เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

คลังปัญญา กระทู้ปักหมุดเดิม เรื่องสำคัญจัดเก็บที่นี่

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby naichod » Wed Jan 27, 2010 2:43 pm

ข้อมูลเกี่ยวกับการยื่นถวายฎีกา ขอยุติลงแต่เพียงเท่านี้ ในประเด็นที่ว่า

- สมควรหรือไม่

- กระทำได้หรือไม่

- ถูกต้องการกฎมณเฑียรบาลหรือไม่

ขออนุญาติทิ้งประเด็นเหล่านี้ ให้เป็นภาระของทุกท่าน ที่จะพิจารณาและวิเคระห์ตาม
มุมมองและวิสัยทัศน์ของทุกท่าน ด้วยความเคารพ


-ไม่สมควรครับ

-กระทำได้ครับ แต่ ในความจริง หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง รับไม่ได้ เพราะมันขัดกับระเบียบ

-ไม่ถูกต้อง ครับ

แต่รัฐบาลนี้ มองว่า เป็นเรื่องที่ดึงโยงเพื่อสร้างสถานการณ์ให้บ้านเมืองเกิดความไม่สงบ จึง"จำยอม" รับเรื่อง เพื่อให้ลดอุณหภูมิลงในขณะนั้น เพื่อให้ประชาชนได้คิดตามดั่งที่คุณหนูเบิร์ดกล่าวไว้ทั้งหมดนั่นแหละ

ดังนั้น เรื่องนี้ หากยังจะหยิบยกมาทวงถามอีก โดยเฉพาะตอนประกาศว่าจะไปที่ศิริราช ยิ่งไม่สมควร (ดีว่าล้มเลิกไปแล้ว)

กรมราชทัณฑ์อยู่ในความดูแลของใคร กระทรวงใด รัฐมนตรีท่านใด ควรรีบตอบออกมาได้แล้ว ตอนนี้ เว้นแต่จะดึงเกมไว้เพื่อให้เป็นเสี้ยนตำมือรัฐบาล ในเชิงของนักการเมืองที่มองทุกอย่างเป็นการต่อรองมากกว่า บ้านเมืองและประชาชน
Nul plus que nous. À moins que nous sommes à genoux à la sienne.
No one higher than us. Unless we kneel to his own.
User avatar
naichod
 
Posts: 2327
Joined: Mon Mar 30, 2009 7:43 am


Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Thu Jan 28, 2010 1:46 pm

ตัวอย่าง บทสรุปของการโกงบ้านกินเมือง

นำเสนอไว้ เพื่อใช้เป็นข้อคิด เล็ก ๆ น้อย ๆ ผ่อนคลายความตึงเครียด

เมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๒ ศาลไต้หวันตัดสินให้

- จำคุก ๒ ปี นาง อู๋ ซู เฉิน ภริยา นาย เฉิน สุ่ย เปียน อดีตประธานาธิบดีไต้หวัน
ข้อหาให้การเท็จขณะถูกไต่สวนคดียักยอกเงิน โดยศาลลดดทษให้เหลือ ๑ ปี


- จำคุกลูกชาย ลูกสาว และ ลูกเขย ของ นาย เฉิน สุ่ย เปียน คนละ ๖ เดือน
ในข้อหาเดียวกัน คือ ให้การเท็จขณะถูกไต่สวนคดียักยอกเงิน


และในวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๒ ศาลแขวง กรุงไทเป พิพากษาให้

- จำคุกตลอดชีวิต นาย เฉิน สุ่ย เปียน อดัตประธานาธิบดี
ในข้อหา ทุจริต

- จำคุตลอดชีวิต นาง อู๋ ซู เฉิน ภริยา อดีตประธานธิบดีเฉิน
ในข้อหา ทุจริต เช่นเดียวกัน

- ปรับเงินทั้งคู่ ( นายเฉิน และภรรยา ) เป็นมูลค่า ๕๐๐ ล้านดอลลาร์ไต้หวัน
หรือประมาณ ๕๑๖ ล้านบาท

- จำคุก ลูกชาย และ ลูกสะใส้ นายเฉิน ระหว่าง ๒๐ - ๓๐ เดือน
ในข้อหา ทุจริต รวมหลายกระทง


นายเฉิน ถูกตั้งข้อกล่าวหาว่า

- ยักยอกเงิน ๓.๑๕ ล้านUS หรือประมาณ ๑๐๔ ล้านบาทจากเงินกองทุนพิเศษ
ของประธานาธิบดี ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งเมื่อช่วงปี ๒๕๔๓ ถึง ปี ๒๕๕๑

- รับสินบนมูลค่าอย่างน้อย ๙ ล้านUS หรือประมาณ ๓๐๖ ล้านบาท ในกรณีที่
มีความเชื่อมโยงกับสัมปทานที่ดินของรัฐ

- ฟอกเงินบางส่วนผ่านทางบัญชีธนาคารในประเทศสวิตฯ

- ปลอมแปลงเอกสาร


ขอนับถือในความกล้าหาญของสมาชิกในครอบครัวท่านอีดตประธานาธิบดีเฉิน
ที่กล้าเผชิญหน้ากับกระการยุติธรรม ด้วยความกล้าหาญ มิได้หลบหนีแต่อย่างใด


ว่าแต่....

ข้อกล่าวหาของท่านอดีตประธานาธิบดีไต้หวัน ภริยา และ บุตร ไม่ว่าจะเป็น
ลูกชาย ลูกสาว ลูกสะใภ้ และ ลูกเขต ที่ถูกศาลพิพากษาให้จำคุกทั้งครอบครัว

ทุกท่าน ค้น ๆ มั้ย ว่าคล้าย ๆ กับข้อกล่าวหาของบุคคลท่านใด ?


แต่ของไต้หวัน....

กระทำผิดในช่วงปี ๒๕๔๓ - ๒๕๕๑ ศาลพิพากษา กันยายน ๒๕๕๒
รวมเวลาในการสอบสวนดำเนินคิดไม่เกิน ๑ ปี รวดเร็วทันใจ
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby vigz » Thu Jan 28, 2010 4:55 pm

ดันๆๆๆๆต่อครับบบบบบบบบบบบบบ :D
พวกเราสีเดียวกันครับ ศีรษะนี้มอบให้พระเจ้าแผ่นดิน
Only love is Real
User avatar
vigz
 
Posts: 120
Joined: Sat Jan 23, 2010 3:48 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby dahlia » Fri Jan 29, 2010 1:52 pm

ไม่ยอมให้กระทู้ของคนสวยตกเด็ดขาด
ผมเป็นแฟนคลับ แคนไท , ริดกุน , nontee , eAT , Moon , tonythebest , -3- , amplepoor , เด็กปากดี
User avatar
dahlia
 
Posts: 1375
Joined: Mon Oct 12, 2009 2:35 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby nontee » Fri Jan 29, 2010 2:37 pm

bird wrote:กำเนิดอสูรร้าย

หลังเหตุการณ์ รสช ผู้มีอำนาจในสมัยนั้นได้ลงนามมอบสัมปทาน
กิจการสัญญาณโทรคมนาคม ให้กับนักธุรกิจอดีตนายตำรวจไทย
การลงนามในครั้งนั้น เป็นจุดเริ่มต้นการผูกขาดกิจการโทรศัพท์มือถือ
รายเดียวของประเทศ

การผูดขาด คือ การทำธุรกิจ หรือการดำเนินงานอย่างใดอย่างหนึ่ง
โดยไม่มีคู่แข่ง สิ่งที่ตามมาของการผูกขาด กำหนดราคาขายและ
ค่าบริการได้ตามใจชอบ ในกรณีนี้ สัมปทานที่ได้ไปเป็นกิจการโทรคมนาคม
หรือที่รู้จักกันในนาม โทรศัพท์มือถือ ในปัจจุบัน

เมื่อได้สัมปทานมาเพียงรายเดียว บริษัทจึงมีอำนาจในการกำหนด
เงื่อนไขต่าง ๆ ได้เองตามใจชอบ ไม่ว่า จะเป็นราคาเครื่องโทรศัพท์
ราคาสัญญาณ หรือที่เรียกกันว่า ค่าโทรศัพท์ นั่นหล่ะ ผู้ค้ารายใด
ต้องการนำโทรศัพท์มือถือเข้ามาจำหน่าย ต้องซื้อผ่านผู้ที่ได้รับสัมปทาน
เท่านั้น

หรือจะพุดให้เข้าใจง่าย ๆ คือ แม้วเป็นผู้นำโทรศัพท์มือถือจากต่างประเทศ
เข้ามาขายในประเทศเพียงคนเดียว ใครต้องการขาย ต้องมาซื้อต่อจากแม้ว
ค่าโทรศัพท์ แม้วก็ตั้งเองตามใจ นาที่ละ 5 บาทในช่วงแรก ๆ จำกันได้มั้ย
กดโทรออกไป ปลายสายรับหรือไม่ คุยกันกี่วิก็แล้วแต่ แม้วคิดนาที่ละ 5 บาท
ทั่วประเทศ กี่หมายเลขลองคิดดู

ซื้อโทรศัพท์มาจากต่างประเทศ ประมาณเครื่องละไม่เกิน 9,000 บาท
(รวมภาษีนำเข้าแล้ว) นำมาขายพร้อมค่าจดทะเบียน (จำกันได้มั้ย)
ประมาณเครื่องละ 10,000 - 80,000 บาท (จำได้เครื่องแรกที่ซื้อ
เป็น โมโตโรล่า ทุกวันนี้ยังเก็บไว้เป็นที่ระลึก จ่ายไป 69,000.-)
จากนั้นเสียต่าโทรศัพท์อีกนาที่ละ 5 บาท โดยเฉลี่ย ณ เวลาน้น
เสียค่าโทรศัพท์เดือนละ 6,000 - 7,000 บาททุกเดือน

ลองบวกลบคูณหารเอง แล้วกันว่าจำนวนเงินมหาศาลแค่ไหน
แค่ราคาโทรศัพท์ก็ประมาณ 60,000 - 70,000 บาทต่อเครื่อง
ค่าโทรศัพท์อีกกี่ล้านหมายเลขทั่วประเทศ คำนวณให้ไม่ถูก
แต่นั้นก็ทำให้ แม้วกลายเป็นมหาเศรษฐีชั้นแนวหน้าของโลก
ได้ภายในไม่กี่ปี ตั้งแต่ได้รับสัมปทานมา...

หากจะพูดว่า แม้วเป็นนักการตลาดที่เก่งใช่หรือไม่
ตอบได้เลยว่าไม่ใช่ แต่แม้วเป็นนักฉวยโอกาส ที่ไม่มีศีลธรรม
ต่างหาก เพราะแม้วทำการค้าระบบผูกขาด โดยขาดจิตสำนึก
ละโมบโลภมาก ตะกละตะกราม หากินกับความอยากได้
อยากใช้ อยากอวด และใช้สื่อโฆษณาชักนำ ใคร ๆ ก็อยากมี
โทรศัพท์มือถือ เพราะมันดูเท่ห์ ดูทันสมัย ดูน่าเชื่อถือ
คนทั่วโลกเค้าก็ใช้กัน แต่ที่อื่นเค้าขายกันในราคาที่เหมาะสม
ผิดวิสัยกับแม้ว ที่ขายแบบ กรูขอรวยคนเดียว...


มาช่วยดันกระทู้ ... ครับ

บังเอิญว่ามีเกล็ดเล็กเกล็ดน้อยมาเล่า (ขอโทษที่มาสาย :D )

วันที่ไอ้แม้วเอาสัญญาสัมประทานฉบับนี้ไปให้รัฐบาลในสมัยนั้นเซ็น
ก่อนหน้านั้น ไอ้แม้วได้เอาสัญญาสัมประทานฉบับนี้ไปให้นายธนาคาร
ทั้งไทยและเทศดูมาหลายแห่งแล้วครับ

ทุกแห่งพูดเป็นเสียงเดียวกัน ประมาณว่าถ้ารัฐบาลของประเทศยูมันชั่วช้า
เลวทรามขนาดที่ยอมเซ็นสัญญาสัมประทานฉบับนี้ให้ยู พวกไอก็ยอมให้ยู
กู้เงินไปลงทุนธุรกิจนี้ทันทีอย่างต่ำธนาคารละพันล้านบาท (ไม่รู้ว่ากี่สิบธนาคาร)

อย่าลืมว่าในตอนนั้นทุกประเทศทั่วโลกกว่า 70 - 80 % ต่างก็เริ่มเปิดให้ประมูล
โทรมือถือไล่ๆกัน และเกือบทุกประเทศต่างก็ใช้เงื่อนไขสัมประทานเหมือนหรือ
คล้ายๆกันคือ ผู้ที่ผลประโยชน์แก่รัฐ(ประชาชน)สูงสุดจะได้ไป แต่ไม่มีประเทศ
ใหนแม้แต่ประเทศเดียวที่ยอมให้ผูกขาดการนำฮาร์ดแวร์เข้ามาจำหน่าย
ยกเว้นประเทศไทย

จนต่อมาในสมัยของคุณชวนยุคที่สอง จึงได้ทำการแก้ไขกฎหมายแล้วเปิด
ให้มีการแข่งขันเสรีการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ จึงได้เกิด Dtac และสามารถ 1800
และเจ้าอื่นๆ เข้ามาแข่งขัน ทำให้ค่าบริการและค่าเครื่องลดฮวบลงไปมาก
และเป็นสาเหตุว่าทำไมไอ้แม้วไม่ชอบพรรคประชาธิปัตย์มาตั้งแต่ตอนนั้น

แต่ก็อีกนั่นแหละ สันดานพ่อค้าขี้โกงเอาแต่ได้ พอรัฐบาลประชาธิปัตย์จากไป
ไอ้แม้วมันก็ไล่ฮุบกิจการมือถือคลื่นเล็กคลื่นน้อยหายไปจากตลาด เหลือแต่
Dtac อยู่เจ้าเดียวซึ่งก็กำลังจะสู้ทุนของไอ้แม้วไม่ไหว จำใจต้องไปร่วมทุนกับ
เทเลนอร์ วิสาหกิจของนอร์เวย์ ปิดฉากธุรกิจสื่อสารของคนไทยที่จะพอสู้กับ
ไอ้แม้วได้ ออกไปจากตลาด

แล้วท้ายที่สุดมันก็ขายสัมปทานมือถือสมบัติชิ้นสุดท้ายของคนไทยให้สิงคโปร์ไป

เพราะอะไรประเทศไทยจึงได้มีโอกาศใช้สามจีช้า ก็เพราะระบบของไอ้แม้ว
ที่มันลงทุนไปในสัมประทาน ถ้าจะปรับเปลี่นให้เป็นสามจี มันต้องลงทุนเพิ่ม
อีกห้า-หกหมื่นล้านบาทในตอนนั้น มันก็เลยพยายามเตะถ่วงสามจีออกไป
ยิ่งนานเท่าไหร่ มันก็ยังนับเงินเพลินเท่านั้น

เป็นข้อมูลอีกส่วนหนึ่งครับ
User avatar
nontee
 
Posts: 6598
Joined: Tue Jan 26, 2010 2:34 pm
Location: หว้ากอ


Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby tu249cm » Fri Jan 29, 2010 7:12 pm

ตามมาอ่านต่อและดันไว้ค่ะ
User avatar
tu249cm
 
Posts: 1422
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:33 am

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby พายุ » Sat Jan 30, 2010 3:09 am

Image
" คนที่พูดคำว่า จงรักภักดี คำที่ดีที่สุดคือ สติ เหนือสิ่งอื่นใด ทุกวันนี้สติหด หาย ขาด ถ้ามีสติ มีศีล มีปัญญา ฉลาดรอบคอบ ก็ไม่ทำให้ใครเดือด ร้อน เพราะฉะนั้น คนในสังคมต้องมีสติ อย่าขาดสติ จะให้เราเข้าใจที่สุด"
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล
User avatar
พายุ
 
Posts: 3977
Joined: Mon Oct 13, 2008 1:33 am

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby nontee » Sat Jan 30, 2010 7:14 am

bird wrote:รวยจากค่าเงินบาท

ที่จริงอยากจะตั้งหัวข้อว่า " กรูขอรวยจากความทุกข์ของประชาชน"
แต่เกรงว่าจะแรงเกินไป ขอแบบเรียบ ๆ แล้วกัน อารมณ์จะได้ไม่พุ่งปรี้ด

วิกฤตการเงินในปี 2540 สถาบันการเงิน ไม่ว่าจะเป็น บรรษัทเงินทุน
หลักทรัพย์ ธนาคาร ต่างปิดกิจการเป็นว่าเล่น ตลาดหุ้นดิ่งลงชนิดที่
นักเล่นหุ้นขาดทุน เจ๋งระเนระนาด หมดตัว นักธุรกิจบางท่านที่ฉลาด
อาศัยจังหวะนี้ล้มบนฟูกกันเป็นแถว.. (คุณพ่อยังสูญเงินไปกับหุ้น
เป็นจำนวนเงิน 7 หลักเหมือนกัน)

นายกรัฐมนตรี (คงไม่ต้องบอกนะว่าใคร) รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง
และที่จำไม่ผิดอีกท่านเป็นผู้ว่าธนาคารชาติ ปิดห้องประชุมลับ
เพื่อตัดสินเกียวกับค่าเงินบาท ผลการประชุมเป็นอย่างไร นอกจาก
3 ท่านดังกล่าว ยังมีแม้วอีกคนหนึ่งที่บังอาจล่วงรู้ จะด้วยวิธีก็แล้วแต่
ระยะเวลา 15 วันก่อนประกาศลดค่าเงิน แม้วสั่งถอนเงินทั้งในประเทศ
และต่างประเทศ สั่งซื้อเงินดอลล่าห์มากักตุนไว้ ในขณะเดียวกัน
สั่งซื้อโทรศัพท์มือถือมาเก็บเอาไว้....

การประกาศลดค่าเงินบาท ทำให้บริษัทนำเข้าสินค้าต่างประเทศ
และบริษัทที่มีสัญญากู้ยืมเงินจากสถาบันต่างประเทศขาดทุน
ทันทีเกือบเท่าตัว บางบริษัทถึงกับล้มละลายเพียงชั่วข้ามคืน
ในยามวิกฤตค่าเงินบาท ทุกบริษัทประสบภาวะขาดทุนเหมือนกัน
ยกเว้น...กลุ่มบริษัทของแม้ว กำไรจากค่าเงินจำนวนมหาศาล
(หากใครอยากเห็นข้อมูล ค้นงบการเงินได้จากกรมพัฒน์ฯ)

บิรษัททั่วไปขาดทุน ล้มละลายชั่วข้ามคืน ตรงข้ามกับ
กลุ่มบริษัทของแม้ว และ 2 ตระกูลดังของประเทศ
ร่ำรวยมหาศาลจากเดิมเกือบเท่าตัวเพียงชั่วข้ามคืนเช่นกัน
เพราะ แม้วเก่ง หรือเป็นนักวิเคราะห์การเงิน เก่งใช่หรือไม่

คำตอบคือ ป่าวอีกเช่นกัน.. แต่เพราะแม้วเป็นนักฉวยโอกาส
ที่ขาดจิรยธรรมเช่นเดิม นำความลับของทางราชการวางแผน
การเงินของตัวเองได้อย่างน่าทุเรศที่สุด แต่จะว่าไปคนที่ควร
ถูกประนาณอีกท่าน คงจะเป็นผู้ที่นำความลับเรื่องค่าเงินไป
คุยให้แม๊วฟัง...อยากถามว่า ณ เวลานั้นท่านคิดอะไรอยู่
ถึงนำความลับราชการไปแพร่งพรายกับบุคคลภายนอก
หรือว่า.. ท่านได้ผลประโยชน์จากเงินก้อนนี้ด้วย....


เกล็ดเล็กเกล็ดน้อย(อีกแล้ว)


ตอนหน้าสิ่วหน้าขวานช่วงนี้มันมีเรื่องการแต่งตั้งโยกย้าย
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยมาแทนตำแหน่งของ
ท่านวิจิต สุพินิจซึ่งเกษียรอายุราชการในปีนี้พอดี มันเป็น
เวรกรรมของประเทศไทยที่ "พรรคสิ้นหวังเก่า" ใช้เงินไอ้เหลี่ยม
ซื้อเสียงในการเลือกตั้งหนนั้น แล้วทำให้ชนะพรรคประชาธิปัตย์
ไปแคเสียงเดียว ท่านชวนเองก็ยึดมั่นในหลักการ ไม่แข่งขัน
จัดตั้งรัฐบาล ทำให้คนเคยเป็นทหารตัวใหญ่แต่ชื่อไม่ใหญ่ได้
จัดตั้งรัฐบาล แคนั้นละครับ ความซวยก็มาเยือนระบบการเงินของ
ประเทศ

แคนดิเดตในการเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยตอนนั้น
มีสองคน คนนึงมาจากสายบริหารการเงิน(มือขวาของท่านผู่ว่าวิจิต)
อีกคนมาจากสายธุรการ ไม่เชี่ยวชาญเรื่องการบริหารการเงินเลย
แต่ถือว่าเป้นคนของพรรคสิ้นหวังเก่า

เรื่องแต่งตั้งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยตอนนั้นยื้อกันอยู่
หลายเดือนเนื่องจากมีเสียงคัดค้านดังระะงมมาจากธนาคารพาณิชย์
ต่างๆ ไม่ให้พ่อใหญ่ตั้งคนจากสายธุรการมาเป็นผู้ว่าการ

แต่ไม่ทราบว่ามนต์เงินบาทของไอ้เหลี่ยมหรืออะไรก็สุดแท้แต่
เราก็ได้รองผู่ว่าที่ทำงานรูทีนไปวันๆมานั่งแป้นเป็นผู้ว่าฯรักษาเสถียรภาพ
ค่าเงินของประเทศแทนที่จะเป็นคุณ...............ที่เป็นรองผู้ว่า
ฝ่ายบริหารการเงิน มาเป็นผู้ว่าฯ เวรกรรมของประเทศแท้ๆ

ตั้งแต่นั้นระบบระเบียบ ความมีชื่อเสียงของธนาคารแห่งประเทศไทย
ในสายตาชาวโลกก็ค่อยๆลดต่ำลงเรื่อยๆ ตั้งฟื้นฟูประเทศขึ้นมาจากความ
ล้มละลายมาเป็นแข็งแกร่งได้ ไม่มีครั้งใดที่ความเชื่อถือต่อระบบธนาคาร
ไทยจากต่างประเทศจะลดลงมากขนาดขนาดนี้อีกแล้ว

และนั่นนำมาซึ่งการเริ่มต้นถล่มค่าเงินบาทอย่างเป็นล่ำเป็นสัน โดยที่
ผู้ว่าฯสมัยนั้นได้แต่นั่งแบะๆๆ ท่านนายยกเอางัยดีครับ ท่านนายกฯ
ในสมัยนั้นก็ แบะฯ กูเคยเป็นแต่ทหารไม่รู้เรื่องการเงินเวิ้ย...

ปีเดียวหลังจากรัฐบาลในสมัยนั้นเลือกผู้ว่าการธนาคารผิด แค่ปีเดียว
พ่อใหญ่ออกมาบอกประมาณว่า "พวกเราทุกคน หมดตูดแล้วลูก"

***.... เมื่อวานนี้เองที่พวกเรากำลังเฉลิมฉลองความเป็นเสือตัวที่ห้า
ของเอเชีย (ทิ้งห่างมาเลย์เซียอยู่เกือบสิบปี) ภายในชั่วข้ามคืนเมิงออกมา
บอกพวกกูว่า พวกเราทุกคนกลายเป็นยาจกแล้วนะลูก เราต้องไปขอทาน
ไอเอ็มเอฟมาเป็นทุนสำรองแล้วนะลูก

สาดเอ้ย....

แต่มีอยู่คนนึงที่นั่งอยู่วงในรัฐบาลคอยบงการเกมส์ให้มันออกมาในรูปแบบ
นี้ ทั้งคอยชักใยเรื่องการแต่งตั้งคน ทั้งการทุ่มเงินถล่มค่าเงินของประเทศ
ตัวเอง เสร็จแล้วก็นั่งยิ้มกริ่ม ประเมินกันคร่าวๆว่า ถ้าไอ้เหลี่ยมมีกำไล
จากการผูกขาดสัมปทานโทรมือถือห้าหมื่นล้าน ชั่วข้ามคืนทรัพย์สินเงินสด
ไอ้เหลี่ยมจะเพิ่มเป็นหนึ่งแสนห้าหมื่นล้านบาททันที...
User avatar
nontee
 
Posts: 6598
Joined: Tue Jan 26, 2010 2:34 pm
Location: หว้ากอ

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Sat Jan 30, 2010 9:49 am

overtherainbow wrote::lol: ขนาดอ่านหนังสือวันละเกินสามบรรทัด
ยังเริ่มจะมึน
ช่วงนี้สมาชิกหลายคน เขียนกัน จนคนอ่านเริ่มจะอ่านไม่ทัน คั่นไว้ก่อน :mrgreen:


ยังไงก็ระวังเรื่องสายตาด้วยน่ะจ้ะ พี่สาว.. :mrgreen:

naichod wrote:ข้อมูลเกี่ยวกับการยื่นถวายฎีกา ขอยุติลงแต่เพียงเท่านี้ ในประเด็นที่ว่า

- สมควรหรือไม่

- กระทำได้หรือไม่

- ถูกต้องการกฎมณเฑียรบาลหรือไม่

ขออนุญาติทิ้งประเด็นเหล่านี้ ให้เป็นภาระของทุกท่าน ที่จะพิจารณาและวิเคระห์ตาม
มุมมองและวิสัยทัศน์ของทุกท่าน ด้วยความเคารพ


-ไม่สมควรครับ

-กระทำได้ครับ แต่ ในความจริง หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง รับไม่ได้ เพราะมันขัดกับระเบียบ

-ไม่ถูกต้อง ครับ

แต่รัฐบาลนี้ มองว่า เป็นเรื่องที่ดึงโยงเพื่อสร้างสถานการณ์ให้บ้านเมืองเกิดความไม่สงบ จึง"จำยอม" รับเรื่อง เพื่อให้ลดอุณหภูมิลงในขณะนั้น เพื่อให้ประชาชนได้คิดตามดั่งที่คุณหนูเบิร์ดกล่าวไว้ทั้งหมดนั่นแหละ

ดังนั้น เรื่องนี้ หากยังจะหยิบยกมาทวงถามอีก โดยเฉพาะตอนประกาศว่าจะไปที่ศิริราช ยิ่งไม่สมควร (ดีว่าล้มเลิกไปแล้ว)

กรมราชทัณฑ์อยู่ในความดูแลของใคร กระทรวงใด รัฐมนตรีท่านใด ควรรีบตอบออกมาได้แล้ว ตอนนี้ เว้นแต่จะดึงเกมไว้เพื่อให้เป็นเสี้ยนตำมือรัฐบาล ในเชิงของนักการเมืองที่มองทุกอย่างเป็นการต่อรองมากกว่า บ้านเมืองและประชาชน


ขอบคุณสำหรับข้อคิดดี ๆ อีกเช่นเคยค่ะ ลุงชด :mrgreen:

vigz wrote:ดันๆๆๆๆต่อครับบบบบบบบบบบบบบ :D


ขอบคุณค่ะ ที่ช่วยดันกันต่อไป :mrgreen:

dahlia wrote:ไม่ยอมให้กระทู้ของคนสวยตกเด็ดขาด


หยอดคำหวานบ่อยไปแล้วค่ะ คุณขา :mrgreen:

tu249cm wrote:ตามมาอ่านต่อและดันไว้ค่ะ


ขอบคุณค่ะ แล้วจะนำข้อมูลมาให้อ่านอีกน่ะค่ะ :mrgreen:

พายุ wrote:Image


ขอบคุณที่แวะมาค่ะ

nontee wrote:มาช่วยดันกระทู้ ... ครับ

บังเอิญว่ามีเกล็ดเล็กเกล็ดน้อยมาเล่า (ขอโทษที่มาสาย :D )


ขอบคุณค่ะ มาสายยังดีกว่าไม่มาน่ะค่ะ (ยืมเค้ามาใช้)
และขอบคุณสำหรับเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่นำมาฝากทั้ง ๒ โพสต์
แต่ว่าน่ะ...
คำอุทานเนี้ย..เพลา ๆ หน่อยก็ดีน่ะค่ะ...อ่านแล้วสะดุ้งค่ะ :mrgreen: :mrgreen:
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby vigz » Sat Jan 30, 2010 1:11 pm

สองมือดันๆๆ ๆ ดันให้K.Birdสวยขึ้นไปอีก :D :D :D
พวกเราสีเดียวกันครับ ศีรษะนี้มอบให้พระเจ้าแผ่นดิน
Only love is Real
User avatar
vigz
 
Posts: 120
Joined: Sat Jan 23, 2010 3:48 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby dtonNA » Sat Jan 30, 2010 8:57 pm

แวะมาดู :mrgreen:
เราต้องการคนดีมาเป็นผู้ปกครองบ้านเมืองเท่านั้น
User avatar
dtonNA
 
Posts: 1493
Joined: Fri Nov 28, 2008 1:28 am


Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby nontee » Sun Jan 31, 2010 12:08 am

ยังมีเกล็ดอีกเยอะครับ

แต่วันหยุดแบบนี้ขอพาครอบครัวไปเที่ยวก่อน

ช่วยดันกระทู้ใว้ก่อนครับ
User avatar
nontee
 
Posts: 6598
Joined: Tue Jan 26, 2010 2:34 pm
Location: หว้ากอ


Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby dahlia » Sun Jan 31, 2010 8:10 pm

Image

เห็นว่าคนสวยชอบสีม่วง เอามาฝากอีกครับ คราวนี้ดอกกุหลาบ
ผมเป็นแฟนคลับ แคนไท , ริดกุน , nontee , eAT , Moon , tonythebest , -3- , amplepoor , เด็กปากดี
User avatar
dahlia
 
Posts: 1375
Joined: Mon Oct 12, 2009 2:35 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby jrr. » Mon Feb 01, 2010 7:57 am

............goodbye click.............
User avatar
jrr.
 
Posts: 887
Joined: Mon Oct 13, 2008 7:41 am

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Tue Feb 02, 2010 11:09 pm

ไข้หวัดนก ไม่สามารถแก้ตกด้วยความฉาบฉวย

โดย ลักษณา กรณ์ศิลป : ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๗

เรียน คุณทักษิณ ชินวัตร เพื่ออาจนำบางส่วนไปใช้ประโยชน์ ในการรับผิดชอบต่อชีวิตประชาชน
บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ เพื่อประกอบการพิจารณาถ่ายทอดบางส่วนสู่การรับรู้ของประชาชน

ในขณะที่บ้านเราไม่ได้ยินเรื่องไข้หวัดนกกันนานเข้า จนชักจะทำให้คิดว่าจัดการกันได้เรียบร้อยดี
โดยผู้เกี่ยวข้องก็ลุกขึ้นประกาศผลสำเร็จกันไปแล้ว แต่ในความเป็นจริง ไข้หวัดนกก็ผุดที่นั่นที่นี่ใน
ภูมิภาคของเราในระหว่างนี้โดยตลอด จนเป็นที่แน่ชัดว่า การเงียบไปในหลายๆประเทศมันเป็นเพียง
เหตุการณ์ทิ้งช่วง เช่น

มาเลย์เซียที่มีความหวังจะประกาศปลอดไข้หวัดนกปลายปีนี้ ก็หมดหวังเสียแล้ว เพราะตรวจพบการ
ระบาดอีกในหมู่บ้านตอนเหนือ ส่วนเวียตนามก็ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ในช่วงที่ผ่านมานี้มีการพบใน 6
จังหวัด ต้องฆ่าสัตว์ปีกไปกว่าหมื่นตัว ภาครัฐออกมาส่งสารแจ้งข้อปฏิบัติไปยังทุกหมู่บ้านให้ระมัด
ระวังในช่วงอากาศเย็นซึ่งเอื้อต่อการก่อตัวของเชื้อโรค รวมทั้งให้ระวังในช่วงตรุษจีนอีกด้วย

สำหรับในไทยมองกันไปมาก็เห็นแต่ความเงียบอยู่ในเรื่องนี้ ไม่ได้ยินว่ามีอะไรส่งไปตามหมู่บ้าน นอก
จากสารเรื่องโอกาสในการได้งบหากเลือกบางพรรค ที่ส่งทั่วถึงมากกว่าเรื่องความเป็นความตายของ
เป็ดๆไก่ๆและประชาชน ต้องไปมองจากนอกประเทศเข้ามา พบข่าวที่ทำให้หน้าชาพอสมควร ในการ
เป็นเจ้าภาพจัดประชุมรัฐมนตรีด้านสาธารณสุขในอาเซียน ได้รับการวิจารณ์จากต่างประเทศว่า

ไทยต้องพักเรื่องการสร้างภาพไว้ก่อน แล้วหันมาเน้นอย่างเอาจริงเอาจังกับมาตรการที่มีผลยั่งยืน
ในการต่อสู้ไข้หวัดน


โดยต้องป้องกันการแพร่ระบาดใหญ่ไปยังหมู่คนทั่วโลกตามที่ประเทศพัฒนาแล้วกำลังกลัวกัน ใน
ภายหน้าถ้าได้รับเชิญให้เป็นฐานหลักในการต่อสู้ พี่ไทยก็ไม่ควรภูมิใจและออกไปโฆษณาประชา
สัมพันธ์กันใหญ่โตว่าได้รับความไว้วางใจ เพราะในวงการจัดการสิ่งแวดล้อมสากลเขามีหลักการ
อยู่ว่าใครทำใครรับ สำหรับคนบริหารไม่ดีทำให้ปัญหาลุกลามใหญ่โตปล่อยผลกระทบอันไม่พึง-
ปรารถนาให้ฟุ้งกระจายไปยังคนอื่นนั้น จะทำไม่รู้ไม่ชี้ไม่ได้ เขาต้องผลักดันให้รับผิดชอบ

และแล้วเมื่อสิ้นปีก็มีข่าวประเทศไทยกระมิดกระเมี้ยนรายงานต่อองค์กรสุขภาพสัตว์ระหว่างชาติ
ว่าได้ทำลายสัตว์ปีกในครึ่งหลังของเดือนธันวาคมด้วยเหตุจากไข้หวัดนก โดยพบ 12 จุดใน 6
จังหวัด

แทบต้องอุทานออกมาเป็นภาษากึ่งอาณานิคมว่า “โอ้หม่ายก้อด เหมือนประสบความสำเร็จใน
การขจัดสิ้นยาเสพติดเลย แค่ไม่กี่เดือนก็ฟื้นคืนชีพ
” เดี๋ยวนี้แต่ละความสำเร็จทำไมมันอายุสั้นจัง

จากข้อมูลพฤติกรรมการระบาด มีแนวโน้มที่ชัดเจนว่า ไข้หวัดนกมีการพัฒนาตัวเร็วมาก และขยาย
วงกว้างไปยังสัตว์หลายชนิดขึ้นเรื่อยๆ อาจมีความเป็นไปได้ว่า มันอาจแพร่ระบาดในสัตว์ต่างชนิด
โดยไม่ต้องมีการแลกเปลี่ยนยีนส์ด้วยซ้ำ โรคจากสัตว์ที่แพร่สู่คนและระบาดต่ออย่างรวดเร็วในคน
ทั่วโลกก็มีตัวอย่าง เช่น โรคเอดส์ (HIV)

ดังนั้น บรรดาประเทศพัฒนาจึงต้องเร่งศึกษาค้นคว้าวิจัยเพื่อจัดทำมาตรการล่วงหน้าเป็นการเตรียม
ความพร้อมกันอย่างคร่ำเคร่ง เพราะถ้ารอแก้ไขตอนเกิดการระบาดจากคนสู่คนได้ในลักษณะเดียวกับ
ไก่ เป็ด เสือ ฯลฯ จะไม่มีเวลาพัฒนายาเร็วทันที่จะรักษาชีวิตผู้ติดโรคระบาด ทำให้อาจล้มตายจำนวน
หลายสิบล้านคนทั่วโลกได้

สิ่งที่บุคคลสำคัญในวงการนี้ของโลกกลัวก็คือ การกลับมาทุกรอบ 30 ปีของไข้ระบาดวงกว้างที่เคย
เอาชีวิตคนไปในปี 2461 หลายสิบล้านคนจากจำนวนผู้ป่วยเกือบพันล้านคน ซึ่งช่วงเวลานี้ก็ใกล้ถึง
กำหนดของรอบใหม่แล้ว

ในวงการบริหารความปลอดภัย จะไม่มีการพูดว่า สิ่งไม่เคยเกิดจะไม่เกิด สิ่งสำคัญที่ผู้บริหารความ
ปลอดภัยมืออาชีพทำอยู่ทุกวันก็คือต้องคิดล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้นได้บ้าง (what if) และจะ
ป้องกันไม่ให้มันเกิดได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากสามารถคิดออกถึงสิ่งที่ไม่เคยเกิดแต่มี
โอกาสจะเกิดซึ่งจะมีผลร้ายแรงมากได้ก็จะเป็นการดี ยกตัวอย่างเช่น ความล้มเหลวของยานอวกาศ
อะพอลโล่ 13 เกิดจากการคิดไม่ถึงสาเหตุแอบแฝงมากกว่า 1 เรื่องซึ่งเข้ามาประกอบกันพอดี

โดยสาเหตุนี้เผยตัวบางส่วนออกมาก่อนแล้วแต่ไม่มีการนำมาวางมาตรการ ส่วนใหญ่หัวคิดที่ไม่ได้
ฝึกฝนจะคิดในลักษณะนี้ไม่ค่อยได้ อุปสรรคอีกอย่างหนึ่งก็คือปัญหาในการนำเสนอความคิด เพราะ
หากคิดได้แล้วโวยวายขึ้นมาจะถูกหาว่าบ้า ตามธรรมชาติเรื่องดังกล่าวมีโอกาสเกิดน้อยมากอยู่แล้ว
หากโวยวายแล้วมันไม่เกิด ก็จะถูกสอบสวนถูกประณามหยามเหยียดและถูกลงโทษเป็นหมาหัวเน่า
ไปเลย

ยกตัวอย่างการขาดการประยุกต์ใช้วิธีคิดล่วงหน้าในบ้านเรา ก็เช่นกรณีเสือติดไข้หวัดนกในไทย ซึ่ง
เท่าที่ฟังข่าวมาก็ประมาณได้ว่าเป็นที่เดียวในโลก หากผู้บริหารที่เกี่ยวข้องจัดให้มีการคิดล่วงหน้าว่า
อะไรจะเกิดขึ้นได้บ้างและวางมาตรการป้องกันดักไว้อย่างมีประสิทธิผล เรื่องเสือตาย เพราะติดไข้
หวัดนกจะไม่เกิด เรื่องการคิดล่วงหน้าว่าจะมีอะไรตายเนื่องจากเหตุอะไรได้อีกบ้างนี้น่าจะพอคิดได้
ไม่ยากเกินไป เพราะมีตัวอย่างเปรียบเทียบอยู่แล้ว

วิธีการเหมือนการแทนค่าตัวแปร ทำโดยตั้งต้นที่ข้อเท็จจริงที่ว่า “คนกินไก่ติดไข้หวัดนก” จากนั้น
แทนค่าตัวแปร “คน“ ด้วย “สิ่งมีชีวิตอื่นๆ” ที่จะกินไก่แล้วติดไข้หวัดนกได้ คิดแบบนี้ได้แล้วก็เร่ง
ออกประกาศเตือนผู้ประกอบการ ก็จะเป็นสิ่งที่ผู้บริหารที่เกี่ยวข้องน่าจะต้องปฏิบัติ ซึ่งแม้ขณะนี้จะ
เป็นการล้อมคอกเมื่อวัวหาย (ซึ่งสมัยนี้วัวก็หายบ๊อยบ่อย) แต่ก็ควรกลับไปล้อมกันเสีย ดีกว่าปล่อย
ให้เกิดปัญหาแล้วแสดงความโกรธแล้วสรุปว่าเป็นความผิดของฝ่ายนั้นฝ่ายนี้แทนที่จะมองตัวเอง

คนที่บริหารความปลอดภัยเก่งที่สุดอาจไม่มีใครเห็นผลงานเลย เพราะปัญหาไม่มีโอกาสเกิด แบบนี้
พวกทำงานเอาหน้าไม่ชอบ เพราะมีหลักในการทำงานอยู่ว่า ทำนิดทำหน่อยก็ต้องโฆษณาให้ใหญ่
กว่าหลายๆเท่า (เพราะมันกำไร) ไม่มีการทำสิ่งยิ่งใหญ่โดยคนไม่รู้เด็ดขาด (เพราะมันขาดทุน)

ในประเทศไทยผู้เกี่ยวข้องระดับสูงบอกกับประชาชนว่า “ไม่เคยมีตัวอย่างติดจากคนสู่คน อย่าตกอก
ตกใจไป ไม่เลวร้ายอย่างที่คิด” (พูดคล้ายจะหมายความว่า ไม่มีตัวอย่างแล้วมันจะไม่เกิด) ในขณะ
ที่องค์การอนามัยโลกย้ำเตือนในทางตรงกันข้ามว่า อะไรๆก็เกิดได้โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวอย่าง เช่น
การระบาดของไข้หวัดนกอย่างกว้างขวางและรุนแรงขนาดนี้ก็ไม่เคยมีมาก่อน (แต่ตอนนี้พวกที่ชอบ
พูดว่าอะไรๆถ้าไม่เคยมีตัวอย่างก็จะไม่เกิดคงถูกคลื่นสึนามิสยบทำให้ไม่กล้าพูดอีกแล้ว โดยไม่ต้อง
ให้องค์การอนามัยโลกต้องปากเปียกปากแฉะอีกต่อไป)

จีนเป็นตัวอย่างที่ดีของความไม่ประมาท เจ้าหน้าที่ของจีนระบุความมั่นใจว่าไข้หวัดนกสามารถติดจาก
คนสู่คน ซึ่งก็นำไปสู่การวางมาตรการป้องกันที่ดีให้ทันต่อเหตุการณ์ ซึ่งขณะนี้จีนก็ได้พัฒนาวัคซีน
จนพี่ไทยต้องขอไปดู ทำไมหนอ ต้องเป็นฝ่ายตามเขาเสมอๆ ต่อไปถ้าต้องใช้วัคซีนราคาแพง ก็คงบอก
ไม่เป็นไร มีโครงการ 30 บาทรักษาไข้หวัดนก และประเทศชาติมีเงินแยะ แต่ถ้ายาในโลกมีไม่พอ เมือง
นอกเขาก็จะไม่เจียดมา ตอนนี้ต่อให้นายกเป็นเทวดา หาเงินได้เป็นว่าเล่นอย่างกับพิมพ์ธนบัตรใช้เองได้
ประชาชนไทยก็ต้องตายเป็นเบืออยู่ดี จากผลของความประมาทและไม่รีบขวนขวายช่วยตัวเอง

แต่ก็ช่างเถอะ คนไทยมีชีวิตเสี่ยงไปวันๆกันอยู่แล้ว

สังเกตข่าวในการไปดูงานการใช้วัคซีนของกลุ่มผู้รับผิดชอบของไทย เล่าว่าในจีนและฮ่องกงให้ใช้วัคซีน
แล้ว แต่สำหรับในไทยยังต้องศึกษาว่าจะปลอดภัยไหม ฟังดูแล้วไม่ค่อยน่าเชื่อว่าจีนและฮ่องกงจะยังไม่
ได้คิดในเรื่องความปลอดภัย ที่จริงไหนๆไปดูงานแล้วทำไมไม่ดูมาเสียด้วยว่าเขายอมรับให้ใช้กันได้อย่างไร
เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลามา “คิดใหม่ทำใหม่” ก็ไม่ทราบอีกนานเท่าไรจะคิดจะศึกษาเสร็จ เพราะรัฐบาล
ใช้เวลาคิดนานศึกษานานนี่แหละ ไทยจึงติดอันดับประเทศผู้นำของโลกด้านไข้หวัดนกติดสู่คน ลองคิด
เร็วศึกษาเร็วแบบประเทศอื่นเขาบ้างดีหรือไม่ เผื่อจะมีปัญหาน้อยกว่านี้

ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของไทยก็คือการคิดและศึกษาไม่ครอบคลุม ข้อมูลของกรมควบคุมโรคระบุว่า
ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาโรคไข้หวัดนกทำเนียบรัฐบาลให้สัมภาษณ์กรณีหนังสือพิมพ์บางฉบับลงข่าว

“เชื้อไข้หวัดนกสามารถติดมาสู่คนได้เพียงแค่การเดินเฉียดผ่านเข้าไปใกล้ที่นั้น”

ว่าเป็นการนำเสนอข่าวที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงในทางวิชาการ โดยอธิบายว่าการติดที่พบ จะติด
จากการสัมผัสทางตรงหรือทางอ้อมกับสารคัดหลั่งของสัตว์ปีกที่ติดเชื้อ หรือมูลสัตว์ปีกที่ติดเชื้อปนเปื้อน
อยู่ตามพื้นดินพื้นหญ้า ตามเล้าไก่ จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีรายงาน (อีกแล้ว) การติดเชื้อโรคไข้หวัดนกจาก
การแพร่กระจายทางอากาศแต่อย่างใด ขอให้ประชาชนอย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้จนเกินไป โรคไข้หวัด
นกไม่ได้ติดกันง่ายนัก

นี่อาจจะมองแบบคนเมือง ลืมไปว่าชาวบ้านหลายๆคนเขาไม่ได้ใส่รองเท้าเหมือนตนเอง ถึงใส่รองเท้ามัน
ก็ติดรองเท้าไปไหนๆได้ การมองแคบไปก็อาจเป็นชนวนทำให้โรคระบาดแพร่ได้อีกทาง ทีนี้ตาสีตาสาพา
กันเดินเฉียดผ่านเข้าไปใกล้อย่างสบายใจและย่ำต่อๆไปทุกสารทิศ ก็อาจจะได้พากันตายเพราะคำแนะนำ
นี่แหละ รัฐบาลฟิลิปปินส์ไม่พลาดเรื่องนี้ เขากำหนดมาตรการล้างเท้า (รวมทั้งรองเท้า) ไว้เลย ทั้ง ๆ ที่
เขาเป็นหนึ่งในประเทศที่ปลอดโรคนี้อยู่

นี่น่าจะเป็นคำอธิบายหนึ่งสำหรับการที่เขายังคงไม่เสียหายจากโรคนี้ ในแนวทางความปลอดภัยของหน่วย
งานอาชีวอนามัยและความปลอดภัยของอเมริการะบุไว้ว่า เชื้อไวรัสอยู่ได้ 3 เดือนในมูลสัตว์ ไวรัสประเภท
A ในปุ๋ยมูลสัตว์ 1 กรัมสามารถก่อโรคติดต่อไปยังนกได้ 1 ล้านตัว ส่วนการติดต่อทางฝุ่นกระจายใน
อากาศก็มีสามารถเกิดขึ้นได้ ดังนั้นในการใช้ผ้าปิดจมูกสำหรับผู้เกี่ยวข้องจึงต้องอบรมให้ทดสอบว่าใส่พอดี
หรือไม่ด้วย

แล้วที่ประเทศเราแนะนำให้ใช้ผ้าปิดจมูกนั้นน่ะ ตกลงมีระบบทำ “ฟิตเทสต์” ด้วยหรือเปล่า

หากผู้รับผิดชอบทำอะไรฉาบฉวยเกินไป แก้ปัญหาไม่เท่าไรก็ประกาศว่าสำเร็จ ทั้งยังหมกเม็ดไม่โปร่งใสใน
กาลเทศะที่ไม่เหมาะสม มองอะไรประมาทไม่ครอบคลุม ไม่ละเอียดลึกซึ้ง แล้วยังแถมตัดสินใจชักช้า ก็ดู
ท่าทีว่าอนาคตด้านไข้หวัดนกของไทย จะไม่ได้ตามราคาคุย เรื่องนี้คนไทยทั่วประเทศไม่น่านิ่งเฉย ถ้าเรา
และคนที่เรารักจะต้องเปลี่ยนชาติเปลี่ยนภพกันทั่วหน้ารวมทั้งอาจจะทั่วโลกโดยไม่ใช่เวลาอันควร

เพราะการบริหารแบบนี้ จะยอมไหม

ขอบคุณด้วยใจสำหรับบทความดี ๆ จากคุณลักษณา กรณ์ศิลป อาจจะมองว่าล้าสมัยไปสักนิด
แต่..นี่คืออีกหนึ่งผลงานของรัฐบาลพ่อแม้วเค้าหล่ะ
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby พายุ » Wed Feb 03, 2010 1:47 am

ยิ่งอ่านก้รู้สึกว่าคุณ bird สวยอย่างที่เค้าว่ากัน

งามอย่างมีคุณค่าด้วยจิ Image
" คนที่พูดคำว่า จงรักภักดี คำที่ดีที่สุดคือ สติ เหนือสิ่งอื่นใด ทุกวันนี้สติหด หาย ขาด ถ้ามีสติ มีศีล มีปัญญา ฉลาดรอบคอบ ก็ไม่ทำให้ใครเดือด ร้อน เพราะฉะนั้น คนในสังคมต้องมีสติ อย่าขาดสติ จะให้เราเข้าใจที่สุด"
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล
User avatar
พายุ
 
Posts: 3977
Joined: Mon Oct 13, 2008 1:33 am

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby taracho » Wed Feb 03, 2010 2:00 am

ชอบมากครับ รายละเอียดแน่นเปี๊ยะ ขยันมากครับขอชม (ขออนุญาติเรียกพี่ละกัน ผมว่าผมเด็กกว่า555+) อ่านรวดเดียวถึงหน้า13เลย
เอา เกือบทำงานไม่ทัน 555+ สนับสนุนครับ กระทู้ดีมีสาระ เจ้าของกระทู้สุภาพชนด้วย :D
จะยึดมั่นในสติ จะปกป้องด้วยชีวา เพราะเราคือ ทหารพระราชา
ปล.คนเราถ้าลืมรากเหง้าของตัวเองก็ไม่ต่างกับคนที่ตายแล้ว และประเทศไหนที่ลืมรากเหง้าก็คือประเทศที่สาบสูญแล้วเช่นกัน แล้วเราจะปล่อยให้ประเทศของเราเป็นเช่นประเทศที่สาบสูญฤา
User avatar
taracho
 
Posts: 134
Joined: Tue Feb 02, 2010 2:41 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby pooyong » Wed Feb 03, 2010 5:09 am

ดีครับ
การรับใช้แผ่นดิน คือความเบิกบาน
User avatar
pooyong
 
Posts: 1496
Joined: Mon Oct 19, 2009 9:55 am

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Wed Feb 03, 2010 11:36 am

“ดับเบิ้ลแสตนดาร์ด” ในการรับมือไข้หวัดนก

โดย ลักษณา กรณ์ศิลป : 18 พฤศจิกายน 2548

เมื่อ กทม. ยอมรับความจริงเรียกว่าบกพร่อง รัฐบาลโกหกบิดเบือนเรียกว่ามีผลงาน?

ได้ยินประเด็นที่ กทม. ไม่ทราบเรื่องไก่ตายเพราะไข้หวัดนกใน 1 จุด ถูกพรรครัฐบาลออกมาโจมตีจนหูชา
และทำให้ กทม.ได้ออกทีวี ก็ค่อยหายน่าเบื่อไปหน่อย ช่วงนี้ไม่ทราบเป็นอย่างไร เห็นแต่ฝ่ายรัฐบาลในทีวี
ดิฉันรู้สึกประหลาดใจ เพราะจากข้อมูล น่าจะชัดเจนว่ารัฐบาลมีปัญหาหนักข้อยิ่งกว่า กทม. มากมายนัก

แต่ทำไมเงียบกริบกับเรื่องของตัว

รู้สึกจะเป็นช่วงก่อนเลือกตั้ง เมื่อเดือนมกราคม 2548 มีไก่ตายทั่วประเทศ 43 จุด พบว่าเป็นไข้หวัดนก 23 จุด
แต่คุณทักษิณและ รมต. สาธารณสุข ในสมัยนั้น (ใครกันหนอ จำกันได้มั้ย) ออกมาให้สัมภาษณ์กันหน้าตาเฉยว่า

“ระวังดีๆล่ะ อย่าให้มันกลับมาอีก …” (vnagency.com. vn 22 ม.ค. 2548)

รมต. สาธารณสุข ยังแถมท้ายอีกด้วยว่า

“… เป็นรอบที่สาม” (mcot.org 21 ม.ค. 2548)

ซึ่งช่วงนั้นเขาเรียกกันว่า รอบที่สอง “อย่าให้กลับมาอีกเป็นรอบที่สาม” หมายความว่าในเดือนมกราคมนั้น รอบที่
สองมันไปแล้วนะ

แต่ในความเป็นจริงพบว่า ในขณะที่ทั้งสองคนให้สัมภาษณ์ทำนองว่าไข้หวัดนกมันไปแล้ว นอกจากมันยังไม่ได้ไป
แล้วในเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ก็ยังมีไก่ตายอย่างต่อเนื่องมากขึ้นไปอีก เป็น 170 จุด จากจำนวนนั้น พบว่าเป็น
ไข้หวัดนก 71 จุด พิสูจน์ว่า การที่รัฐบาลทำให้คนเข้าใจผิดว่าไม่มีไข้หวัดนกแล้ว ทำให้โรคลาม

เวลาผ่านมาอีกถึงเดือนเมษายน 2548 ก็มีข่าวแวบๆออกมา ว่ารอบที่สองเพิ่งหมด เหมือนตบหน้าคุณทั้งสองนั่น
ฉาดใหญ่ ไม่รู้ว่าจะรู้สึกเจ็บหรือไม่

ตกลงที่พูดว่าอย่าให้กลับมาอีกทำให้คนทั้งประเทศเข้าใจผิดว่าไข้หวัดนกได้หมดไป
ถ้าไม่ใช่เป็นการโกหกบิดเบือนแล้ว จะเรียกว่าอะไร


และเมื่อประชาชนตายเพราะขาดความระมัดระวัง ไม่ว่าอยู่กรุงเทพหรือต่างจังหวัด ผู้นำรัฐบาลก็เป็นฝ่ายผิดอยู่ดี
เพราะขอบข่ายการประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลนั้นคือทั่วประเทศ

ช่างเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเหลือเกินสำหรับคนไทย เมื่อหนังสือพิมพ์ยอดนิยมฉบับหนึ่งของไทยเขียนในเดือนมกราคม
2548 หนักข้อเข้าไปอีกว่า รอบที่สองหมดไปตั้งสามเดือนแล้ว ถ้าไม่นับเดือนมกราคมที่เขียนบทความรายงาน
ออกมา ช่วงที่ว่าก็จะตกอยู่ระหว่างเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2547

ความเป็นจริง สามเดือนที่กล่าวมานั้น ไก่ตายและโดนฆ่าไปเกือบสองล้านตัว เฉพาะเดือนตุลาคม 47 มีจำนวนที่
รายงานว่าผลการตรวจพบเชื้อไข้หวัดนกกว่าหกแสนตัว

ดิฉันถามผู้เขียนคอลัมน์นั้น ว่าคุณเขียนได้อย่างไร ในเมื่อไข้หวัดนกยังมีอยู่ตลอด ผู้เขียนบอกว่า ทางการให้ข่าว
มาแบบนั้น ก็เขียนไปแบบนั้น

ตกลงสื่อมีไว้เพื่อเป็นเครื่องมือรัฐบาลในการโกหกบิดเบือนอย่างนั้นหรือ

ที่สนุกสนานอย่างเละเทะยิ่งขึ้นไปอีกคือ คนไทยไม่รู้ แต่พม่ารู้ ว่าไทยมีไข้หวัดนก ถึงขนาดยกเลิกการนำเข้า
ไก่ไทย หลังจากหนังสือพิมพ์ไทยลงข่าวไทยปลอดไข้หวัดนกมาตั้งสามเดือนแล้ว เพียงวันดียว (irrawaddy.org 28 ม.ค. 2548)

แบบนี้ไม่ต้องไปพัฒนาระบบสื่อสารให้เขาหรอก คุณทักษิณ เก็บเงินเอาไว้พัฒนาประเทศที่คุณกำลังเป็นนายกฯ
อยู่น่ะแหละจำเป็นที่สุด พัฒนาเรื่องการรับรู้นะ ไม่ใช่เครื่องไม้เครื่องมือ


เพราะขนาดมีงบแยะเครื่องมือสื่อสารแยะ รัฐบาลใช้เครื่องมือกันอย่างไร คนไทยเหมือนกบที่ถูกกักไว้ในกะลา

มิน่า มีธุรกิจบางรายเชียร์ให้ออกไปนอกกะลา ซึ่งดูจากข้อมูลนี้แล้ว เราน่าจะเพิ่งเข้ากะลากันมาเมื่อ 4-5 ปี
นี่เอง.....

แล้วยังไง ... ไก่ตายแอบๆอยู่ตัวเดียวในบ้าน เขาไม่ไปแจ้ง กทม. ก็เลยไม่ทราบ กทม. ยอมรับ โดนฝ่ายรัฐ
บาลรุมเชือด

แต่ตอนไก่ตายและถูกฆ่าเป็นแสนเป็นล้านในจังหวัดอื่นๆทั่วประเทศ ที่เป็นฝีมือรัฐบาลดูแล กลับลอยตัวเฉย

มิหนำซ้ำคุณทักษิณและรมต. สาธารณสุข ออกมาพูดเป็นทางตรงกันข้าม ประมาณว่าเป็นผลงาน ซึ่งมีผลผูกพันไปสู่การได้รับเลือกตั้ง

ตกลงดูแล้วก็เป็นสองมาตรฐาน

บทความข้างต้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบทความฉบับสมบูรณ์ซึ่งมีความยามประมาณ 6 แผ่น (A4)

คุณลักษณากล่าวไว้ได้น่าคิด ซึ่งในปัจจุบันมวลชนทรักกี้ออกมาเคลื่อนไหวภายใต้คำกล่าวอ้างที่ว่า

"รัฐและกระบวนการยุติธรรมใช้ระบบ ๒ มาตราฐาน" นั่นอาจเป็นเพราะ ทรักกี้เป็นต้นแบบของระบบ
๒ มาตราฐาน จึงสามารถล่วงรู้ขั้นตอนและวิธีการของระบบ ๒ มาตราได้เป็นอย่างดี

หรือเพราะว่า... จากวิสัยทัศน์ของทรักกี้แล้ว

ระบบของทรักกี้ ประเภท เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น ถือเป็นมาตราฐานเดียว

แต่ระบบที่กระทำโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ ถือเป็น ๒ มาตราฐาน

นั่นก็หมายความว่า...โลกใบนี้ ล้วนใช้ระบบ ๒ มาตราฐาน ใช่หรือไม่

หมายเหตุ...ท่านใดต้องการบทความฉบับสมบูรณ์ แจ้งได้ทาง pm จะจัดส่งให้ถึงบ้าน
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Wed Feb 03, 2010 11:44 am

vigz wrote:สองมือดันๆๆ ๆ ดันให้K.Birdสวยขึ้นไปอีก :D :D :D

ขอบคุณที่กรุณาช่วยดัน ให้สวยขึ้นนะค่ะ
แต่ว่า...ความสวยคงได้เท่านี้หละค่ะ
แต่..ข้อมูลยังมีอีกเพียบค่ะ... :mrgreen:

พายุ wrote:ยิ่งอ่านก้รู้สึกว่าคุณ bird สวยอย่างที่เค้าว่ากัน
งามอย่างมีคุณค่าด้วยจิ Image

ขอบคุณค่ะ คุณพายุ...
ตอนนี้กำลังเหลิงอยู่กับคำชมค่ะ
อยากสวยเหมือนคำชมจังเลย อิ อิ อิ :mrgreen:

taracho wrote:ชอบมากครับ รายละเอียดแน่นเปี๊ยะ ขยันมากครับขอชม (ขออนุญาติเรียกพี่ละกัน ผมว่าผมเด็กกว่า555+) อ่านรวดเดียวถึงหน้า13เลย
เอา เกือบทำงานไม่ทัน 555+ สนับสนุนครับ กระทู้ดีมีสาระ เจ้าของกระทู้สุภาพชนด้วย :D

ขอบคุณค่ะ คุณน้อง (รีบรับสมอ้าง)
ที่กรุณาแวะมาอ่านน่ะค่ะ..ถือเป็นอีก ๑ กำลังใจค่ะ
จะพยายามต่อไปค่ะ :mrgreen:

pooyong wrote:ดีครับ

ดีเช่นกันค่ะ..สบายดีน่ะค่ะ :mrgreen:
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm


Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby DumpDump » Wed Feb 03, 2010 2:35 pm

อ่านเพลินดีจริง ๆ มีหลายอย่างที่ไม่เคยคิดและคิดไม่ถึงมานาน พอได้อ่านแล้วคิดย้อนกลับไปก็จริงดังที่คุณว่า ;) คุณ Bird ก็ขยันอัพเดทจริง ๆ พี่น้องเสื้อแดงเขาหาใบบอกกันไม่ทันเลย เพราะแต่ละอย่างพ่อแม้วดันทำไว้แบบนั้นจริง ๆ
อยากรู้ว่าประชาธิปไตยไทยเป็นแบบไหน ให้ดูการใช้รถใช้ถนน
รู้จักกันแต่สิทธิ แต่ไม่เคยรู้จักหน้าที่ ในการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่วางไว้

แป๊ะ ออกไป๊
DumpDump
 
Posts: 1669
Joined: Fri Jan 23, 2009 1:45 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Thu Feb 04, 2010 6:14 pm

ข้อมูลที่ปลูกฝังความเชื่อผิด ๆ

ก่อนที่จะเข้าเนื้อหาในช่วงต่อไป ขออนุญาตินำเสนอบทความหนึ่งที่เผยแพร่ของในระบบ
อินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นบทความที่พยายามปลูกฝังความเชื่อ ความรู้ในมุมมองที่แคบและเป็น
มุมมองด้านเดียว มีการอ้างอิงหลักการ เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่อยู่ในลักษณะ
อคติ พยายามสร้างความเชื่อที่ว่า ประชาชนกลุ่มเกษตรกรถูกกลั่นแกล้งจากกลุ่มบุคคลที่
โดยเรียกว่า อำมาตย์ในสายตาของมวลชนกลุ่มหนึ่ง และ รัฐบาลที่กำลังทำหน้าที่บริหาร
บ้านเมืองในช่วงวิกฤต ความว่า

มองระบอบการปกครองในมุมกว้าง
โดยป้าอ้อย ๗ มกราคม ๒๕๕๓ 01:56:49 pm

จากบทความเรื่อง “ธนาธิปไตย (Plutocracy)” โดย ชำนาญ จันทร์เรือง

อริสโตเติล นักปราชญ์ชาวกรีก แบ่งรูปแบบการปกครองทั้งที่ดีและที่ไม่ดีเอาไว้ 6 ประเภท

ระบบปกครองที่ดี
ผู้ปกครองคนเดียว monarchy = ระบบกษัตริย์ หรือราชาธิปไตย
กลุ่มผู้ปกครอง aristocracy = ระบบขุนนาง หรือ อภิชนาธิปไตย
คนหมู่มาก polity = ระบบที่ปกครองโดยชนชั้นกลาง


ระบอบที่ไม่ดี
ผู้ปกครองคนเดียว tyranny = ระบบทรราชย์
กลุ่มผู้ปกครอง oligarchy = ระบบพวกพ้อง หรือคณาธิปไตย
คนหมู่มาก democracy = ระบบประชาธิปไตย


ในมุมมองของอริสโตเติล สิ่งที่เขามองข้ามไปคือ ทุกคน ไม่ว่ารวยหรือจน หรือมีชาติกำเนิด
อย่างไร ต่างมีความละโมภโลภมากเท่าเทียมกัน ที่ต่างกันคือการมีจิตสำนึกผิดถูก หรือชั่วดี
ส่วนที่ดีที่สุดคือ ผู้ที่มีความเห็นว่าการทำดีนั้น ให้ผลดีอย่างกว้างขวาง และให้ผลในระยะยาว

ผู้ที่เป็นตัวอย่างในการมีจิตสำนึกที่ดีคือ ท่านอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร

เมีอพิจารณาด้านความรู้สึกและความคิดเห็นจากประสบการณ์ คือ ท่านเคยยากจนในวัยเด็ก
และในวัยกลางคนก็มีปัญหาการเงิน ทำให้สามารถเข้าใจความรู้สึกในยามขัดสน และความ
รู้สึกของคนจน และเข้าใจดีว่าคนจนนั้นมีศักยภาพ แต่ที่ดีกว่านั้น คือ

“การมีทัศนคติกว้างไกล ว่าสิ่งใดเป็นประโชนน์ หรือสิ่งใดทำให้เสียประโยชน์”

ท่านอดีตนายกฯ เห็นว่า หากทำให้คนจนทั่วไปมีโอกาสในการทำมาหากิน สภาพความจนใน
ประเทศจะบรรเทาลง คนส่วนใหญ่มีฐานะดีขึ้น และรัฐบาลสามารถเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น

ตามเหตุผลนี้ จะเห็นได้ว่า ระบบส่วนใหญ่มีข้อดีและข้อเสียอยู่ในตัวของมันเอง ขึ้นอยู่กับว่า
จะนำมาใช้ในช่วงเวลาใด และการนำระบบใดระบบหนึ่งมาใช้ สามารถปรับแต่งระบบนั้นให้
เหมาะสมกับทั้งสภาพการ และกาลเวลา

ตัวอย่างเช่น

ระบบพวกพ้องหรือคณาธิปไตย (oligarchy) เราอาจกล่าวหาว่านี่เป็น ระบบพวกพ้อง
ทว่าในสหรัฐอเมริกา เมื่อเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ชุดทำงานของประธานาธิบดีคนเก่า
จะถูกโล๊ะทิ้งหมด โดยประธานาธิปดีคนใหม่จะแต่งตั้งชุดทำงานตามที่ตนเห็นสมควร การ
กระทำนี้เป็นที่ยอมรับ


ระบบทรราชย์ คือพฤติกรรมของผู้ที่ปราศจากคุณธรรมหรือศีลธรรม ตัวอย่างเห็นได้มากมาย
ในปี พ.ศ. 2551-2552


อย่างไรก็ตาม ระบบเผด็จการจิตกุศล (benevolent dictatorship) ก็มีให้เห็นและให้ศึกษาดู
อย่าง นายลี กวน ยู นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ ที่มีการปรับแต่งเอาระบบเผด็จการมาใช้ร่วม
กับระบบประชาธิปไตย

ปัจจุบัน ประชาชนคนไทยเหลืออดเหลือทนกับระบบการปกครองแบบอื่นๆ ที่ชนชั้นสูงและ
ชนชั้นกลางนำมาใช้เฉพาะในแง่มุมที่เป็นประโยชน์แก่ตนเอง และกดขี่ประชาชน และเห็นมีแต่
ระบอบประชาธิปไตยที่เห็นความสำคัญของประชาชนทั่วไป ส่วนข้อเสียของระบอบประชาธิไตย
ก็ได้มีการแก้ไขมาโดยลำดับ

อริสโตเติลเห็นว่า คนร่ำรวยมีแต่ความเห็นแก่ตัว และขาดความเห็นอกเห็นใจ ส่วนคนจนก็
เรียกร้องไม่มีที่สิ้นสุด จึงเห็นว่าชนชั้นกลาง เนื่องจากไม่รวยมาก แต่ก็พอจะมีความเห็นอก
เห็นใจ และเนื่องจากไม่ถึงกับยากจนจึงไม่จำเป็นต้องเรียกร้องอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ในแง่คิดอคติเกี่ยวกับคนยากจนของอริสโตเติล เหตุผลที่ถูกต้องคือ เนื่องด้วยคนจนเป็นผู้ที่
ขาดแคลน จึงดูคล้ายกับว่าโลภมากและเรียกร้องอย่างไม่สิ้นสุด

ในกรณีนี้ ท่านอดีตนายกทักษิณ จึงเปิดโอกาศในทางทำมาหากิน หลายโครงการ ทำให้คนจน
เลิกขาดแคลนและไม่จำเป็นต้องเรียกร้อง พร้อมกับเกิดความภาคภูมิใจที่สามารถพึ่งพาตนเองได้


แต่สำหรับในแง่ของอำมาตยาธิปไตย พวกเขาพยายามทำให้ชนชั้นกลางกลายเป็นคนจน
พร้อมกับเหยียบย่ำดูถูกดูแทนคนจน


ในการแยกวรรณะของประเทศอินเดีย ซึ่งยึดมั่นอยู่กับระบบวรรณะ ถือว่า

วรรณะพราหม์ คือนักบวชหรือพระ นำหน้าเพราะเป็นครูอาจารย์ ต่อมาคือ กษัตริย์ ที่เป็น
วรรณะของชนชั้นปกครอง ตามด้วย แพศย์ เป็นวรรณะของ พ่อค้าและเกษตรกร จบด้วย
ศูทร หมายถึงกรรมกร และผู้ใช้แรงงาน ส่วนจันฑาล คือผลิตผลของผู้ที่แต่งงานข้ามวรรณะ
ถือว่าต้องถูกเหยียดหยาม


พระพุทธเจ้าทรงพยายามกำจัดความเชื่อทางชนชั้นวรรณะ พุทธศาสนาจึงต้องถูกกำจัดไปจาก
ประเทศอินเดีย และปัจจุบันใครที่นับถือพุทธศาสนาจะถูกมองว่าเป็นจันฑาล

ท่านอดีตนายกฯ ดร.ทักษิณ ชินวัตร พยายามทำให้ทุกคนมีโอกาสในการทำกิน ซึ่งจะทำให้
ช่องว่างระหว่างชั้นชั้นแคบลงเรื่อยๆ ดังนั้น พร.ทักษิณจึงต้องถูกกำจัด และใครก็ตามที่ชื่นชอบ
ดร.ทักษิณ จะถูกใส่ร้ายว่า เป็นขี้ข้าดร.ทักษิณ รับเงินดร.ทักษิณ และไม่มีความคิดเป็นของ
ตนเอง


ในทุกประเทศ เกษตรกร โดยเฉพาะชาวนา และเป็นกลุ่มคนที่ร่ำรวย แต่ในประเทศไทย แม้ว่า
บอกว่า ชาวนาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ และข้าวเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ แต่ชาวนากลับถูก
ผู้บริหารประเทศกลั่นแกล้งมาโดยตลอด

พอทำนาได้ข้าวมาก ราคาก็ตกต่ำ
พอผลผลิตน้อย ก็ไม่พอกิน ต้องไปกู้หนี้ยืมสินเกิดปัญหาซ้ำซากมาตลอด


ในปี 2551 ท่านสมัคร สุนทรเวชดำเนินการทำให้ข้าวเปลือกกลายเป็นทองคำ ชาวนาเริ่มเงย
หน้าอ้าปากได้


แต่ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ชาวหน้าถูกกลั่นแกล้ง พอจะขายได้ รัฐบาลก็ประกาศประกันราคา
ข้าวตัดหน้า ดังนั้น ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนถึงถอยห่างออกไปเรื่อยๆ


ดังนั้น จึงต้องโค่นล้มอำมาตย์แบบถอนรากถอนโคน เมื่อโค่นแล้วก็ต้องเผาทั้งต้นและตอที่ขุด
ขึ้นมาได้ เอาขึ้เถ้าไปทิ้งทะเลอย่าให้เหลือเชื้อ

มิฉะนั้น ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศจะต้องถูกกลั่นแกล้งอยู่เช่นนี้เรื่อยไป โดยพวกเขากำลัง
จัดให้มีการ รวยกระจุกจนกระจาย และทำให้ประชาชนอยู่ร้อนนอนทุกข์ ไปทั่วทุกหย่อมหญ้า



ดังกล่าวข้างต้นนั้น เป็นบทความหนึ่งที่ปรากฎอยู่บนระบบอินเตอร์เน็ต ระบบที่ยากต่อการ
ควบคุม คัดกรองข้อมูลที่นำเสนอว่าถูกหรือผิด ที่นี่ท่านลองดูความคิดเห็นของบุคคลที่เข้า
มาอ่านบทความข้างต้น ว่าบุคคลเหล่านั้นรู้สึกเช่นใด

Reply #1 เมื่อ: ๗ มกราคม ๒๕๕๓, 02:07:12 pm
ขอบคุณป้าอ้อยมากครับ ได้ความรู้ดีๆเพิ่มขึ้น มีอีกเอามาอีกนะจ๊ะป้าอ้อย จุ๊บๆ ร๊ากกกป้าอ้อยที่สุดเยย


Reply #2 เมื่อ: ๘ มกราคม ๒๕๕๓, 07:17:49 pm
อิสระและเสรีภาพ จะเป็นของท่าน

เมื่อท่านอ่านบทความนี้อย่างตั้งใจจริง


Reply #3 เมื่อ: ๘ มกราคม ๒๕๕๓, 11:27:33 pm
กว่าจะอ่านจบเหนื่อยเลย.....เอ!...ตอนนี้เราอยู่อินเดียรึเปล่าเนี่ย.....
ขอบคุณป้าอ้อยค่ะ


ข้อมูล บทความในลักษณะนี่ เกิดขึ้นมากมายตามเว็บบอร์ด และแพร่กระจายไปอย่าง
รวดเร็ว จากนักท่องเน็ต ไปสู่กลุ่มบุคคลที่ไม่นิยมท่องเน็ต และไปสู่กลุ่มบุคคลที่ไม่มี
ความรู้เกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตเลย ข้อมูลถูกแปลเปลี่ยนจากนิด ๆ หน่อย ๆ ค่อย ๆ มากขึ้น
จนแทบจะไม่เหลือเค้าโครงเดิม ข้อมูลที่แปลเปลี่ยนไปก็มักจะรุนแรงขึ้น

นั่นเพราะ วิสัยของบุคคลที่มักจะเชื่อในข้อมุลรุนแรงมากกว่าข้อมูลที่ราบเรียบ

กลุ่มบุคคลที่ห่างไกล ไม่ทันต่อสถานการณ์ โอกาสรับรู้ข่าวสารน้อย จึงมักจะตกเป็น
เครื่องมือของข้อมูลและบทความในลักษณะนี่ สิ่งที่ตามมาคือ อคติ ทิฐิ สุดท้ายก็จะ
กลายเป็น โกรธแค้น โกรธเกลียด...ค่อยฝังรากลึกอยู่ในจิตใจ ยากที่จะแก้ไขได้

แต่มิใช่ว่าจะแก้ไขไม่ได้ การแก้ไขความรู้สึกนึกคิด อคติ ทิฐิ ในใจนั่นต้องใช้เวลา
และความอดทนจากบุคคลรอบข้างอย่างมาก...

มาช่วยกันแก้ไข ความรู้สึก อคติ ทิฐิ ที่ฝังรากลึกอยู่ในจิตใจของบุคคลที่เป็นเครื่องมือ
ของกลุ่มคนไม่หวังดีต่อประเทศ ด้วยความอดทน อดกลั้น..

เพื่อบ้านเมือง เพื่อพ่อของเรา.....

ด้วยความเคารพต่อทุกท่าน ด้วยความจริงใจ
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Thu Feb 04, 2010 6:41 pm

ขอโทษค่ะ...ผิดพลาดเล็กน้อย :mrgreen:
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby dahlia » Thu Feb 04, 2010 8:00 pm

บทความที่คุณเบิร์ดนำมาลง ถ้าจะให้ธิบายเป็นวิทยาศาสตร์หน่ิอยว่า ทำไม คนถึงหลงเชื่องมงายกัน

เรื่องง่ายๆ นี้สามารถตอบโจทย์ด้วยเรื่องที่ว่า ทำไมหนังสือซุบซิบนินทาดารา มันถึงได้วางเกลื่อนแผงหนังสือ ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า และ ผู้คนถึงชอบกัน
บทความที่คุณเบิร์ดยกมาก็เหมือนกัน มันไม่ต่างจาก บทความในหนังสือซุบซิบนินทา ดารา เท่าไหร่หรอก ไอ้เรื่องประเภทเร้นลับ ตามซอกหลืบ
และที่สำคัญ คนในประเทศนี้เมืองนี้ชอบเชื่ออะไรที่ยังไม่มีการพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์หรอก ยิ่งเรื่องที่ซุบซิบนินทา บอกเป็นความลับ คนประเทศนี้ยิ่งเชื่อใหญ่

จากที่ผมพิมพ์มาข้างต้นน่าจะสรุปคำตอบได้ว่า ทำไมถึงมีคนเชื่อบทความที่ คุณเบิร์ด นำมาลงครับ
ผมเป็นแฟนคลับ แคนไท , ริดกุน , nontee , eAT , Moon , tonythebest , -3- , amplepoor , เด็กปากดี
User avatar
dahlia
 
Posts: 1375
Joined: Mon Oct 12, 2009 2:35 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby overtherainbow » Fri Feb 05, 2010 12:21 pm

:mrgreen: หัวข้อแบบนี้ยากจริงๆ
ความเชื่อ ศรัทธา เป็นเรื่องต้องผ่านกระบวนการหลายอย่าง
ใช้เวลาด้วย
ใครคิดทางแก้ได้ ถือได้ว่าช่วยชาติพ้นวิกฤติได้เลย
ขอคิดก่อน คิดมาหลายเดือนแล้วด้วย :|
User avatar
overtherainbow
 
Posts: 3123
Joined: Sat Dec 27, 2008 12:36 pm

PreviousNext

Return to ห้องสมุด