Huligan wrote:ขอคอมเมนต์ จากคุณ Isa หรือคุณวิหคอัศนี ก็ได้...ลองวิเคราะห์ วัฒนธรรมการเมืองของคนภาคกลาง(ที่ไม่ใช่ กทม.) เทียบกับคนเหนือ-อิสาน และเทียบกับคนใต้ ดูบ้างครับ...
อยากอ่าน
เท่าที่พอจะฟันธงได้ชัดๆก็คือ
"ผู้ชายไทยภาคกลางจะกลัวเมียมากกว่าผู้ชายปักษ์ใต้" 5 5 5...นิสัยของคนไทยภาคกลางนั้นค่อนข้างจะสรุปยากครับ เพราะภาคกลางของไทยนั้น
มีกลุ่มคนหลากหลายเชื้อชาติผสมผสานกันทั้งที่เกิดจากอพยพมาจากดินแดนอื่น
หรือการกวาดต้อนมาจากการทำสงคราม เอาแค่ที่เพชรบุรีก็มีลาวทรงดำไปโผล่อยู่ได้ไง??
ผมค่อนข้างจะเชื่อในเรื่องนิสัยประจำชาติพันธุ์ ซึ่งเป็นอะไรที่เรียกว่าฝัง DNA
แม้ช่วงแรกอาจจะไม่แสดงออกชัดนัก
แต่เมื่อสภาพแวดล้อมลงตัวมันจะแสดงตัวออกมาเอง
ลองสังเกตภาพรวมของโลกดู เราจะพบว่าคนที่กุมเศรษฐกิจของโลกส่วนใหญ่ ถ้าในฝั่งยุโรปจะเป็นพวกยิว
ฝั่งเอเชียจะเป็นคนเชื้อสายจีน ฝั่งแอฟริกาจะเป็นคนอินเดีย ซึ่งถ้าไม่ไปด่วนสรุปเสียก่อน
ว่าเป็นการกดขี่ของชนชาติเราจะพบว่าเรื่องนิสัยของชนชาติ ตลอดจนความสัมพันธ์
ของคนในครอบครัว เป็นปัจจัยสำคัญทีเดียวต่อบทบาททางเศรษฐกิจของคนเชื้อชาติใด
เชื้อชาติหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้เราฝืนลำบาก
จอมพลป. เคยผลักดันให้คนไทยทำการค้าแข่งกับคนจีน แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ
สาเหตุสำคัญผมว่าเพราะค่านิยม "รวยแล้วเลิก" ของคนไทยน่ะแหละ
แล้วเมิงจะเอาอะไรไปพัฒนกิจการให้เป็นพันล้านหมื่นล้านแบบคนจีนวะ? หรืออย่างจอมเผด็จการอีดี้อามีน
ของอูกานดา เคยปฏิวัติไล่คนอินเดียออกนอกประเทศ แล้วเอาคนอูกานดาเข้าไปครอบครองกิจการแทน
ผลก็คือเจ๊งกันทั้งประเทศ
สังคมคนไทยแท้ต่างจังหวัดในภาคกลางนั้น ผมแค่สัมผัสจากเครือญาติที่พี่น้องไปแต่งงานด้วยหรือ
จากน้องๆในที่ทำงาน อาจจะไม่แม่นยำนัก แต่เท่าที่เห็นก็คือส่วนใหญ่ค่อนข้างจะมีความมั่นคง
ให้ความสำคัญกับการศึกษาพอสมควร มีความเห่อเรื่องฐานะ ความร่ำรวยในระดับหนึ่ง
ต่างกับคนใต้ที่จะเห่อเรื่องการศึกษากับตำแหน่งงาน ในที่ทำงานก็มีคนภาคกลางต่างจังหวัด
ที่เข้ามาทำงาน และมีความทะเยอทะยานในตำแหน่งใช้ได้ทีเดียว ต่างจากคนใต้ที่มักจะมีเบรก
เรื่องความพอเพียง จึงมักจะเลือกตำแหน่งงานที่มีความมั่นคงมากกว่าตำแหน่งสูงๆ เงินเดือนเยอะๆ
แต่มีความเสี่ยงสูงกว่า
คนภาคกลางส่วนใหญ่จะค่อนข้างกลมกลืนกับสังคมเมืองและไม่รู้สึกแปลกแยกมากนัก
สามารถบริหารชีวิตและฐานะตัวเองได้ดีพอสมควร แต่ที่สัมผัสจากคนไทยกลาง
ที่เข้ามาเรียนหรือทำงานในกรุงเทพฯด้วยกันจะมีภูมิคุ้มกันวัตถุนิยมต่ำกว่าคนใต้
การสร้างความมั่นคงด้านฐานะจะช้ากว่าเท่าที่ผมสังเกต เด็กที่จบปริญญาตรีมา
เด็กเชื้อสายจีนจะปักหลักสร้างฐานะได้เร็วที่สุดเพราะมีครอบครัว
เป็นแบ็คอัพ ทำให้เส้นสตาร์ทสั้นกว่า คนใต้จะตามมาเป็นลำดับสอง เพราะจะเห่อเรื่องวัตถุอยู่แค่ไม่กี่ปี
หลังจากนั้นภูมิคุ้มกันจะทำงานและ เริ่มทำอะไรเป็นหลักเป็นฐาน ตามมาด้วยคนไทยกลาง
ส่วนคนไทยอีสานนั้น ถ้าเป็นคนที่ขยันและคิดเป็น จะสร้างกิจการของตัวเองได้เลย แต่หากเป็นลูกจ้างทั่วไป
ก็มักจะเละๆเทะๆเป็นรากหญ้าอยู่เหมือนเดิม
คนไทยกลางจะคล้ายๆคนกรุงเทพส่วนหนึ่งก็คือหวั่นไหวตามกระแสได้ง่าย แต่ปรับตัวได้เร็ว
ถ้าคิดว่านี่เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรสยามเก่า ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลง อพยพ
เกณฑ์คนอยู่ค่อนข้างจะบ่อยครั้งก็คงจะเห็นความสมเหตุสมผล คนไทยกลางจึงยอมรับ
อยู่กับกฎเกณฑ์ได้ และรู้ที่จะเล่นกับกฎเกณฑ์เพื่อแสวงหาความก้าวหน้าในสังคม
หากเทียบกับภาคใต้ ซึ่งจริงๆแล้วในอดีตเป็นหัวเมืองประเทศราช แทบจะไม่ได้เกี่ยวข้อง
กับส่วนกลางมีแต่การรายงานตัวเป็นครั้งคราว ในการสงครามแต่ละครั้งก็แทบ
จะไม่ได้มีส่วนรบด้วย เพราะ "หัวเมืองปักษ์ใต้"ที่พูดถึงในพงศาวดาร นั้นอยู่แถวๆชลบุรี
ปราณบุรีนี่เอง ภาคใต้จึงเป็นเหมือนอีกหนึ่งประเทศที่มีศูนย์กลาง
การปกครองที่นครศรีฯ มีการปกครองของตัวเอง ซึ่งไม่มีความจำเป็นต้องเกณฑ์ไพร่บ่อยนัก
เพราะหน้าที่หลักของนครศรีฯก็คือกันโจรสลัดมลายู และการรุกรานของอาณาจักรปัตตานี
คนใต้จึงอยู่ในฐานะ "กึ่งไพร่" มีอิสระในตัวเองพอสมควร
ต่างจากคนภาคกลางที่เป็น "ไพร่สม" หรือไม่ก็ "ไพร่หลวง" เต็มตัว แต่ในระบบศักดินาไทยนั้น
"ไพร่" ที่ทำงานเข้าตาก็เลื่อนตำแหน่งได้นะครับ ดังนั้นคนไทยภาคกลางจึงเล่นกับระบบเป็นกว่าคนใต้
ขณะที่คนใต้ส่วนใหญ่ยังยึดอยู่กับภาคราชการ คนไทยกลางนั้นจะกระจายไปทั่วสู่ภาคเอกชนด้วย
แต่ข้อเสียก็คืออาจจะติดกับความเจ้ายศเจ้าอย่างของระบบศักดินาเก่าและเอามาใช้แม้กับภาคเอกชนด้วย
ซึ่งตรงนี้คนใต้ส่วนใหญ่จะมีน้อยกว่า (เพราะคนใต้ส่วนใหญ่หัวหมอ ไปข่มมันมากเดี๋ยวมันต่อยเอา)
ส่วนคนอีสานนั้นจะต่างไป เพราะความเจริญช่วงยุคต้นรัตนโกสินทร์ของของภาคอีสานนั้น
จะอยู่ฝั่งขวาแม่น้ำโขงที่เวียงจันทร์กับจำปาศักดิ์ เมืองอุบลก็เป็นเมืองใหม่ที่เกิดจาก
ความขัดแย้งของเจ้านครลาว คนลาวนั้นถูกควบคุมจากศูนย์กลางเพียงหลวมๆ (ซึ่งการคุมไพร่
ที่หละหลวมกว่านี่แหละที่ทำให้อาณาจักรลาวแข่งกับไทยไม่ได้) และหลังจากศูนย์อำนาจลาว
ถูกทำลายในความขัดแย้งเจ้าอนุวงศ์สมัยร.3 คนลาวจำนวนมากก็ถูกกวาดต้อนกระจาย
เข้ามาสู่ภาคอีสาน เมืองใหม่ๆหมู่บ้านอพยพใหม่ๆจึงเกิดขึ้น คนอีสานจึงเป็นไพร่อิสระ
ที่ไม่มีคนควบคุม และด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนอีสานส่วนใหญ่ปรับตัวเข้ากับ
สังคมเมืองได้ยาก อดทนกับความกดดันในสังคมได้ต่ำ เล่นกับกฎเกณฑ์ของสังคมไม่เป็น
จึงเสียโอกาสในสังคม แต่การเป็นสังคมคนอพยพนี่เองทำให้สังคมคนอีสานจำเป็นต้องพึ่งพากันสูง
สังคมการเมืองอีสานก็สร้างขึ้นบนพื้นฐานแบบนี้
ส่วนสังคมเหนือนั้น เป็นสิ่งที่พูดยากเหมือนกัน คนเหนือนั้นเป็นคนไทย
แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ใต้ปกครองของพม่าสลับกับไทยเป็นช่วงเวลาสั้นๆ
ทำให้ขาดความเป็นตัวของตัวเองพอสมควร และได้พัฒนาไปเป็นการเอาพวกตัวเอง
และไม่ยอมรับคนแปลกหน้า ภายนอกอาจจะต้อนรับดี แต่หากเกิดความขัดแย้ง
กับคนท้องถิ่นขึ้นมานี่เรียกว่าอยู่ลำบากเลยละ ต่างกับภาคใต้ที่หาก
คุณมีปัญหากับคนท้องถิ่น แต่ถ้าคุณไม่ผิด จะมีคนท้องถิ่นคนอื่นๆ
ที่เข้าข้างคุณ และเท่าที่พบก็คือคนเหนือมีความเนือยในตัวเอง
ค่อนข้างจะมากเมื่อเทียบกับคนภาคอื่นๆ
ถ้าสงสัยในประเด็นความแตกต่างที่มาจากเชื้อชาติและประวัติศาสตร์
ผมขอตั้งข้อสังเกตนะครับ ทำไมประเทศตะวันตกถึงได้เจริญนัก
คำตอบก็คือประเทศพวกนี้เพิ่งผ่านระบบจักรวรรดินิยมกันมาหมาดๆ
อีกทั้งประวัติศาสตร์ของยุโรปเต็มไปด้วยสงคราม คนยุโรปส่วนใหญ่
จึงผ่านการเป็นทหารกันมา มีวินัยที่ฝังเข้าเส้น มีความฮึดแฝงอยู่ใน
DNA นี่ไม่ใช่สิ่งที่ชนชาติที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์แบบเดียวกันมาก่อน
จะไปเทียบกันได้ง่ายๆ
...ก็แค่ความคิดเห็นหนึ่งนะครับ หากมีข้อผิดพลาดก็ขออภัยด้วย