bird wrote:กำเนิดอสูรร้าย
หลังเหตุการณ์ รสช ผู้มีอำนาจในสมัยนั้นได้ลงนามมอบสัมปทาน
กิจการสัญญาณโทรคมนาคม ให้กับนักธุรกิจอดีตนายตำรวจไทย
การลงนามในครั้งนั้น เป็นจุดเริ่มต้นการผูกขาดกิจการโทรศัพท์มือถือ
รายเดียวของประเทศ
การผูดขาด คือ การทำธุรกิจ หรือการดำเนินงานอย่างใดอย่างหนึ่ง
โดยไม่มีคู่แข่ง สิ่งที่ตามมาของการผูกขาด กำหนดราคาขายและ
ค่าบริการได้ตามใจชอบ ในกรณีนี้ สัมปทานที่ได้ไปเป็นกิจการโทรคมนาคม
หรือที่รู้จักกันในนาม โทรศัพท์มือถือ ในปัจจุบัน
เมื่อได้สัมปทานมาเพียงรายเดียว บริษัทจึงมีอำนาจในการกำหนด
เงื่อนไขต่าง ๆ ได้เองตามใจชอบ ไม่ว่า จะเป็นราคาเครื่องโทรศัพท์
ราคาสัญญาณ หรือที่เรียกกันว่า ค่าโทรศัพท์ นั่นหล่ะ ผู้ค้ารายใด
ต้องการนำโทรศัพท์มือถือเข้ามาจำหน่าย ต้องซื้อผ่านผู้ที่ได้รับสัมปทาน
เท่านั้น
หรือจะพุดให้เข้าใจง่าย ๆ คือ แม้วเป็นผู้นำโทรศัพท์มือถือจากต่างประเทศ
เข้ามาขายในประเทศเพียงคนเดียว ใครต้องการขาย ต้องมาซื้อต่อจากแม้ว
ค่าโทรศัพท์ แม้วก็ตั้งเองตามใจ นาที่ละ 5 บาทในช่วงแรก ๆ จำกันได้มั้ย
กดโทรออกไป ปลายสายรับหรือไม่ คุยกันกี่วิก็แล้วแต่ แม้วคิดนาที่ละ 5 บาท
ทั่วประเทศ กี่หมายเลขลองคิดดู
ซื้อโทรศัพท์มาจากต่างประเทศ ประมาณเครื่องละไม่เกิน 9,000 บาท
(รวมภาษีนำเข้าแล้ว) นำมาขายพร้อมค่าจดทะเบียน (จำกันได้มั้ย)
ประมาณเครื่องละ 10,000 - 80,000 บาท (จำได้เครื่องแรกที่ซื้อ
เป็น โมโตโรล่า ทุกวันนี้ยังเก็บไว้เป็นที่ระลึก จ่ายไป 69,000.-)
จากนั้นเสียต่าโทรศัพท์อีกนาที่ละ 5 บาท โดยเฉลี่ย ณ เวลาน้น
เสียค่าโทรศัพท์เดือนละ 6,000 - 7,000 บาททุกเดือน
ลองบวกลบคูณหารเอง แล้วกันว่าจำนวนเงินมหาศาลแค่ไหน
แค่ราคาโทรศัพท์ก็ประมาณ 60,000 - 70,000 บาทต่อเครื่อง
ค่าโทรศัพท์อีกกี่ล้านหมายเลขทั่วประเทศ คำนวณให้ไม่ถูก
แต่นั้นก็ทำให้ แม้วกลายเป็นมหาเศรษฐีชั้นแนวหน้าของโลก
ได้ภายในไม่กี่ปี ตั้งแต่ได้รับสัมปทานมา...
หากจะพูดว่า แม้วเป็นนักการตลาดที่เก่งใช่หรือไม่
ตอบได้เลยว่าไม่ใช่ แต่แม้วเป็นนักฉวยโอกาส ที่ไม่มีศีลธรรม
ต่างหาก เพราะแม้วทำการค้าระบบผูกขาด โดยขาดจิตสำนึก
ละโมบโลภมาก ตะกละตะกราม หากินกับความอยากได้
อยากใช้ อยากอวด และใช้สื่อโฆษณาชักนำ ใคร ๆ ก็อยากมี
โทรศัพท์มือถือ เพราะมันดูเท่ห์ ดูทันสมัย ดูน่าเชื่อถือ
คนทั่วโลกเค้าก็ใช้กัน แต่ที่อื่นเค้าขายกันในราคาที่เหมาะสม
ผิดวิสัยกับแม้ว ที่ขายแบบ กรูขอรวยคนเดียว...
bird wrote:รวยจากค่าเงินบาท
ที่จริงอยากจะตั้งหัวข้อว่า " กรูขอรวยจากความทุกข์ของประชาชน"
แต่เกรงว่าจะแรงเกินไป ขอแบบเรียบ ๆ แล้วกัน อารมณ์จะได้ไม่พุ่งปรี้ด
วิกฤตการเงินในปี 2540 สถาบันการเงิน ไม่ว่าจะเป็น บรรษัทเงินทุน
หลักทรัพย์ ธนาคาร ต่างปิดกิจการเป็นว่าเล่น ตลาดหุ้นดิ่งลงชนิดที่
นักเล่นหุ้นขาดทุน เจ๋งระเนระนาด หมดตัว นักธุรกิจบางท่านที่ฉลาด
อาศัยจังหวะนี้ล้มบนฟูกกันเป็นแถว.. (คุณพ่อยังสูญเงินไปกับหุ้น
เป็นจำนวนเงิน 7 หลักเหมือนกัน)
นายกรัฐมนตรี (คงไม่ต้องบอกนะว่าใคร) รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง
และที่จำไม่ผิดอีกท่านเป็นผู้ว่าธนาคารชาติ ปิดห้องประชุมลับ
เพื่อตัดสินเกียวกับค่าเงินบาท ผลการประชุมเป็นอย่างไร นอกจาก
3 ท่านดังกล่าว ยังมีแม้วอีกคนหนึ่งที่บังอาจล่วงรู้ จะด้วยวิธีก็แล้วแต่
ระยะเวลา 15 วันก่อนประกาศลดค่าเงิน แม้วสั่งถอนเงินทั้งในประเทศ
และต่างประเทศ สั่งซื้อเงินดอลล่าห์มากักตุนไว้ ในขณะเดียวกัน
สั่งซื้อโทรศัพท์มือถือมาเก็บเอาไว้....
การประกาศลดค่าเงินบาท ทำให้บริษัทนำเข้าสินค้าต่างประเทศ
และบริษัทที่มีสัญญากู้ยืมเงินจากสถาบันต่างประเทศขาดทุน
ทันทีเกือบเท่าตัว บางบริษัทถึงกับล้มละลายเพียงชั่วข้ามคืน
ในยามวิกฤตค่าเงินบาท ทุกบริษัทประสบภาวะขาดทุนเหมือนกัน
ยกเว้น...กลุ่มบริษัทของแม้ว กำไรจากค่าเงินจำนวนมหาศาล
(หากใครอยากเห็นข้อมูล ค้นงบการเงินได้จากกรมพัฒน์ฯ)
บิรษัททั่วไปขาดทุน ล้มละลายชั่วข้ามคืน ตรงข้ามกับ
กลุ่มบริษัทของแม้ว และ 2 ตระกูลดังของประเทศ
ร่ำรวยมหาศาลจากเดิมเกือบเท่าตัวเพียงชั่วข้ามคืนเช่นกัน
เพราะ แม้วเก่ง หรือเป็นนักวิเคราะห์การเงิน เก่งใช่หรือไม่
คำตอบคือ ป่าวอีกเช่นกัน.. แต่เพราะแม้วเป็นนักฉวยโอกาส
ที่ขาดจิรยธรรมเช่นเดิม นำความลับของทางราชการวางแผน
การเงินของตัวเองได้อย่างน่าทุเรศที่สุด แต่จะว่าไปคนที่ควร
ถูกประนาณอีกท่าน คงจะเป็นผู้ที่นำความลับเรื่องค่าเงินไป
คุยให้แม๊วฟัง...อยากถามว่า ณ เวลานั้นท่านคิดอะไรอยู่
ถึงนำความลับราชการไปแพร่งพรายกับบุคคลภายนอก
หรือว่า.. ท่านได้ผลประโยชน์จากเงินก้อนนี้ด้วย....
overtherainbow wrote::lol: ขนาดอ่านหนังสือวันละเกินสามบรรทัด
ยังเริ่มจะมึน
ช่วงนี้สมาชิกหลายคน เขียนกัน จนคนอ่านเริ่มจะอ่านไม่ทัน คั่นไว้ก่อน![]()
naichod wrote:ข้อมูลเกี่ยวกับการยื่นถวายฎีกา ขอยุติลงแต่เพียงเท่านี้ ในประเด็นที่ว่า
- สมควรหรือไม่
- กระทำได้หรือไม่
- ถูกต้องการกฎมณเฑียรบาลหรือไม่
ขออนุญาติทิ้งประเด็นเหล่านี้ ให้เป็นภาระของทุกท่าน ที่จะพิจารณาและวิเคระห์ตาม
มุมมองและวิสัยทัศน์ของทุกท่าน ด้วยความเคารพ
-ไม่สมควรครับ
-กระทำได้ครับ แต่ ในความจริง หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง รับไม่ได้ เพราะมันขัดกับระเบียบ
-ไม่ถูกต้อง ครับ
แต่รัฐบาลนี้ มองว่า เป็นเรื่องที่ดึงโยงเพื่อสร้างสถานการณ์ให้บ้านเมืองเกิดความไม่สงบ จึง"จำยอม" รับเรื่อง เพื่อให้ลดอุณหภูมิลงในขณะนั้น เพื่อให้ประชาชนได้คิดตามดั่งที่คุณหนูเบิร์ดกล่าวไว้ทั้งหมดนั่นแหละ
ดังนั้น เรื่องนี้ หากยังจะหยิบยกมาทวงถามอีก โดยเฉพาะตอนประกาศว่าจะไปที่ศิริราช ยิ่งไม่สมควร (ดีว่าล้มเลิกไปแล้ว)
กรมราชทัณฑ์อยู่ในความดูแลของใคร กระทรวงใด รัฐมนตรีท่านใด ควรรีบตอบออกมาได้แล้ว ตอนนี้ เว้นแต่จะดึงเกมไว้เพื่อให้เป็นเสี้ยนตำมือรัฐบาล ในเชิงของนักการเมืองที่มองทุกอย่างเป็นการต่อรองมากกว่า บ้านเมืองและประชาชน
vigz wrote:ดันๆๆๆๆต่อครับบบบบบบบบบบบบบ
dahlia wrote:ไม่ยอมให้กระทู้ของคนสวยตกเด็ดขาด
tu249cm wrote:ตามมาอ่านต่อและดันไว้ค่ะ
พายุ wrote:
nontee wrote:มาช่วยดันกระทู้ ... ครับ
บังเอิญว่ามีเกล็ดเล็กเกล็ดน้อยมาเล่า (ขอโทษที่มาสาย)
vigz wrote:สองมือดันๆๆ ๆ ดันให้K.Birdสวยขึ้นไปอีก![]()
![]()
พายุ wrote:ยิ่งอ่านก้รู้สึกว่าคุณ bird สวยอย่างที่เค้าว่ากัน
งามอย่างมีคุณค่าด้วยจิ
taracho wrote:ชอบมากครับ รายละเอียดแน่นเปี๊ยะ ขยันมากครับขอชม (ขออนุญาติเรียกพี่ละกัน ผมว่าผมเด็กกว่า555+) อ่านรวดเดียวถึงหน้า13เลย
เอา เกือบทำงานไม่ทัน 555+ สนับสนุนครับ กระทู้ดีมีสาระ เจ้าของกระทู้สุภาพชนด้วย
pooyong wrote:ดีครับ
มองระบอบการปกครองในมุมกว้าง
โดยป้าอ้อย ๗ มกราคม ๒๕๕๓ 01:56:49 pm
จากบทความเรื่อง “ธนาธิปไตย (Plutocracy)” โดย ชำนาญ จันทร์เรือง
อริสโตเติล นักปราชญ์ชาวกรีก แบ่งรูปแบบการปกครองทั้งที่ดีและที่ไม่ดีเอาไว้ 6 ประเภท
ระบบปกครองที่ดี
ผู้ปกครองคนเดียว monarchy = ระบบกษัตริย์ หรือราชาธิปไตย
กลุ่มผู้ปกครอง aristocracy = ระบบขุนนาง หรือ อภิชนาธิปไตย
คนหมู่มาก polity = ระบบที่ปกครองโดยชนชั้นกลาง
ระบอบที่ไม่ดี
ผู้ปกครองคนเดียว tyranny = ระบบทรราชย์
กลุ่มผู้ปกครอง oligarchy = ระบบพวกพ้อง หรือคณาธิปไตย
คนหมู่มาก democracy = ระบบประชาธิปไตย
ในมุมมองของอริสโตเติล สิ่งที่เขามองข้ามไปคือ ทุกคน ไม่ว่ารวยหรือจน หรือมีชาติกำเนิด
อย่างไร ต่างมีความละโมภโลภมากเท่าเทียมกัน ที่ต่างกันคือการมีจิตสำนึกผิดถูก หรือชั่วดี
ส่วนที่ดีที่สุดคือ ผู้ที่มีความเห็นว่าการทำดีนั้น ให้ผลดีอย่างกว้างขวาง และให้ผลในระยะยาว
ผู้ที่เป็นตัวอย่างในการมีจิตสำนึกที่ดีคือ ท่านอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร
เมีอพิจารณาด้านความรู้สึกและความคิดเห็นจากประสบการณ์ คือ ท่านเคยยากจนในวัยเด็ก
และในวัยกลางคนก็มีปัญหาการเงิน ทำให้สามารถเข้าใจความรู้สึกในยามขัดสน และความ
รู้สึกของคนจน และเข้าใจดีว่าคนจนนั้นมีศักยภาพ แต่ที่ดีกว่านั้น คือ
“การมีทัศนคติกว้างไกล ว่าสิ่งใดเป็นประโชนน์ หรือสิ่งใดทำให้เสียประโยชน์”
ท่านอดีตนายกฯ เห็นว่า หากทำให้คนจนทั่วไปมีโอกาสในการทำมาหากิน สภาพความจนใน
ประเทศจะบรรเทาลง คนส่วนใหญ่มีฐานะดีขึ้น และรัฐบาลสามารถเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น
ตามเหตุผลนี้ จะเห็นได้ว่า ระบบส่วนใหญ่มีข้อดีและข้อเสียอยู่ในตัวของมันเอง ขึ้นอยู่กับว่า
จะนำมาใช้ในช่วงเวลาใด และการนำระบบใดระบบหนึ่งมาใช้ สามารถปรับแต่งระบบนั้นให้
เหมาะสมกับทั้งสภาพการ และกาลเวลา
ตัวอย่างเช่น
ระบบพวกพ้องหรือคณาธิปไตย (oligarchy) เราอาจกล่าวหาว่านี่เป็น ระบบพวกพ้อง
ทว่าในสหรัฐอเมริกา เมื่อเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ชุดทำงานของประธานาธิบดีคนเก่า
จะถูกโล๊ะทิ้งหมด โดยประธานาธิปดีคนใหม่จะแต่งตั้งชุดทำงานตามที่ตนเห็นสมควร การ
กระทำนี้เป็นที่ยอมรับ
ระบบทรราชย์ คือพฤติกรรมของผู้ที่ปราศจากคุณธรรมหรือศีลธรรม ตัวอย่างเห็นได้มากมาย
ในปี พ.ศ. 2551-2552
อย่างไรก็ตาม ระบบเผด็จการจิตกุศล (benevolent dictatorship) ก็มีให้เห็นและให้ศึกษาดู
อย่าง นายลี กวน ยู นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ ที่มีการปรับแต่งเอาระบบเผด็จการมาใช้ร่วม
กับระบบประชาธิปไตย
ปัจจุบัน ประชาชนคนไทยเหลืออดเหลือทนกับระบบการปกครองแบบอื่นๆ ที่ชนชั้นสูงและ
ชนชั้นกลางนำมาใช้เฉพาะในแง่มุมที่เป็นประโยชน์แก่ตนเอง และกดขี่ประชาชน และเห็นมีแต่
ระบอบประชาธิปไตยที่เห็นความสำคัญของประชาชนทั่วไป ส่วนข้อเสียของระบอบประชาธิไตย
ก็ได้มีการแก้ไขมาโดยลำดับ
อริสโตเติลเห็นว่า คนร่ำรวยมีแต่ความเห็นแก่ตัว และขาดความเห็นอกเห็นใจ ส่วนคนจนก็
เรียกร้องไม่มีที่สิ้นสุด จึงเห็นว่าชนชั้นกลาง เนื่องจากไม่รวยมาก แต่ก็พอจะมีความเห็นอก
เห็นใจ และเนื่องจากไม่ถึงกับยากจนจึงไม่จำเป็นต้องเรียกร้องอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ในแง่คิดอคติเกี่ยวกับคนยากจนของอริสโตเติล เหตุผลที่ถูกต้องคือ เนื่องด้วยคนจนเป็นผู้ที่
ขาดแคลน จึงดูคล้ายกับว่าโลภมากและเรียกร้องอย่างไม่สิ้นสุด
ในกรณีนี้ ท่านอดีตนายกทักษิณ จึงเปิดโอกาศในทางทำมาหากิน หลายโครงการ ทำให้คนจน
เลิกขาดแคลนและไม่จำเป็นต้องเรียกร้อง พร้อมกับเกิดความภาคภูมิใจที่สามารถพึ่งพาตนเองได้
แต่สำหรับในแง่ของอำมาตยาธิปไตย พวกเขาพยายามทำให้ชนชั้นกลางกลายเป็นคนจน
พร้อมกับเหยียบย่ำดูถูกดูแทนคนจน
ในการแยกวรรณะของประเทศอินเดีย ซึ่งยึดมั่นอยู่กับระบบวรรณะ ถือว่า
วรรณะพราหม์ คือนักบวชหรือพระ นำหน้าเพราะเป็นครูอาจารย์ ต่อมาคือ กษัตริย์ ที่เป็น
วรรณะของชนชั้นปกครอง ตามด้วย แพศย์ เป็นวรรณะของ พ่อค้าและเกษตรกร จบด้วย
ศูทร หมายถึงกรรมกร และผู้ใช้แรงงาน ส่วนจันฑาล คือผลิตผลของผู้ที่แต่งงานข้ามวรรณะ
ถือว่าต้องถูกเหยียดหยาม
พระพุทธเจ้าทรงพยายามกำจัดความเชื่อทางชนชั้นวรรณะ พุทธศาสนาจึงต้องถูกกำจัดไปจาก
ประเทศอินเดีย และปัจจุบันใครที่นับถือพุทธศาสนาจะถูกมองว่าเป็นจันฑาล
ท่านอดีตนายกฯ ดร.ทักษิณ ชินวัตร พยายามทำให้ทุกคนมีโอกาสในการทำกิน ซึ่งจะทำให้
ช่องว่างระหว่างชั้นชั้นแคบลงเรื่อยๆ ดังนั้น พร.ทักษิณจึงต้องถูกกำจัด และใครก็ตามที่ชื่นชอบ
ดร.ทักษิณ จะถูกใส่ร้ายว่า เป็นขี้ข้าดร.ทักษิณ รับเงินดร.ทักษิณ และไม่มีความคิดเป็นของ
ตนเอง
ในทุกประเทศ เกษตรกร โดยเฉพาะชาวนา และเป็นกลุ่มคนที่ร่ำรวย แต่ในประเทศไทย แม้ว่า
บอกว่า ชาวนาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ และข้าวเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ แต่ชาวนากลับถูก
ผู้บริหารประเทศกลั่นแกล้งมาโดยตลอด
พอทำนาได้ข้าวมาก ราคาก็ตกต่ำ
พอผลผลิตน้อย ก็ไม่พอกิน ต้องไปกู้หนี้ยืมสินเกิดปัญหาซ้ำซากมาตลอด
ในปี 2551 ท่านสมัคร สุนทรเวชดำเนินการทำให้ข้าวเปลือกกลายเป็นทองคำ ชาวนาเริ่มเงย
หน้าอ้าปากได้
แต่ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ชาวหน้าถูกกลั่นแกล้ง พอจะขายได้ รัฐบาลก็ประกาศประกันราคา
ข้าวตัดหน้า ดังนั้น ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนถึงถอยห่างออกไปเรื่อยๆ
ดังนั้น จึงต้องโค่นล้มอำมาตย์แบบถอนรากถอนโคน เมื่อโค่นแล้วก็ต้องเผาทั้งต้นและตอที่ขุด
ขึ้นมาได้ เอาขึ้เถ้าไปทิ้งทะเลอย่าให้เหลือเชื้อ
มิฉะนั้น ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศจะต้องถูกกลั่นแกล้งอยู่เช่นนี้เรื่อยไป โดยพวกเขากำลัง
จัดให้มีการ รวยกระจุกจนกระจาย และทำให้ประชาชนอยู่ร้อนนอนทุกข์ ไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
Reply #1 เมื่อ: ๗ มกราคม ๒๕๕๓, 02:07:12 pm
ขอบคุณป้าอ้อยมากครับ ได้ความรู้ดีๆเพิ่มขึ้น มีอีกเอามาอีกนะจ๊ะป้าอ้อย จุ๊บๆ ร๊ากกกป้าอ้อยที่สุดเยย
Reply #2 เมื่อ: ๘ มกราคม ๒๕๕๓, 07:17:49 pm
อิสระและเสรีภาพ จะเป็นของท่าน
เมื่อท่านอ่านบทความนี้อย่างตั้งใจจริง
Reply #3 เมื่อ: ๘ มกราคม ๒๕๕๓, 11:27:33 pm
กว่าจะอ่านจบเหนื่อยเลย.....เอ!...ตอนนี้เราอยู่อินเดียรึเปล่าเนี่ย.....
ขอบคุณป้าอ้อยค่ะ