ขอสรุปอีกทีนึงนะครับ...
คนเหนือ คนอีสาน มีวัฒนธรรมที่สอนให้เป็นสังคมคล้อยตามกัน อุปถัมป์เกาะเกี่ยวพึ่งพาซึ่งกันและกันเป็นพวงๆ
และมีความคาดหวังว่าคนมีมาก มีหน้าที่ต้องเลี้ยงต้องอุ้มชูคนมีน้อยกว่า แต่พวกเขากลับต้องอยู่กับความแร้นแค้น อดอยากเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่พวกคนกรุงและคนใต้อยู่ดีกินดีในสายตาพวกเขา
จึงมีปมฝังใจว่าตนเองถูกทอดทิ้ง ไม่ได้รับการดูแลจากอำนาจรัฐอย่างที่ควรจะเป็น กับความรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ ข่มเหงรังแกจากส่วนกลาง พวกข้าราชการปกครอง นโยบายต่างๆ อีกส่วนหนึ่ง
ส่วนภาคใต้ เคยอยู่เป็นอิสระในตัวเองมาก่อนอย่างยาวนาน วัฒนธรรมก็สอนให้รักอิสระ พึ่งตนเองและหยิ่งในศักดิ์ศรี และมีคติว่า "ไม่รบนาย ไม่หายจน"
แต่กลับถูกข่มเหงทำลายสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยข้าราชการที่ทำผิดทำชั่วแล้วถูกย้ายไปลงภาคใต้ โดยเฉพาะรัฐตำรวจที่อุ้มฆ่าสารพัด
จึงมีปมฝังใจว่าตนเองถูกบีบคั้น ถูกรุกราน ถูกพวกผู้มีอำนาจจากส่วนกลางและภาคอื่นๆ พยายามมาครอบงำเพื่อเป็นนายเหนือหัวของตน
และดังนั้น พฤติกรรมการเลือกผู้แทนจึงสะท้อนถึงปมความต้องการที่เป็นคนละขั้วกันนี้ด้วย...
คนเหนืออีสาน อย่างที่กล่าวแล้วว่า "เล่นการเมือง" ด้วยการเลือกผู้แทนเข้าไปทำหน้าที่จัดสรรอำนาจรัฐส่วนกลาง ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าเป็นส่วนสิทธิ์ที่พวกเขาพึงได้ มาให้เพื่อสร้างอะไรต่างๆ และหล่อเลี้ยงให้พวกเขามีความเป็นอยู่ดีขึ้น ดังนั้นผู้แทนของเขาจึงไม่ต่างอะไรกับ "พี่ใหญ่" ที่เข้ากรุงไปทำงานหาเลี้ยงน้องๆ ในครอบครัวด้วยวิธีอื่น
ส่วนคนใต้ เล่นการเมืองโดยเลือกผู้แทนเข้าไปเป็น "ไม้กันหมา" คือเข้าไปนั่งอยู่ในอำนาจรัฐส่วนกลาง เพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพ ศักดิ์ศรี และความยุติธรรมให้กับพวกตน จึงมองความสัมพันธ์กับผู้แทนเป็นเหมือน "บ่าว" หรือ "เกลอ" กันมากกว่า
สำหรับพรรค ปชป. นั้น ผมเชื่อว่าหลังมีระบบปาร์ตี้ลิสท์ คงมีคนใต้ไม่น้อยที่เลือกแบบถ่วงดุล ปาร์ตี้ลิสท์พรรคนึง สส.เขตอีกพรรคนึง
(พูดถึงตรงนี้ยังรู้สึกเป็นความอัปยศและเป็นตราบาปในชีวิตผมอยู่เลยที่เคยหลงไปให้คะแนนกับ ปาร์ตี้ลิสท์ หรือ สส. เขตนี่แหละ ของไทยรกไทย ครั้งนึง แล้วเลือกอีกฝั่งไปถ่วงดุล ตอนที่เพิ่งมีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรกๆ
)
แต่การถ่วงดุลมีมาก่อนหน้านั้นแล้ว ...คือต้องยอมรับว่า ปชป. มักถนัดเป็นฝ่ายค้านมากกว่าเป็นรัฐบาล และในยุคหลังๆ ภาคอื่นส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยนิยม ปชป. เท่าไหร่อยู่แล้ว และคนใต้ก็มีประชากรน้อยกว่า ไม่สามารถเป็นผู้กำหนดการตั้งรัฐบาลได้ การที่คนใต้เลือก ปชป. เข้าไปถ่วงดุลกับรัฐบาลที่ภาคอื่นเลือกมาก็สมเหตุสมผล
สุดท้ายนี้ ขอฝากบทกลอนชื่อ "ส่งใจไปบ้าน" ของคุณจีระนันท์ พิตรปรีชา ไว้ให้อ่านกันเพลินๆ นะครับ
ไก่เอ๋ยไก่เถื่อน
ขันเทือนทั้งบ้าน
หวันเช้าเจ้าขาน
ดังปลุกลุกสู้
อยู่นาอยู่หนำ
ฟังคำขันคู
อกใต้ใจกู
รุมรุมสุมไฟ
จับปืนจับพร้า
เข้าป่าร่วมใจ
เลิกขอรอใคร
กูไปสู้เอง...สู้เอง
นะไก่เถื่อนเอย ฯ
ตั้งแต่กูรู้ความถามกูได้
ว่าคนใต้แต่รุ่นปู่สู้คนไหม
ถูกเขารุมข่มเหงเคยเกรงใคร
ไฟก็ไฟเถอะจะจับดับด้วยมือ
ประเพณีรักเกียรติยิ่งหยิ่งศักดิ์ศรี
เมื่อถูกย่ำย้ำขยี้ยอมนิ่งหรือ
เมื่อถูกปราบหวันยังค่ำอิทำปรือ
ก็ต้องรือตำนานรบมาทบทวน
มันเข่นฆ่ามากี่ศพกลบกี่หลุม
ระเบิดทุ่มเผาลงถังหลังสอบสวน
เทือกบรรทัดทบบันทึกทุกกระบวน
เป็นเหตุหวนให้หาญต้านทานมัน
ไฟสงครามจึงกระพือพัดยื้อยืด
ผ่านยุคมืดสู่ยุคใหม่ไม่พรึงพรั่น
พี่น้องกูชูปืนขึ้นยืนยัน
ไม่มีหวั่นมีแต่หวังให้ตั้งเติม
ขอฝากใจทั้งดวงที่ห่วงบ้าน
ถึงผองชนคนหาญให้ฮึกเหิม
ต่อสู้ประเพณีมีมาแต่เดิม
และจงเพิ่มเสริมพลังความตั้งใจ
ขอฝากนาทุกนาป่าทุกแห่ง
สวนทุกแปลงยางทุกต้นบนดินใต้
ปลาทุกแพแร่ทุกก้อนสังวรไว้
อย่าให้ใครมากอบกำมาทำลาย
อย่ายอมขายอนาคตเพราะหมดแรง
นะไก่เถื่อนเอย ฯและขอฝากทิ้งท้ายให้กับสามเกลอหัวขวดโดยเฉพาะ...
"มันผู้ใดทำร้ายพี่น้องด้วยกัน มันผู้นั้นต้องตาย!!!"