วาทกรรมสร้างความแตกแยกนับจากการยื่นถวายฎีกาสร้างทุกข์ทั้งแผ่นดิน ของมวลชนผู้สนับสนุน
คนไกลบ้านการเคลื่อนไหวรอบใหม่ ภายใต้แกนนำหน้าเดิมๆ แต่เป้า
หมายที่ไปไกลกว่าเดิม และ วาทกรรมครั้งใหม่ สงครามล้มอำมาตย์,
สงครามไพร่, สงครามประชาชน สารพัดจะสรรหา เพื่อโหมกระแส ยั่วยุ
ปลุกปั่น เพิ่มมวลชนสนับสนุนที่เริ่มลดน้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด
วาทกรรมยอดฮิตเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นต้นคิด และที่สำคัญ ความ
หมายของวาทกรรมเหล่านั้น แท้จริงแล้วคืออะไร มาไขปริศนากันดีกว่า
ไพร่ อำมาตย์ วาทกรรมที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับการเคลื่อนไหวครั้งใหม่
ของมวลชนคนสีสด เกิดได้อย่างไรหนอ ใครกันเป็นต้นคิด ขุด ๆ ค้น ๆ
เอกสารเก่า ๆ ที่ยังไม่เก่าเกินไปนัก พอจะได้ข้อมูล ดังนี้
คำให้สัมภาษณ์ของ
เต้นสภาโจ๊ก เมื่อ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๓ ที่ตีพิมพ์
ในสื่อ กรุงเทพธุรกิจ กล่าว่า ตนเป็นผู้นำคำว่า ไพร่ มาใช้ครั้งแรก ณ
เวทีนครราชสีมาเมื่อประมาณต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๒ ซึ่งครั้งนั้น แม้ว
โทรมาหาตนแล้วบอกว่า
“
มันใช่มาก “
ถ้าเต้นพูดแบบนี้จะทำให้มวลชนสีสดเพิ่มมากขึ้น เต้นยังกล่าวต่ออีกว่า
จากนั้นที่ ระยอง ผมก็พูดอีก ที่อ่างทอง มีการยกเรื่อง รามเกียรติ์ มา
เปรียบเทียบว่า
ทศกัณฐ์ ที่ถูกมองว่าเป็นฝ่ายอธรรม พ่ายแพ้ พระราม ที่เป็นฝ่ายธรรมะ
นั้น
เหตุผลที่ทศกัณฐ์ ต้องพ่ายแพ้ เพราะคู่ต่อสู้คือ พระราม ผู้เป็นชน
ชั้นสูง จึงถูกรุมทำร้ายและพ่ายแพ้ในที่สุด วรรณกรมที่มีประวัติศาสตร์มาช้านาน ต้องพังพินาศ เพราะใครกันหนอ
ทิ้งประเด็นนี้ไว้ตรงนี้ก่อน
จากข้อมูลข้างต้นพอจะสรุปได้ว่า วาทกรรมนี้ เต้นสภาโจ๊ก เป็นตัวแปร
ที่สำคัญ
วาทกรรมที่น่าคิดอีกประการ อำมาตย์ หรือ โค่นอำมาตย์
จากวีดีโอลิงค์ครั้งหนึ่งของทักกี้ ที่ตอกย้ำวาทกรรม โค่นอำมาตย์
“
พี่น้องต้องลุกขึ้นสู้ อำมาตย์ไม่อยากเห็นคนหายจน ไม่อยากเห็นลูก
หลานฉลาด เพราะอย่างนี้เราถึงต้องพึ่งพาอำมาตย์ตลอดชีวิต ถ้าครั้งนี้
ประชาชนเป็นฝ่ายชนะ จะเป็นการปลดแอกตนเองให้พ้นจากอำมาตย์
ทั้งหลายที่มาบังคับให้เราโง่ ให้เราจน “
ฟังดูเผิน ๆ อาจจะมองว่าเป็นแนวความคิดใหม่ ในการปลุกกระแสเพื่อ
สร้างความเปลี่ยนแปลง โดยเป้าหมายแท้จริงของผู้พูดแฝงที่อยู่ในคำ
ปราศรัยผ่านวีดีโอลิงค์อย่างชัดเจน หากย้อนกลับไปพิจารณาประกาศ
ของคณะราษฎร ฉบับที่ ๑ ซึ่งปรากฏวาทกรรมเช่นเดียวกันนี้อย่างชัด
เจน ( หาอ่านได้จาก wikisource.org )
วาทกรรม ไพร่ อำมาตย์ เกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นต้นคิด ทุกท่านพอ
จะทราบคำตอบแล้วด้วยมุมมองของแต่ละท่าน
ประเด็นที่สำคัญที่น่าสนใจอีกหนึ่งประเด็น ความหมายของ ไพร่ และ
อำมาตย์ ตามที่ควรจะเป็น ตามที่ถูกต้อง ตามที่อารยประเทศยอมรับ
คืออะไร
จากวาทกรรม คำปราศัยของเหล่าแกนนำ ที่อำพราง กำกวม จะโดย
ตั้งใจหรือไม่ แต่ก็ทำให้ผู้เข้าร่วมการชุมนุมผู้สนับสนุน มวลชนสีสด
เชื่อโดยไม่มีข้อกังขาใด ๆ ว่า
การชุมนุมครั้งนี้เพื่อเรียกร้องสิทธิโดยชอบธรรมให้กับผู้ด้อยโอกาส โดยไม่ทราบว่า จุดประสงค์ที่แท้จริงของเหล่าแกนนำ และ ทักกี้ นั้น
ยิ่งใหญ่ไปไกลขนาดไหน จะถึงขึ้นล้มระบบ เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน
ประวัติศาสตร์ชาติหรือไม่ ด้วยความรู้ความสามารถที่มีอยู่ คงมิกล้าที่
จะวิจารณ์ใดๆ คงทิ้งภาะนี้ไว้ให้ทุกท่านได้วิเคราะห์ พิจารณาตามมุม
มองและทัศนคติของทุกท่าน
“
ไพร่ “ ตามความหมายของ อักขราภิธานศรับท์ พจนานุกรมฉบับ
หมอบรัดเลย์ พจนานุกรม ไทย – ไทย ฉบับแรกของสยาม เริ่มพิมพ์
เมื่อ ๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๐๔ กล่าวไว้ดังนี้
ไพร่ คือ คนราษฎรที่เปนชาวเมือง, มิใช่ขุนนาง, เปนแต่พลเรือน
ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน, ราษฎรชาวเมือง คือ คนบันดาในขอบขัณฑเสมา
ของพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้นนั้น
ถึงกระนั้น ไพร่ สามารถมีโอกาสปรับสถานตนเองให้มีศักดินาสูงขึ้นไป
จนถึงขึ้นสูงสุด คือ ระดับเจ้าได้ ในทางตรงข้าม ศักดินาเจ้า ก็มีโอกาส
กลับสู่ตำแหน่งสามัญได้เช่นกัน เช่น การสืบสายเลือดที่จะค่อย ๆ ลด
หลั่นลงมาจนกระทั่งถึงขั้นราษฎร หรือ มีพระราชโองการให้ถอดฐานัน
ดร เป็นต้น
แต่ความหมายที่ตุ๊ดตู่ หนึ่งในแกนนำมวลชนปูพื้นฐานไว้ว่า
“
ไพร่ คือ คนที่ไม่ได้รับความยุติธรรม จะมีความผิดถ้าไม่ยินยอมไป
สวามิภักดิ์กับพวกอำมาตย์ “
เป็นความหมายที่จินตนาการขึ้นด้วยสติปัญญาระดับใด คงต้องขอทิ้ง
ประเด็นไว้เป็นภาระของทุกท่านอีกเช่นกัน มิกล้าวิจารณ์ใด ๆ
อำมาตย์ หรือ อำมาตย ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสภา พ.ศ.
๒๕๔๒ หมายถึง ข้าราชการ , ข้าเฝ้า , ที่ปรึกษา- ข้าราชการ หมายถึง บุคคลซึ่งทำงานอยู่ภายในระบบราชการ
- ข้าเฝ้า หมายถึง ขุนนางที่คอยรับใช้พระเจ้าแผ่นดิน
- ที่ปรึกษา หมายถึง ผู้ให้คำแนะนำข้อมูลทางประวัติศาสตร์ จะพบว่ามีผู้ดำรงตำแหน่ง อำมาตย์ จนถึง
อำมาตย์เอก นั้นมีจำนวนไม่น้อย เช่น
- อำมาตย์เอก พระยาประมวลวิชาพูน (วงษ์ บุญ-หลง) รักษาราชการ
ตำแหน่งอธิบดีกรมพลศึกษา (สารานุกรมการศึกษาฯ ระหว่าง ๙ ธค.
๒๔๗๖ ถึง ๒๑ มีค. ๒๔๗๗)
- รองอำมาตย์เอก หลวงพิทักษ์พนมเขต (สีห์ จันทรสาขา) ดำรงตำ
แหน่งนายอำเภอธาตุพนม เมื่อ ๑ กรกฎาคม ๒๔๖๑ (หนังสือประวัติ
ของรองอำมาตย์เอกหลวงพิทักษ์พนมเขต (สีห์ จันทรสาขา)
ที่สำคัญท่านอดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐบุรุษอาวุโส นายปรีดี พนมยงค์
ก็เคยได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ อำมาตย์ตรี หลวงประดิษฐ์มนูธรรม
ในปี ๒๔๖๙ และภรรยาของท่าน ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ (สกุล
เดิม ณ ป้อมเพชร) ธิดา มหาอำมาตย์ตรี พระยาชัยวิชิตวิศิษฎ์ธรรมธาดา
(ขำ ณ ป้อมเพชร)
วิกิพีเดีย ได้แสดงข้อมูลไว้ดังนี้
ยศข้าราชการพลเรือนในสมัยก่อน พ.ศ. ๒๔๗๕ ซึ่งเทียบฐานันดรแห่ง
ข้าราชการพลเรือน กับ ยศทหาร ดังต่อไปนี้
• มหาอำมาตย์นายก เทียบ ยศทหารชั้น จอมพล มีบุคคลเพียง ๒ ท่าน
ที่ได้รับพระราชทาน ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะ
วงศ์วโรปการ และ เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม)
• มหาอำมาตย์เอก, โท, ตรี เทียบ ยศทหารชั้น นายพลเอก, โท, ตรี
• อำมาตย์เอก, โท, ตรี เทียบ ยศทหารชั้น นายพันเอก, โท, ตรี
• รองอำมาตย์เอก, โท, ตรี เทียบ ยศทหารชั้น นายร้อยเอก, โท, ตรีจากข้อมูลข้างต้น น่าจะพอสรุปได้ว่า
อำมาตย์ นอกจากความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสภา
พ.ศ. ๒๕๔๒ หมายถึง ข้าราชการ, ข้าเฝ้า, ที่ปรึกษา
แล้วน่าจะหมายถึง ฐานันดรศักดิ์หรือบรรดาศักดิ์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
ในสมัยก่อน ไม่ว่าจะเป็น อธิบดี นายอำเภอ รัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี
ซึ่งต่อมาระบบข้าราชการพลเรือนก็ได้เปลียนชื่อจากระบบอำมาตย์มา
เป็นระบบที่ ทันสมัยขึ้น โดยนับจากข้าราชการชั้นต่ำสุดถึงชั้นสูงสุด
คือ ชั้นประทวน ชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอก และชั้นพิเศษ หลังเหตุการณ์
๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๗ ระบบข้าราชการพลเรือนได้เปลี่ยนเป็นระบบซี
โดยมีอัตราตำแหน่งตั้งแต่ซี ๑ ไปจนถึงซี ๑๑ ในปัจจุบันเริ่มจะมีแนว
โน้มว่า ระบบซี กำลังจะหายไปจากระบบราชการไทย
ไพร่ อำมาตย์ วาทกรรมของแกนนำและมวลชนสีสดที่สนับสนุนทักกี้
ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งก็ดำรงตำแหน่งนายก ซึ่งเทียบเท่า มหาอำมาตย์ในอดีต
จะให้ตีความว่ากระไร สุดที่จะวิเคราะห์ วิจารณ์ ขออนุญาติยกภาระ
ประเด็นนี้ให้ท่านได้วิเคราะห์ตามดุลยพินิจของทุกท่าน