+ - 18:10, April 22, 2009
The Bank of Thailand (BoT) has downwardly adjusted its projection of this year's gross domestic product (GDP) from an expansion trend to a contraction of up to negative 3.5 percent, Thai media reported Wednesday.
According to Bangkok Post's website, the latest projection of BoT for Thailand's GDP growth 2009 is negative 1.5 percent to negative 3.5 percent.
The central bank initially forecast that the country's economy would expand zero to 2 percent this year.
It said, however, the GDP could fall further by 4-5 percentage points if the global economic crisis and the domestic political instability worsen, which echoed the earlier remarks of Thai Prime Minister Abhisit Vejjajiva, who said after the weekly cabinet meeting on Tuesday that Thai economy could contract in a range of 2 percent to as much as 5 percent for this year.
The BoT also adjusted the economic growth projection in 2010 to1.5 to 3.5 percent from the earlier projection of 2-4 percent.
puggi wrote:เสียดาย การลงทุน ด้านระบบ ราง โดยเฉพาะ รฟท ยังน้อยมาก งบขนาดนี้ ควรจะเร่งทำรางคู่ให้เสร็จทุก ทิศทาง
พร้อมกับ การจัดหาหัวรถจักร์ และตู้โดยสาร รวมถึง ดีเซลราง จำนวน มาก ไม่ใช่แค่กระปิดกระปรอย แบบนี้
แดง ขาว น้ำเงิน wrote:puggi wrote:เสียดาย การลงทุน ด้านระบบ ราง โดยเฉพาะ รฟท ยังน้อยมาก งบขนาดนี้ ควรจะเร่งทำรางคู่ให้เสร็จทุก ทิศทาง
พร้อมกับ การจัดหาหัวรถจักร์ และตู้โดยสาร รวมถึง ดีเซลราง จำนวน มาก ไม่ใช่แค่กระปิดกระปรอย แบบนี้
แม่นแล้ว
หากไทยพัฒนาระบบรางจะช่วยพัฒนาด้านโลจิสติกส์ได้ดีมากเลย
พร้อมกับทำรถไปความเร็วสูง การท่องเที่ยวก็บูมอีก
Neoconservative wrote:ผมก็ อยากให้ประเทศ ใช้หนี้ได้เร็วๆนะครับ อยากให้ GDP มันโต ขึ้นทุกปี ทุกปี อย่างที่ พี่ jerasak ว่า
แต่ในชีวิตจริงมัน ไม่ใช่อ่ะครับ
เอาแค่ ปี 52 ก่อน นะครับ พี่ jerasak ยกตัวอย่าง GDP โต 2% มีรายได้ภาครัฐ (หลักๆมาจากภาษี)jerasak wrote:ปี 52 : GDP .... 9,500,000 ล้านบาท .. รายได้ภาครัฐ 1,425,000 ล้านบาท
ปี 53 : GDP .... 9,690,000 ล้านบาท .. รายได้ภาครัฐ 1,453,500 ล้านบาท .. เพิ่มจากปี 52 = 28,500 ล้านบาท
จริงๆแล้วตัวเลข GDP ปี 2552 ไม่ถึง 9,500,000 ล้านบาท
ดังนั้น ตัวเลขของ พี่ Jerasak ที่ว่า ปี 52 : GDP .... 9,500,000 ล้านบาท .. รายได้ภาครัฐ 1,425,000 ล้านบาท จึงยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่
ตัวเลขจริงๆ แค่ 9,100,000 ล้านบาท (ตัวเลขจริง สิ้นปี 2551) .. รายได้ภาครัฐ ที่ 15% อยู่ที่ประมาณ 1,365,000 ล้านบาท
พอมาปีนี้ (พ.ศ. 2552)
แต่ในความเป็นจริง ปี 52 นี่ GDP จะติดลบอย่างต่ำ 2.5% ไม่เกิน 3.5% มีคนที่น่าเชื่อถือ เค้าคำนวนไว้นะครับ
ดังนั้น สิ้นปี 2552 GDP จะเหลือ 8,900,000 ล้านบาท .. รายได้ภาครัฐ 1,335,000 ล้านบาท ลดลงจาก 2551 ประมาณ 30,000 ล้านบาท
ซึ่งชัดเจนว่าจะต้องกู้เงินเพิ่มอีก ในปี 2553 เพื่อปิด หีบ ปี 2554 เหมือนที่ กำลังกู้ไปปิดหีบในปัจจุบัน
ซึ่งมีตัวเลข ของ The Economist ออกมาอีกว่า ปี 2553 GDP ไทย จะโตขึ้น แค่ 1.1%
ซึ่งก็ใกล้เคียง กับ ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ forecast ว่า ปี 2553 GDP ไทย จะโตขึ้น 1.5%
ส่วน IMF ให้มา 1% ในปี 2553
...............................................
สรุป
ปี 51 GDP อยู่ที่ 9,100,000 ล้านบาท .. รายได้ภาครัฐ 1,365,000 ล้านบาท
ปี 52 GDP อยู่ที่ 8,900,000 ล้านบาท .. รายได้ภาครัฐ 1,335,000 ล้านบาท ลดลงจาก 2551 ประมาณ 30,000 ล้านบาท
ปี 53 GDP อยู่ที่ 9,000,000 ล้านบาท .. รายได้ภาครัฐ 1,355,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 2552 ประมาณ 20,000 ล้านบาท (คิดจาก อัตราการโต ที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย คาดการ 1.5%)
ปี 52 รัฐกู้ 2 แสนล้านปิดหีบ 2553 (กู้ 8 แสนล้าน ใช้ปิดหีบประมาณ 2 แสนล้าน)
ปี 53 รัฐอาจจะต้องกู้เพิ่มอีก 2 แสนล้านเพื่อปิดหีบ ปี 2554
...............................................
loginofu wrote:จริงๆประเด็นหนี้สาธารณะ ต่อ GDP
ถ้ามองแบบชาวบ้านๆ คือ การหาเงินมาหมุนหนี้เท่านั้น
ไม่ได้บอกถึงความสามารถในการนำเงินก้อนนั้นมาจ่ายหนี้
ไม่ได้บอกถึงประสิทธิภาพในการกู้หนี้มาลงทุน
จะกู้หรือไม่กู้ จะกู้เท่าไหร่ อยากให้พิจารณาส่วนนี้มากกว่าหนี้ต่อ GDP ครับ
เพราะไม่งั้นก็เหมือนช่วงหนึ่งที่แม้วเอาเงินมาแจกชาวบ้านซื้อมือถือทำให้ GDP สูง
แล้วก็ไปกู้มาหารับประทานกันเพิ่มมากขึ้น โดยที่อ้างหนึ่งในเหตุผลสนุบสนุนว่า หนี้ต่อ GDP ต่ำ
http://learners.in.th/blog/pitsanu2/30940
สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP จึงไม่ใช่ปัจจัยหลักในการวิเคราะห์ภาระหนี้ แต่ถ้าจะใช้พิจารณาอย่างคร่าวๆ แล้วก็สามารถกระทำได้ ทั้งนี้ พึงระลึกไว้เสมอว่า โดยตัวของมันเองแล้วไม่ได้สื่อความหมายอะไรมากนักสิ่งที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญก็คือ ควรจะพิจารณาหนี้สาธารณะประกอบกับการเปรียบเทียบการขยายตัวของ Real GDP กับอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงที่ใช้ชำระต้นเงินกู้ รวมถึงงบประมาณที่หักงบชำระดอกเบี้ยจ่ายซึ่งผลที่ได้จากการวิเคราะห์ดังกล่าว จะทำให้เห็นภาพแนวโน้ม (Trend) ของสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ในระยะปานกลางและระยะยาวได้ชัดเจนมากกว่าที่จะพิจารณาสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP โดยลำพัง
Cherub Rock wrote:เคยได้ยินว่าต้นทุนลอจิสติกบ้านเราสูงกว่าชาวบ้านเค้ามาก
ถ้าไม่รีบพัฒนาจะไปสู้เค้าได้ไง หรือจะกดค่าแรงให้ตายกันไปเลย
someone wrote:ผมกำลังตกใจอ่ะครับ ไทยอาจจะต้องใช้เวลาใช้หนี้เป็น 50ปี หรือถึง 100 ปี เลยเหรอครับ มันไม่เกินความจริงไปหน่อยเหรอ
someone wrote:ผมไม่เข้าใจ แล้วตอนนี้เศรษฐกิจโลกยังล่มจมไม่พออีกหรือเนี่ย ประเทศที่ถือว่าแน่ๆ เจ๋งๆ อย่างสหรัฐ ประเทศพัฒนาแล้วในยุโรป ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฯลฯ ก็ล้มครืนกันทั้งนั้น
someone wrote:ผมสงสัยน่ะครับ คือ ผมใช้คำถามไม่ค่อยเป็นเพราะส่วนใหญ่จะเข้ามาอ่านซะมากกว่า ขอถามแบบชาวบ้านๆ น่ะครับ ในเมื่อไทยพึ่งพาการส่งออกจากประเทศคู่ค้าหลักๆข้างบน แล้วเมื่อประเทศคู่ค้าต่างก็วิกฤตตามๆ กัน ไทยจะไปค้าขายกับใคร ถ้าบอกว่าก็ให้เบนเข็มไปหาประเทศคู่ค้าใหม่ๆ แล้วการวางแผนไปเจรจาค้าขายกับประเทศใหม่ๆประเทศใดบ้าง ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ เจรจากันปีนี้ กว่าจะตกลงค้าขายกันได้ปีหน้า หรือปีหน้าโน้น หรือ... โน้น ?? แล้วกว่าจะได้เงินมาลงทุนก็ต้องรอผลจากการค้าขายกับประเทศใหม่ๆ ก่อน??? รายได้หลักของประเทศจากการเก็บภาษีก็ไม่ได้ตามเป้า หรือจะยอมให้ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มดี?? หรือจะขายรัฐวิสาหกิจนำเงินมาลงทุน??
someone wrote:แล้วการลงทุนภายในประเทศ ถ้านักลงทุนไม่มีใครกล้าเสี่ยง แล้วใครจะเริ่มถ้าไม่ใช่รัฐบาลทำเอง ?
someone wrote:แล้วถ้าจะลงทุนทำโปรเจคต่างๆ ก็ต้องกู้ ถ้าไม่กู้แล้วเอาจากไหนลงทุน ?
someone wrote:แล้วถ้าไม่เริ่มลงทุนโปรเจคใดๆ เศรษฐกิจจะหมุนเวียนยังไงง่ะคับ การจ้างงานไม่เกิด ค้าขายไม่เริ่ม ฯลฯ ผมไม่ค่อยเข้าใจเลย ใครก็ได้ช่วยให้ความรู้ผมที
someone wrote:ยิ่งผมได้รู้ว่า ตอนช่วงทักษิณบริหาร ที่ว่ากันว่าเก่งทำให้เศรษฐกิจดี จีดีพีโต เงินคลังอู้ฟู่ ทักษิณวางแผนกู้เงินมาทำโปรเจคต่างๆเหยียบ 8แสนล้านเหมือนกัน แล้วดูสถานการณ์ตอนนี้สิ เศรษฐกิจโลกพัง จีดีพีติดลบ เงินเหลือแทบไม่พอจ่ายเงินเดือนข้าราชการ แล้วถ้าไม่กู้จะเอาจากไหนมาลงทุน?
someone wrote:แล้วกู้โดยการออกพันธบัตรมันเสียหายตรงไหน
ปล. ผมว่านะคอยดูเถอะ ถ้าเรื่องนี้ผ่าน ที่ออกมาค้านๆ กันน่ะ จะแห่กันไปซื้อพันธบัตร ผมเดาว่างั้นนะ
loginofu wrote:แปลภาษาชาวบ้าน
สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP = (เงินกู้x100)/รายได้ต่อปี(เงินเดือนx12) แปล มีเงินมากกว่าหนี้แค่ไหน เกิดเขาเรียกหนี้คืน(อาจ)จะหาเงินมาใช้คืนได้ในระยะเวลาเท่าไหร่ สำหรับชาวบ้านอย่างเราๆ อาจมีหนี้เกิน500% เช่นการซื้อบ้านหลังหนึ่งก็ผ่อนกันไปร่วม30ปีแล้ว แต่กับประเทศหากมีหนี้สูงขนาดนั้นอาจทำให้ประเทศล้มละลายได้ เพราะจะเกิดผลกระทบกับภาคธุรกิจต่างๆจนเจ๊งต่อๆกันจนเป็นลูกโซ่ ปัจจุบันรู้สึกกรทรวงจะกำหนดให้ไม่เกิด 55%
อัตราการขยายตัวของ GDP = สิ้นปี เงินเดือนขึ้นเท่าไหร่ แปล มีรายได้มากขึ้นก็เอาไปขอกู้กับธนาคารได้มากขึ้น
การขยายตัวของหนี้สาธารณะ = รัฐกู้ คงไม่ต้องแปลมั๊ง
อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (หักผลของเงินเฟ้อ) แปล ถ้าปีนี้ซื้อข้าวสาร ถุงละ 100บาท ปีหน้า ถุงละ 105บาท ได้ดอกเบี้ยเงินฝากร้อยละ 7.5 ปีนั้นจึงได้รับอัตราดอกเบี้ยคือ 7.5 - (105 -100) = 2.5
ดังนั้น real GDP ก็คือ ถ้าปีนี้ GDP เพิ่ม 10% แต่อัตราเงินเฟ้อ 5% จะมี real GDP แค่ 5% (เท่าไหร่คงต้องไปคูณกันเอาเอง)
จากนิยามข้างต้น แปลข้อความข้างต้นดังนี้
ถ้ามีรายได้มากขึ้น(ได้ภาษีมากขึ้น) ก็น่าจะมีเงินเหลือใช้จ่ายมากขึ้น
ก็น่าจะเอาไปชำระเงินกู้ทั้งต้นและดอกได้มากขึ้น
และน่าจะก็คือ(Trend) จะเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้หรือไม่ก็ได้
ความน่าจะเป็น ก็จะเปลี่ยนไปเมื่อองค์ประกอบต่างๆเปลี่ยนไป
การนำปัจจัยข้างต้นมาพิจารณา จึงใช้ได้เพียงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
การใช้ real GDP ก็เพียงสะท้อนความเป็นจริงได้มากกว่า GDP เฉยๆนิดนึง