เปลว สีเงิน พูดถึง แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง เอาไว้ตั้งแต่ต้นเดือนที่แล้วครับ
หลักๆ ก็คือเห็นด้วยกับโครงการ แต่ตั้งข้อสังเกตว่ามันสำคัญที่ความเชื่อมั่น
ของประชาชนในตัวรัฐบาลมากกว่า
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เงินไม่ใช่ตัวทำให้"ไทยเข้มแข็ง"เปลว สีเงิน 7 พฤษภาคม 2552 - 00:00
http://www.thaipost.net/news/070509/4285 อันที่จริงสินค้าประเภทอบายมุขทั้งหลาย โดยเฉพาะ เหล้า เบียร์ บรั่นดี บุหรี่ นี่ ไม่น่าเรียกในเชิงประณามเขาเลยว่า "สินค้าบาป" เพราะผมเห็นเข้าตาจนทีไร ก็รอดตายไปได้เพราะใบบุญของสิ่งที่เรียกว่า "สินค้าบาป" ทีนั้น สดๆ ร้อนๆ ในภาวะรัฐบาลกระเป๋าขาด เฉพาะหน้าก็ต้องหันไปพึ่ง "ภาษีสินค้าบาป" เรียกว่าขึ้นภาษีสรรพสามิตทั้งเหล้า ทั้งเบียร์ ทั้งบรั่นดี แต่รอบนี้ "บุหรี่" รอดไปได้ น่าจะเรียกว่า "สินค้าทาสในเรือนเบี้ย" หรือสินค้า "ผู้มีอุปการคุณ" จะเหมาะกว่านะ เพราะสามารถจิกหัวเอามาสนองอยากได้ตามอยาก...ทุกครั้งไป!
ตัวเหล้า ตัวเบียร์น่ะ มันไม่ใช่ตัวบาปหรอก คนกินตะหากคือตัวบาป เพราะมันเป็น "น้ำแปลงร่าง" เมื่อกินได้ที่ จะแปลงนิสัย สันดานคนกินให้เป็นไปต่างๆ นานา แล้วไปทำอะไรต่อมิอะไรในทางที่ไม่ดี ฉะนั้น ให้รัฐบาลรีดภาษีจากคนกินหนักๆ จะได้หมั่นไส้รัฐบาล แล้วพานไม่กง..ไม่กินมันส่งไปเลย!
แต่ผมว่าไม่หรอก หมั่นไส้หนักๆ เข้า ก็จะต้องดวดซักเป๊ก-สองเป๊ก ดับหมั่นไส้ เลยหนักเข้าไปอีก เหมือนงูนั่นแหละ ยิ่งรีดพิษ ยิ่งมีพิษเพิ่ม งูพิษไม่เคยตายเพราะพิษตัวเอง ฉันใด คนขายสินค้าอบายมุข ก็ไม่เคยเดือดร้อนจากภาษี ฉันนั้น เพราะคนดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ สูบบุหรี่
นั่นคือ คนรับหน้าที่เดือดร้อน และหน้าที่ตายแทน!
ถึงอย่างนี้ก็เถอะ ก็ยังมีคน "เต็มใจตาย-เต็มใจเดือดร้อน" ทยอยเข้าคิวจากรุ่น-สู่รุ่นไม่เคยขาด รวมทั้งตัวผมด้วย เออ..มันก็แปลกดีนะ!
เอาน่ะ..คนกินเหล้า-สูบบุหรี่ ผมยกให้เป็น "ผู้เสียสละแนวหน้า" อย่างน้อยเวลานี้ จากภาษีสรรพสามิตที่จะรีดได้ตามเป้าตั้ง ๖ พันกว่าล้าน ก็น่าจะเอาไปโปะเงินคงคลังที่รัฐบาลตอดไปใช้โน่น-ใช้นี่ ให้กลับมามีตัวเลขที่เสถียรตามระบบได้
พูดถึงเรื่องคลัง ผมก็หายใจไม่ทั่วท้องไปกับรัฐบาล เมื่อบ้านเมืองค้าขายไม่ได้ปกติ ชาวบ้านชาวช่องชักหน้าไม่ถึงหลัง ที่เคยจับจ่ายใช้สอยแบบ "มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท มีอยู่บาทฟาดให้เหี้ยนเตียนกระเป๋า ถึงไม่มียืมเขาก็ยังเอา" อะไรประเภทนั้น ก็ต้องหันกลับมากิน-มาใช้ตามที่ท่าน "สุนทรภู่" สั่งสอน คือ "มีน้อยใช้น้อยค่อยบรรจง อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน"
เมื่อชาวบ้านเป็นอยู่อย่างมีเหตุผลในการใช้จ่าย รัฐบาลก็ "ตายซีครับ" คือไม่รู้จะไปเก็บภาษีเอาจากที่ไหน ไม่มีใครหรอกครับที่ไม่จ่ายภาษีให้รัฐ ขึ้นรถเมล์ ซื้อบะหมี่ซอง นั่นเขาก็บวกภาษีให้เราจ่ายเรียบร้อยอยู่ในนั้น กระทั่งซื้อไม้ขีดกล่อง ก็หนีภาษีที่บวกในราคาไปไม่พ้น
เมื่อคนกินน้อย ใช้น้อย เที่ยวเตร่น้อย เท่ากับว่า "ตัวกระตุ้นเศรษฐกิจ" มันไม่ทำงานตามระบบ ผลที่ตามมาคือ "ระบบเศรษฐกิจ" การเงิน-การคลังของประเทศก็ป่วย และถ้าปล่อยให้ป่วยเรื้อรัง ประเทศชาติซึ่งเป็นนามธรรมไม่ตายหรอก แต่ชาวบ้านอย่างเราๆ ท่านๆ นี่แหละตายก่อน
ถ้าไม่ตาย ก็ต้องถึงขั้นปล้น-ฆ่า เอาเนื้อคนมาต้มกับมาม่า-ยำยำ กินกัน!
ต้องเข้าใจอยู่อย่างว่า ในภาวะระบบการเงิน-การคลังของประเทศป่วย ไม่ได้หมายความว่า ประเทศชาติ "ไม่มีเงิน"
มีครับ เงินมันมีเหมือนเดิม หรือจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่า "เงินมันไม่หมุนไป และเงินมันไม่หมุนมา" เท่านั้น มันหายไปจากระบบ และถ้าถามว่า
"แล้วมันหายไปอยู่ซะทางไหน?" คำตอบก็คือ
ไปอยู่ในกระเป๋าพ่อค้า ในกระเป๋านักธุรกิจ-นักลงทุน ในกระเป๋าคนรวย ในกระเป๋าเศรษฐี ในธนาคารต่างๆ ในสินทรัพย์ ประเภทสังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์ ประเภทสินค้าวัตถุดิบ ไม่เว้นกระทั่งตามย่ามหลวงพ่อ หลวงพี่ และวัดวาอารามต่างๆ ซึ่งยังไม่นับของพวกนักการเมือง และพวกค้าขายของทุจริตผิดกฎหมายที่เอาเงินสดไปฝังตุ่มไว้
นี่..เงินมันมี แต่ไม่สามารถทำให้เงินอัน "นอนนิ่ง" อยู่ตามที่ต่างๆ ไหลออกสู่ระบบ ที่เรียกว่าระบบ "ขาดสภาพคล่อง" อะไรประมาณนั้น ฉะนั้น ประเด็นมันอยู่ที่ว่าจะหาวิธียังไง หลอกล่อให้เงินมันโผล่หัวออกมาจากที่หลบภัยเศรษฐกิจของมันเท่านั้น
แต่ดูเหมือน "เด็ก ๒ คน" คือนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับคุณกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ไปนอนคิดหาวิธี "เอาเงินล่อเงิน" ออกมาได้แล้ว คือเมื่อวานนี้ (๖ พ.ค.๕๒) คุณกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ท่านออกมาจากที่ประชุม ครม.บอกว่า วงเงินลงทุนตามโครงการต่างๆ ตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะ ๒ จากปี ๒๕๕๓-๒๕๕๕ จำนวน ๑,๕๖ ล้านล้านบาท นั่นน่ะ
ปรับลดลงเหลือ ๑.๔๓ ล้านล้านบาท และ ครม.อนุมัติเรียบร้อยแล้ว!
ก็หมายความว่า ใน ๓ ปีต่อจากนี้ รัฐบาลจะไม่บริหารแบบ เอางบประมาณรายจ่ายประจำปีมานอนแทะเพื่อยังชีพระบบข้าราชการกันเองให้รอดตายไปปีๆ แต่รัฐบาลจะหาเงิน "นอกงบประมาณ" อีก ๑.๔๓ ล้านล้านบาท มาสร้างสภาพคล่อง มาสูบฉีดเป็นเลือดหล่อเลี้ยงให้ระบบหมุนเวียน
นั่นคือ เมื่อเอาเงินมาหมุนไป-หมุนมา ชาวบ้านก็จะมีชีวิตชีวา วงจรชีวิตพลอยลื่นไหล หมุนไป-หมุนมาตามไปด้วย การหมุนไป-หมุนมา นั้น เท่าที่ฟังท่านรัฐมนตรีท่านบอก ท่านจะใช้แผน "ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ "
จะจ้างงานผ่านโครงการการลงทุนของรัฐทั้งระยะสั้น-ระยะยาว ตามประเภทต่างๆ ๑.ลงทุนเกี่ยวกับชลประทาน ๒.พัฒนาระบบขนส่ง ๓.พัฒนาโครงสร้างพลังงาน และ ๔.ด้านการศึกษา
ตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะ ๒ นี้ คุณกรณ์บอกว่า ในช่วง ๓ ปีนี้จะทำให้เกิดการจ้างงาน จาก ๑ ล้าน ๕ แสน ไปจนถึง ๒ ล้านคน
ซ้าาาาาาธุ!
ก็เป็นหลักการ และโครงการกว้างๆ ในรายละเอียดผมก็ไม่ทราบว่าใน ๔ หัวข้อนั้น ท่านทำอะไรกันบ้าง แต่ในความหมายว่า ตอนนี้เศรษฐกิจถึงจุดต่ำสุดแล้ว เหมือนขุดถึงดินดาน มันก็สมควรเทฐานรากทับหัวเข็ม เพื่อก่อสร้างตัวอาคารขึ้นมา ในเมื่อ ภาคเอกชน ภาคธนาคารยังไม่กล้าลงทุน
ภาครัฐ-โดยรัฐบาลก็ต้องเป็นตัวนำ โดยใช้แผน "ไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕" พยุงระบบที่ไข้ทรงแล้ว ให้ค่อยผงกหัวขึ้นมา เพื่อภาคเอกชนจะได้กล้าออกมาผงกหัวตาม ไม่ใช่รอให้ระบบฟื้นด้วยตัวมันเอง แล้วให้มันชักลากไป
แบบนั้นไม่ใช่ชักลาก แต่ "ถูกมันลาก" ไปลงหลุมมากกว่า!
ผมก็ว่า "สมควรแล้ว" ที่ภาครัฐต้องกล้าตัดสินใจ และกล้าทำ ระบบสังคมโลกทุกวันนี้ เขาออกแบบมาให้กู้ยืม ต้องเป็นหนี้ก่อนถึงจะนอนสะดือเย็น คนที่ไม่ยอมเป็นหนี้ ตายเป็นผีก็ไม่มีคนอยากเผา เพราะถึงเผาไปเงินในปากผีก็ไม่มีให้ล้วงซักบาท นั่นคือ ถึงรัฐบาลกู้เงินมากระตุ้นเศรษฐกิจไปจนวงเงินเต็ม
เพดานตามกฎหมายกำหนดไปแล้วก็ช่างเถอะ เพื่อรักษาระบบไว้ไม่ปล่อยให้ตายซาก หนี้มันก็ยังมีลมหายใจ และเมื่อมีลมหายใจ ก็หมายความว่า
หนี้นี้ เป็นหนี้มีอนาคต บ่เป็นหยังหรอก!
และเมื่อวานนี้ ครม.อีกเหมือนกัน เมื่อต้องใช้เงินอีกมากมายขนาดนี้ จะเอามาจากไหน ไม่เหมือนสหรัฐที่เขาพิมพ์แบงก์ใช้เองได้ สรุปก็คือต้องกู้ เมื่อกู้เต็มเพดานแล้ว ก็ต้องหาวิธีใหม่ วิธีนั้นก็คือ ครม.อนุมัติให้คลังออก พ.ร.ก.และ พ.ร.บ.กู้เงินกรณีพิเศษเพื่อฟื้นฟูเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
เทคนิคทางศัพท์แสงและวิธีการยักเยื้องต่างๆ ผมไม่รู้เรื่องหรอก สรุปเป็นว่า คลังจะกู้เงินภายในประเทศอีก ๘๐๐,๐๐๐ ล้านบาท แต่ไม่ใช่ ครม.อนุมัติปุ๊บ จะกู้ได้ปั๊บ ต้องนำกฎหมายเข้าสภาฯ ให้สภาฯ อนุมัติก่อน!
ประเด็นที่ผมอยากพูดก็คือ นี่อย่างไรล่ะที่บอกว่า "เงินไม่ได้หายไปทางไหน?" มันซุกอยู่ตามกระเป๋าคน และตามที่ต่างๆ อย่างว่านั่นแหละ จึงเป็นเรื่องถูกต้องอีกนั่นแหละที่คุณกรณ์จะกู้เงินภายในประเทศ คนไทยเมืองไทยเงินเยอะแยะ ผมเห็นบริษัทเอกชนออกหุ้นกู้แต่ละที บรรดาเศรษฐีจอมซุกแห่เข้าคิวไปแย่งจองแทบฆ่ากันตาย
ขนาด "หุ้นกู้" ไม่รับประกันชักดาบนะ เงินยังไหลไปที่เขา แล้วนี่ "รัฐบาลเป็นประกัน" ออกพันธบัตรมา หรือจะอะไรก็ไม่รู้แหละ อย่าว่าแต่ ๘ แสนล้านเลยครับ ซักล้านล้านก็ยังสบาย นอกจากช่วยให้เศรษฐีจอมซุกได้ดอกเบี้ยดีกว่าแบงก์ที่เอารัดเอาเปรียบ "ลดดอกฝาก แต่ไม่ลดดอกกู้" แล้ว
ยังเป็นการดึงเอา "กระดาษ" ที่นอนนิ่ง ให้ออกมาหมุนเป็น "เงิน" สมตามค่า-ตามราคาของธนบัตรในระบบเศรษฐกิจอีกด้วย!
ที่ผมว่านี้ ก็แค่ทฤษฎี แต่ทั้งหลาย-ทั้งปวง จะสัมฤทธิผลตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน ทรัสต์ครับ...ทรัสต์ คือ "ความเชื่อ-ความมั่นใจ" ตัวเดียว เป็นกุญแขไขสู่ความสำเร็จทั้งการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และทั้งการฟื้นเศรษฐกิจของเราวันนี้ ให้ค่อยๆ ฟูไปบรรจบในวันที่ "เศรษฐกิจโลก" เฟื่อง!
พิมพ์เขียวตามแผน "เศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕" จะบรรลุตามนั้นได้ นายกฯ อภิสิทธิ์ และคุณกรณ์ จะต้องทำให้ประชาชน นักลงทุน ไม่ต้องเอาถึงนักลงทุนนอก เอาพวกเราในประเทศนี่แหละ ให้เกิดศรัทธา เกิดความเชื่อมั่นผ่านระบบการเมืองว่า
ในขั้นแรก รัฐบาลเจ้าของแผนนี้สามารถอยู่ และสามารถบริหารประเทศไปได้ "ครบเทอม" คือ ๓ ปี
ในขั้นที่สอง ไม่ต้องครบ ๓ ปี แต่นายกฯ อภิสิทธิ์ต้องรักษาเรตติ้ง "ศรัทธา-เชื่อมั่น" ให้คงที่ไปจนกว่าปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ผ่าน
ในขั้นที่สาม ไม่ต้องงบประมาณปี ๒๕๕๓ ผ่านก็ได้ แต่นายกฯ อภิสิทธิ์ต้องรักษาเรตติ้งศรัทธาให้อยู่กับระบบรัฐสภา และมั่นใจได้ว่า ด้วยศรัทธานั้น ถึงยุบสภาฯ-เลือกตั้งใหม่ "ประชาชนก็จะเทใจ-เทคะแนนให้ผม"
ประชาธิปัตย์โชคดี เพราะเคยผ่าน "ข้อสอบเศรษฐกิจวิกฤติ" มาแล้วเมื่อปี ๒๕๔๐ ฉะนั้น เมื่อมาเจอ "ข้อสอบเก่า" เอามาออกใหม่ในปี ๒๕๕๒ นี้ สามารถเปิด "ลิ้นชักประสบการณ์" เอามาดัดแปลงใช้ได้สบายอยู่ นั่นหมายความว่า ต้องใช้กุญแจคือ "ตัวศรัทธา-ตัวมั่นใจ" ในรัฐบาล และในนายกฯ เป็นตัวนำแผนไปสู่ความสำเร็จ ถ้าคนเชื่อในรัฐบาล ไม่ต้องกู้ถึง ๘ แสนล้านหรอก แค่บอกว่า "กู้" เป็นการนำร่อง ระบบก็จะเคลื่อนไหว แล้วเงินก็จะไหลออกมาสู่ระบบเอง แต่ถ้าความมั่นใจในรัฐบาลไม่เกิด ต่อให้กู้มากองหมื่นล้านล้านล้านขนาดไหน....ไทยก็ไม่แข็งครับ!