เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

คลังปัญญา กระทู้ปักหมุดเดิม เรื่องสำคัญจัดเก็บที่นี่

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby PuzzleOfPandora » Sun May 09, 2010 8:37 pm

ข้อมูลแน่นดีครับ ผมช่วยดันให้แล้วกันนะครับ ว่างๆแล้วก็มาต่อแล้วกันนะครับ
User avatar
PuzzleOfPandora
 
Posts: 1
Joined: Sun May 09, 2010 8:24 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Sun May 09, 2010 11:04 pm

แจ้งข่าวค่ะ....

เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

ชุดที่ 1 (ตั้งแต่ บทเริ่มต้น สิ้นสุด วิชาการหรือวิชาเกิน )
รวม 108 หัวข้อ bird จัดทำเป็น e-book และ .pdf
เรียบร้อยแล้ว

ท่านสมาชิกที่ต้องการโหลดเก็บไว้

.PDF File โดย Media Fire

http://www.mediafire.com/?gj3mm4u2wjn

http://www.mediafire.com/file/gj3mm4u2wjn/เค้าลาง ฉบับเต็ม.pdf

โหลดตามสะดวกค่ะ

ส่วนที่ต้องการแบบ print ขาว-ดำ เข้าเล่ม (ตามมีตามเกิด)
จำนวน 353 หน้า (word) pm ที่อยู่มาได้เช่นกัน

ฟรี ไม่มีจำหน่าย หากพบว่ามีการพิมพ์จำหน่าย ไม่ใช่ bird ค่ะ

ขออภัยทุกท่านน่ะค่ะ ที่ช่วงนี้หายไป เนื่องจากติดภารกิจค่ะ
จะเสร็จสิ้นภารกิจ ภายในวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ค่ะ

ขอบคุณทุกท่านที่กรุณาติดตามอ่านน่ะค่ะ
Last edited by bird on Wed May 26, 2010 12:25 am, edited 1 time in total.
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Sat May 22, 2010 3:20 pm

ในที่สุด ภาพการชุมนุมโดยสันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ
ณ ใจกลางแยกเศรษฐกิจของเมืองหลวงได้จบสิ้นลงไป
ภายใต้การปฏิบัติหน้าที่การกระชับพื้นที่ของหน่วยงานที่
เกี่ยวข้อง พร้อม ๆ กับความสูญเสียที่ทิ้งไว้

ความสูญเสียครั้งนี้ ไม่อาจกล่าวได้ว่าเกิดขึ้นจากการเข้า
ปฎิบัติหน้าที่ของหน่วยงาน หากแต่เป็นความสูญเสียอัน
เกิดขึ้นจากการชุมนุมภายใต้คำกล่าวอ้างที่ว่า สันติ อหิงสา
ปราศจากอาวุธ เพื่อเรืยกร้องประชาธิปไตย และเรียกร้อง
ความยุติธรรมให้แก่อดีตนายกผู้ยิ่งใหญ่คับบ้านคับเมือง

ภายหลังแกนนำประกาศยุติการชุมนุม ที่แฝงไว้ด้วยคำสั่ง
ให้ดำเนินงานตามแผนตกใจที่วางไว้ บวกกับความผิดหวัง
ของกลุ่มมวลชนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ว่ามีการวางแผนไว้ล่วงหน้า
ภาพการจราจลของมวลชุมชนก็เริ่มขึ้น

ภาพคนไทยเผาบ้าน เผาเมือง ทุบทำลายอาคาร ห้างร้าน
ปล้นสดมภ์ หยิบฉวยสิ่งของ ที่มิใช่ของตนได้ตามอัธยาฉัย
ฉกฉวย ซุกซ่อนไว้ตามอำเภอใจ สร้างความสลดหดหู่ให้กับ
ผู้พบเห็นทั้งจากสื่อโทรทัศน์ อินเตอร์เน็ท รวมไปถึงสื่อวิทยุ

ภาพพระเพลิง อันเกิดจากน้ำมือของบุคคลที่อ้างตนว่าเป็น
คนไทย ลุกไหม้โชน เผาไหม้ตึกแล้ว ตึกเล่า ทำร้ายจิตใจ
ของประชาชนที่สดับรับรู้ โดยไม่อาจห้ามปรามได้ มิใช่ว่า
ไม่มีน้ำดับไฟ หากแต่ คนใจร้าย คอยขัดขวางมิให้ใครเข้าไป
เพื่อดับพระเพลิงที่กำลังลามเลีย วงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ

ภาพตู้เอทีเอ็ม ร้านค้าเล็ก ๆ ร้านสะดวกซื้อ ถูกทุบทำลาย
เพื่อขโมยเงิน ของกิน ของใช้ โดยไม่สนใจอะไรของมวลชน
กลุ่มหนึ่ง ทิ้งไว้เพื่อซากความเสียหาย ขอเพียงความสะใจ
ความอยากได้ ในสิ่งที่มิใช่ของตน อันเป็นสิ่งแสดงให้เห็นถึง
สันดานดิบ..ว่าเป็นเช่นไร

ภาพอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธขนาดเล็ก อันได้แก่ หนังสติ๊ก
ไม้แหลม มีดพก ไปจนกระทั้งอาวุธสงคราม ไม่ว่าจะเป็น ปีน
ทั้ง เอ็ม 16 อาก้า เอเค เครื่องยิง เอ็ม79 ระเบิดลูกเกลี้ยง
ระเบิดเพลิง และ ระเบิดซีโฟร์ จำนวนมหาศาล ที่ตรวจพบ
ในสถานที่ชุมนุม

สิ่งเหล่านี้ ทำให้ตั้งคำถามกลับไปว่า นี่หรือคือ

การชุมนุมโดยสันติ อหิงสา มือเปล่า ปราศจากอาวุธ

ที่แกนนำและกลุ่มผู้ชุมนุมป่าวประกาศอยู่ตลอดเวลา
รวมไปถึง บรรดาบุคคลต่าง ๆ ที่ออกมากล่าวอ้างว่า
การชุมนุมครั้งนี้มวลชนต้องการเรียกร้อยประชาธิปไตย
ไม่มีอาวุธ ไม่ว่าจะเป็น นายจาตุรน นายอภิวัน นาย
พร้อมพง นายสุนัย และ บรรดา สส และสมาชิกพรรค
เพื่อใคร อีกหลายต่อหลายท่าน

ยังรวมถึง เหล่าองค์กรที่ออกมาเรียกร้องให้เกิดการ
เจรจา นี่หรือคือการชุมนุมที่พวกท่านเรียกว่า สันติ
ปราศจากอาวุธ

ขอความกรุณาท่านทั้งหลาย ออกมาอธิบายหน่อยได้มั้ย
ว่า สันติ ปราศจากอาวุธ แล้ว สิ่งที่พบเห็นในพื้นที่ชุมนุม
เค้าเรียกว่าอะไร หรือเป็นเพียง อุปกรณ์สำหรับป้องกันตัว
ได้ตามกฎหมายกระนั้นหรือ หรือว่านั่นคือ เครื่องประดับ
บารมี เพื่อเสิรมอำนาจวาสนา สำหรับการเรียกร้องถามหา
ประชาธิปไตย

หรือมันเป็นเพียง....

เครื่องเขียน ธรรมดา ที่หาซื้อได้ริมถนน
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Sun May 23, 2010 1:35 pm

เกริ่นนำ ว่าด้วยเรื่องของ “ ไพร่ “

การชุมนุมที่ปิดฉากลงไป ท่ามกลางเสียงชื่นชมบ้าง ท้วงติงบ้าง ขึ้นอยู่ว่า ผู้พูดมีจิตใจโน้มเอียง
ไปฝ่ายใด หากถูกใจก็ชมเปราะว่า หน่วยงานที่รับผิดชอบยุติการชุมนุม ภายใต้การสูญเสียชีวิต
85 ชีวิต บาดเจ็บประมาณ 1,402 คน ทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่ พลเรือนและผู้ชุมนุม เป็นการปฏิบัติการ
ที่ประสบผลสำเร็จ มีการวางแผนที่ดี รอบคอบ จากที่คาดกันแต่เดิมว่า หากเข้าสลายการชุมนุม
เมื่อใด อาจจะสูญเสียหลักร้อย หลักพันชีวิต จะยอมรับกันได้หรือไม่ และผู้บังคับบัญชาซึ่งก็คือ
ท่านนายกจะรับผิดชอบไหวหรือไม่

สำหรับผู้ที่มีจิตใจโน้มเอียงไปด้านผู้ชุมนุม จะเพราะชื่นชมในตัวนักโทษหนีคดีก็ดี หรือ เป็นคน
ขวางโลกก็ดี คงมีแต่คำท้วงติง ตำหนิ ว่าเป็นปฎิบัติการที่ละเมิดสิทธิ ถือเป็นปฎิบัติการเลือดเย็น
ผู้สั่งการ ก็คงไม่พ้นท่านนายกอีกเช่นกัน มือเปื้อนเลือด ตั้งฉายากันอย่างสนุกปาก 25 ศพบ้าง
100 ศพบ้าง

แต่ลืมกันไปหรือป่าว

การสลายการชุมนุมที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น ตุลาวิปโยค, พฤษภาทมิฬ หรือ 7 ตุลา 51 อะแถมให้
อีกหนึ่งเหตุการณ์ ที่ตากใบ จำนวนชีวติที่ต้องสูญเสียมีจำนวนมากน้อยเพียงใด และยังรวมไปถึง
การสั่งการสลายการชุมนุมในครั้งที่ผ่านมา กระทำการอย่างเป็นระบบตามหลักสากล หรือ เป็น
การสั่งการตามอารมณ์ของผู้ทีอำนาจในแต่ละยุคสมัย

ปล่อยประเด็นไว้ให้ทุกท่านวิเคราะห์ พิจารณากันเอง ตามวิสัยทัศน์ของทุกท่าน

และหากย้อนกลับไป แล้วตั้งคำถามว่า

หากการชุมนุมที่จบไปเกิดขึ้นในยุคสมัยแม้วเรืองอำนาจ หรือ ในยุคนอมินี 1 และ ยุคนอมินี 2
กลุ่มผู้ชุมนุมจะมีโอกาสยึดพื้นที่ใจกลางเศรษฐกิจของประเทศได้นานกี่วัน การสลายการชุมนุม
ที่เกิดขึ้นในยุดนั้น ๆ จะสูญเสียชีวิตกี่ชีวิตกันหนอ....
ก็น่าคิดน่ะ

การชุมนุมครั้งนี้ มีวาทะที่ฮิตปิดปาก ทั้งแกนนำและเหล่ามวลชนว่าเป็นการชุมนุมของ “ ไพร่
เพื่อล้ม “ อำมาตย์ “ พูดกันจนติดปาก ยั่วยุกันทุกวัน ปลุกปั่นกันทุกวินาที จนกระทั่ง ซึมเข้าสู่
เนื้อสมอง ว่าตนนั้นเป็น “ ไพร่ “ ปัญหาอยู่ที่ว่า แล้วรู้มั้ยว่า “ ไพร่ “ ที่เฝ้าตอกย้ำกันอยู่นั้น
หมายถึงอะไร...หรือ พูด เพราะสะใจ

ก่อนเข้าสู้เนื้อหา เค้าลางความเลวร้าย...ภาคต่อ จึงขออนุญาติ นำข้อมุลที่เกี่ยวกับ “ ไพร่
มาเสนอให้ได้ทราบโดยทั่วกัน เท่าที่ความสามารถจะค้นหา รวบรวมมานำเสนอให้ได้ ซึ่งข้อมูล
ที่มีอยู่ในขณะนี้ ไม่สามารถรวบรวมให้อยู่ภายในกระทู้เดียวกันได้ แต่จะพยายามรวบรัดให้มี
จำนวนหน้ากระทู้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ยังคงเนื้อหาที่สำคัญ เพื่อทำความเข้าใจกับคำว่า
ไพร่ ” ให้ได้มากที่สุด

ผิดพลาดประการใด จุดไหนที่บกพร่อง ขออภัยต่อทุกท่านมา ณ โอกาสนี้
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Mon May 24, 2010 1:23 pm

“ ไพร่ “

คำง่าย ๆ ที่ปรากฎอยุ่ในละครย้อนยุคในปัจจุบัน คำที่หายไปจากสังคมการปกครองของไทย
มาหลายร้อยปี นับจากวันที่องค์พระปิยมหาราช ทรงมีพระบรมราชโองการเลิกทาส เพื่อมอบ
อิสรภาพให้แก่ชาวสยาม นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณใหญ่หลวงที่คนไทยต้องสำนึกไว้ชั่วชีวิต

แต่ !!!

ใครจะคาดคิดว่า ในยุคโลกาภิวัฒน์ ในยุคที่การสื่อสารไร้พรมแดนเช่นในปัจจุบัน จะมีใคร
คนหนึ่งหยิบยกคำ ๆ นี้ “ ไพร่ “ ขึ้นมาปลุกกระแสการชุมนุม เพื่อปรับยุทธศาสตร์การชุมนุม
ที่เริ่มจะมอดลงให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อหวังผลทางการเมือง หรือ เพื่อหวังให้เกิดสงคราม
ชนชั้น โดยมีเป้าหมายที่สูงสุดเพียงใด มิอาจตอบได้

หรือ เป็นเพียงวาทกรรมในการชุมนุมเท่านั้น

ไพร่ “ สถานภาพหนึ่งอันเป็นองค์ประกอบของสังคมการปกครองมาช้านาน อาณาจักร
ไทยในสมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็น อาณาจักรล้านนา สุโขทัย อยุธยา ถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
(ก่อนรัชกาลที่ ๕) เป็นยุคที่ยังอาศัยกำลังคนเพื่อขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจและขยายอำนาจ
ขยายดินแดน ยุคล่าอาณานิคม กำลังคนเหล่านี้จะถูกเรียกรวมว่า “ ไพร่ “ โดยอยู่ภายใต้
การควบคุมที่พัฒนาขึ้นอย่างเป็นระบบ ที่เรียกว่า “ ระบบไพร่ “ นับจากยุคสมัยกรุงศรีอยุธยา
จวบจนกระทั้งถึงยุครัตนโกสินทร์

ไพร่ “ ตามความหมายของ อักขราภิธานศรับท์ พจนานุกรมฉบับหมอบรัดเลย์ ซึ่งถือเป็น
พจนานุกรม ไทย – ไทย ฉบับแรกของสยาม เริ่มพิมพ์เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๐๔
กล่าวไว้ดังนี้

ไพร่ คือ คนราษฎรที่เปนชาวเมือง, มิใช่ขุนนาง, เปนแต่พลเรือน

ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน, ราษฎรชาวเมือง คือ คนบันดาอยู่ในขอบขัณฑเสมาของพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้นนั้น

สังคมการปกครองในระบบไพร่ แบ่งชนชั้นออกเป็น ๒ กลุ่ม

- กลุ่มผู้ปกครอง หรือ กลุ่มมูลนาย ได้แก่ พระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนาง
รวมไปถึง ข้าราชการ
- กลุ่มผู้ถูกปกครอง ได้แก่ ไพร่ ทาส

ระบบศักดินา ตามความหมายของ พจานุกรมฉบับหมดบรัดเลย์ กำหนดไว้ดังนี้

เป็นเครื่องกำหนดสถานภาพทางสังคม รวมไปถึงกำหนด หน้าที่ ขอบข่ายความรับผิดชอบ
และอภิสิทธิ์ที่จะได้รับ


ไพร่ และ ทาส นั้นแตกต่างกัน โดยระบบศักดินาที่พอจะสรุปได้คร่าว ดังนี้

ไพร่ ไม่ถือเป็นทรัพย์สิน ซื้อขายหรือโอนเปลี่ยนมูลนายไม่ได้ หากมุลนายถึงแก่กรม ไพร่จะ
ถูกโอนเป็นของหลวง


ทาส ถือเป็นทรัพย์สินของมูลนาย ที่สามารถซื้อขาย ถ่ายโอน ตกทอดเป็นมรดกได้ ทาสที่
ได้รับการปลดปล่อยจะต้องเป็นไพร่ให้สังกัดของมูลนาย


ไพร่ ตามระบบศักดินา รัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ แบ่งเป็น

- ไพร่หัวงาน มีศักดินา ๒๕
- ไพร่มีครัว มีศักดินา ๒๐
- ไพร่ราบ มีศักดินา ๑๕
- ไพร่เลว มีศักดินา ๑๐

ทาส ตามระบบศักดินา ถือเป็นกลุ่มชนต่ำสุดในสังคม ไม่มีอิสรภาพ แต่สามารถเป็นเจ้าของ
ทรัพย์สินได้บ้าง โดยมีศักดินา ๕ ไร่ สามารถทำมรดกหรือสัญญา และมีสิทธิไถ่ถอนตัวเอง
ได้หามีเงินมาไถ่ถอน

กระนั้นแล้ว สถานภาพ ไพร่ และ ทาส สามารถสับเปลี่ยนกันได้ตลอดเวลา ทาสที่ได้รับการ
ปลดปล่อยจะเป็นไพร่ในสังกัดมูลนายเดิม ในขณะที่ไพร่ อาจจะประสบปัญหา ผลผลิตทาง
เกษตรไม่เพียงพอ อยู่ในภาวะฝืดเคือง ยากจน ก็อาจจะขายตัวลงไปเป็นทาส

หน้าที่หลักของ ไพร่ คือ เป็นแรงงานทั้งงานด้านสาธารณประโยชน์ของรัฐ เช่น การซ่อมแซม
ก่อสร้าง วัด ถนน ฯลฯ เป็นกองกำลังของรัฐในการจับกุมคนร้าย และ ยังเป็นแรงงานรับใช้
มูลนาย มีมูลนายจำนวนไม่น้อยที่อาศัยช่องทางของกฎหมายเก็บไพร่ไว้ใช้ส่วนตัว

กฎหมายสมัยอยุธยาที่กำหนดไว้ว่า

ชายฉกรรจ์ ที่มีส่วนสูงเสมอไหล่ ๒ ศอกกึ่ง ต้องเข้ารับราชการปีละ ๖ เดือน คือ รับราชการ ๑
เดือน ได้พัก ๑ เดือน เรียกว่า เข้าเดือนออกเดือน และในสมัยรัชกาลที่ ๑ ทรงปรับลดให้เข้า
รับราชการเพียง ๔ เดือน ต่อมาในรัชกาลที่ ๒ ทรงปรับลดให้เหลือเพียง ๓ เดือน

ระบบไพร่ แบ่งไพร่ออกเป็น

๑) ไพร่หลวง หมายถึง ไพร่ที่ขึ้นต่อองค์พระมหากษัตริย์โดยตรง เป็นแรงงานหลวง เช่น ทำนา
ก่อสร้าง ต่อเรือ ฯลฯ โดยจะเข้าทำงานตามเวลาที่กำหนดปีละ ๖ เดือน ( เข้าเดือนออกเดือน )
ดังกล่าวข้างต้น

๒) ไพร่สมกำลัง หมายถึง ไพร่ที่หลวงยกให้เป็นบ่าวของเจ้านายและขุนนาง เพื่อรับใช้เจ้านาย
ขุนนางและข้าราชการโดยตรง เมื่อมูลนายถึงแก่กรรม ไพร่สมจะถูกโอนเป็นไพร่หลวง แต่บุตร
ของมูลนายเดิมสามารถยื่นคำร้องขอควบคุมไพร่สมนี้ต่อจากบิดาได้

๓) ไพร่ส่วย หมายถึง ไพร่ที่ทำหน้าที่ส่งส่วยตามที่หลวงกำหนด แทนการเข้าทำงาน เนื่องจาก
อยู่ไกลเมืองหลวง เข้ารับราชการไม่สะดวก สิ่งของที่นำส่งส่วนมากจะเป็นของป่า ของพื้นเมือง
ที่หาได้ตามภูมิลำเนา ซึ่งรวมถึงเงิน ซึ่งเรียกว่า เงินค่าราชการ

สังคมการปกครองในแต่ละยุคสมัย มักมีปัญหาเกิดขึ้นเสมอ ในระบบไพร่ก็เช่นเดียวกัน ปัญหา
ที่มักจะเกิดขึ้น คือ การต่อต้านระบบควบคุม ซึ่งมักจะมาพร้อม ๆ กับการใช้กำลัง ร่วมกับความ
เชื่อเรื่อง " ผู้มีบุญ " ที่สามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ของไพร่ให้ดีขึ้น

( คุ้น ๆ ไม่กับประโยคนี้..ให้ผมกลับบ้าน แล้วพี่น้องจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้น...
คุ้น ๆ น่ะ )

และอาจจะมีเป้าหมายสูงกว่านั้น ถึงขั้นช่วงชิงราชสมบัติ ดังปรากฎหลายต่อหลายครั้งในสมัย
อยุธยา การต่อต้านนี้จะออกมาในรูปแบบของ “ กบฎไพร่

ทิ้งไว้ตรงนี้ก่อน สำหรับเรื่องของ “ ไพร่ “ จะเป็นเพียงวาทกรรม หรือ อาจจะแฝงเร้นไว้ด้วย
จุดมุ่งหมายใด คงมิอาจตอบได้ ตัวอย่าง กบฎไพร่ หลายครั้งในประวัติศาสตร์ชาติสยามที่จะ
กล่าวในบทต่อ ๆ ไป อาจจะช่วยท่านหาคำตอบได้
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Mon May 24, 2010 1:26 pm

bird wrote:แจ้งข่าวค่ะ....

เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

ชุดที่ 1 (ตั้งแต่ บทเริ่มต้น สิ้นสุด วิชาการหรือวิชาเกิน )
รวม 108 หัวข้อ bird จัดทำเป็น e-book และ .pdf
เรียบร้อยแล้ว

ท่านสมาชิกที่ต้องการโหลดเก็บไว้

.PDF File โดย Media Fire

http://www.mediafire.com/?gj3mm4u2wjn

http://www.mediafire.com/file/gj3mm4u2wjn/เค้าลาง ฉบับเต็ม.pdf

โหลดตามสะดวกค่ะ

ส่วนที่ต้องการแบบ print ขาว-ดำ เข้าเล่ม (ตามมีตามเกิด)
จำนวน 353 หน้า (word) pm ที่อยู่มาได้เช่นกัน

ฟรี ไม่มีจำหน่าย หากพบว่ามีการพิมพ์จำหน่าย ไม่ใช่ bird ค่ะ

ขออภัยทุกท่านน่ะค่ะ ที่ช่วงนี้หายไป เนื่องจากติดภารกิจค่ะ
จะเสร็จสิ้นภารกิจ ภายในวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ค่ะ

ขอบคุณทุกท่านที่กรุณาติดตามอ่านน่ะค่ะ


แก้ไข 24 พฤษภาคม 2553

ท่านที่มีปัญหา อัพโหลดไม่ได้ กรุณา pm e-mail มาค่ะ
จะจัดส่ง ต้นฉบับ .PDF ให้ค่ะ
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Thu May 27, 2010 2:35 pm

กบฎไพร่ สมัยอยุธยา

กบฎไพร่ “ วาทกรรมฮิตในการชุมนุมของมวลชนกลุ่มหนึ่ง ณ ใจกลางศูนย์กลางเศรษฐกิจ
สำคัญของประเทศ ภายใต้การส่งเสิรม สนับสนุนจากอดีตผู้นำที่แปรสภาพเป็น นักโทษหนีคดี
ซึ่งในปัจจุบันได้พัฒนาสถานะเป็น ผู้ก่อการร้าย ไปแล้วอย่างสมบูรณ์

กบฎไพร่ “ มิใช่เพิ่งเกิดขึ้นในปัจจุบัน หากแต่เป็นลักษณะหนึ่งของการต่อต้านระบบการควบ
คุมกำลังคน หรือ ระบบไพร่ เกิดขึ้นในทุกยุคของประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของไทย
นับตั้งแต่ยุคสุโขทัยจนถึงยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น การต่อต้านระบบนี้มักจะมาพร้อมกับการใช้
กำลังรวมกับความเชื่อเรื่อง ผุ้มีบุญ หรือ ความเชื่อในเรือง พระศรีอาริย์

พระศรีอาริย์ หรือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมามสัมพุทธเจ้า ตามพุทธ
พยากรณ์ในงานเขียนทางศาสนาของทุกนิกายของศาสนาพุทธ เช่น หลักฐานจากพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค จักกวัตติสูตร สันนิษฐานว่าเป็น

พระพุทธเจ้า องค์แรกในอนาคตที่จะมาประสูติเพื่อประกาศพระธรรม กล่าวกันว่าขณะนี้พระศรีอาริ
ยเมตไตรยได้บำเพ็ญพระโพธิญาณอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตาภูมิเพื่อรอการประสูติเป็นพระพุทธเจ้า
(ข้อมูลโดยละเอียดค้นได้จาก วิกิพีเดีย)

เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับใช้วิเคราะห์ ถึงพฤติกรรม วาทกรรมของแกนนำและผู้ชุมนุม ว่าเข้าข่าย
กบฎไพร่ “ หรือไม่อย่างไร ในหัวข้อนี้ขออนุญาตินำเสนอเรื่องราวการต่อต้านระบบ ที่ถูก
ขนานนามจากนักวิชาการว่าเป็น “ กบฎไพร่ “ เริ่มจากสมัยอยุธยา ที่สำคัญ ๆ คือ

กบฎญาณพิเชียร กบฎธรรมเถียร และ กบฎบุญกว้าง

พฤติกรรมการต่อต้านระบบ หรือ กบฎไพร่ ในสมัยอยุธยาส่วนใหญ่นั้น จุดมุ่งหมายหลักของ
คือ หวังจะแย่งชิงอำนาจ การเลื่อนฐานะของตนขึ้นมาเป็นผู้นำสูงสุดเหนืออาณาจักรอยุธยา
และ ความต้องการที่จะเอาเมืองที่ตนครองอยู่เป็นฐานกำลังในการแย่งชิงอำนาจจากกษัตริย์
ในภายหลัง

กบฎญาณพิเชียร

เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๑๒๔ (ศักราช ๙๔๓) ในรัชสมัยของพระมหาธรรมราชา มีผู้นำกบฎ คือ
ญาณพิเชียร จากข้อมุลที่ปรากฎในพงศาวดา ญาณพิเชียรน่าจะเคยเป็นบุคคลสำคัญในวงราช
การคนหนึ่ง เอกสารส่วนหนึ่งเรียกญาณพิเชียรว่า “ ขุนโกหก

อันความเป็นมาของสมญานี้ คงต้องขอเวลาถอดความ พงศาวดารกรุงสยามฉบับบริติชมิวเซียม
และ พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ ให้ละเอียดเสียก่อนว่ามีความเป็นมาอย่างไร
แต่พอจะนำข้อความมานำเสนอได้ เพียงเล็กน้อย

...ในปีนั้นเกิดกบฎญาณพิเชียน เป็นจลาจลในจังหวัดแขวงหลวง และญาณพิเชียนนั้นเรียก
ขุน โกหก …
“ ( พงศาวดารกรุงสยามฉบับบริติชมิวเซียม )

...ญาณพิเชียรนั้น เรียนคิดโกหกกระทำการเป็นวิปริตแก่ชาวชนบทประเทศนั้น ...
(พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ)

ญาณพิเชียร เริ่มซ่องสุ่มกำลังที่ตำบลบางยี่ล้น และบริเวณพื้นที่ระหว่างอยุธยากับลพบุรี คาดว่า
มีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วงชิงราชบัลลังค์ เมื่อทางเมืองหลวงส่งเจ้าพระยาจักรีออกปราบ ญาณพิเชียร
ได้พาพรรคพวกยกลงมาตีถึงที่ตั้งทัพของเจ้าพระยาจักรี ที่ตำบลมหาดไทย ซึ่งชาวมหาดไทยทื่
ยืนหน้าช้างเจ้าพระยาจักรี ก็ได้หันไปเป็นพวกของญาณพิเชียรทั้งสิ้น

ทัพเจ้าพระยาจักรีพ่ายแก่ญาณพิเชียร ในครั้งนี้เจ้าพระยาจักรีได้สิ้นชีวิตลง โดยผีมือทหารของ
ญาณพิเชียร ชื่อ พันไชยทูต และนายทหารหลายคนถูกทหารของญาณพิเชียร ที่เป็นชายฉกรรจ์
ร่วมทัพถึง ๓,๐๐๐ คน สังหารในที่รบ จากนั้นได้ยกทัพเพื่อจะเข้าชิงเมืองลพบุรี แต่การในครั้งนี้
ไม่ประสบผลดังหวัง เพราะญาณพิเชียรถูกสังหารโดยชาวอมรวดี หรือ ชาวตะวันตก ใช้อาวุธปืน
ลอบยิงถึงแก่ชีวิต ณ ตำบลหัวตรี ทำให้ทัพญาณพิเชียรแตกพ่ายในที่สุด

พฤติกรรมของ กบฎญาณพิเชียร หากเทียบเคียงกับสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น เหตุการณ์เมือ ๑๐
เมย. ๕๓ ที่เหล่าทหารกล้าต้องสังเวยชีวิตให้กับกลุ่มนักรบชุดดำ จะพอเทียบเคียงกันได้หรือไม่
จะเข้าข่ายพฤติกรรม กบฎ หรือไม่ ฝากไว้ให้ทุกท่านได้วิเคราะห์

กบฎธรรมเถียร

เกิดขึ้น พ.ศ. ๒๒๓๗ รัชสมัยพระเพทราชา ผู้นำกบฎครั้งนี้เป็นอดีตข้าหลวงของเจ้าฟ้าอภัยทศ
หรือ พระขวัญ พระอนุชาสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พฤติกรรมของหัวหน้ากบฎครั้งนี้ กระทำ
การโกหกปลอมตัวเป็นเจ้าฟ้าอภัยทศ หลอกลวงชาวชนทบให้เข้าเป็นพวกได้ประมาณ ๒,๐๐๐
คน โดยเริ่มจากแขวงนครนายก และกระจายไปถึงสระบุรี ลพบุรี

แลก ธรรมเถียร ผู้นำกบฎยังได้พยายามชักจูงให้ พระพรหม ณ วัดปากคลองช้าง พระอาจารย์
ที่เจ้าฟ้าอภัยทศนับถือให้เข้าร่วมกบฏด้วย แต่ถูกปฎิเสธโดยอ้างว่า ธรรมเถียรกระทำการโกหก
ซึ่งเป็นเหตุให้กองกำลังบางส่วนถอนตัวออกไปอีกด้วย

กองกำลังของ ธรรมเถียร มีทหารและขุนนางฝ่ายตรงข้ามกับราชวงศ์บ้านพลูหลวงปะปนอยู่บ้าง
แต่กำลังส่วนใหญ่เป็นพวกชาวไร่ชาวนา ต่างจากกองกำลังของกบฎญาณพิเชียรที่ส่วนใหญ่เป็น
ทหารที่มีระเบียบ จึงทำให้เป็นกองกำลังที่ขาดประสิทธิภาพ และต้องพ่ายแพ้ให้กับกองทัพของ
อยุธยาในที่สุด

พฤติกรรมของ กบฎธรรมเถียร ที่แอบอ้างว่าตนเป็นเจ้าฟ้าอภัยทศ เนื่องจากธรรมเถียรไม่ใช่คน
ที่มีบารมีในท้องถิ่นที่ซ่องสุ่มกำลัง ทำให้ต้องอาศัยบารมีของผู้อื่นมาเป็นข้ออ้างในการหาพรรค
พวก คำโกหกที่ธรรมเถียรนำมาใช้

- ธรรมเถียรทำให้ชาวบ้านเข้าใจว่าต้นเป็นผู้วิเศษ ฆ่าไม่ตาย
- กล่าวอ้างว่าตนเป็น ผุ้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ โดยเน้นชาติกำเนิดประกาศว่า
“ ตัวกูคือเจ้าฟ้าอภัยทศ จะยกลงไปตีเอาราชสมบัติคืนให้จงได้ “


มูลเหตุหนึ่งที่ชาวชนบทเข้าร่วมในการกบฎครั้งนี้ น่าจะมาจากลักษณะที่เอื้อในการเลือนฐานะ
ทางการเมืองของสามัญชนขึ้นมาเป็นขุนนางจะเกิดขึ้นเสมอ เมื่อเกิดการแย่งชิงราชสมบัติขึ้น
ระหว่างกษัตริย์และขุนนาง ดังข้อความที่ปรากฎในบันทึกของฟานฟลีต ( หรือที่คนไทยเรียก
กันว่า วัน วลิต พ่อค้าชาวเนเธอร์แลนด์ ของบริษัทดัตช์อีสต์อินเดีย เป็นผู้อำนวยการการค้า
ของอีสต์อินเดียในกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๗๖
ถึง พ.ศ. ๒๑๘๕ )

“ พวกไพร่จำนวนมากกลับกลายเป็นเสนาบดี และพวกที่มีอำนาจที่สุดในราชสำนึก “

พฤติกรรมอ้างตนเป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ฆ่าไม่ตาย พอจะเทียบเคียงกับภาพของเจ้ามูลแม้ว
หรือคำกล่าวที่ว่า เป็น เจ้า กลับชาติมาเกิดเพื่อกู้ชาติ หรือบทเทศน์ของหลวงตาเพื่อเตือนสตินั้น
พอจะเทียบเคียงกันได้หรือไม่หนอ....

กบฎบุญกว้าง

เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๒๔๑ ในรัชสมัยของพระเพทราชาเช่นเดียวกับกบฎธรรมเถียร ต่างกันตรง
ที่ว่า กบฎครั้งนี้เกิดขึ้นที่เมืองนครราชสีมา ห่างไกลจากส่วนกลาง แต่เป็นหัวเมืองสำคัญที่เป็น
ฐานอำนาจในการควบคุมหัวเมืองต่าง ๆ

ข้อมูลจากพงศาวดารส่วนใหญ่ เรียกกบฎครั้งนี้ว่าเป็น “ กบฎลาว “ สืบเนื่องจาก กบฎครั้งนี้
เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขทางสังคม ที่มีลักษณะประชากรเป็นคนเชื้อชาติลาว ลักษณะวัฒนธรรม
ความเชื่อของคนเชื้อชาติลาว

บุญกว้าง ผู้นำกบฎครั้งนี้เป็นคนที่มี ความรุ้ วิชาการดี มีถิ่นฐานอยู่แขวงหัวเมืองลาวตะวันออก
บุญกว้างนำพรรคพวกเพียง ๒๘ คน เข้ายึดครองนครราชสีมา โดยอ้างว่าตนเป็นผุ้มีบุญ และ
อาศัยความเชื่อทางไสยศาสตร์ ข่มขู่ เจ้าเมืองและขุนนาง พร้อมรวบรวมกำลัง ๔,๐๐๐ คน
เพื่อยกมาตีกรุงศรีอยุธยา

บุญกว้างและพรรคพวกทั้ง ๒๘ คน หลังเข้ายึดนครราชสีมาได้แล้ว ทางอยุธยาได้ส่งกองทัพ
ใหญ่เข้าล้อมเมือง นานถึง ๓ ปี ก็ไม่อาจตีเมืองได้สำเร็จ ชาวเมืองอดอยากล้มตายเป็นจำนวน
มาก ที่สุดแล้ว ผู้นำกบฎและพรรคพวกทั้ง ๒๘ คนได้หลบหนีออกจากเมือง ทอดทิ้งชาวบ้าน
ที่ให้ความร่วมมือกับพวกกบฎเป็นอันดีในการพิทักษ์รักษาได้นานถึง ๓ ปี

แน่นอน ผลสรุปของกบฎบุญกว้าง ก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับกบฎญาณพิเชียรและกบฎธรรมเถียร
บุญกว้าง ผุ้นำกบฎและพรรคพวก พ่ายแพ้ต่อทัพกรุงศรีอยุธยาถูกประหารชีวิต

หากลองเทียบเคียงพฤติกรรม กับการกระทำพิธีทางไสยศาสตร์เมื่อครั้งพิธีเทเลือด พิธีสวด
หงายบาตร คว่ำบาตร พิธีตัดกรรม การหลบหนีของบรรดาแกนนำ จะพอเทียบเคียงกันได้บ้าง
มั้ยหนอ...

พฤติกรรม กบฎสมัยอยุธยา ดังกล่าวข้างต้น ทิ้งไว้ให้ทุกท่านได้วิเคราะห์ พิจารณา เทียบเคียง
กับสถานการณ์ พฤติกรรมของนายใหญ่ แกนนำ และเหล่าผุ้สนับสนุน แก้วทั้ง ๓ ไม่ว่าจะเป็น
ในสภา นอกสภา ในเครื่องแบบ นอกเครื่องแบบ มะเขือเทศ หรืออื่นๆ

จะเทียบเคียงกันได้หรือไม่
จะเข้าข่ายพฤติกรรม กบฎ หรือไม่


คงต้องทิ้งประเด็นไว้ให้ทุกท่าน ด้วยความเคารพ
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Mon Jun 14, 2010 10:26 am

ไพร่ อำมาตย์ เสรีชน ในมุมมองของ Value Investor

วันนี้มีบทความดี ๆ มาให้ทุกท่านได้อ่าน ได้วิเคราะห์อีก ๑ บทความ
เป็นบทความที่เขียนขึ้นโดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เมื่อวันที่ ๒๗
มีนาคม ๒๕๕๓ ขออนุญาต นำเสนอ ความว่า

โลกในมุมมองของ Value Investor

โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

27 มีนาคม 53

ในขณะที่วาทกรรมเรื่อง ไพร่-อำมาตย์ กำลังร้อนอยู่ในขณะนี้ ผมลอง
มาคิดดูถึงตัวเองในฐานะนักลงทุนอาชีพแบบ Value Investor ว่าเราน่า
จะเป็นใคร ไพร่ หรือ อำมาตย์ หรือ อย่างอื่น

ก่อนที่จะพูดว่าเป็นไพร่หรืออำมาตย์ ผมคงต้องกำหนดนิยามเสียก่อน
ว่าไพร่และอำมาตย์ในความหมายของผมนั้น ไม่ได้เป็นคำนิยามตาม
พจนานุกรมที่อาจจะบอกว่า

" ไพร่คือข้าทาสหรืออำมาตย์คือข้าราชการในสังคมไทยสมัยก่อน "

ไพร่ในความหมายของผมและดูเหมือนว่าจะเป็นความหมายของคนใน
สังคมจำนวนมากเห็นได้จากการใช้คำ ๆ นี้ในภาพยนต์และละครหลัง
ข่าวกันเป็นประจำก็คือ เป็น

“ชาวบ้าน” ที่ไม่มี “ตระกูล” ยากจน เป็นคน “ชั้นต่ำ” ของสังคมที่
ไม่มีอภิสิทธิ์อะไรทั้งสิ้น ว่าที่จริงไพร่นั้นเป็นคนที่ “ถูกกดขี่” และ
เป็นคนที่เสียเปรียบทุกด้านในสังคม

ส่วนคำว่าอำมาตย์นั้น ว่าไปแล้ว เราก็แทบจะไม่ได้ใช้เลยในชีวิตประ
จำวันสมัยใหม่ แต่ถ้าตีความตามที่มีการใช้กันเป็นวาทกรรมในขณะนี้
ก็น่าจะหมายถึง

คนที่เป็นคน “ชั้นสูง” ของสังคม เป็นคนที่มีสถานะทางตำแหน่งงาน
ในราชการหรือองค์กรธุรกิจ เป็นคนที่มีอภิสิทธิ์ เป็น “ผู้กดขี่” เป็น
“นาย” และเป็นผู้ที่ได้เปรียบทุกอย่างในสังคม ซึ่งในสมัยปัจจุบันนี้
ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นข้าราชการเลย

มาดูก่อนว่าเราเป็นคน “ชั้นสูง” หรือไม่? นี่เป็นเรื่องชัดเจนว่าเราไม่ใช่
เราไม่ได้เกิดในตระกูล “ผู้ดี” หรือตระกูล “นักธุรกิจร่ำรวย” ว่าที่จริง
ตระกูลอย่างตระกูลของผมนั้น เรานั้นมาจากชาวนายากจนที่อพยพหนี
ความอดอยากมาจากเมืองจีน

ดังนั้น เรามี “คุณสมบัติไพร่” ข้อที่หนึ่ง แต่นี่ไม่ได้หมายความว่า
เราจะต้องเป็นไพร่ เพราะยังต้องมีคุณสมบัติอื่น ๆ มาประกอบด้วย

ในเรื่องของการเป็นผู้ “กดขี่” นั้น สิ่งที่ใช้วัดนั้น ผมมองว่าการเป็น
ผู้ที่อยู่เหนือกว่าในแง่ของการสั่งการให้ทำอะไรต่าง ๆ ได้น่าจะเป็น
ตัววัดที่พอใช้ได้ นั่นคือ ถ้าเรามีคนที่เป็นลูกน้องหรือบริวาร เช่น
คนรับใช้มากคนมากชั้น

ก็หมายความว่าเราอาจจะมีคุณสมบัติแบบอำมาตย์มาก
ตรงกันข้าม ถ้าเรากลายเป็นลูกน้อง มีคนที่อยู่เหนือและสามารถ
สั่งการเรามาก แต่เราไม่มีลูกน้องหรือคนที่อยู่ใต้เราเลย นั่นแปลว่า
เรามีคุณสมบัติของไพร่โดยแท้

มองในมุมนี้ ในฐานะของนักลงทุน ผมไม่มีผู้ใต้บังคับบัญชาเลย
นอกจากนั้น ในชีวิตส่วนตัวผมก็ไม่เคยมีคนรับใช้ที่จะให้สั่งงานด้วย
ดังนั้น ดูเหมือนว่าผมน่าจะอยู่ในข่ายไพร่

อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่มี “นาย” ที่จะมาสั่งการอะไรผม ผมไม่มี
คนที่ต้องไปพินอบพิเทาอะไรทั้งสิ้น ผมเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์

ดังนั้น ผมจึงไม่เข้าข่ายหรือไม่มีคุณสมบัติไพร่ในประเด็นนี้

เรื่องของการมีอภิสิทธิ์ในสังคมนั้น ที่จริงมาจากคุณสมบัติหลาย ๆ
อย่างรวมกัน รวมถึงอุปนิสัยส่วนตัวของเจ้าตัวด้วย ในเรื่องนี้ ผมคิดว่า
ถ้าจะอธิบายให้เห็นภาพง่าย ๆ ก็คือ

ไพร่นั้น นอกจากจะไม่มีอภิสิทธิ์แล้ว ยังมักจะโดน “รอนสิทธิ์” ด้วย
นั่นคือ เมื่อมีปัญหาอะไรก็จะถูกจัดการด้วยกฏหมาย อย่างรุนแรงเกิน
กว่าปกติ

ส่วนอำมาตย์นั้น คือคนที่สามารถอยู่ “เหนือกฏหมาย” เช่น อาจจะ
มีการละเว้นไม่ดำเนินการโดยผู้รักษากฏหมาย

ถ้าจะลองนึกถึงตัวอย่างดูง่าย ๆ ในเรื่องของการถูกตำรวจจับเรื่องขับรถ
ผิดกฏ

- ถ้าคุณสามารถที่จะหลุดพ้นมาได้โดยตำรวจไม่ทำอะไรนั่นก็คือ
คุณมีคุณสมบัติอำมาตย์

- แต่ถ้าคุณต้อง “จ่าย” ค่าปรับ นั่นก็คือ คุณเป็นคนธรรมดา
- แต่ถ้าคุณเป็นคนที่มักจะถูกตำรวจตั้งด่านจับเป็นประจำ นั่นก็คือ
คุณคงมีคุณสมบัติไพร่อยู่ไม่น้อย

อีกเรื่องหนึ่งที่พอจะนำมาวัดเรื่องสถานะของคนก็คือ เรื่องของสถานะ
ทางสังคม เวลาที่เราบอกว่าเป็นนักลงทุนนั้น คนทั่วไปก็มักเข้าใจว่า
เราไม่ได้มีอาชีพการงานหรือตำแหน่งอะไรเลย การเป็นนักลงทุนอาชีพ
นั้นผมคิดว่าค่อนข้างมีปัญหาพอสมควรโดยเฉพาะเวลาต้องไปสัมพันธ์
เกี่ยวข้องกับคนอื่น

ยกตัวอย่างง่าย ๆ เวลาจะไปขอบัตรเครดิตนั้น ผมพบว่าเราไม่สามารถ
จะกรอกแบบฟอร์มเพื่อประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของเราได้
เพราะเราไม่มีเงินเดือน ไม่มีหน้าที่การงาน ที่จะทำให้เราดูมีเครดิตดี
หรือเวลาเราไปขอวีซ่าไปต่างประเทศ เขาก็มักจะต้องขอข้อมูลคล้าย
คลึงกัน ในแง่นี้ นักลงทุนดูเหมือนว่าจะมีสถานะไม่สูง

เวลาที่เรา “เติบโต” มีอายุมากขึ้นและประสบความสำเร็จในการลงทุน
เปรียบเทียบไปแล้วก็ไม่น้อยหน้าไปกว่าเพื่อนฝูงที่ทำราชการหรือคนที่
ทำงานบริษัทเอกชนหรือเป็นเจ้าของธุรกิจ

แต่การยอมรับของคนในสังคมต่อนักลงทุนก็จะด้อยกว่ามาก ไม่มีใคร
จะเชิญนักลงทุนขึ้นไปกล่าวในงานแต่งงานหรืองานพิธี ไม่มีสถาบัน
การศึกษาไหนจะให้ตำแหน่งศิษย์เก่าดีเด่นกับนักลงทุนที่ไม่มีตำแหน่ง
อะไรเลย

และสำหรับนักลงทุนอาชีพหนุ่มนั้น เวลาที่จะไปขอผู้หญิงแต่งงานก็
มักจะต้องเผชิญกับคำถามจากญาติฝ่ายเจ้าสาวว่า “ทำงานอะไร”
เหล่านี้ทำให้นักลงทุนนั้นมีความโน้มเอียงไปในทาง “ไพร่” มากกว่า
ที่จะเป็นอำมาตย์

สุดท้ายก็คือเรื่องของเงิน ความรวย ความจน นี่เป็นจุดที่อาจจะทำให้
Value Investor อาชีพนั้น มีคุณสมบัติของอำมาตย เพราะพวกเขาจำนวน
ไม่น้อยมีเงิน ความมั่งคั่งในระดับสูง บางคนเป็นเศรษฐีตั้งแต่อายุไม่มาก

อย่างไรก็ตาม VI หลายคนที่ร่ำรวยก็ไม่ใคร่ได้ใช้เงินหรือแสดงออกถึง
ความร่ำรวย คราบของความเป็นอำมาตย์ก็ไม่เกิด อย่างไรก็ตามคุณสม
บัติข้อนี้ทำให้ VI จำนวนมากไม่สามารถจะถูกจัดให้เป็นไพร่ได้

โดยสรุปแล้ว ผมคิดว่า ชีวิตของ Value Investor อาชีพนั้น มีคุณสมบัติ
โน้มเอียงไปในทางที่เป็น ไพร่มากกว่าอำมาตย์

อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติส่วนใหญ่กลับเป็นคุณสมบัติกลาง ๆ ระหว่าง
ไพร่กับอำมาตย์

ดังนั้น ในความเห็นของผม VI นั้นน่าจะเป็นคนที่ผมเรียกว่า “เสรีชน”
มากกว่าที่จะเป็นไพร่หรืออำมาตย์

เสรีชน ในความหมายของผมก็คือ คนที่มีชีวิตอิสระไม่ขึ้นกับใคร ในอีก
ด้านหนึ่ง เขาก็ไม่ต้องการไปกดขี่หรืออยู่เหนือคนอื่น พวกเขาชอบความ
เป็นธรรมและความเสมอภาคกันในสังคม เขาคิดว่า นี่คือสิ่งที่จะทำให้
ประเทศและเศรษฐกิจเติบโตไปได้ดีที่สุดในระยะยาวซึ่งจะส่งผลถึงการ
ลงทุนของพวกเขาด้วย

ด้วยควาเคารพ สำหรับบทความดี ๆ อีก ๑ บทความ
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby ริวเซย์ » Mon Jun 14, 2010 10:30 pm

ขอบคุณครับ สำหรับเนื้อหาสาระดีๆที่มอบให้เสรีไทยตลอดมาอย่างสม่ำเสมอ

:P
หากดอกไม้แย้มบานในใจแห่งผู้คนที่ทุกข์ทน
ความสว่างส่องทางสับสนด้วยความรักที่มอบแก่กัน
ให้ดอกไม้นั้นแทนความงามแห่งน้ำใจ ยิ่งใหญ่
เมฆหมอกก็คงสลาย ด้วยดอกไม้คือความสดใสในแสงตะวัน
คือดอกไม้อันดีงาม คงอยู่ด้วยความสดใส
คือดอกไม้ของน้ำใจ งดงามเพียงใดให้แก่กัน
User avatar
ริวเซย์
Site Admin
 
Posts: 3386
Joined: Fri Oct 17, 2008 12:34 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Thu Jun 17, 2010 4:59 pm

กบฎไพร่รัตนโกสินทร์ ตอนที่ ๑

ไพร่ หมายถึง ราษฎรทั่วไปทั้งชายและหญิง ที่มิได้เป็นเจ้านาย ขุนนาง
และมิได้เป็นทาส นับเป็นชนชั้นที่มีจำนวนมากที่สุดของสังคม ไพร่ใน
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ที่สำคัญ คือ ไพร่สม ไพร่หลวง ไพร่ส่วย
เหมือนสมัยกรุงศรีอยุธยา

ไพร่หลวงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ได้รับการผ่อนผันลดหย่อนเวลา
เกณฑ์แรงงาน ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจที่ต้องการให้ไพร่เหล่านี้ได้ผลิต
สินค้าเพื่อขายสู่ตลาดมากขึ้น

ในสมัยนี้เนื่อง่จากการค้าเจริญรุ่งเรือง ไพร่ส่วยมีความสำคัญมาก เพราะ
รัฐบาลเร่งเอาส่วยสิ่งของต่างๆ เพื่อนำไปค้าขาย นับเป็นภาระหนักอย่าง
หนึ่งของไพร่ จึงมีคนจำนวนมากหนีระบบไพร่ โดยการไปเป็น ไพร่สม
ของเจ้านาย, ขุนนางผู้มีอำนาจ หรือขายตัวเป็นทาส ในสมัยรัชกาลที่ ๓
ประกาศห้ามขุนนางหรือเจ้านายซ่องสุมกำลังคน

ข้างต้นคือความหมายของไพร่ ที่ปรากฎอยู่ในแบบเรียนวิชาประวัติศาสตร์
ภาคการเมืองการปกครองในระดับชั้นมัธยมศึกษา และยังเป็นความหมาย
ที่บันทึกไว้ตามเว็บไซด์ที่เผยแพร่อยู่ทั่วไป ที่ท่านสามารถค้นหาคำตอบ
ได้ตามอัธยาศัย

ลองมาดูคำว่า กบฎ กันบ้าง ความหมายที่ได้จากวิกิพีเดียสารานุกรมเสรี

กบฎ “ , “ ขบถ “ หรือ “ กระบถ “ สามารถหมายถึง

การกบฎ ( rebellion / treason ) – การประทุษร้ายต่อทางอาณาจักร
ผู้เป็นกบฎ ( rebel / traitor ) – ผู้ประทุษร้ายต่อทางอาณาจักร

ความผิดฐานเป็นกบฎ ( treason-felony ) – ชื่อความผิดอาญาฐานกระทำ
ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร โดยใช้กำลังประทุษ
ร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้ายเพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลง รธน
หรือล้มล้างอํานาจนิติบัญญัติ อํานาจบริหาร หรืออํานาจตุลาการ หรือแบ่ง
แยกราชอาณาจักร หรือยึดอํานาจปกครองส่วนใดส่วนหนึ่งแห่งราชอาณา
จักร เรียกว่า ความผิดฐานเป็นกบฏ


กบฎไพร่ ตามความหมายที่ได้นำเสนอไว้บ้างต้น คือ การต่อต้านระบบ
การควบคุมกำลังคนที่มักจะมาพร้อมกับการใช้กำลังผสมผสานกับความเชื่อ
ในเรื่องผู้มีบุญ เป็นปฎิกิริยาจากไพร่ที่มุ่งหวังโอกาสในชีวิตที่ดีกว่าเดิม

ในประวัติศาสต์ชาติไทย กบฎไพร่ เกิดขึ้นในทุกยุคสมัยนับตั้งแต่สุโขทัย
จนถึงยุครัตนโกสินทร์ ตามหลักฐานตามประวัติศาสตร์ กบฎผู้มีบุญครั้งล่า
สุดคือ กบฎศิลา วงศ์สิน เกิดขึ้นปี พ.ศ. ๒๕๐๒ รัชสมัยของรัชกาลที่ ๙

ในหัวข้อที่ผ่านมาได้นำเสนอ เรื่องราวของกบฎไพร่ที่สำคัญบางส่วนใน
สมัยอยุธยา ในหัวข้อนี้จึงใคร่ขออนุญาตินำเสนอ กบฎไพร่ที่เกิดขึ้นในยุค
รัตนโกสินทร์ ซึ่งพอจะสรุปได้ ดังนี้

กบฎไพร่พวกข่า

ข่า มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในแขวงสุวรรณเขต, แขวงสาลวัน, และ แขวง
อัตปีอ ของลาว ซึ่งเคยเป็นดินแดนของราชอาณาจักรไทย นักมานุษยวิทยา
ถือว่า ชาวข่าเป็นชนเผ่าหนึ่งในแถบลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งอาจสืบเชื้อสายมาจาก
ขอมโบราณ เคยอาศัยอยู่ในดินแดนของอาณาจักรเจนละ ชาวข่า แยกออก
เป็นหลายเผ่าพันธ์ เช่น ข่าย่าเหิน ข่าสุข่าตะโอย ข่าสอก ข่าสปวน เป็นต้น

ชาวข่า เรียกตัวเองว่า พวกบรู (แปลว่า ภูเขา) คำว่า ข่า เป็นชื่อที่ชาวอีสาน
ใช้เรียกชาวบรู ซึ่งอาจจะมาจากคำว่า ข้าทาส เพราะในอดีตชาวไทยแถบ
ลุ่มแม่น้ำโขงชอบเอาชาวข่าตามป่าดงมาเป็นทาศ ต่อมารัชกาลที่ ๕ ทรง
ประกาศห้ามมิให้จับพวกข่ามาเป็นข้าทาส

กบฎพวกข่า มีสาเหตุหลักมาจากความไม่พอใจในนโยบายของรัฐที่เข้ามา
มีอิทธิพลเหนือพวกข่า ผนวกกับความเดือดร้อนของพวกข่าที่ต้องส่งส่วย
ทองคำแทนการเกณฑ์แรงงานในจำนวนที่สูง กบฎพวกข่าเป็นกบฎที่ใช้
ความเชื่อถือในเรื่องของผู้วิเศษ ร่วมกับการใช้กำลัง หรือที่นักวิชาการเรียก
ว่า “ กบฎผู้มีบุญ “ (ลักษณะโดยละเอียดจะนำเสนอในครั้งต่อไป)

กบฎพวกข่าในสมัยรัตนโกสินทร์ที่มักพูดถึงกันบ่อย ๆ คือ

๑) กบฎเชียงแก้ว
๒) กบฎอ้ายสาเกียดโง้ง


กบฎเชียงแก้ว

เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๔ รัชสมัยรัชกาลที่ ๑ ถือเป็นกบฎผู้มีบุญ นำโดย
เชียงแก้ว
มีถิ่นฐานอยุ่ที่ตำบลเขาโอง ตั้งตนเป็นผู้วิเศษ มีผู้คนเลื่อมใส
จำนวนมาก ซ่องสุ่มกำลังคนซึ่งส่วนใหญ่ชาวข่า ยกเข้าตีเมืองจำปาศักดิ์ ไทย
ส่งทัพจากอุบล, ยโสธรเข้าปราบ สามารถจับตัวผู้นำ เชียงแก้ว ลงโทษประหาร
ได้ในปี พ.ศ. ๒๓๔๐

มีสาเหตุมาจากนโยบายของรัฐที่ขยายอำนาจเข้าสู่ภาคอีสาน และเริ่มมีอิทธิพล
เหนือพวกข่า เมื่อครั้งพระเจ้ากรุงธนบุรียกทัพเข้าตีนครจำปาศักดิ์ ในปี ๒๓๒๐
มีการกวาดต้อนชาวขอมป่าดง ประมาณ ๓๐,๐๐๐ คน บังคับให้เจ้าเมืองอัตปือ
เชื่อสายข่า เกลี่ยมกล่อมให้พวกข่าทั้งฝั่งขาวและฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงเข้าร่วม
เป็นพลเมือง มีหน้าที่ส่งส่วยทองคำแทนการเกณฎ์แรงงาน โดยผ่านเจ้านคร
จำปาศักดิ์ในอัตราที่สูง สร้างความไม่พอใจให้กับพวกข่า เป็นเหตุให้รวมตัวกัน
ต่อต้าน ภายใต้การนำโดย เชียงแก้ว ดังกล่าวข้างต้น

กบฎอ้ายสาเกียดโง้ง

เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๓๖๒ นำโดย อ้ายสาเกียดโง้ง ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากความ
เดือดร้อนของพวกข่า ที่ต้องส่งส่วยทองคำมากขึ้นหลังจากรัฐปราบกบฎเชียงแก้ว
ส่วยทองคำที่ทางรัฐเรียกเก็บในปี พ.ศ. ๒๓๒๐ ปีละ ๓ ชั่ง เพิ่มเป็นปีละ ๖ ชั่งใน
พ.ศ. ๒๓๒๔

สร้างความยากลำบากและความไม่พอใจอย่างมากให้กับพวกข่า ที่ถูกกวาดต้อน
เข้ามาเป็นพลเมือง นอกจากนี้พวกข่ายังต้องต่อสู้กับการจับพวกข่ามาเป็นข้าทาส
ซึ่งเป็นที่นิยมของผู้มีอำนาจในท้องถิ่น ที่มักนำกำลังไปจับพวกข่ามาขายเป็นทาส

อ้ายสาเกียดโง้ง ซึ่งตั้งตนเป็นผู้วิเศษ มีบุญ สำแดงวิชาให้พวกข่าเหิน (เผ่าพันธ์
หนึ่งของพวกข่า) รวบรวมกำลังคนเข้ายึดเมืองจำปาศักดิ์ได้เป็นผลสำเร็จ

อ้ายสา หรือ พระภิกษุสา หรือ พระอาสา ประวัติศาสต์ลาวระบุว่า เป็นลาวเชลย
สงครามมีถิ่นฐานอยู่เมืองสระบุรี ทนการกดขี่ของผู้คุมไม่ได้ จึงหนีบวชเป็นพระ
ภิกษุ เดินธุดงค์จากสระบุรี นครราชสีมา และปักหลักอยู่ที่ ภูอาสา บ้านเกียดโง้ง
ตามประวัติศาสตร์ลาวยังกล่าวอีกว่า

พระสา มีลูกศิษย์มากมาย ซึ่งต่อมาทนเจ้าเมืองจำปาศักดิ์ที่ข่มเหงราษฎรไม่ไหว
จึงชวนกันหนีไปอยู่กับพระสา ที่ภูอาสาเป็นจำนวนมาก เจ้าเมืองจำปาศักดิ์เกิด
ความระแวง จึงใส่ความว่าพระสาเป็นกบฎ ยกกองทัพเข้าปราบ กลับเพลี่ยงพล้ำ
พระสายึดเมืองจำปาศักดิ์ได้ ทางกรุงเทพจัดทัพ โดยมีเจ้าเมืองนครราชสีมาเป็น
แม่ทัพ มีเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ส่งกองทัพมาช่วยล้อมปราบ จับตัวพระสามา
จองจำที่กรุงเทพ

ตามประวัติศาสต์ไทย ระบุว่า พระสาได้ปลุกระดมชาวเมืองในแถบแขวงจำปาสัก
อัตปีอ และสาละวัน ให้แข็งข้อ มีกำลังพลประมาณ ๖,๐๐๐ คน ทำให้ ภูอาสา
เป็นดินแดนแห่งการปลดปล่อย

เจ้าเมืองจำปานำกองทหารเข้าปราบปราม แต่ไม่สำเร็จ พระสานำกำลังเข้าโจมตี
เผาเมืองจำปาศักดิ์ ทางกรุงเทพต้องนำทัพของเจ้าพระยานครราชสีมาและกอง
ทัพของเจ้าอนุวงศ์เมืองเวียงจันทน์ไปปราบ ก่อนจับตัวอ้ายสาเกียดโง้งมาไว้ที่
กรุงเทพ ส่วนพวกข่าที่เข้าร่วมเป็นกบฎต้องโทษให้เป็น ตะพุ่นหญ้าช้าง โดยให้
อยู่รวมกันที่บางบอน

สำหรับในหัวข้อนี้ ขออนุญาตินำเสนอไว้เพียงเท่านี้ หวังเพียงว่า เนื้อหานำเสนอ
ไว้คงให้ประโยชน์แด่ทุกท่านได้บ้าง สำหรับในหัวข้อถัดไป ขออนุญาตินำเสนอ
เรื่องราวของกบฎในสมัยรัตนโกสินทร์ ที่ถูกจัดว่าเป็น

กบฎที่ขยายความเชื่อได้กว้างขวางมากที่สุด และเกิดขึ้นในภาคอีสานมากกว่า
ทุกภาคในประวัติศาสตร์ชาติไทย หรือที่นักประวัติศาสตร์เรียกขานว่า

กบฎผู้มีบุญอีสาน
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Thu Jun 17, 2010 9:41 pm

ริวเซย์ wrote:ขอบคุณครับ สำหรับเนื้อหาสาระดีๆที่มอบให้เสรีไทยตลอดมาอย่างสม่ำเสมอ

:P


รู้สึกเป็นเกียตริอย่างยิ่งค่ะที่ท่าน wm กรุณาแวะมาค่ะ :mrgreen: :mrgreen:
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Mon Jun 21, 2010 8:38 pm

กบฎผู้มีบุญ อีสาน

เล่าเรื่อง ไพร่ แล กบฎไพร่ มาหลายตอน หวังว่าทุกท่านคงจะไม่เบื่อ
เสียก่อน บางท่านอาจจะตั้งคำถามในใจว่า เหตุใดจึงนำเสนอแต่เรื่อง
ไพร่ กบฎไพร่ ซึ่งเป็นเนื้อหาสาระที่ทุกท่านต่างก็ทราบกันเป็นอย่างดี
บางท่านมีรายละเอียดมากกว่า ที่นำเสนอด้วยซ้ำ เรื่องราวที่นำเสนอนี้
ไม่สอดคล้องกับหัวข้อกระทู้ที่ว่า " เค้าลางแห่งความเลวร้าย..แม้ว "
สักเท่าไหร่ (ผู้นำเสนอเอง ก็เริ่มจะ งง ๆ กับตัวเองเหมือนกัน)

การนำเสนอเรื่องราวของ ไพร่ กบฎไพร่ เกิดขึ้นด้วยวัตถุประสงค์เพียง
ต้องการปูพื้นฐานทั้งความหมายตามพจนานุกรม ตามเว็บไซด์ต่าง ๆ
รวมไปถึงสาเหตุแวดล้อมที่ก่อให้เกิดกบฎ และบทสรุปของกลุ่มที่ก่อ
การกบฎต่อบ้านเมืองในอดีตที่ผ่านมา

เพื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มบุคคลที่ออกมาเคลื่อนไหว ภายใต้วาทกรรม
ที่ว่า ตนเป็นไพร่ และต้องการล้มล้างระบบอำมาตย์ เพียงเพื่อต้องการ
ประชาธิปไตยตามความหมายของพวกตน ทั้งปลุกเร้า ยั่วยุผู้ที่เข้าร่วม
จนนำไปสู่สถานการณ์ที่เลวร้าย ยิ่งกว่าครั้งใดในประวัติศาสตร์

ในหัวข้อนี้ขออนุญาตินำเสนอเรื่องราวของการต่อต้านอำนาจรัฐในอีก
รูปแบบหนึ่ง ซึ่งนำเอาความเชื่อในเรื่องของผู้มีบุญ ผนวกกับกองกำลัง
เป็นกบฎที่ขยายความเชื่อได้อย่างกว้างขวางและฝังรากลึกอยู่ในจิตใจ
ของผู้เข้าร่วม ผู้สนับสนุนได้เป็นจำนวนมาก กบฎในลักษณะนี้เกิดขึ้น
หลาย ๆ ต่อหลายครั้งในประวัติศาสตร์ และมักเกิดขึ้นทางภาคอีสาน
นักวิชาการเรียกการต่อต้านในลักษณะนี้ว่า " กบฎผีบ้า ผีบุญ "
หรือ " กบฎผู้มีบุญ "

" ผีบุญ " ความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ระบุไว้ว่า
ผู้อวดคุณวิเศษว่ามีฤทธิ์ทำได้ต่างๆ อย่างผีสางเทวดา ให้คนหลงเชื่อ

หนังสือ " เกร็ดประวัติอีสาน ผีบ้า ผีบุญ " โดย คำพูน บุญทวี ให้ความ
หมาย ผีบ้า ผีบุญ ไว้ " คนธรรมดาที่อวดอุตริเป็นผู้วิเศษ มีอิทธิฤทธิ์
ต่าง ๆ นานา ทำการชักชวนผู้คนก่อกบฎกับรัฐที่เป็นศูนย์กลางอำนาจ
"

จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ พอจะสรุปได้ว่า กบฎผู้มีบุญเกิดขึ้นครั้งแรก
ในปี พ.ศ. ๒๒๔๒ (รัชสมัยพระเพทราชา) ครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ. ๒๕๐๒
รวม ๙ ครั้ง ในช่วงเวลาประมาณ ๒๖๐ ปี

ข้อมูลจากหนังสือศิลปวัฒนธรรม ฉบับที่ ๑ ปีที่ ๒๘ วันที่ ๑ พย. ๒๕๔๙
สรุปกบฎผู้มีบุญทั้ง ๙ ครั้งไว้ดังนี้

๑) กบฎบุญกว้าง : พ.ศ. ๒๒๔๒
๒) กบฎเชียงแก้ว : พ.ศ. ๒๓๓๔ (รัชสมัยรัชกาลที่ ๑)
๓) กบฎสาเกียดโง้ง : พ.ศ. ๒๓๖๐ (รัชสมัยรัชกาลที่ ๒)
๔) กบฎสามโบก : พ.ศ. ๒๔๔๒ – ๒๔๔๔ (รัชสมัยรัชกาลที่ ๕)
๕) กบฎผู้มีบุญอีสาน : พ.ศ. ๒๔๔๔ – ๒๔๔๕ (รัชสมัยรัชกาลที่ ๕)
๖) กบฎหนองหมากแก้ว : พ.ศ. ๒๔๖๗ (รัชสมัยรัชกาลที่ ๖)
๗) กบฎหมอลำน้อยชาดา : พ.ศ. ๒๔๗๙ (รัชสมัยรัชกาลที่ ๘)
๘) กบฎหมอลำโสภา พลตรี : พ.ศ. ๒๔๘๓ (รัชสมัยรัชกาลที่ ๘)
๙) กบฎศิลา วงศ์สิน : พ.ศ. ๒๕๐๒ (รัชสมัยรัชกาลที่ ๙)


กบฎผู้มีบุญ ที่อยากนำเสนอให้ทุกท่านได้วิเคราะห์และพิจารณา เป็น
กบฎผู้มีบุญอีสาน ที่เกิดขึ้นในช่วงปี ๒๔๔๔ ถึง ๒๔๔๕ เป็นกบฎที่มี
ผู้ตั้งตนเป็นผู้มีบุญมากถึง ๖๐ คน กระจายอยู่ใน ๑๓ จังหวัดทางภาค
อีสาน จากข้อมูลหนังสือเล่มเดียวกันระบุไว้ดังนี้ อุบลราชธานี ๑๔ คน
ศรีสะเกษ ๑๒ คน มหาสารคาม ๑๐ คน นครราชสีมา ๕ คน กาฬสินทร์
สุรินทร์ จังหวัดละ ๔ คน ร้อยเอ็ด สกลนคร จังหวัดละ ๓ คน ขอนแก่น
นครพนม อุดรธานี ชัยภูมิ และบุรีรัมย์ จังหวัดละ ๑ คน

กบฎ ส่วนใหญ่เป็นการต่อต้านระบบควบคุม เพื่อล้มล้างอำนาจรัฐด้วยกำลัง
แต่ กบฏผู้มีบุญ ผู้นำกลุ่มตั้งตนเป็นผู้มีบุญ เป็นผู้วิเศษ เช่น พระศรีอาริย์
ตามความเชื่อทางศาสนาพุทธนิกายเถรวาท เชื่อว่าเป็นพระพุทธเจ้าที่
จะมาตรัสรู้ในอนาคต เป็นต้น เมื่อมีมวลชนเชื่อ ศรัทธาและเข้าร่วมมากพอ
ก็จะใช้กำลังเข้ายึดอำนาน เพื่อให้กลุ่มของตนเข้าปกครองแทน

( เหมือนจะคุ้นกันบ้างมั้ยหนอ กับลักษณะดังกล่าว )

สำหรับสาเหตุที่ก่อให้เกิดกบฎผีบ้าผีบุญนั้น เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ
ไม่ว่าจะมาจากการเมืองทั้งภายในและภายนอกประเทศ สภาพเศรษฐ
กิจที่ตกต่ำ สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวอีสาน ซึ่งรวมไปถึงการเรียก
เก็บภาษีส่วยหรือเงินข้าราชการที่เก็บจากชายฉกรรจ์คนละ ๔ บาท
(มูลค่าปัจจุบันประมาณ ๔,๐๐๐ – ๕,๐๐๐ บาท) แทนการเกณฑ์แรงงาน

ช่วงเวลาดังกล่าว เป็นช่วงการขยายอำนาจของจักรวรรดินิยมฝรั่งเศส
เข้าสู่อินโดจีน และมีเป้าหมายที่จะขยายเข้าสู่ภาคอีสาน ทำให้ไทย
ไม่สามารถจัดตั้งกองกำลังทหารและเก็บภาษีในเขตรัศมี ๒๕ กิโลเมตร
ทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขง อีกทั้งข้าราชการฝรั่งเศสยังข่มเหงชาวบ้าน
และข้าราชการไทยที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ทำให้เกิดข่าวลือที่ว่า

ผู้มีบุญจะมาแต่ตะวันออก เจ้าเก่าจะหมดอำนาจ ศาสนาก็สิ้น...
กรุงจะเสียแก่ฝรั่งเศส...


ขณะเดียวกัน ก็เป็นช่วงเวลาของการปฏิรูปการปกครองของรัชกาลที่ ๕
เพื่อให้ส่วนกลางสามารถควบคุมหัวเมืองได้ โดยส่งข้าหลวงและ
ข้าราชการจากส่วนกลางเข้ามาทำงานในภาคอีสาน การจัดเก็บภาษี
จากส่วนกลางโดยตรงสร้างความไม่พอใจให้กับข้าราชการท้องถิ่น
เพราะผลประโยชน์ที่เคยได้รับลดลงไปอย่างมาก

อีกทั้งการเพิ่มอัตราภาษีส่วยหรือเงินข้าราชการที่เรียกเก็บแทนการ
เกณฑ์แรงงานจากชาวอีสานที่ดำรงชีวิตโดยไม่ต้องใช้เงิน ยังสร้าง
ความเดือดร้อนให้ชาวอีสานเป็นอย่างมาก เช่น ต้องเดินทางไกลนำ
ผลผลิตทางเกษตรไปขาย เพื่อนำเงินมาเสียภาษี สำหรับผู้ที่ไม่
สามารถหาเงินมาเสียภาษีได้ จะต้องถูกเกณฑ์ไปทำงานโยธา ๑๕
วัน เช่น ขุดสระน้ำ สร้างถนน เป็นต้น

นอกจากนี้ในช่วงเวลาดังกล่าว เกิดฝนแล้งในภาคอีสานติดต่อกัน
หลายปี เมื่อมีผู้ปลุกระดมในเรื่องผู้มีบุญ และความเชื่อต่าง ๆ ทำ
ให้ชาวอีสานส่วนใหญ่เชื่อตาม และเข้าร่วมทันที

อำนาจรัฐที่ลดลงจากการขยายอำนาจของจักรวรรดิฝรั่งเศส ผนวก
กับความไม่พอใจของข้าราชการท้องถิ่น และความเดือดร้อนที่ชาว
อีสานได้รับจากการเรียกเก็บภาษีส่วย ทำให้ผู้นำกบฎในยุคนั้นใช้
เป็นโอกาสรวมตัวกันขึ้นต่อต้านในลักษณะของ กบฎผู้มีบุญ

กบฎผู้มีบุญ
มีเป้าหมายในการกระทำหลายระดับ ซึ่งต้องพิจารณาว่า
ใครเป็นผู้นำกลุ่ม

บางกลุ่มมีเป้าหมาย ต้องการขับไล่อำนาจจากส่วนกลาง เพื่อต้องการ
ตั้งรัฐขึ้นมาใหม่
เช่น กลุ่มขององค์มั่น ที่มีอิทธิพลในพื้นที่อุบลราชธานี
อำนาจเจริญ มุกดาหารบางส่วน และลาวใต้บริเวณฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง
ที่ต้องการตั้งรัฐขึ้นใหม่ โดยมีอุบลเป็นศูนย์กลางของอำนาจ เป็นต้น

บางกลุ่มซึ่งเป็นกลุ่มเล็ก ๆ มีเป้าหมายเพียง การตั้งตนเป็น ผู้วิเศษ
รดน้ำมนต์ รักษาคนป่วย เช่น กลุ่มอาจารย์เข้ม ตั้งตนเป็น “ท้าววิษณุ
กรรมเทวบุตร “ กลุ่มยายหย่า ยายหยอง อ้างเป็นพระศรีอริยเมตไตร
กลับชาติมาเกิด เป็นต้น

ชาวบ้านที่เข้าร่วมกลุ่ม โดยไม่ทราบเป้าหมายของผู้นำกลุ่มว่าแท้จริงว่า
ผู้นำกลุ่มมีเป้าหมายไว้อย่างไร ส่วนใหญ่เข้าร่วมเพราะศรัทธาในผู้มีบุญ
ดังนั้นไม่ว่าผู้มีบุญที่พาไปทางไหน จะกล่าวอะไร จึงมักเชื่อโดยไร้ข้อ
กังหาใด ๆ

ด้วยอุปนิสัยข้างต้นของชาวอีสาน ทำให้ผู้นำกบฎ ใช้จุดนี้เป็นกลยุทธ์
ในการปลุกระดม ด้วยวิธีการ

- การปล่อยข่าวลือ คำพยากรณ์ ผู้ปล่อยข่าวลือส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่
ประกาศตนว่าเป็นผู้มีบุญเอง หรือ ผู้ร่วมขบวนการในระดับผู้นำ โดย
การบอกเล่ากับกลุ่มชาวบ้านที่ใกล้ชิด แล้วให้บอกต่อ ๆ กัน ซึ่งข่าว
ลือจะมีทั้งการกล่าวโจมตี และ คำพยากรณ์ต่าง ๆ


เช่น ข่าวลือว่าเงินทองจะกลายเป็นเหล็ก ทำให้ชาวบ้านแตกตื่นต่าง
นำเงินไปใช้จ่ายไม่ให้เหลือ เพราะกลัวว่าถ้าเหลือไว้ เงินจะกลายเป็น
เหล็ก ทำให้พ่อขายจีนส่วนใหญ่รวยไปตาม ๆ กัน เป็นต้น

ยุทธวิธีนี้ เรา ๆ ท่าน ต่างก็พบเห็นอยู่ในปัจจุบัน จึงไม่แน่ใจว่า

ผู้ที่นำยุทธวิธีนี้มาใช้ในการเคลื่อนไหวยุคไอที จะเป็นผู้นำการกบฎ
ในยุคโบราณกลับชาติมาเกิดหรือป่าวหนอ


- การใช้พิธีกรรม เพื่อเรียกศรัทธาให้กับตัวผู้มีบุญ สร้างความหวังให้
กับชาวบ้าน
เช่น ครูอนันนิคามเขต วัดสิงห์ท่า ผู้ทำพิธีตัดกรรมจองเวร
ด้วยการรดน้ำมนต์ เสกเป่า ล้างบาปกรรมความชั่วต่างๆ ชาวบ้านเชื่อว่า
เป็นการล้างบาป ทำให้เป็นผู้บริสุทธิ์ เพื่อรอคอยผุ้มีลบุญ เป็นต้น

วิธีการนี้ ทุก ๆ ท่านก็คงจะสดับรับฟังมาบางแล้วในช่วงปีที่ผ่านมา

บทสรุปของกบฎผู้มีบุญ มิได้แตกต่างไปจากกบฎไพร่อื่น ที่ได้นำเสนอ
มาแล้วในหัวข้อที่ผ่านมา ผู้นำกบฎถูกจับ ประหารชีวิต ไม่สามารถหลีก
หนีเวรกรรมที่สร้างไว้ต่อชาติบ้านเมือง อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของตน

บทสรุปของมวลชนที่เคลื่อนไหวในปัจจุบัน ภายใต้ผู้นำที่ปักหลักอยู่ใน
ต่างประเทศคงไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับว่า จะช้าหรือเร็วเท่านั้น
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Fri Jun 25, 2010 1:36 pm

วาทกรรมสร้างความแตกแยก

นับจากการยื่นถวายฎีกาสร้างทุกข์ทั้งแผ่นดิน ของมวลชนผู้สนับสนุน
คนไกลบ้านการเคลื่อนไหวรอบใหม่ ภายใต้แกนนำหน้าเดิมๆ แต่เป้า
หมายที่ไปไกลกว่าเดิม และ วาทกรรมครั้งใหม่ สงครามล้มอำมาตย์,
สงครามไพร่, สงครามประชาชน สารพัดจะสรรหา เพื่อโหมกระแส ยั่วยุ
ปลุกปั่น เพิ่มมวลชนสนับสนุนที่เริ่มลดน้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด

วาทกรรมยอดฮิตเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นต้นคิด และที่สำคัญ ความ
หมายของวาทกรรมเหล่านั้น แท้จริงแล้วคืออะไร มาไขปริศนากันดีกว่า

ไพร่ อำมาตย์ วาทกรรมที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับการเคลื่อนไหวครั้งใหม่
ของมวลชนคนสีสด เกิดได้อย่างไรหนอ ใครกันเป็นต้นคิด ขุด ๆ ค้น ๆ
เอกสารเก่า ๆ ที่ยังไม่เก่าเกินไปนัก พอจะได้ข้อมูล ดังนี้

Image

คำให้สัมภาษณ์ของ เต้นสภาโจ๊ก เมื่อ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๓ ที่ตีพิมพ์
ในสื่อ กรุงเทพธุรกิจ กล่าว่า ตนเป็นผู้นำคำว่า ไพร่ มาใช้ครั้งแรก ณ
เวทีนครราชสีมาเมื่อประมาณต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๒ ซึ่งครั้งนั้น แม้ว
โทรมาหาตนแล้วบอกว่า

มันใช่มากถ้าเต้นพูดแบบนี้จะทำให้มวลชนสีสดเพิ่มมากขึ้น

เต้นยังกล่าวต่ออีกว่า

จากนั้นที่ ระยอง ผมก็พูดอีก ที่อ่างทอง มีการยกเรื่อง รามเกียรติ์ มา
เปรียบเทียบว่า

ทศกัณฐ์ ที่ถูกมองว่าเป็นฝ่ายอธรรม พ่ายแพ้ พระราม ที่เป็นฝ่ายธรรมะ
นั้น เหตุผลที่ทศกัณฐ์ ต้องพ่ายแพ้ เพราะคู่ต่อสู้คือ พระราม ผู้เป็นชน
ชั้นสูง จึงถูกรุมทำร้ายและพ่ายแพ้ในที่สุด


วรรณกรมที่มีประวัติศาสตร์มาช้านาน ต้องพังพินาศ เพราะใครกันหนอ
ทิ้งประเด็นนี้ไว้ตรงนี้ก่อน

จากข้อมูลข้างต้นพอจะสรุปได้ว่า วาทกรรมนี้ เต้นสภาโจ๊ก เป็นตัวแปร
ที่สำคัญ

วาทกรรมที่น่าคิดอีกประการ อำมาตย์ หรือ โค่นอำมาตย์

Image

จากวีดีโอลิงค์ครั้งหนึ่งของทักกี้ ที่ตอกย้ำวาทกรรม โค่นอำมาตย์

พี่น้องต้องลุกขึ้นสู้ อำมาตย์ไม่อยากเห็นคนหายจน ไม่อยากเห็นลูก
หลานฉลาด เพราะอย่างนี้เราถึงต้องพึ่งพาอำมาตย์ตลอดชีวิต ถ้าครั้งนี้
ประชาชนเป็นฝ่ายชนะ จะเป็นการปลดแอกตนเองให้พ้นจากอำมาตย์
ทั้งหลายที่มาบังคับให้เราโง่ ให้เราจน


ฟังดูเผิน ๆ อาจจะมองว่าเป็นแนวความคิดใหม่ ในการปลุกกระแสเพื่อ
สร้างความเปลี่ยนแปลง โดยเป้าหมายแท้จริงของผู้พูดแฝงที่อยู่ในคำ
ปราศรัยผ่านวีดีโอลิงค์อย่างชัดเจน หากย้อนกลับไปพิจารณาประกาศ
ของคณะราษฎร ฉบับที่ ๑ ซึ่งปรากฏวาทกรรมเช่นเดียวกันนี้อย่างชัด
เจน ( หาอ่านได้จาก wikisource.org )

วาทกรรม ไพร่ อำมาตย์ เกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นต้นคิด ทุกท่านพอ
จะทราบคำตอบแล้วด้วยมุมมองของแต่ละท่าน

ประเด็นที่สำคัญที่น่าสนใจอีกหนึ่งประเด็น ความหมายของ ไพร่ และ
อำมาตย์ ตามที่ควรจะเป็น ตามที่ถูกต้อง ตามที่อารยประเทศยอมรับ
คืออะไร

จากวาทกรรม คำปราศัยของเหล่าแกนนำ ที่อำพราง กำกวม จะโดย
ตั้งใจหรือไม่ แต่ก็ทำให้ผู้เข้าร่วมการชุมนุมผู้สนับสนุน มวลชนสีสด
เชื่อโดยไม่มีข้อกังขาใด ๆ ว่า

การชุมนุมครั้งนี้เพื่อเรียกร้องสิทธิโดยชอบธรรมให้กับผู้ด้อยโอกาส

โดยไม่ทราบว่า จุดประสงค์ที่แท้จริงของเหล่าแกนนำ และ ทักกี้ นั้น
ยิ่งใหญ่ไปไกลขนาดไหน จะถึงขึ้นล้มระบบ เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน
ประวัติศาสตร์ชาติหรือไม่ ด้วยความรู้ความสามารถที่มีอยู่ คงมิกล้าที่
จะวิจารณ์ใดๆ คงทิ้งภาะนี้ไว้ให้ทุกท่านได้วิเคราะห์ พิจารณาตามมุม
มองและทัศนคติของทุกท่าน

ไพร่ “ ตามความหมายของ อักขราภิธานศรับท์ พจนานุกรมฉบับ
หมอบรัดเลย์ พจนานุกรม ไทย – ไทย ฉบับแรกของสยาม เริ่มพิมพ์
เมื่อ ๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๐๔ กล่าวไว้ดังนี้

ไพร่ คือ คนราษฎรที่เปนชาวเมือง, มิใช่ขุนนาง, เปนแต่พลเรือน

ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน, ราษฎรชาวเมือง คือ คนบันดาในขอบขัณฑเสมา
ของพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้นนั้น

ถึงกระนั้น ไพร่ สามารถมีโอกาสปรับสถานตนเองให้มีศักดินาสูงขึ้นไป
จนถึงขึ้นสูงสุด คือ ระดับเจ้าได้ ในทางตรงข้าม ศักดินาเจ้า ก็มีโอกาส
กลับสู่ตำแหน่งสามัญได้เช่นกัน เช่น การสืบสายเลือดที่จะค่อย ๆ ลด
หลั่นลงมาจนกระทั่งถึงขั้นราษฎร หรือ มีพระราชโองการให้ถอดฐานัน
ดร เป็นต้น

แต่ความหมายที่ตุ๊ดตู่ หนึ่งในแกนนำมวลชนปูพื้นฐานไว้ว่า

ไพร่ คือ คนที่ไม่ได้รับความยุติธรรม จะมีความผิดถ้าไม่ยินยอมไป
สวามิภักดิ์กับพวกอำมาตย์


เป็นความหมายที่จินตนาการขึ้นด้วยสติปัญญาระดับใด คงต้องขอทิ้ง
ประเด็นไว้เป็นภาระของทุกท่านอีกเช่นกัน มิกล้าวิจารณ์ใด ๆ

อำมาตย์ หรือ อำมาตย ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสภา พ.ศ.
๒๕๔๒ หมายถึง ข้าราชการ , ข้าเฝ้า , ที่ปรึกษา


- ข้าราชการ หมายถึง บุคคลซึ่งทำงานอยู่ภายในระบบราชการ
- ข้าเฝ้า หมายถึง ขุนนางที่คอยรับใช้พระเจ้าแผ่นดิน
- ที่ปรึกษา หมายถึง ผู้ให้คำแนะนำ


ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ จะพบว่ามีผู้ดำรงตำแหน่ง อำมาตย์ จนถึง
อำมาตย์เอก นั้นมีจำนวนไม่น้อย เช่น

- อำมาตย์เอก พระยาประมวลวิชาพูน (วงษ์ บุญ-หลง) รักษาราชการ
ตำแหน่งอธิบดีกรมพลศึกษา (สารานุกรมการศึกษาฯ ระหว่าง ๙ ธค.
๒๔๗๖ ถึง ๒๑ มีค. ๒๔๗๗)

- รองอำมาตย์เอก หลวงพิทักษ์พนมเขต (สีห์ จันทรสาขา) ดำรงตำ
แหน่งนายอำเภอธาตุพนม เมื่อ ๑ กรกฎาคม ๒๔๖๑ (หนังสือประวัติ
ของรองอำมาตย์เอกหลวงพิทักษ์พนมเขต (สีห์ จันทรสาขา)

ที่สำคัญท่านอดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐบุรุษอาวุโส นายปรีดี พนมยงค์
ก็เคยได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ อำมาตย์ตรี หลวงประดิษฐ์มนูธรรม
ในปี ๒๔๖๙ และภรรยาของท่าน ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ (สกุล
เดิม ณ ป้อมเพชร) ธิดา มหาอำมาตย์ตรี พระยาชัยวิชิตวิศิษฎ์ธรรมธาดา
(ขำ ณ ป้อมเพชร)

วิกิพีเดีย ได้แสดงข้อมูลไว้ดังนี้

ยศข้าราชการพลเรือนในสมัยก่อน พ.ศ. ๒๔๗๕ ซึ่งเทียบฐานันดรแห่ง
ข้าราชการพลเรือน กับ ยศทหาร ดังต่อไปนี้

• มหาอำมาตย์นายก เทียบ ยศทหารชั้น จอมพล มีบุคคลเพียง ๒ ท่าน
ที่ได้รับพระราชทาน ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะ
วงศ์วโรปการ และ เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม)

• มหาอำมาตย์เอก, โท, ตรี เทียบ ยศทหารชั้น นายพลเอก, โท, ตรี
• อำมาตย์เอก, โท, ตรี เทียบ ยศทหารชั้น นายพันเอก, โท, ตรี
• รองอำมาตย์เอก, โท, ตรี เทียบ ยศทหารชั้น นายร้อยเอก, โท, ตรี

จากข้อมูลข้างต้น น่าจะพอสรุปได้ว่า

อำมาตย์ นอกจากความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสภา
พ.ศ. ๒๕๔๒ หมายถึง ข้าราชการ, ข้าเฝ้า, ที่ปรึกษา

แล้วน่าจะหมายถึง ฐานันดรศักดิ์หรือบรรดาศักดิ์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
ในสมัยก่อน ไม่ว่าจะเป็น อธิบดี นายอำเภอ รัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี

ซึ่งต่อมาระบบข้าราชการพลเรือนก็ได้เปลียนชื่อจากระบบอำมาตย์มา
เป็นระบบที่ ทันสมัยขึ้น โดยนับจากข้าราชการชั้นต่ำสุดถึงชั้นสูงสุด
คือ ชั้นประทวน ชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอก และชั้นพิเศษ หลังเหตุการณ์
๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๗ ระบบข้าราชการพลเรือนได้เปลี่ยนเป็นระบบซี
โดยมีอัตราตำแหน่งตั้งแต่ซี ๑ ไปจนถึงซี ๑๑ ในปัจจุบันเริ่มจะมีแนว
โน้มว่า ระบบซี กำลังจะหายไปจากระบบราชการไทย

ไพร่ อำมาตย์ วาทกรรมของแกนนำและมวลชนสีสดที่สนับสนุนทักกี้
ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งก็ดำรงตำแหน่งนายก ซึ่งเทียบเท่า มหาอำมาตย์ในอดีต

จะให้ตีความว่ากระไร สุดที่จะวิเคราะห์ วิจารณ์ ขออนุญาติยกภาระ
ประเด็นนี้ให้ท่านได้วิเคราะห์ตามดุลยพินิจของทุกท่าน
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby บุญปลีก » Fri Jul 23, 2010 7:05 pm

bird wrote:บทเทศน์ของ หลวงตามหาบัว

ก่อนอื่นขอนำเสนอด้วยบทเทศน์ของหลวงตามหาบัว เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2548
โดยขออนุญาติยกมาเพียงตอนหนึ่งที่มีนัยะ ดังนี้

" บ้านเมืองเราเวลานี้ ถูกบีบถูกบังคับด้วยความมืดมน อนธกาลพูดตั้งแต่วงรัฐบาล
มาว่าอย่างนี้เลย เมืองไทยรู้สึกว่ามือมนมากถูกสิ่งที่มืดดำ เอาอำนาจป่าเถื่อนมาบีบ
บังคับทุกแง่ทุกมุม เวลานี้ หาความสุจริตไม่ได้เลย มีตั้งแต่คนชั่ว เดี๋ยวนี้ครองบ้าน
ครองเมือง เป็นเจ้าอำนาจบาตรหลวง ครอบคนดีในเมืองไทยเรา แม้แต่พระก็เดือดร้อน
เวลานี้
อย่าว่าแต่ประชาชนเลย พระท่านอยู่เป็นศีลเป็นธรรมปฏิบัติตนอยู่ในป่าในเขา
ก็ได้รับความกระทบกระเทือนจากพวกนี้ละ พวกเปรต พวกผี เราก็แปลกใจนะ จิตใจคน
ทำไมถึงดำเอาหนักหนา ไม่มองดูผิด ถูก ชั่ว ดี มีแต่จะเอาให้ได้อย่างเดียว ผิดถูกก็ตาม
ขอให้ได้อย่างใจ เวลานี้ใช้อำนาจป่าเถื่อนมาบีบบังคับทุกแบบทุกฉบับ "

" เราสลดสังเวชนะ เช่น อย่างขนบประเพณีของบ้านเมืองเรา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงตั้งสมเด็จพระสังฆราชมาตั้งแต่ไหนแต่ไรมา นี่เป็นประเพณีของบ้านเมืองเรา สงบ
ร่มเย็นเรื่อยมา นี้มันก็มายึดเอาแบบลับ ๆ ลึก ๆ นี่ละที่ว่าพวกมืดมิดปิดตา มันเข้ามา
เหยียบย่ำ มีแต่อำนาจเสียด้วย มันลุกลามเข้าไปหารัฐบาลนู่น อำนาจเหล่านี้ มันจะกลาย
เป็นรัฐบาลอาภัพไปนะ หนัก ๆ เข้ารัฐบาลนี้มันจะเป็นรัฐบาลอาภัพ เพราะมักใหญ่ใผ่สูง
เกินเนี้อเกินตัว "


" ได้ทราบว่าเด๋ยวนี้จะเป็นประธานาธิบดี เราทราบว่าอย่างนั้น ตั้งหน้าตั้งตารุกกันใหญ่
ตั้งหน้าตั้งตาจะขึ้นไปถึงประธานาธิบดี เขาพูดให้ฟังนี่ เราก็ว่าอย่างนี้ เราจะผิดที่ไหน
เราเอาคำพูดเขามาพูดเฉย ๆ ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วจะอาภัพ รัฐบาลไทยเรา ว่างั้นเลย
เราพูดชี้นิ้วเลย "

" ถ้าใครจะอาภัพ ก็รัฐบาลเป็นต้นจะอาภัพ ที่ตัวเก่ง ๆ มักเก่งอึ่งอ่างนะซิ พองตัวขึ้นไป
ให้เท่าวัว คือ ธรรม ธรรมท่านจะเป็นอะไร แล้วอึ่งอ่างมันท้องจะระเบิดนะ พองเข้าไป ๆ
ไม่รู้จักหนักจักเบา คืบคลานเข้าไปหมด เรานี้วิตก พอได้ยินอย่างนี้รู้สึกวิตก มันปรารถนา
ลามกขึ้นไปเรื่อย ๆ จะปีนขึ้นจรวด ดาวเทียม ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเครื่องจะขึ้นไป จะเหาะขึ้นไป
โดยที่ไม่มีปีก เราพูดเท่านี้ละ เราสลดสังเวชถึงเรื่องชาติบ้านเมืองทุกวันนี้ "

คงไม่ต้องอธิบายหรือชี้แจงรายละเอียดใด หลวงตาท่านเทศน์ไว้ให้ได้คิด


พอดีวันนั้นได้ฟังด้วยครับ
บุญปลีก
 
Posts: 7184
Joined: Mon May 03, 2010 12:23 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby eastisred » Wed Aug 18, 2010 1:39 am

พี่ถามหน่อยเถอะ ทำไม ศาล ถึงยึดทรัพย์ คุณ ทักษิณ ได้ละ

ก็ ในเมื่อ เขา ไม่ใช่ คนชาติ ไทย แต่เป็น ชาว





อะ คุณ จิง จิง

เราเป็นชาวไทย ดัน ส ใส่ เกือก ให้ คน
ชาด แม้ว มาปกครอง โอ้ย ประเทศ ไทย เคยถูก ชนกลุ่มน้อย
ชาว แม้วปกครองด้วย เนี้ยะ
ต้องให้อาจารย์ชาญวิทย์ เขียนลง ประวัติไทย ยุคปัจจุบัน
ให้นักเรียนรู้ว่า เรา เคยถูกชนกลุ่มน้อย ปกครอง
แนวร่วมประชาธิปไตย ขับไล่เดียรถีย์
User avatar
eastisred
 
Posts: 219
Joined: Tue Aug 17, 2010 2:20 am
Location: 496/2 soi chareonkrung 85 bangkok

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby eastisred » Wed Aug 18, 2010 1:44 am

ตอนนี้ ได้ข่าวว่า อ้ายแม้วตนนี้ถูกผลักดันออกนอกประเทศ ไป ประเทศ มอนเตรเนโกร แล้ว นิ คง พลัดหลง กับเพื่อน ที่ ถูก ผลักดันไปลาว เฮ้อ คง ว้าเหว่ แน่ แน่ ต้อง ส่ง ใคร ไป ให้พี่ ม แม้ว คึก คัก ย ยักษ์ วิ่งหนีแล้ว แล้ว ฉ ฉิ่ง จะตี ดังหรือ เปล่า

ต้องให้ หมอ กริด คอมเฟริม อีก แล้ว 555555555555555555555555555555555
5555555555555555555555555555555555555555555555555555555555
แนวร่วมประชาธิปไตย ขับไล่เดียรถีย์
User avatar
eastisred
 
Posts: 219
Joined: Tue Aug 17, 2010 2:20 am
Location: 496/2 soi chareonkrung 85 bangkok

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Thu Aug 19, 2010 9:02 pm

eastisred wrote:พี่ถามหน่อยเถอะ ทำไม ศาล ถึงยึดทรัพย์ คุณ ทักษิณ ได้ละ

ก็ ในเมื่อ เขา ไม่ใช่ คนชาติ ไทย แต่เป็น ชาว

อะ คุณ จิง จิง

เราเป็นชาวไทย ดัน ส ใส่ เกือก ให้ คน
ชาด แม้ว มาปกครอง โอ้ย ประเทศ ไทย เคยถูก ชนกลุ่มน้อย
ชาว แม้วปกครองด้วย เนี้ยะ
ต้องให้อาจารย์ชาญวิทย์ เขียนลง ประวัติไทย ยุคปัจจุบัน
ให้นักเรียนรู้ว่า เรา เคยถูกชนกลุ่มน้อย ปกครอง


eastisred wrote:ตอนนี้ ได้ข่าวว่า อ้ายแม้วตนนี้ถูกผลักดันออกนอกประเทศ ไป ประเทศ มอนเตรเนโกร แล้ว นิ คง พลัดหลง กับเพื่อน ที่ ถูก ผลักดันไปลาว เฮ้อ คง ว้าเหว่ แน่ แน่ ต้อง ส่ง ใคร ไป ให้พี่ ม แม้ว คึก คัก ย ยักษ์ วิ่งหนีแล้ว แล้ว ฉ ฉิ่ง จะตี ดังหรือ เปล่า

ต้องให้ หมอ กริด คอมเฟริม อีก แล้ว 555555555555555555555555555555555
5555555555555555555555555555555555555555555555555555555555


สำหรับคำถามแรก...ท่านมิได้พิพากษายึดทรัพย์นายแม้วที่มีสัญชาติมอนเตน่ะค่ะ
แต่ท่านพิพากษายึดทรัพย์นายแม้วที่มีสัญชาติไทยต่างหาก คุณน้องเข้าใจอะไรผิดหรือป่าวค่ะ
ลองย้อนดูสิ..ทรัพย์ที่ได้มาหลังจากเปลี่ยนสัญชาติ ไม่เห็นมีใครไปยุ่งเกี่ยวหรือพูดถึงเลย
ยกเว้น มวลชนกลุ่มน้อย ๆ ที่ยอมให้ ชาดแม้ว ที่คุณน้องกล่าวอ้าง มาครอบครองสติและความคิด
ด้วยกำลังทรัพย์ เพียงเล็กน้อย กับความฝันลม ๆ แล้ง ๆ อีกนิดหน่อย

คุณน้องกรุณาอย่าเข้าใจผิดน่ะค่ ประโยคที่คุณน้องกล่าวอ้างว่า

" ประเทศ ไทย เคยถูก ชนกลุ่มน้อย
ชาว แม้วปกครองด้วย เนี้ยะ "

พี่ขออนุมานว่า คุณน้องคงอ่านประวัติศาสตร์ผิดเล่มแล้วกระมั้งค่ะ
ไม่เคยมีประวัติศาสตร์บันทึกไว้ตามที่คุณน้องกล่าวอ้างเลย...
ที่สำคัญ คุณน้องก็เป็นคนไทยคนหนึ่งเหมือนกันน่ะค่ะ...

พี่เอง ยังไม่เคยเห็นว่า มีใครเค้าไปผลัก ไปดันให้คุณแม้ว มอนเต ให้ท่านต้องเดินทาง
ออกนอกประเทศสักกะคน เห็นมีแต่ ขอร้องให้กลับมา แต่ คุณแม้ว ก็ไม่ยักะยอมกลับมา

หรือจะเป็นเพราะว่า...เค้าเป็นคนมอนเต ที่นี้เลยไม่ใช่บ้านของเค้ากันหนอ
ไม่ต้องรอหมอกริดหรอกจ่ะ...หมอแม่น ๆ ใต้ต้นมะขามก็คอนเฟริืมได้ว่า

ยังไงเสีย คุณแม้ว มอนเต ก็คงไม่กลับมาที่นีอีก เพราะเค้าเป็นคนสันชาดมอนเตไปแล้ว

อย่าทำแบบนี้เลยน่ะ...มันไม่ดีเลย เราคุยกันด้วยเหตุและผลดีกว่าน่ะค่ะ
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby eastisred » Thu Aug 19, 2010 9:20 pm

พี่ ขำ ขำ มันเป็น แค่

Image

แต่เล่นคำ หยาบไป Image
แนวร่วมประชาธิปไตย ขับไล่เดียรถีย์
User avatar
eastisred
 
Posts: 219
Joined: Tue Aug 17, 2010 2:20 am
Location: 496/2 soi chareonkrung 85 bangkok

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby eastisred » Thu Aug 19, 2010 9:42 pm

Image
Image
Image
Image
Image

Image
Image
Image
Image
Image
Image
แนวร่วมประชาธิปไตย ขับไล่เดียรถีย์
User avatar
eastisred
 
Posts: 219
Joined: Tue Aug 17, 2010 2:20 am
Location: 496/2 soi chareonkrung 85 bangkok

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby eastisred » Thu Aug 19, 2010 9:45 pm

ที่มา ปฎิญญา nokia nokia มาจาก ฟินแลนด์
แนวร่วมประชาธิปไตย ขับไล่เดียรถีย์
User avatar
eastisred
 
Posts: 219
Joined: Tue Aug 17, 2010 2:20 am
Location: 496/2 soi chareonkrung 85 bangkok

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby benzcl » Sun Aug 22, 2010 2:23 pm

สวัสดีครับคุณเบิร์ด ผมเพิ่งอ่านจบ ใช้เวลานานมากเหมือนกันน่ะครับ เพราะเนื้อหามีเป็นจำนวนมากถึงสามร้อยกว่าหน้า
ขอบคุณมากเลยครับ ที่คุณให้ข้อมูลทั้งหลายโดยปราศจากอคติจริงๆ
ข้อมูลที่สมบูรณ์ครบถ้วนแบบนี้มีเพียงไม่กี่คนที่จะรวบรวมให้ปะติดปะต่อและเข้าใจง่าย
เพราะรายละเอียดทั้งหมดช่างสลับซับซ้อนยิ่งกว่าเรื่องในนิยาย
บางเรื่องผมไม่สันทัดจึงต้องย้อนกลับไปตรวจสอบกับข่าวเก่าๆ และวิเคราะห์ตามสติปัญญาเท่าที่มีของผมเอง
แล้วกลับมาอ่านทบทวนเรื่องของคุณเบิร์ดอีกทีถึงจะพอตามเรื่องทั้งหมดได้
ผมแน่ใจว่าคำขอบคุณอาจไม่มีคุณค่ามากพอสำหรับความดีของคุณครั้งนี้
แต่ผมอยากขอขอบคุณแทนคนไทยที่เหลือด้วยครับ เพราะคุณต้องเสียสละเวลาไปไม่ใช่น้อย
ผมรู้สึกเสียดายแทนคนที่ไม่ได้อ่านจังเลยครับ
User avatar
benzcl
 
Posts: 3901
Joined: Mon May 03, 2010 10:59 am

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby boss5617 » Sat Jul 02, 2011 8:24 pm

พรุ่งนี้เลือกตั้ง ขุดกระทู้นี้ขึ้นมาเล่นดีกว่า...เผื่อพวกฟายแดงได้เสพข้อมูลดีๆบ้าง
Image
Image
คุณอาจโกหกให้ประชาชน ทุกคนเชื่อได้บางเวลา
คุณอาจโกหกให้ประชาชน บางคนเชื่อได้ทุกเวลา
แต่คุณไม่มีทางโกหกให้ประชาชนทุกคนเชื่อได้ทุกเวลา
User avatar
boss5617
 
Posts: 1441
Joined: Fri Jan 09, 2009 8:31 am



Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby Busanovic119 » Tue Jul 19, 2011 10:19 pm

ขอบคุณ คุณbirdมากครับ จะมองมุมไหนก็พูดถูกครับ
ขอเป็นกำลังใจให้ครับ ช่วยๆกันให้ความรู้เด็ก ไม่ให้เป็นเหมือนคุณ Atom ครับ
User avatar
Busanovic119
 
Posts: 3
Joined: Mon Oct 19, 2009 10:03 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby pawana » Wed Oct 05, 2011 5:05 pm

สมัครเป็นสมาชิกนานเแล้ว เลยเข้ามาเยี่ยมเยียนดู
เห็นหัวข้อแล้วน่าสนใจดี
:cry: :cry: :cry:
User avatar
pawana
 
Posts: 6
Joined: Mon Apr 18, 2011 4:21 pm


Previous

Return to ห้องสมุด



cron