้อ่านเฉยๆ
http://ruleoflawthailand.wordpress.com/ ... democracy/อนาธิปไตย กับประชาธิปไตย โดยปรีดี พนมยงค์
24 ตุลาคม 2008 โดย ruleoflawthailand
“อนาธิปไตย กับประชาธิปไตย โดยปรีดี พนมยงค์”
Anarchy vs Democracy and Pridi Banomyong
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2489 กว่าครึ่งศตวรรษมาแล้ว ในขณะที่สังคมไทยกำลังค้นหาให้ได้มาซึ่งระบอบ “ประชาธิปไตย” นั้น ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งในตอนนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวปราสัยในวันปิดประชุมสภาเมื่อ วันที่ 7 พฤษภาคม ด้วยคำเตือนเรื่อง “ประชาธิปไตย” กับ “อนาธิปไตย” ไว้ดังนี้
“ระบอบประชาธิปไตยนั้น เราหมายถึงประชาธิปไตย อันมีระเบียบตามกฎหมายและศีลธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ใช่ประชาธิปไตยอันไม่มีระเบียบ หรือประชาธิปไตยที่ไร้ศีลธรรม เช่น การใช้สิทธิเสรีภาพอันมีแต่จะให้เกิดความปั่นป่วน ความไม่สงบเรียบร้อย ความเสื่อมศีลธรรม ระบอบชนิดนี้เรียกว่าอนาธิปไตย หาใช่ประชาธิปไตยไม่ ขอให้ระวัง อย่าปนประชาธิปไตยกับอนาธิปไตย”
ท่านปรีดี กล่าวต่อไปอีกว่า “ข้าพเจ้าไม่พึงประสงค์ที่จะให้มีระบอบเผด็จการในประเทศไทย ในการนี้ก็จำเป็นต้องป้องกันหรือขัดขวางมิให้มีอนาธิปไตย อันเป็นทางที่ระบอบเผด็จการจะอ้างได้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าถ้าเราช่วยกันประคองใช้ให้ระบอบประชาธิปไตยนี้ได้เป็นไปตาม ระเบียบเรียบร้อย …. ระบอบเผด็จการย่อมมีขึ้นไม่ได้”
ท่านปรีดีกล่าวอย่างน่าสนใจต่อไปอีกว่า “การใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตย ต้องทำโดยความบริสุทธิ์ใจ มุ่งหวังผลส่วนรวมจริงๆ ไม่ใช่มุ่งหวังส่วนตัว หรือมีความอิจฉาริษยากันเป็นมูลฐาน เนื่องมาจากความเห็นแก่ตัว (เอ็กโกอีสม์)”
แล้วท่านปรีดี ก็เข้าสู่ไคลแมกซ์ของคำปราศัยด้วยการกล่าวว่า “โดยมีอุดมคติซื่อสัตย์ต่อองค์พระมหากษัตริย์ ข้าพเจ้าเคารพในความซื่อสัตย์ ซึ่งมีตัวอย่างอยู่มากหลายที่ผู้ซื่อสัตย์เหล่านี้ได้ร่วมกิจการรับใช้ชาติ กับข้าพเจ้า… แต่ผู้ซึ่งแสดงว่าซื่อสัตย์ต่อองค์พระมหากษัตริย์ในภายนอก ส่วนภายในหวังผลส่วนตน หรือมูลสืบเนื่องมาแต่ความไม่พอใจเป็นส่วนตัวเช่นนี้แล้ว ก็เกรงว่าผู้นั้นก็อาจหันเหไปได้ สุดแต่ว่าตนจะได้รับประโยชน์ส่วนตนอย่างไรมากกว่า”
ท่านปรีดี จบคำปราศัยด้วยการฝากฝังไว้กับ สส. ในสภาว่า “ข้าพเจ้าหวังว่าท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหลาย คงจะใช้สิทธิของท่านด้วยความบริสุทธิ์ใจ และอาศัยกฏหมายและศีลธรรมความสุจริตเป็นหลัก ไม่ช่วยกันส่งเสริมให้มีระบอบอนาธิปไตย
ข้าพเจ้าขอฝากความคิดไว้ต่อท่านผู้แทนราษฎรทั้งหลาย โดยเป็นห่วงถึงอนาคตของชาติ ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะได้เห็นประเทศชาติปลอดจากระบอบเผด็จการ และปลอดจากระบอบอนาธิปไตย คงมีแต่ระบอบประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อมไปด้วยสามัคคีธรรม
ระบอบประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อมด้วยสามัคคีธรรมนี้เป็นวัตถุประสงค์ของคณะ ราษฎร ที่ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ และเป็นพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานรัฐ ธรรมนูญ”
ท่านปรีดีฝากฝังอะไรไว้มากมายกับ สส. ท่านปรีดีฝากไว้เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 ต่อมาอีก 2 วัน คือ วันที่ 9 พฤษภาคม ท่านปรีดี ก็ถวายรัฐธรรมนูญฉบับที่ 3 ให้ในหลวงอานันท์ รัชกาลที่ 8 ลงพระปรมาภิไธย แต่อีก 1 เดือนต่อมา คือ ในวันที่ 9 มิถุนายน ในหลวงอานันท์ ก็ต้องพระแสงปืนเสด็จสวรรคต
และแล้ววิกฤตการเมืองก็บังเกิดขึ้น ระบอบอำนาจนิยมและอนุรักษ์นิยม ดำเนินการใส่ร้ายป้ายสีว่า “ปรีดี ฆ่าในหลวง” ท่านปรีดีแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่ง และหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ก็ขึ้นเป็น นรม. แทน รัฐบาลหลวงธำรงฯ ถูกพรรคฝ่ายค้าน คือ ประชาธิปัตย์ (เจ้าเก่า) เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจหลายวันหลายคืน และเมื่อล้มรัฐบาลด้วยวิถีทางประชาธิปไตยไม่ได้ นายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคฯ ก็หันไปร่วมมือกับ “ระบอบทหาร” ที่นำโดยพลโทผิน ชุณหะวัณ ทำ “การรัฐประหาร” ยึดอำนาจเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2490
จากนั้นสยามประเทศ(ไทย) ของเรา ก็เข้าสู่ “ยุดมืดบอดทางการเมือง” กลายเป็น “ระบอบเผด็จการครึ่งใบ” อยู่ 10 ปีภายใต้ “ระบอบพิบูลสงคราม” ระหว่าง พ.ศ. 2491-2500 แล้วก็ต้องตกอยู่ภายใต้ “ระบอบเผด็จการเต็มใบ” ของ “ระบอบสฤษดิ์-ถนอม-ประภาส” อีก 15 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2501-2516 รวมแล้วกว่าจะถูกโค่นล้มไปเมื่อ “14 ตุลา” พ.ศ. 2516 ก็กินเวลาถึง 26 ปี
ท่านปรีดีของเราต้องกลายเป็น “พ่อกู นามระบือ ชื่อปรีดี แต่คนดี เมืองไทย ไม่ต้องการ” (เช่นเดียวกับ ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ฯลฯ) ท่านต้องลี้ภัยการเมือง ลี้ภัยจาก “อนาธิปไตย” และ “เผด็จการทหารและอนุรักษ์นิยม” ไปอยู่เมืองจีนถึง 21 ปี แล้วก็จะไปจบชีวิตลงที่ปารีสเมื่อปี พ.ศ. 2526
ครับ ท่านปรีดีและคำเตือนว่าด้วย “อนาธิปไตย” กับ “ประชาธิปไตย” ทำให้เราต้องคิดใคร่ครวญหนักต่อสถานการณ์ปัจจุบันของ “ระบอบ5พันธมิตร” กับกิจกรรม “ล้มรัฐบาลสมัคร” กับ “โค่นระบอบทักษิณ” เราจะแก้วิกฤตครั้งนี้ได้อย่างไร เราจะทำอย่างไรที่จะไม่ให้เกิด “อนาธิไตย” อันนำมาสู่ “ระบอบเผด็จการทหารและอนุรักษ์นิยม” หรือบานปลายไปจนเป็น “สงครามกลางเมือง” กลายเป็น “กลียุค”
หากเราสามารถจะตระหนักในคำเตือนล่วงหน้าก่อนเวลาของท่านปรีดีได้ ที่ท่านให้เรายึดมั่นใน “ประชาธิปไตย” ไม่นำไป “สับสน” หรือ “ปนเปื้อน” กับ “อนาธิปไตย” อันจะนำเราไปสู่ “ระบอบเผด็จการ” (ครึ่งใบ หรือเต็มใบ หรือ 30/70 ก็ตาม) เมื่อนั้นแหละที่บ้านเมืองของเราจะพอมีอนาคตกันบ้าง
หรือว่าทุกอย่างจะสายเกินแก้ไปแล้ว และ “พระอิศวรศิวะเทพ” ก็จะปรากฏกายเป็น “ศิวะนาฏราช” เหนือปราสาทเขาพระวิหารและปราสาทเขาพนมรุ้ง เพื่อทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างให้สิ้นซาก แล้วให้ “พระนารายณ์วิษณุเทพ” บันดาลให้ดอกบัวผุดขึ้นมาจากพระนาภี เผย “องค์ท้าวมหาพรหม” ที่จะทรงสร้างโลกใหม่ ที่มี “สิทธิ เสรีภาพ และภราดรภาพ” มีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงเสียที
บันทึกโพสใน นานาทัศนะ | 3 ความคิดเห็น
3 Responses to “อนาธิปไตย กับประชาธิปไตย โดยปรีดี พนมยงค์”