ไม่ใช่ฉวยโอกาส ใช้มือหนึ่งคว้าขา อีกมือชี้บอกชาวบ้านว่า "ดูเด็กสองคนนี่ซิ" เป็นดังที่คนหน้าเหลี่ยมบอกไม่มีผิด
ขอประทานโทษ เด็กๆเขาจะว่าได้ว่า อ๋อ..ที่แท้สตอเบอร์รี่ตัวพ่อตัวแม่ มันอยู่ในสภาฯนี่เอง



คนเล็กของเล่นใหญ่ wrote:สมเป็นกระบี่มือหนึ่งของเสรีไทยจริงๆ
ผมว่าคุณจีคงมีชื่อจริงว่าเสนีย์ แหงแซะ
...
ว่าแต่ ทำไมมีแต่งบคมนาคมล่ะครับ ผมอยากเห็นงบพัฒนาของกระทรวงศึกษา(โครงการพัฒนาคนของประเทศ) กระทรวงเกษตร(โครงการพัฒนาการเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิตของการเกษตร รวมถึงการแก้ปัญหาของเกษตรกร เช่นปัญหาแหล่งน้ำ โรคระบาด ) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (โครงการพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวแบบยั่งยืนและอนุรักษ์ไม่ใช่พัฒนาแบบทำลายสถานที่ และโครงการพัฒนาบุคลากรด้านกีฬา การส่งเสริมให้ยกระดับการกีฬา ก้าวไปสู่ระดับโลก โดยเฉพาะกีฬาสากลที่เล่นกันทั่วโลก เช่นฟุตบอล วอลเลย์บอล บาสเก็ตบอล ว่ายน้ำ กรีฑา เทนนิส) หรืองบพัฒนาพื้นที่เฉพาะ เช่น พัฒนาเขตสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ พัฒนาพลังงานทดแทนน้ำมัน พัฒนาและสนับสนุนการผลิตรถยนต์ขึ้นใช้เองในประเทศ
แต่นี่เท่าที่เห็น ไหงมันไปอัดอยู่แต่ที่คมนาคมล่ะครับ ไม่ไหวนะ
jerasak wrote:superager wrote:ขอประเดิมกระทู้คุณจีคนแรกครับเห็นมาแต่แว่บๆนะำัพักนี้
แก้เพิ่ม
ถ้าดูตามงบ ถ้าคิดว่านักการเมืองจะได้อย่างน้อย10%ในแต่ละโครงการ ก็50,000กว่าล้านแล้วครับ
เรื่องจะมีใครได้กี่เปอร์เซนต์ ก็ต้องติดตามในส่วนการจัดซื้อจัดจ้างกันต่อไป
แต่จะไม่พัฒนาประเทศเพราะกลัวมีคนได้เปอร์เซนต์คงคิดแบบนั้นไม่ได้ครับ
silance mobius wrote:jerasak wrote:superager wrote:ขอประเดิมกระทู้คุณจีคนแรกครับเห็นมาแต่แว่บๆนะำัพักนี้
แก้เพิ่ม
ถ้าดูตามงบ ถ้าคิดว่านักการเมืองจะได้อย่างน้อย10%ในแต่ละโครงการ ก็50,000กว่าล้านแล้วครับ
เรื่องจะมีใครได้กี่เปอร์เซนต์ ก็ต้องติดตามในส่วนการจัดซื้อจัดจ้างกันต่อไป
แต่จะไม่พัฒนาประเทศเพราะกลัวมีคนได้เปอร์เซนต์คงคิดแบบนั้นไม่ได้ครับ
ใครบอก 10% ครับ
เค้าต้องกันไว้อย่างน้อย 30% ต่างหากล่ะครับ สำหรับเบี้ยบ้ายรายทางน่ะ
8. สาขาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสวัสดิภาพของบุคลากรภาครัฐ วงเงินกู้ 4,826 ล้านบาท
หน่วยงาน : สนง.ตำรวจแห่งชาติ, กระทรวงกลาโหม
+ ปรับปรุงอาคารที่พักตำรวจ
Neoconservative wrote:jerasak wrote:ปัญหาอีกส่วนที่มีการโจมตีก็คือ รัฐบาลจะมีช่องทางในการหาเงินใช้หนี้อย่างไร
เรื่องนี้ถ้าติดตามข่าวจะพบว่า จากแผนปรับปรุงการจัดเก็บภาษีล่าสุดประมาณว่า
รัฐบาลจะมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 70,000 ล้านบาท ยังไม่รวมการปรับปรุงภาษีที่ดิน
และภาษีมรดก (ตัวหลังได้ข่าวว่าจะตัดออกแล้ว)
จากตัวเลขรายได้ที่เพิ่มขึ้นปีละ 7 หมื่นล้านก็เห็นแล้วว่า ภายใน 10 ปีจะได้เงิน
เพิ่มขึ้นถึง 7 แสนล้านบาท ใกล้เคียงกับกรอบเงินกู้ 8 แสนล้านบาท![]()
*ถ้าประมาณการรายได้รัฐบาลถูกต้อง ก็แสดงว่าภายใน 10 ปี
รัฐบาลน่าจะมีเงินพอจ่ายเงินต้น 8 แสนล้านนี้ได้หมดอยู่แล้ว*
ยังไม่นับว่าตามปกติขนาด GDP ของประเทศจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้
รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นในระยะ 10 ปีข้างหน้า ภาระการคืนเงิน 8 แสนล้านบาท
จึงไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร อย่างที่ฝ่ายค้านพยายามนำเสนอนะครับ
1. มันมีความเป็นไปได้ว่า รัฐบาล จะจัดเก็บภาษีได้น้อยลงอีก เช่นเดียวกันกับ ที่ คาดว่า จะเก็บภาษี ได้เพิ่มขึ้น ปีละ 70,000 ล้าน ที่ประชาชน ต้องรับผิดชอบ
2. จากตัวเลขที่รายได้เพิ่มขึ้น ปีละ 7 หมื่นล้าน ถ้าเก็บไม่ถึงหล่ะ - 10 ปี อาจจะกลายเป็น 15 ปี - เรื่องนี้ รัฐบาลปัจจุบันไม่สามารถให้ความมั่นใจ อะไรได้เลย นอกเสียจากจะเริ่มนำเสนอช่องทางการสร้างรายได้อื่นๆ
รัฐบาลต้องเดา เข้าข้างตัวเองอยู่แล้วว่า มันจะดีขึ้น มันจะไม่มีปัญหา
สรุป คือ วันนี้ ก็ คือ เก็บภาษี ใช้หนี้ เท่านั้น ที่รัฐบาลให้ความมั่นใจได้
istyle wrote:8. สาขาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสวัสดิภาพของบุคลากรภาครัฐ วงเงินกู้ 4,826 ล้านบาท
หน่วยงาน : สนง.ตำรวจแห่งชาติ, กระทรวงกลาโหม
+ ปรับปรุงอาคารที่พักตำรวจ
แย่... เสียข้าวสุก
jerasak wrote:istyle wrote:8. สาขาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสวัสดิภาพของบุคลากรภาครัฐ วงเงินกู้ 4,826 ล้านบาท
หน่วยงาน : สนง.ตำรวจแห่งชาติ, กระทรวงกลาโหม
+ ปรับปรุงอาคารที่พักตำรวจ
แย่... เสียข้าวสุก
มองในแง่ดีก็คือ มีที่พักอาศัยดีๆ จะได้ไม่ใส่เกียร์ว่าง
ไอดิน wrote:พึ่งสมัครเข้ามาใหม่ครับ ข้อมูลเน้นมาก คุณ Jerasak หาข้อมูลจากไหนครับ ผม search google เจอแต่ข่าวสั้นๆ ไม่เจอยาว ละเอียดแบบนี้เลย ขอบคุณครับ
แดง ขาว น้ำเงิน wrote:รบกวนคุณจี ถ้าหากมีเวลา รบกวนทำเป็นบทความ ทักษิณก็กู้ ให้พวกเราด้วยนะครับ
จะได้มีระเบียบวิธีในการให้ข้อมูลกัเสื้อแดงครับ
ขอบคุณครับ
อะไรกันนักกันหนา (2)
ผมทิ้งประเด็นเป็นคำถามเอาไว้เมื่อวานนี้ว่าการที่รัฐบาลคุณ อภิสิทธิ์จะออกกฎหมาย 2 ฉบับ เพื่อกู้เงินใหม่จำนวนรวมกัน 800,000 ล้านบาทนั้น
เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมากขนาดไหน
คำตอบก็คือ ใหญ่และสำคัญมากจริงๆ แต่ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่ประการใด
คราวนี้เพื่อให้คุณๆ ที่ติดตามฟังการอภิปรายของบรรดา ส.ส.และ ส.ว.จำนวนไม่น้อย แม้จะไม่ทั้งหมดที่คงจะพูดซ้ำซากน่าเบื่อหน่ายวนไปเวียนมา เพราะไปเสียเวลาถกเถียงกันเรื่องที่มิใช่เป็นประเด็นเป็นสำคัญและเมื่อถก เถียงถึงประเด็นที่เป็นปัญหาก็จะดำน้ำออกทะเลเป็นสำคัญนั้น อยากจะคุยและให้ข้อมูลเบื้องต้นเพื่อประกอบการพิจารณาของคุณๆ แบบนี้ครับ
หลักใหญ่ใจความเรื่องที่รัฐบาลจะกู้เงินนั้น ถ้าหากไม่เอาเรื่องธนาคารแห่งประเทศไทยต้องไปกู้เงินจากกองทุนการเงิน ระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจการเงินแล้วล่ะก็ การกู้เงินของรัฐบาลไทยมีกรอบต้องทำตามกฎหมายหลักๆ อย่างน้อย 2 ฉบับ
หนึ่ง พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2543) สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้จะมุ่งไปที่การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบ ประมาณรายจ่ายประจำปี
กู้เป็นเงินบาทเท่านั้นครับ
สอง พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้มุ่งเน้นไปที่การดูแลภาพรวมการก่อและบริหารหนี้ สาธารณะทั้งการกู้เงิน ค้ำประกันและบริหารจัดการคืนต้นเงินกู้ที่กู้มาของรัฐบาลทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคตให้เรียบร้อย
แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือเป็นกฎหมายที่เปิดช่องให้รัฐบาลกู้เงินจากแหล่ง เงินในต่างประเทศหรือก่อหนี้ต่างประเทศ โดยกำหนดเอาไว้ว่าแต่ละปีจะก่อหนี้ต่างประเทศได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของวงเงินงบประมาณรายจ่าย
ว่ากันว่ากฎหมายฉบับนี้ต้องการคุมเข้มการก่อหนี้ของรัฐบาลอีกชั้นหนึ่งครับ
พ้นจากนี้ไปแล้ว รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังที่ดูแลการก่อหนี้ของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจที่ เป็นภาระให้รัฐบาลต้องชดใช้ด้วยการตั้งงบชำระคืนหนี้ต้นเงินกู้และดอกเบี้ยไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีไม่สามารถทำได้โดยไม่ละเมิดกฎหมาย
แต่เรื่องราวในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ครับ
ในเมื่อกฎหมายที่มีอยู่ไม่เปิดช่องให้ทำได้เช่นนี้ ถามว่าถ้ารัฐบาลต้องการจะกู้เงินนอกเหนือจากนี้จะทำอย่างไร คำตอบก็ง่ายและตรงไปตรงมา
ออกเป็นกฎหมายใหม่ให้อำนาจกู้เงินแบบเฉพาะกิจได้สิครับ
ผมไปลองค้นดูว่า ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาประกอบด้วย 2 รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งคือรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ กับรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ล้วนแต่เคยเดินบนเส้นทางพิเศษเช่นที่ว่ามาแล้วด้วยกันทั้งคู่
ไม่มีใครดีไปกว่าใครในเรื่องนี้ครับ
รัฐบาลคุณชวน หลีกภัย ออก พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2541 มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายวันที่ 7 พฤษภาคม 2541
กู้ไป 500,000 ล้านบาท ป่านนี้ยังใช้คืนเงินต้นใช้และดอกเบี้ยกันไม่หมดเลยครับ
ไม่แต่เพียงเท่านั้น รัฐบาลคุณชวนยังออก พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินจากต่างประเทศเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ พ.ศ. 2541 มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายวันที่ 7 พฤษภาคม 2541 กู้ไปอีก 200,000 ล้านบาท ไม่รู้ว่าบัดนี้ใช้คืนเงินต้นและดอกเบี้ยหมดแล้วหรือยัง ยังไม่หมดครับ รัฐบาลคุณชวนยังออก พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของระบบ สถาบันการเงิน พ.ศ. 2541 มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายวันที่ 22 สิงหาคม 2541
กู้ไปอุ้มแบงก์ 300,000 ล้านบาท ไม่รู้ว่าใช้คืนเงินต้นและดอกเบี้ยหมดหรือยังเช่นกัน
แต่อย่าเพิ่งไปว่าคุณชวนดีแต่กู้คนเดียว เพราะตกมาสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยของคุณทักษิณ ชินวัตร ก็เอากับเขาด้วยเหมือนกัน
รัฐบาลคุณทักษิณ ชินวัตร ออก พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อ ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ 2 พ.ศ. 2545 มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2545
กู้ไป 780,000 ล้านบาท ป่านนี้ยังใช้คืนเงินต้นและดอกเบี้ยไม่หมดอีกเช่นกันครับ
อันที่จริงรัฐบาลคุณทักษิณนี้ยังมีกรณีพิสดารด้วยการออก พระราชกำหนดโอนสินทรัพย์บางส่วนในบัญชีสำรองพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยเงินตรา พ.ศ. 2545 มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายวันที่ 24 มิถุนายน 2545 เป็นการล้วงหรือจกเงินจากบัญชีสำรองพิเศษในทุนสำรองเงินตราไปล้างหนี้ล้าง สินให้ธนาคารแห่งประเทศไทยอีก 165,000 ล้านบาท เป็นกรณีพิเศษ
ด่ากันไปโต้กันมาระวังเข้าตัวไม่รู้ด้วยนะเอ้อ
Tags : เงินกู้
jerasak wrote:มาต่อเรื่องความสามารถในการชำระหนี้อีกรอบนะครับ
สมมุติว่าการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเหล้า+บุหรีที่ผ่านมา-
ไม่ทำให้ได้เงินภาษีมากขึ้นเลยก็แล้วกัน![]()
มาเริ่มต้นจากรายได้รัฐบาลไทย ที่คิดเป็นสัดส่วนประมาณ
15% ของ GDP สมมุติว่า GDP ปีนี้อยู่ที่ 9.5 ล้านล้านบาท
จะเก็บภาษีได้ 1.425 ล้านล้านบาท (ถ้าจะใช้เงินมากกว่านี้
ก็คือต้องกู้เงินเพิ่มเติม)
*รายได้ของรัฐบาลจะเติบโตตาม GDP คำนวณแบบง่ายๆ คือ
GDP เพิ่ม 1 แสนล้าน รัฐบาลจะมีรายได้เพิ่ม 1.5 หมื่นล้าน*
...
สมมุติว่า GDP ของไทยเพิ่มช้ามากแค่ปีละ 2% หรือเพิ่มขึ้น
190,000 ล้านบาท จะทำให้ปี 2553 รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น
28,500 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2552
ทำนองเดียวกันถ้า GDP ของไทยยังเพิ่มขึ้นช้าๆ 2% เท่าเดิม
ในปี 2554 รัฐบาลจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 29,070 ล้านบาท
หรือมากกว่า ปี 2552 ถึง 57,570 ล้านบาท
ปีถัดไปถ้า GDP ยังโต 2% เท่าเดิม รายได้รัฐบาลจะเพิ่มขึ้น
29,651 ล้านบาท หรือมากกว่า ปี 2552 ถึง 87,221 ล้านบาท
เฉพาะรายได้ของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นช่วงปี 2553 - 2555 นี้
ก็มากถึง 173,291 ล้านบาท แล้วครับ ทั้งที่ใช้สมมุติฐาน
ว่า GDP จะเพิ่มขึ้นเพียงปีละ 2%
ถ้า GDP เติบโตที่ 3% รายได้รัฐบาล ช่วงปี 2553-2555
จะเพิ่มขึ้นรวม 261,668 ล้านบาท!!
ถ้า GDP เติบโตที่ 4% รายได้รัฐบาล ช่วงปี 2553-2555
จะเพิ่มขึ้นรวม 351,211 ล้านบาท!!!
และความจริงไม่แปลกที่ GDP จะเติบโต 5% ต่อปีด้วยซ้ำ
ขณะที่ตัวเลข GDP เติบโตปีละ 2% น่าจะต่ำเกินจริง
...
กลับมาที่สมมุติฐาน GDP โตแ่ค่ปีละ 2% ถ้าเป็นแบบนี้-
รัฐบาลก็ยังมีรายได้เพิ่มขึ้นช่วง ปี 2553-2559 รวม 7 ปี
มากกว่า 8.3 แสนล้านบาท (28500 +57570 +87221
+117466 +148315 +179781 +211877 = 830731)
ถ้า GDP โตที่ปีละ 3% รัฐบาลจะมีรายได้เพิ่มขึ้นช่วงปี
2553-2558 รวม 6 ปี มากกว่า 9.4 แสนล้านบาท
ถ้า GDP โตที่ปีละ 4% รัฐบาลจะมีรายได้เพิ่มขึ้นช่วงปี
2553-2557 รวม 5 ปี มากกว่า 9 แสนล้านบาท
ขอย้ำว่าไม่แปลกที่ GDP ประเทศไทยจะเติบโต 5% ต่อปี
ขณะที่ตัวเลข GDP เติบโตปีละ 2% น่าจะต่ำเกินจริงนะครับ
...
จากการประเมินง่ายๆ นี้ คิดว่าอย่างเร็วภายใน 5 ปี
หรืออย่างช้าไม่เกิน 10 ปี ประเทศไทยน่าจะสามารถ
ชำระหนี้เงินกู้ 8 แสนล้านรวมดอกเบี้ยได้หมดนะครับ
ผมไม่เห็นว่ารัฐบาลจะต้องคิดมากเรื่องหาเงินจ่ายคืน
สำหรับโครงการไทยเข้มแข็ง 2555 เลยครับ
Neoconservative wrote:การคาดการของ พี่ jerasak เป็นการมองโลกในแง่ดี ซึ่ง ก็ เป็นเรื่องที่ดี ที่ทุกคนอยากให้เป็นเช่นนั้น
การใช้หนี้ โดยใช้เวลา ไม่เกิน 5 - 10 ปี เป็น อะไร ที่เราอยากให้เกิดขึ้น
พี่ jerasak แค่ คำนวน ว่า ใช้หนี้ 8 แสนล้าน ไม่นานหรอก
แต่พี่ jerasak ยังไม่ได้รวม หนี้ สาธารณะทั้งหมด ที่เรามี อยู่ คือ 3.7 ล้านล้านบาท บวกกับหนี้ ที่รัฐบาลกำลังจะสร้างเพิ่ม อีก 1.47 ล้านล้านบาท ซึ่งรวม 8 แสนล้านนี้ไปด้วย
รวมถึงลักษณะการชำระหนี้เงินต้นพร้อมดอกเบี้ย ที่รัฐบาลไทย ชำระมาในอดีต ซึ่งก็ไม่เกิน ปีละ 1 แสน 5 หมื่นล้านบาท
ซึ่งคำนวนจาก ลักษณะ การชำระหนี้ ของรัฐบาลไทย ที่ ปีละ 1.5 แสนล้าน กับ ยอดหนี้ สาธารณะ ทั้งหมด ที่รัฐบาลกำลังจะสร้าง คือ 5 ล้านล้าน บาท [ถ้าดอกเบี้ยเงินกู้ คิดที่ 1% ต่อปี เท่ากับ 50,000 ล้านบาท]
รัฐบาลไทย ต้องชำระหนี้ พร้อมดอกเบี้ย ไปอีกอย่างน้อย 50 ปี แต่ถ้าดอกเบี้ย 5% อาจจะต้องใช้เวลาชำระ เป็น 100 ปี
Neoconservative wrote:และในทางปฏิบัติ ก็ ขัดกับหลักการเศรษฐกิจพอเพียง ที่ ประชาธิปัตย์ อ้างว่า ยึดถือมาโดยตลอด
มีน้อย ใช้ น้อย มีมากใช้มาก ที่เคยไปด่า ระบอบ ทักษิณ ปาวๆ
วันนี้ ปชป. ทำสิ่ง ที่ด่าเค้าไว้ ทุกอย่าง
มันน่าชื่นชมจริงๆ
ปี 52 : GDP .... 9,500,000 ล้านบาท .. รายได้ภาครัฐ 1,425,000 ล้านบาท
ปี 53 : GDP .... 9,690,000 ล้านบาท .. รายได้ภาครัฐ 1,453,500 ล้านบาท .. เพิ่มจากปี 52 = 28,500 ล้านบาท
ปี 54 : GDP .... 9,883,800 ล้านบาท .. รายได้ภาครัฐ 1,482,570 ล้านบาท .. เพิ่มจากปี 52 = 57,570 ล้านบาท
ปี 55 : GDP .. 10,081,476 ล้านบาท .. รายได้ภาครัฐ 1,512,221 ล้านบาท .. เพิ่มจากปี 52 = 87,221 ล้านบาท
ปี 56 : GDP .. 10,283,106 ล้านบาท .. รายได้ภาครัฐ 1,542,466 ล้านบาท .. เพิ่มจากปี 52 = 117,466 ล้านบาท
ปี 57 : GDP .. 10,488,768 ล้านบาท .. รายได้ภาครัฐ 1,573,315 ล้านบาท .. เพิ่มจากปี 52 = 148,315 ล้านบาท
ปี 58 : GDP .. 10,698,543 ล้านบาท .. รายได้ภาครัฐ 1,604,781 ล้านบาท .. เพิ่มจากปี 52 = 179,781 ล้านบาท
ปี 59 : GDP .. 10,912,514 ล้านบาท .. รายได้ภาครัฐ 1,636,877 ล้านบาท .. เพิ่มจากปี 52 = 211,877 ล้านบาท
ปี 60 : GDP .. 11,130,764 ล้านบาท .. รายได้ภาครัฐ 1,669,615 ล้านบาท .. เพิ่มจากปี 52 = 244,615 ล้านบาท
ปี 61 : GDP .. 11,353,379 ล้านบาท .. รายได้ภาครัฐ 1,703,007 ล้านบาท .. เพิ่มจากปี 52 = 278,007 ล้านบาท
ปี 62 : GDP .. 11,580,447 ล้านบาท .. รายได้ภาครัฐ 1,737,067 ล้านบาท .. เพิ่มจากปี 52 = 312,067 ล้านบาท
จะเห็นว่าเพียงเศรษฐกิจขยายตัวปีละ 2% รายได้ภาครัฐที่เพิ่มขึ้นในรอบ 10 ปีจะสะสมรวมกันกว่า 1.6 ล้านล้านบาท
jerasak wrote:ปี 52 : GDP .... 9,500,000 ล้านบาท .. รายได้ภาครัฐ 1,425,000 ล้านบาท
ปี 53 : GDP .... 9,690,000 ล้านบาท .. รายได้ภาครัฐ 1,453,500 ล้านบาท .. เพิ่มจากปี 52 = 28,500 ล้านบาท
Growth will resume in 2010, with real GDP expanding by 1.1%.
http://www.economist.com/COUNTRIES/Thai ... e-Forecast
The BoT also adjusted the economic growth projection in 2010 to1.5
http://english.people.com.cn/90001/9077 ... 42832.html