มีอยู่ 2 รายงานข่าวครับ ข่าวแรกจากมติชนเน้น 9 ชั่วโมงที่ถูกปิดล้อมอยู่ในรัฐสภา
อีกข่าวจากประชาชาติฯ เน้นพฤติกรรมรัฐมนตรีที่ปีนรั้วหนีไปทางพระที่นั่งวิมานเมฆ
------------------------------------------------------------------------------------
9 ชม.แหกรั้วสภา!! ส.ส. หนีตายจากค่าย"กักกัน"
โดย ชฎา ไอยคุปต์
วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2551 เวลา 12:00:19 น. มติชนออนไลน์
http://www.matichon.co.th/news_detail.p ... 4&catid=01
ว่าด้วยเรื่องความพยายามแหก... ของเหล่าส.ส.กลุ่มหนึ่ง
ความทุลักทุเลของบรรดาส.ส.ที่ต้องใช้คำว่า "หนีตาย" ออกจากรัฐสภาเมื่อเจอแผน"ปิดประตูตีแมว" ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ภายหลังจากใช้แก๊สน้ำตาทะลวงเปิดช่องเพื่อเข้าไปแถลงนโยบาย จนกลายเป็นเหตุการณ์"นองเลือด 7 ตุลาคม"
ท่ามกลางเสียงวิพาษ์วิจารณ์ของนักวิชาการและส.ส.ฝ่ายค้านที่ไม่เห็นด้วยและให้ยกเลิกการประชุมสภา"เลือด" แต่ "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" นายกรัฐมนตรี ไม่ได้สนใจกระแสรอบด้านและฝูงชนที่บีบเข้ามายึดสภาอีกครั้งหลังจากที่ตำรวจเข้าสลายเปิดทางให้ส.ส.และส.ว.เข้าประชุมฟังรัฐบาลแถลงนโยบาย เวลาประมาณ 11 โมงเช้า
ระหว่างที่นายกฯเร่งสปีดอ่านนโยบายพร้อมกระดกน้ำดื่มเพราะน้ำลายแห้งไหลไม่ทันกับการอ่านฉบับไฟแล่บ ทำให้คอแหบคอแห้ง อ่านข้ามไปหลายย่อหน้า จากแรงสนับสนุนของประธานสภา "ชัย ชิดชอบ" รับหน้าที่ให้การแถลงนโยบายเสร็จสิ้นสมบูรณ์ด้วยการหาองค์ประชุมให้ครบ และต้องล้มไปในรอบแรกเพื่อดึงเวลาออกไปก่อนที่จะเริ่มใหม่ในอีก 10 นาทีต่อมาพร้อมจำนวนส.ส.เกิน 311 คน
ก่อนที่คำแถลงนโยบายสุดท้ายจบลงรัฐสภาก็ถูกกลุ่มพันธมิตรฯล็อคกุญแจ 3 ชั้น ล่ามโซ่ประตูรัฐสภาทุกด้าน กองทัพมนุษย์สกัดกั้นทุกประตูเข้าออก ราวกับว่าเป็นค่ายกักกันนักโทษ "นาซี"
ค่ายกักกันแห่งนี้ไม่ใช่นักโทษแต่เป็น บรรดา ส.ส.- ส.ว.เจ้าหน้าที่รัฐสภารวมถึงผู้สื่อข่าวที่เข้ามาทำข่าวติดอยู่ภายในรัฐสภาเพื่อฟังแถลงนโยบายของรัฐบาล อยู่ในวงล้อมผู้ชุมนุม
ท่ามกลางความหิวโหยอดยากไม่มีไฟฟ้า ปริมาณไฟสำรองที่มีอยู่จำกัดใช้ได้ 7 ชั่วโมงก็เริ่มหมดลงเรื่อยๆ อากาศในห้องประชุมเริ่มลดลงกลายเป็นเตาอบแทน
แรกๆก็ดูไม่มีใครกังวลสักเท่าไรออกมายืนดูเหตุการณ์
"อภิวันท์ วิริยะชัย" รองประธานสภา ยืนดูเหตุการณ์ที่ชั้นลอยรัฐสภา แอบตลกว่า "จะออกตีหนึ่ง" พร้อมออกมาดูปริมาณคนล้อมเป็นระยะ ซักพักก็บอกว่า "ขอเข้าไปคุยกะ มท.1 ต่อละกัน"
ส่วนนักข่าวก็ทำงานกันมืดๆในห้อง ข้าราชการสภาก็ออกมานั่งกันข้างนอกตึก นั่งกะพื้นตึก ทุกคนต่างหามุมเหมาะๆนั่งจับกลุ่มคุยกันแก้เหงา
ส่วนผู้ที่ต้องรับศึกหนักกับคำถามซ้ำๆ "จะออกทางไหน" คือ "พิทูร พุ่มหิรัญ" เลขาสภาฯ ทำหน้าที่คล้ายๆฝ่ายธุรการ ทุกเรื่องของสภา ตอบว่า "ทางออกนะมีแต่ต้องปีนกันหน่อยนะ" (ฮา)
บรรยากาศเริ่มเหมือนค่ายกักกันนาซีทุกขณะ
ส.ส. -ส.ว. ต่างพากันออกมาภายนอกอาคารเพื่อคลายความอึดอัดและความร้อนที่ระอุทั้งภายในจิตใจและภายนอกร่างกาย เหงื่อตก เริ่มถอดสูทปลดเน็คไท พากันนั่งมองปลาคราฟในบ่อคลายกังวล พร้อมกับถอนหายใจเป็นระยะ ขนาด "บรรหาร ศิลปอาชา" หัวหน้าพรรคชาติไทยที่มีผู้ติดตามคอยนั่งพัดให้เย็นลง ยังออกปากบ่น"หายใจไม่ออก"
เมื่อนั่งทนร้อนกันพักใหญ่ก็ทนไม่ไหว บรรดารัฐมนตรี ก็สั่งพลขับสตาร์ทรถจอดอยู่กับที่เข้าไปนั่งรับแอร์เย็นฉ่ำ รอให้คนมาช่วย!
"ปู่ชัย" ไปนั่งตากแอร์รถสปอร์ตใครก็ไม่รู้
ระหว่างนั้นเอง นายสมชาย ผู้ที่พันธมิตรอยากให้ติดอยู่ภายในมากที่สุด กลับควงลูกสาวปีนรั้วออกไปนั่งเฮลิคอปเตอร์ของตำรวจ เหินฟ้าไปที่กองบัญชาการกองทัพไทยเพื่อร่วมประชุมกับผู้บัญชาการเหล่าทัพประเมินสถานการณ์เหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้น
ผู้ที่ดูไม่ทกข์ร้อน เห็นจะเป็น เสธ.หนั่น(สนั่น ขจรประศาสน์) บอกว่า "ไม่ซีเรียส ออกยังไม่ได้ไม่เป็นไร" แต่ก็ต้องทำท่างุนงงเมื่อนักข่าวถามว่านายกฯไปแล้วหรอค่ะ "เสธ.หนั่น" ก็ตอบว่า "ไปแล้วหรอ"
"ไปแล้วสิท่านจะมาอยู่ทำไม"
งานนี้นายกฯบินเดี่ยว ปล่อยให้บรรดาลูกพรรคและพรรคร่วมติดแหง็กอยู่ในอาคารรัฐสภา ท่ามกลางความอดอยาก แย่งกันกินแย่งกันใช้ รุมซื้อของใน "สภามินิมาร์ท" น้ำดื่มเกลี้ยงตู้ น้ำเปล่าขายหมดก่อน น้ำอัดลม น้ำนมก็ทยอยหมดลงที่ละอย่างสองอย่าง แบบว่าไม่เย็นด้วย เพราะไม่มีไฟฟ้า
ส่วนของกินที่ขายดีที่สุดก็คือ "มาม่า" แต่ไม่มีน้ำร้อนต้มก็เลยต้องกินมาม่าแห้งกันแทน ส่วน"ไอติม"ก็ขายดีไม่แพ้กัน โรงอาหารเปิดแค่สองร้านก็รุมกันซื้อกินจนเกลี้ยงไม่เคยปรากฏมาก่อน
เมื่อเวลาผ่านไปกว่า 4-5 ชั่วโมงแกนนำพันธมิตรเริ่มเห็นใจเจ้าหน้าที่สภาบอกว่าจะปล่อยออกไปก่อน แต่ก็เกรงว่าจะส.ส.จะแฝงตัวออกมาด้วย จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตั้งแถวเรียงหนึ่ง และให้แขวนบัตรประจำตัวเพื่อตรวจสอบบัตรกับตัวจริงตรงกันหรือไม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่สภาก็ว่าง่ายยอมทำทุกอย่างเพื่อแลกกับอิสรภาพ ตั้งแถวยาวเหยียดรอออกจากค่ายกักกัน
แต่แล้วแกนนำคนที่จะเปิดให้ออกไปก็ประกาศว่า "เสียใจด้วยกุญแจประตูอยู่ที่ตำรวจ" แล้วกัน
ระหว่างนั้นเองส.ส.เริ่มอึดอัด เดินไปขอให้กลุ่มพันธมิตรเปิดทางออกเริ่มด้วยนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รมว.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่บ่นตลอดเวลาว่า "ร้อนมาก" เห็นว่าพันธมิตรยอมให้นางรสนา โตสิตระกูล ส.ว.สรรหา ปีนรั้วออกไปได้ ก็เข้าไปขอบ้างแทนที่จะได้ออกไปกลับถูกน้ำสาดกลับมา แล้วยิ่งไปกว่านั้นนายสมศักดิ์หลบทันคนที่รับเต็มก็คือนักข่าวที่ตามติดมาทำข่าว
อยู่ดีไม่ว่าดีโผล่ไปให้กลุ่มพันธมิตรเห็นตัวเป็นๆ ความเครียดแค้นแทนเพื่อนที่ได้รับบาดเจ็บถึงขึ้นเลือดตกยางออกทำให้ผู้ชุมนุมเริ่มเคลื่อนไหวอีกรอบโดยการระดมยิงลูกเหล็ก ลูกแก้วเข้ามาในรัฐสภา แบบไม่ทันตั้งตัว
ทั้งนักข่าวและส.ส.ต่างพากันล้มลุกคลุกคลานคอยหลบกระสุนจากหนังสติ๊กที่ระดมยิงเข้ามา "ป๊อกแป็กๆ"เป็นระยะๆ "ปู่ชัย" เริ่มไม่ไหว หอบสังขารปีนรั้วสูงถึง 2 เมตรกว่าๆ เพื่อข้ามไปยังพระที่นั่งวิมานเมฆก่อนจะหลบม็อบออกไปได้สำเร็จ และมีเจ้าหน้าอีกหลายคนที่ปีนไปช่องเดียวกัน ซึ่งเจ้าหน้าที่หญิงส่วนใหญาจะนุ่งกระโปรงทำให้ลำบากในการปีนบางคนปีนข้ามไปสำเร็จแต่กลับทิ้งกระโปรงเอวยางยืดห้อยต่องแต่งอยู่บนรั้ว เจ้าหน้าที่ชายต้องถอดเสื้อสูทให้คลุมชั่วคราวก่อนปลดกระโปรงลงมา
ขณะที่ด้านหน้าทุกคนเริ่มเคลื่อนเข้ามาหลบในอาคารอีกครั้ง ต้องพบกับปัญหาอีกอย่างเมื่อชักโครกกดไม่ลง เมื่อไฟดับก็พลอยทำให้น้ำไหลช้าไปด้วย "ถึงก่อนมีสิทธิก่อน" ฝาชักโครกห้องไหนปิดลงเป็นอันรู้กันว่ากดไม่ค่อยลงไม่พร้อมให้บริการ ขนาด ดร.มั่น พัธโนทัย รมว.ไอซีที ยังถือกระโถนลายเบญจรงค์เดินลงจากรถพร้อมขวดน้ำดื่มมาเทเขย่าๆก่อนกลับขึ้นรถ เดาอาการไม่ถูกว่าอะไร
ระหว่างนั้นเองเสียงตูมตาม ! ก็เริ่มดังขึ้นต่อเนื่องเป็นระยะๆ มีทั้งเสียงปืน เสียงระเบิด ท่ามกลางวงล้อมคนข้างในไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ราวกับว่าเกิด "สงคราม" สักพักมีกลุ่มควันพวยพุ่งหลังเสียงระเบิดตูมใหญ่ เพราะรถจิ๊ปที่จอดหน้าพรรคชาติไทยเกิดระเบิดเสียงดังสนั่นจนทำให้หัวหน้าการ์ดพันธมิตรที่อยู่บริเวณนั้นเสียชีวิต ความหวังเริ่มปรากฏขึ้น เมื่อตำรวจขับไล่ม็อบที่ปิดล้อมประตูฝั่งถนนราชวิถีกระเจิง
เจ้าหน้าที่ตำรวจระดมยิงแก๊สน้ำตาเปิดทางออกอีกครั้งหลังจากที่เปิดทางเข้ามาแล้วรอบหนึ่ง เป็นการส่งสัญญาณดีว่าคนที่ถูกกักกันอยู่ภายในกำลังจะเป็นอิสระ
ขบวนรถของ รมต.- ส.ส.- ส.ว.เริ่มตั้งแถวจ่อที่ประตูฝั่งสามแยกพิชัย ถ.ราชวิถี เตรียมเคลื่อนเร็ว แต่ก็ต้องรอนานเกือบ 2 ชั่วโมงกว่าประตูจะเปิดออก ขบวนรถต่างพากันพุ่งออกจากประตูชนิดที่ไม่แตะเบรกเลี้ยวซ้ายและตรงไปขณะที่ฝั่งขวากลุ่มพันธมิตรกำลังขับเขี้ยวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ร่นถอยออกไป
ทางด้าน"นักรบศรีวิชัย" ก็พยายามจะตีค่ายกลับบุกอย่างบ้าระห่ำไม่เกรงกลัวราวกับศึกบางระจัน
เจ้าหน้าที่และกลุ่มนักข่าวพากันวิ่งกระเจิงออกมาจากประตูโดยเร็ว เพื่อขึ้นรถบัสที่จอดรอรับอยู่แล้ว ท่ามกลางกลุ่มควันของแก๊สน้ำตา ขึ้นมานั่งน้ำตาไหลพรากในรถบัสหลังจากที่ได้รับอิสรภาพอีกครั้ง
นักข่าวบางคนก็วิ่งกระเจิงไปถึงหน้ารพ.วชิระ เพื่อไปขึ้นรถเมล์สาย 9 ก็เจอ ส.ส.พปช.หลายคนที่ลงทุนเปลี่ยนเสื้อผ้าสลัดคราบ ส.ส.ทิ้ง กลัวกลุ่มผู้ชุมนุมจำได้ ทิ้งรถยนต์ส่วนตัวไว้ในสภาขึ้นใช้บริการรถเมล์แทน
ระหว่างที่กลุ่มแรกถูกปล่อยตัวออกมาได้นั้นกลุ่มพันธมิตรก็ตีค่ายกลับได้อีกครั้งโดยกลุ่มนักรบศรีวิชัย เคลื่อนขบวนมาปิดประตูยึดพื้นที่ได้อีกครั้ง ทำให้ ส.ส.-ส.ว.ที่ช้า ยังไม่กล้าออกมาหรืออาจจะเพราะว่าขบวนรถอยู่ท้ายแถวออกไม่ทันต้องเข้าไปหลบพักตั้งหลักกันอีกครั้ง
เมื่อประเมินสถานการณ์ดูแล้วก็พากันลงความเห็นว่าคงไม่มีอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยเปิดทางให้อีกเป็นรอบที่ 3
นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการพร้อม ส.ส.อีกจำนวนหนึ่งตัดสินใจพากันปีนรั้วออกพร้อมกับกลุ่มนักข่าวและแม่ค้ารวมถึงเจ้าหน้าที่ชุดสุดท้ายที่หนีออกมาพร้อมกับกระแสไฟฟ้าเฮือกสุดท้ายดับลงลาไปพร้อมกับแสงสุดท้ายของวัน