รถรางในอดีต “รถราง” TRAMWAY กำเนิดขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5
ปี พ.ศ. 2430 เป็นประเทศแรกในเอเชีย“รถราง” หรือที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า “Tramway” มีกำเนิดขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่สมัย รัชกาล ที่ 5 จากการก่อตั้งของ “ชาวเดนมาร์ค” จัดเดินรถรางขึ้นใน “เมืองบางกอก” ตามการเรียกขานในสมัยนั้น
“รถราง” คันแรกนี้ยังไม่ได้แล่นได้ด้วยตัวของมันเองแต่จะเคลื่อนที่ไปด้วยการใช้ “ม้าลาก” ซึ่งได้เทียมม้าไว้ด้านหน้ารถ จากนั้นได้มีการเปิดดำเนินกิจการ
“รถรางไฟฟ้า”ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2437 หลังจากที่สิ้นสุด“สงครามโลกครั้งที่สอง”ได้แค่สี่ห้าปีสัมปทานการเดินรถก็ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2492 รัฐบาลก็เข้ามาดำเนินกิจการต่อในนามของบริษัทการไฟฟ้ากรุงเทพฯ จำกัด ในสังกัดของ“กรมโยธาเทศบาลและกระทรวงมหาดไทย”ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2493
หลังจากที่มีการพัฒนาบ้านเมืองขนานใหญ่เกิดขึ้นในสมัย“จอมพลผ้าคะม้าแดง”พร้อมๆกับนโยบายที่จะให้“เลิกเดินรถรางและรถสามล้อถีบ” ในเขต “พระนคร-ธนบุรี”การเดินรถจึงค่อยๆ ลดบทบาทลงโดยการเลิกวิ่งจบสิ้นเด็ดขาดในเขตเมืองหลวงไปเมื่อ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2511 ที่ได้มี “รถราง”ใช้อยู่ร่วม“80 ปี”พอดี
บริการรถรางแผนที่เส้นทางรถรางในอดีตปี 2450 พระยาภักดีนรเศรษฐ (นายเลิศ เศรษฐบุตร)ผู้เป็นต้นแบบของการพัฒนาระบบ
รถโดยสารสาธารณะของประเทศไทย
ได้รื้อกิจการรถเมล์ประจำทางขึ้นมาอีกครั้ง
ซึ่งเป็นเส้นทางที่รถรางไม่ได้วิ่งผ่าน
ต่อมาในปี 2456 เริ่มมีรถยนต์จากต่างประเทศเข้ามามากขึ้น
พระยาภักดีนรเศรษฐ จึงได้ปรับปรุงกิจการใหม่
รวมถึงเปลี่ยนแปลงวิธีการเดินรถ
โดยนำรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ดเข้ามาวิ่งแทนม้าลาก
และขยายเส้นทางวิ่งให้ไกลขึ้น
คือจากประตูน้ำสระปทุม ไปจนถึงบางลำพู (ประตูใหม่ตลาดยอด)
ตอนนั้นรถ โดยสารที่ใช้เป็นรถ 3 ล้อ
มีที่นั่ง 2 แถว ยาวประมาณ 1 ใน 3 ของรถเมล์ปัจจุบัน
และนั่งได้ 10 คน ตัวรถทาสีขาว
มีเครื่องหมาย กากบาทสีแดงในวงกลมแดง
คนทั่วไปเรียกรถเมล์นี้ว่า อ้ายโกร่ง
เพราะ เวลารถแล่นไปตามถนนจะมีเสียงดังโกร่งกร่าง
ต่อมากิจการเริ่มขยาย กว้างขวางมากขึ้น
และรู้จักกันดีในนาม บริษัท นายเลิศ จำกัด
หรือ บริษัทรถเมล์ขาว บางคนก็เรียก
'รถเมล์ขาวนายเลิศ' จนเป็นที่แพร่หลายในยุคนั้น
โดยให้บริการจากสะพานยศเส (กษัตริย์ศึก) - ประตูน้ำสระปทุม
พระยาภักดีนรเศรษฐ หรือนายเลิศ
หลายคนอาจจะคุ้นๆ กับชื่อและนามสกุล
ถ้า ใครเคยผ่านไปแถวถนนวิทยุ แล้วเห็นโรงแรมขนาดใหญ่
ที่มีชื่อว่า ปาร์คนายเลิศ นั่นล่ะหนึ่งในกิจการของนายเลิศ-คนเดียวกัน
แต่ก่อนจะมี กิจการนี้ นายเลิศลองมาแล้วหลายอย่าง
ตั้งแต่เปิด ห้างนายเลิศ โรงน้ำแข็งนายเลิศ
รถเช่า ม้าเช่า และโรงเรียนเศรษฐบุตรบำเพ็ญ
จะเรียกว่าเป็นเจ้าพ่อโปรเจคก็คงไม่ผิดนัก
กลับมาที่กิจการเดินรถโดยสารประจำทาง
ผู้คนก็หันมาใช้บริการรถเมล์มากขึ้น
และด้วยนโยบาย "สุภาพ ซื่อสัตย์ ประหยัด ทันใจ
เอากำไรน้อย บริการผู้มีรายได้น้อย"
นั่นยิ่งทำให้ 'รถเมล์ขาวนายเลิศ' ชนะใจผู้ใช้บริการได้มากทีเดียว
หลังจากนั้นก็มีผู้ประกอบการด้านการเดินรถโดยสารประจำทาง
เพิ่มขึ้นมาอีก หลายราย รวมถึงรัฐวิสาหกิจและราชการ
ที่หันมาทำการเดินรถด้วย รวมๆ แล้วมีผู้ประกอบการเกือบ 30 ราย
จนหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลได้ออก พ.ร.บ.การขนส่ง
ในปี พ.ศ.2497 มาควบคุม
โดยกำหนดให้ ผู้ประกอบการรถโดยสารประจำทาง
ต้องขอรับใบอนุญาตประกอบการขนส่งก่อน
แต่ก็ไม่วายที่จะเกิดปัญหา ในเดือนกันยายน 2518
สมัยรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี
จึงได้มีคำสั่งให้รวมรถโดยสาร ประจำทางในกรุงเทพฯ เป็นบริษัทเดียวกัน
เรียกว่า 'บริษัทมหานครขนส่ง จำกัด'
ดำเนินกิจการในรูปรัฐวิสาหกิจประเภทบริษัทจำกัด
รัฐกับเอกชนถือหุ้นพอๆ กัน
แต่ปัญหาก็ยังตามมาไม่จบสิ้น
สมัยรัฐบาลของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช
จึงได้ออกพระราชกฤษฎีกาในวันที่ 1 ตุลาคม 2519
ให้รวมกิจการรถโดยสารทั้งหมดจากบริษัทมหานครขนส่งจำกัด
มาขึ้นอยู่กับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก.ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจประเภทกิจการสาธารณูปโภค
สังกัดกระทรวงคมนาคมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
รถเมล์ขาวนายเลิศรุ่นเก่ารถเมล์ยี่ห้อ HINO วิ่งในสาย 60 ในอดีต ...ปลดประจำการไปแล้ว