พฤติกรรมเช่นนี้ สมควรหรือรวบรวมให้เท่าที่ความสามารถจะทำได้
๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๘ทักษิณ พูดในงาน นายกฯพบแท็กซี่ ที่ อินดอร์สเตเดียมหัวหมาก
“…บางช่วงนี่นะ ให้คนนั่งแท็กซี่ บอกว่าเนี่ยผมกำลังเหลิงจะเป็นประธานาธิบดี ปัดโธ่!
เป็นแค่นี้เหนื่อยจะตายห่าอยู่แล้ว ทุกวันนี้อยู่ด้วยจิตรับผิดชอบ แล้วเอะอะอะไรก็
แหม! หาว่าผมไม่จงรักภักดี ปัดโธ่! ถ้านายกฯ ไม่จงรักภักดี แล้วผีที่ไหนจะจงรักภักดี”
๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ ทักษิณพูดผ่านรายการวิทยุ “นายกฯ คุยกับประชาชน” โดยกล่าวว่า ผู้ที่จะให้ตนลาออก
ได้มีเพียงผู้เดียว
“...ถ้าพระเจ้าอยู่หัวกระซิบผม รับสั่งคำเดียว ทักษิณออกเถอะ รับรอง
กราบพระบาทออกแน่นอน..."
๒๙ มิถุนายน ๒๕๔๙หลังจากอัยการมีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคไทยรักไทย และอีก 4 พรรค
ในวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๔๙ เพียง ๒ วันให้หลัง (๒๙ มิถุนายน) พ.ต.ท.ทักษิณก็พูด
ถึงผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญต่อที่ประชุมหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ ทันที
“ ...ความวุ่นวายมันเกิดจากหลายอย่าง อย่างหนึ่งเนี่ย เมื่อใด เป็นทฤษฎีบริหารเลยนะ
เมื่อใดองค์กรตามปกติถูกองค์กรที่นอกระบบครอบงำหรือมีอิทธิพลมากกว่าองค์กรปกตินั้น
วุ่นวาย หรือถ้าจะแปลเป็นไทยชัดๆ ก็คือ วันนี้องค์กรนอกรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ในรัฐธรรมนูญ
คือบุคคลซึ่งดูเหมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญเข้ามาวุ่นวายองค์กรที่มีในระบบรัฐธรรมนูญ
มากไป...”
๑๘ มีนาคม ๒๕๕๐นายโชติศักดิ์ แกนนำของเครือข่าย 19 กันยาต้านรัฐประหาร เคลื่อนไหวให้มีการชุมนุม
หน้าบ้านพลเอกเปรม กล่าวหาว่าให้การสนับสนุนการรัฐประหาร
ช่วงเดือน มิถุนายน ๒๕๕๐ เกิดการรวมตัวของแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ที่ใช้ยุทธศาสตร์โจมตี
ว่าประธานองคมนตรี เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙
ช่วงเดือน กรกฎาคม ๒๕๕๐มวลชน นปก เดินทางไปขับไล่พลเอกเปรม ออกจากตำแหน่งประธานองคมนตรี
๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๐จักรภพ แกนนำ น-ป-ก บรรยายต่อชมรมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ในหัวข้อ
“ประชาธิปไตยกับระบบอุปถัมภ์ของไทย” เนื้อหาล่อแหลมต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ส่งผลให้ถูกดำเนินคดีอาญามาตรา 112ว่าด้วยเรื่อง “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”
๒๐ กันยายน ๒๕๕๐นายโชติศักดิ์ อ่อนสูง อายุ 27 ปี แกนนำเครือข่าย ๑๙ กันยาต้านรัฐประหาร กับพวก
ถูก นายนวมินทร์ วิทยากุล อายุ 40 ปี เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน
ให้ดำเนินคดีฐานไม่ยืนตรงแสดงความเคารพในโรงภาพยนตร์ ระหว่างเพลงสรรเสริญ
พระบารมี
ในเวลาต่อมา ร.ต.ท.โสเพชร พนง เจ้าของคดี ได้เรียกตัวมารับทราบข้อหา
หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ระหว่างที่ นายโชติศักดิ์ เดินทางไปรับทราบข้อหานั้น ได้ถือ
ป้ายและสวมเสื้อสกรีนข้อความ ไม่ยืน ไม่ใช่อาชญากร คิดต่าง ไม่ใช่อาชญากรรม
๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๐จักรภพ ปาฐกถาให้คนไทยในอเมริกา เนื้อหาพาดพิงพระบรมราชวงศ์ ลักษณะว่า
ทำกรรมหนัก หรืออนัตริยกรรม โดยการทำให้พระสงฆ์แตกแยกกัน
๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๐เจ้าพนักงานตำรวจประจำสถานีตำรวจภูธร เมืองนนทบุรี ภายใต้การอำนวยการสั่งการ
ของพล.ต.ต.ปริญญา ได้เข้าจับกุมตัวนายชาญวิทย์ พร้อมของกลางเป็นเอกสารขนาด
A4 มีข้อความ หมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือ แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์
พระราชินีและรัชทายาท
ขณะที่กำลังแจกจ่ายเอกสารดังกล่าวระหว่างการปราศรัยของกลุ่มอดีตคณะผู้บริหาร
ท-ร-ท ที่ถูกตัดสิทธ์ทางการเมือง ริมเขื่อนท่าเรือนนทบุรีโดยนายชาญวิทย์ เป็นแกนนำ
ของกลุ่มกรรมกรปฏิรูปที่นำกรรมกรให้เข้าร่วมการชุมนุมของกุล่ม 19 กันยาต้านรัฐประ
หารและ นปก มาอย่างต่อเนื่อง
เป็นแกนนำปฏิบัติงานที่ได้นำเอาสมุดปกม่วง ของกลุ่มวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ โจมตี
พลเอกเปรม ออกไปเผยแพร่ตามงานสัมมนาในต่างจังหวัด หลายจังหวัดด้วยกัน เป็นที่
รู้จักกันดีในกลุ่มผู้ชุมนุมท้องสนามหลวง ซึ่งคดีนี้ ศาลนนทบุรี มีการนัดสืบเตรียมพร้อม
บัญชีพยาน เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๑ และนัดสืบพยานครั้งต่อไปในปี ๒๕๕๒
๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๑นายชูชีพ ปธ.ชมรมพิทักษ์รธน. ขึ้นเวทีปราศรัยของ น-ป-ช จนถูกตำรวจออกหมายจับ
ในข้อหา หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และตำรวจยังได้ตั้งทีมสืบสวนการจัดรายการของนาย
ชูชีพรวมทั้งข้อความที่นำไปแพร่ในอินเตอร์เน็ต ซึ่งนายชูชีพอยู่ระหว่างการหลบหนีไป
ต่างประเทศ
๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๑ดารณี หรือ “ดา ตอร์ปิโด” ปราศรัยบนเวทีของกลุ่ม น-ป-ช เนื้อหาที่ปราศรัยเข้าข่าย
“หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” จนถูกจับกุมและถูกศาลตัดสินจำคุก
๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๑นางบุญยืน เข้ามอบตัวต่อตำรวจหลังถูกออกหมายจับ กรณีกล่าวปราศรัยบนเวทีการ
ชุมนุมกลุ่ม น-ป-ก โดยมีเนื้อหาจาบจ้วงเบื้องสูง ศาลตัดสินจำคุก ๑๒ ปี จำเลยสารภาพ
ลดโทษครึ่งหนึ่งจำคุก ๖ ปี คดีถึงที่สุด
๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๑ศาลอนุมัติหมายจับที่ จ.๒๔๒๘/๒๕๕๑ ต่อนายวีระ เนื่องจากวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๐
ได้ขึ้นปราศรัยบนเวทีเสื้อแดงมีเนื้อหาหมิ่นเบื้องสูง ตามหลักฐานของ สน.ชนะสงคราม
๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๑ นายวราวุธ หรือสุชาติ นาคบางไซ แกนนำกลุ่มวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ ขึ้นปราศรัยใน
การชุมนุมรำลึกเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ที่ท้องสนามหลวง จัดโดย น-ป-ช ซึ่งต่อมาตำรวจ
ออกหมายจับ เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๑ นายสุชาติหลบหนีการจับกุมเดินทางออก
นอกประเทศ
๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๑นายเพชรวรรต แกนนำกลุ่มคนรักเชียงใหม่ ปราศรัยถึงการเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มนปช.
ที่สนามหลวง และมีการปราศรัยที่หมิ่นเหม่ เรื่องสถาบันกษัตริย์
“คนเชียงใหม่นับถือแค่กษัตริย์ ๓ องค์เท่านั้น ก็คือ อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ซึ่งประดิษ
ฐานอยู่หน้าศาลากลางหลังเก่า (พญาเม็งราย พญางำเมือง และ พ่อขุนรามคำแหง)
ไปกรุงเทพฯ ก็ไปสักการะเฉพาะศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเท่านั้น”
ซึ่งคำปราศรัยกล่าวถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์และควรสักการะ มุ่งตอกย้ำว่า เราเคารพ ๓ กษัตริย์
ของเราถ้าไปที่อื่นก็จะไปเคารพเฉพาะศาลหลักเมืองเท่านั้น โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า
“...ส่วนอย่างอื่นอยู่ในอุ้งตีนคนเชียงใหม่หมด...”
๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ทักษิณโฟนอินข้ามประเทศ กล่าวว่า ไม่มีใครสามารถนำตนกลับประเทศได้นอกจาก
พระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพลังของประชาชน
"ไม่มีใครที่จะเอาผมกลับประเทศไทยได้หรอก นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา
หรือไม่ก็พลังของพี่น้องประชาชนทุกท่าน จริงไหมครับ"
๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๑สภาทนายความออกแถลงการณ์ ชี้เนื้อหาโฟนอิน ก้าวล่วงสถาบัน-ศาล ระบุทักษิณ
โฟนอินความจริงวันนี้สัญจร เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ เข้าข่ายดูหมิ่นศาล และ
ก้าวล่วงสถาบัน เชื่อมีการวางแผน ตั้งคำถามล่วงหน้า กระทบกระบวนยุติธรรม หวังลด
ความน่าเชื่อถือคำพิพากษาศาลฎีกา
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ ๒๔ พ.ย.นี้ เว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์อาระเบียน บิวสิเนส
(
http://www.arabianbusiness.com/) ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ ที่ตีพิมพ์
ที่เมืองดูไบ ได้รายงานบทสัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ได้ให้สัมภาษณ์นายไดแลน
ผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์อาระเบียน บิวสิเนส เมื่อ ๒๓ พฤศจิกายน ว่า กลับเมืองไทยจะ
มาเล่นการเมือง
“ถ้าผมได้เข้ามาบริหารประเทศ จะนำความมั่นใจกลับสู่ประเทศไทยได้ นี่คือเหตุผลที่ว่า
ทำไมผมต้องกลับไปเล่นการเมือง เราจะต้องหากลไกที่จะทำให้ผมกลับได้ อย่างไรก็ตาม
การจะกลับประเทศได้ ก็ต่อเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่ามีความจำเป็นและ
ประชาชนต้องการ ผมคิดว่าปัจจัยสำคัญขึ้นอยู่กับประชาชน ถ้าพวกเขารู้สึกว่าลำบากมาก
และเรียกร้องให้ผมกลับผมจะกลับ ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรู้สึกว่าผมมีประโยชน์
ผมก็จะกลับไป และพระองค์อาจจะทรงอภัยโทษให้ผม แต่ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงเห็นว่าผมช่วยอะไรไม่ได้ และประชาชนไม่ต้องการผม ผมจะอยู่ที่นี่และทำธุรกิจต่อไป”
๑๑ มกราคม ๒๕๕๒สตช. ออกหมายเรียก ใจ อึ๊งภากรณ์ ..........หลังจากนั้นหลบหนีออกจากประเทศ
ทิ้งแลถลงการณ์แดงสยามไว้ให้ดูต่างหน้า
๑๘ มกราคม ๒๕๕๒พล.อ.ชัยสิทธิ์เดินทางร่วมพิธีแก้กรรมสืบชะตาให้ทักษิณที่ จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๑๗
โดยตอนหนึ่งของการให้สัมภาษณ์ กล่าวว่า
“..เราตั้งใจด้วยความบริสุทธิ์ใจ หากไปมองอย่างอื่นช่วยไม่ได้ อยากให้เขียนชื่อผม
ไปด้วยก็ได้ ไม่มีปัญหา เพราะจะได้ไม่มีเวรมีกรรมกับใคร ทั้งนี้ อยากฝากนักการเมือง
อย่าเล่นการเมืองให้มากเกินไป เพราะจะไม่จบ อยากให้ดำเนินการตามธรรมชาติ
เอาของจริงมาพูด ผมยังไม่ทราบว่าทักษิณอยู่ไหน และไม่มีการพูดคุยกัน แต่คิดว่าทักษิณ
คงปลงแล้ว และการที่ผมเข้าร่วมกิจกรรมถือว่าดีเสียอีก เพราะเขาลดทิฐิไปเยอะ โดยเฉพาะ
เกี่ยวกับสถาบัน ผมบอกว่าไม่ได้นะ เราเป็นคนไทยต้องรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทุกอย่างอย่า
ไปแตะต้องให้ระคายเคือง ลูกผู้ชายตัวจริงว่ากันซึ่งหน้า ไม่มีลับ"
๒๗ มีนาคม ๒๕๕๒เนื้อหาบางส่วนของการโฟนอิน
"วันนี้สิ่งสำคัญการที่องคมนตรีเข้ามาเกี่ยวข้องในการเมืองเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
เพราะทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงเกี่ยวข้องการเมืองได้อย่างไร
พระเจ้าอยู่หัวท่านสถิตอยู่ที่สูง ท่านเป็นที่รักของพสกนิกร แต่คนอยู่รอบพระองค์ท่าน
เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองทำให้พระองค์ท่านทรงเสีย..."
ขออนุญาติยุติตัวอย่างข้อความ คำกล่าวในลักษณะเช่นนี้เพียงเท่านี้ เนื่องจากเนื้อหา
ของคำกล่าวไม่น่าจดจำ และไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นคำกล่าวของคนไทยกลุ่มหนึ่ง...