ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ ลองโพสต์ดูสักกระทู้สองกระทู้ อยากฟังความเห็นสมาชิกในบอร์ดนี้ระครับ ผิดพบาดอย่างไรขออภัยด้วย
กระทู้แรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับอำนาจศาลรธน.ในการวินิจฉัยระยะเวลาการฟ้องคดีหรือายุความนะครับ อาจจะถกกันไปแล้วในบอร์ดนี้ พอดีผมไม่มีเวลาค้น หากซ้ำขออภัยด้วย เป็นกระทู้ที่ลงไว้ในบอร์ดราชดำเนินครับ แต่อยากเอามาถามความเห็นเพื่อนที่นี้ ดังนี้
ในเวลานี้มีการถกกันมากพอสมควร โดยกล่าวว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่ควรยกการพ้นระยะเวลาการฟ้องหากคู่กรณีไม่ยกขึ้นมาก่อนเองกันพอสมควรโดยมีการให้ความเห็นกันว่า "ขณะที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอยุบพรรคผู้ถูกร้อง นั้น พรรคผู้ถูกร้องไม่ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ ศาลจึงไม่มีอำนาจยกเรื่องอายุความมาเป็นเหตุยกคำร้องได้" ทั้งนี้ได้มีการหยิบยกประมวลกฏฏฆมายแพ่งมาอ้าง ในมาตรา 193/29
ในรายการเรื่องเด่นเย็นนี้หลายวันก่อนสรยุทธิก็ได้ถามอจ.ปริญญา แต่อาจารย์ได้ตอบแย้งไว้แล้วว่า ในศาลพิจารณาคดีกฎหมายมหาชนนั้นศาลสามารถหยิบยกเรื่องเกี่ยวกับอายุความขึ้นเองได้ นั้นคือหมายถึงศาลรัฐธรรมนูญสามารถหยิบยกเรื่องอายุความขึ้นมาเองได้ ซึ่งเรื่องอาจสร้างความสงสัยสำหรับบางท่าน ในกระทู้นี้จะพยายามอภิปรายในเรื่องนี้เท่าที่พอจะทำได้ดังนี้
เรื่องการที่ศาลสามารถจะหยิบยกข้อกฎหมายเกี่ยวกับการฟ้องคดีชึ้นมาเองได้หรือไม่นั้น มาจากการที่ศาลรธน.ได้อ้างข้อกำหนดในมาตรา ๙๓ ของพรบ.พรรคการเมือง 2550 ที่ว่า “เมื่อปรากฏต่อนายทะเบียนว่าพรรคการเมืองใดมีเหตุตามวรรคหนึ่ง ให้นายทะเบียนโดยความ เห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วันนับแต่วันที่ความปรากฏต่อนายทะเบียน” ในเวลานี้ ความตอนนี้ถูกเรียกกันโดยคนทั่วไปว่า “อายุความ” ซึ่งเป็นคำที่สื่อเพื่อให้เกิดการเข้าใจง่ายๆแก่ประชาชนทั่วไป
แต่อย่างไรก็ดี คำว่า”อายุความ” ที่ประชาชนหรือสื่อมวลชนพูดถึงนี้ จะไปตรงกับอายุความในคดีอาญา หรือตรงกับอายุความในคดีแพ่ง หรือเป็นเพียง “กำหนดเวลาในการฟ้องคดีตามบัญญัติของกฏหมาย” ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย นั้นเป็นเรื่องที่ขออภิปรายในกระทู้นี้ ดังนี้
1.อายุความในคดีอาญานั้นหมายถึงระยะเวลาที่ผู้กระทำความผิดได้กระทำความผิดนัยไปจนถึงเวลาที่ผู้กระทำผิดมาปรากฏตัวต่อศาล หากเลยระยะเวลานี้แล้วก็จะไม่สามารถฟ้องผู้ถูกกล่าวหาได้ อายุความในคดีอาญาจึงไม่น่าจะใช่อายุความที่ประชาชนทั่วไปเข้าใจกันในเวลานี้ ในกรณีมาตรา 93 นี้
2.อายุความในคดีแพ่งนั้นบัญญัติไว้ในลักษณะ 6 เรื่องอายุความ หมวดที่ 1 บททั่วไป ในมาตราแรกของหมวดคือ มาตรา 193/9 บัญญัติว่า “สิทธิเรียกร้องใดๆ ถ้ามิได้ใช้บังคับภายในระยะเวลาที่กฏหมายกำหนด เป็นอันขาดอายุความ” โดยสิทธิเรียกร้องในที่นี้หมายถึงสิทธิเรียกร้องระหว่างบุคคลต่อบุคคล ไม่ใช่บุคคลต่อศาล ดังจะมีฏีกาที่อธิบายเรื่องนี้ต่อไป และในประมวลกฏหมายแพ่งยังมีบัญญัติในมาตรา193/29 ว่า “เมื่อไม่ได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ศาลจะอ้างเอาอายุความมาเป็นเหตุยกฟ้องไม่ได้” และตรงนี้เองที่มีผู้พยายามนำมาอ้างว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถหยิบยกมาตรา 93 ในพรบ.พรรคการเมืองที่กำหนดเกี่ยวกับเงื่อนเวลาไว้ได้เพราะขัดต่อกฏหมายแพ่งมาตรานี้
3.ส่วน“กำหนดเวลาในการฟ้องคดี” ที่มีกำหนดในกฎมายต่างๆที่เป็นกฎหมายมหาชนนั้นเหมือนดังทีมีกำหนดเป็นเงื่อนเวลาในมาตรา 93 ของพรบ.พรรคการเมือง2550 นั้น ศาลฏีกาได้มีแนวคำวินิจฉัยไว้ว่า ไม่ใช่ “อายุความการเรียกร้องสิทธิ” นั้นคือหมายถึงได้ว่าไม่ใช่อายุความตามกฎหมายแพ่งซึงเป็นกฏฆมายเอกชน (กฎหมายมหาชนหมายถึงกฎหมายที่มีข้อกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับบุคคล เช่น พรบ.พรรคการเมือง พรบ.แรงงาน กฏหมายการปกครองต่าง ส่วนกฎหมายเอกชนที่ศาลแพ่งศาลอาญาพิจารณานั้น หมายถึงกฏหมายที่ว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เช่นกฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา)
4.ตามแนวทางการวินิจฉัยฏีกาที่ 5033/2549 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541(เป็นกฎหมายมหาชน) มาตรา 125 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ว่า “เมื่อพนักงานตรวจแรงงานได้มีคำสั่งตามมาตรา 124 และ ถ้านายจ้าง ลูกจ้างหรือทายาทโดยธรรมของลูกจ้างซึ่งถึงแก่ความตายไม่พอใจคำสั่งนั้นให้นำคดีไปสู่ศาลได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง ซึ่งกำหนดเวลาให้นำคดีขึ้นสู่ศาลตามบทบัญญัติดังกล่าวนี้เป็นกำหนดเวลาให้ฟ้องคดี มิใช่เป็นอายุความในการเรียกร้องสิทธิใด ๆ”
http://www.decha.com/main/showTopic.php?id=5855(ความในฏีกานี้วินิจฉัยว่า หากลูกจ้าง หรือทายาทโดยธรรมของลูกจ้างซึ่งถึงแก่ความตาย ไม่พอใจในคำสั่งนั้น ให้นำคดีขึ้นสู่ศาลได้ภายใน 30 วันนับแต่วันดำรับคำสั่ง หากพ้นจากนั้นไป ก็ไม่อาจนำคดีขึ้นสู่ศาลได้ แต่ก็ไม่เสียสิทธิเรียกร้องตามกฎหมายอื่น นั้นคือหากมีกฎหมายอื่นบัญญัติสิทธิเรียกร้องอื่นๆไว้ ก็ยังสามารถฟ้องร้องได้)
ดังนั้น"กำหนดเวลาในการฟ้องคดี"จึงไม่ใช่อายุความและไม่เข้าบังคับกฏหมายแพ่งมาตรา 193/29 ทีมีการอ้างกัน
5. ประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ 6 เรื่องอายุความ หมวดที่ 1 บททั่วไป ในมาตราแรกของหมวดคือ มาตรา 193/9 บัญญัติว่า สิทธิเรียกร้องใดๆ ถ้ามิได้ใช้บังคับภายในระยะเวลาที่กฏหมายกำหนด เป็นอันขาดอายุความ
ดังนั้นอายุความในกฏหมายแพ่งนั้นหมายถึงสิทธิเรียกร้องเอาเรื่องกันระหว่างบุคคล หรือบุคคลกับนิติบุคคล ว่าล่วงเวลาไปนานเท่าไรแล้ว จึงเอาเรื่องระหว่างกันไม่ได้ อันเป็นลักษณะของกฏมายเอกชน ไม่ได้บัญญัติถึงสิทธิเรียกร้องในทางศาล ดังคำวินิจฉัยกับฏีกาที่ 5033/2549 ข้างบน
6.ดังนั้น จึงไม่สามารถอ้างกฎหมายแพ่งตามมาตรา 193/29 ที่บัญญัติว่า “เมื่อไม่ได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ศาลจะอ้างเอาอายุความมาเป็นเหตุยกฟ้องไม่ได้” มาใช้กับศาลรัฐธรรมนูณได้ เพราะมาตรา 93 ของพรบ.พรรคการเมือง นั้นเป็นกฎหมายมหาชน บัญญัติเรื่อง“กำหนดเวลาในการฟ้องคดี” ไว้ 15 วัน กำหนดเวลาการฟ้องคดี มิใช่เป็นอายุความในการเรียกร้องสิทธิใดๆตามกฏหมายแพ่ง จึงนำกฏหมายแพ่งมาใช้ตรงนี้ไม่ได้ ไม่เข้าบังคับของ กฎหมายแพ่งตามาตรา 193/29 (ตามนัยยะนิยาม 193/9 ของประมวลกฎหมายแพ่ง และฏีกา 5033/2549ของศาลแรงงาน)
อนึ่ง มีความแตกต่างที่สำคัญมากอีกประการระหว่างศาลแพ่ง กับศาลรัฐธรรมนูญก็คือ ศาลแพ่งนั้นเป็นศาลตามกฏหมายเอกชน และใช้การพิจารณาคดีโดยใช้ระบบกล่าวหา ซึ่งในระบบนี้ศาลจะวางตัวอยู่กลางอย่างเคร่งครัด ในระบบกล่าวหานั้น ศาลจะให้คู่ความต่อสู้คดีกัน และเป็นคนนำเสนอสิ่งต่างๆ ในระบบนี้ หากสิ่งใดที่คู่คดีไม่ยกมาต่อสู้ แม้จะเป็นข้อความจริงที่มีอยู่จริงก็ตาม และแม้ศาลได้รู้ได้เห็นแล้วก็ตาม หากคู่ความไม่ยกขึ้นมาศาลแพ่งก็จะไม่ยกขึ้นมา เช่นกรณีมาตรา 193/29 ที่บัญญัติว่า “เมื่อไม่ได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ศาลจะอ้างเอาอายุความมาเป็นเหตุยกฟ้องไม่ได้” เพราะถือว่าคู่คดีฝ่ายที่อาจได้ประโยชน์จากการยกข้อความนั้นไม่ใช้สิทธิเอง ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติในระบบกล่าวหาซึ่งศาลจะวางตัวอยู่ตรงกลางอย่างเคร่งครัด และถือว่าคู่กรณีอีกฝ่ายสละสิทธิในส่วนที่ตนพึ่งไปด้วยตนเอง
ส่วนศาลรัฐธรรมนูญนั้นเป็นศาลกฏหมายมหาชนและใช้ระบบไต่สวน ตามระบบไต่สวน ศาลจะทำหน้าที่ค้นหาความจริงด้วยตนเอง ศาลจะมีบทบาทในการดำเนินคดีอย่างสูง ผิดกับในระบบกล่าวที่ศาลมีบทบาทน้อยมากเพราะจะให้คู่ความเป็นคนนำเสนอสิ่งต่างๆ แต่ระบบไต่สวนเน้นในเรื่องการค้นหาความจริงเป็นหลัก ดังนั้น กฎเกณฑ์ในการดำเนินคดี เช่น การสืบพยาน การดำเนินการต่างๆ ตลอดจนถึงการวินิจฉัยสรุปประเด็นในศาลจึงยืดหยุ่นกว่าระบบกล่าวหา ที่จะพึงพาแต่การนำเสนอของคู่คดี และเนื่องจากในระบบไต่สวนนั้น เน้นในเรื่องการค้นหาความจริงเป็นหลัก ดังนั้นข้อความจริงใดข้อกฎหมายใด ที่มีอยู่จริง แม้หากคู่กรณีจะไม่ยกขึ้นมา แต่ศาลเห็นว่าเป็นข้อเท็จจริงข้อความจริงของคดี ศาลในระบบไต่สวนก็สามารถยกข้อความนั้นขึ้นมาวินิจฉัยได้
อนึ่ง ในการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญนั้น ศาลจะใช้ข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย ซึ่งในข้อกำหนดนั้นบัญญัติไว้ในข้อ ๖ ว่า “วิธีพิจารณาตามที่กำหนดในข้อกำหนดนี้ให้ใช้ระบบไต่สวน” และมีบัญญัติเพิ่มเติมไว้ว่า...บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้และไม่ขัดต่อข้อกำหนดนี้” นั้นคือศาลจะใช้การพิจารณาคดีแบบไต่สวน และประมวลกฏหมายแพ่งสามารถนำมาใช้ได้เท่าที่จะไม่ขัดต่อหลักกฏหมายนี้
ประเทศไทยเรานั้นได้มีการใช้ระบบกล่าวหาสำหรับคดีแพ่งและคดีอาญา และใช้ระบบไต่สวนในคดีที่ใช้อำนาจตามกฎหมายมหาชน เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ , ศาลปกครอง , ศาลคุ้มครองแรงงาน และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
http://www.pub-law.net/publaw/view.aspx?ID=891http://www.maephrik.com/nitiram/taisuan.docดังนั้นโดยสรุป กรณีคดีพิจารณาขอยุบพรรคประชาธิปัตย์ ในทางคดีศาลวินิจฉัยว่า การยื่นฟ้องคดีของนายทะเบียนพรรคการเมืองนั้น ล่วงเลยกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนดในมาตรา 93 ของพรบ.พรรคการเมือง 2550 ทำให้การยื่นฟ้องดังกล่าวไม่ถูกต่อกฎหมาย เสมือนดังพ้นอายุความไปนั้น ศาลใช้อำนาจตามข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๕๐ ข้อ ๖ ที่ว่าวิธีพิจารณาตามที่กำหนดในข้อกำหนดนี้ให้ใช้ระบบไต่สวน และศาลจึงมีอำนาจที่จะชี้ข้อกฏหมายและข้อเท็จจริงที่มีอยู่จริงนี้ได้ แม้คู่กรณีจะไม่ยกขึ้นมาต่อสู้ก็ตาม เพราะตามระบบไต่สวน ศาลสามารถจะทำหน้าที่ค้นหาความจริงด้วยตนเองได้ และที่สำคัญสิ่งที่ศาลวินิจฉัยในเรื่องระยะเวลาที่ล่วงเลยไปเกิน 15 วันนั้น ไม่ใช่อายุความตามกฎหมายแพ่ง แต่เป็น“กำหนดเวลาในการฟ้องคดี”
ขออนุญาตให้ความเห็นต่อคุณเติ้ง1234 ด้วยความเคารพ ตามสิทธิดังนี้
1 .1 กำหนดเวลา 15 วัน ตามมาตรานี้ เป็นอายุความหรือไม่ หรือเป็นเพียงกำหนดกรอบเวลาการทำงานขององค์กร
ความเห็น - ควรเรียกว่า“กำหนดเวลาในการฟ้องคดี” แต่จะเรียกว่าอายุความ หรือ กำหนดกรอบเวลาการทำงานขององค์กร เพื่อความเข้าใจสำหรับคนทั่วไปก็ตามแต่ “แต่ไม่ใช่อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่ง” กำหนดเวลา 15 วัน ตามมาตรานี้ หากไม่สามารถดำเนินการได้ตามที่กฏหมายกำหนดเช่นนั้นได้ ก็จะผิดไปจากที่กฎหมายบัญญัติ ก็ย่อมถือว่าดำเนินการไม่ชอบด้วยบัญญัติของกฎหมาย
1.2 กรณีการกำหนดกรอบเวลาการทำงานขององค์กร มีปรากฏในกฎหมายหลายฉบับ รวมทั้งรัฐธรรมนูญ ยกตัวอย่างเช่น การตั้งคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม ที่เกินระยะเวลาที่กำหนด ฯลฯ หากถือว่า ระยะเวลาดังกล่าวเป็นอายุความ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม ที่ตั้งเมื่อเกินระยะเวลาที่กำหนด มิต้องกลายเป็นโมฆะหรือ?
ความเห็น-เรื่องนี้ก็ต้องว่ากันต่อไปครับ จะรีบร้อนเอามาปะปนไปทำไม หากมันไม่ถูกก็ไม่ถูก ในความเห็นผมนะ มันไม่ถูกอยู่แล้วที่ตั้งกันเกินกำหนดที่กฎหมายบัญญัติ และหากเรื่องนี้มีการ้องต่อศาล ก็อาจจะโมฆะไปได้ แต่ทางแก้มีอยู่เช่นแก้กฎหมายให้รองรับเรื่องพวกนี้เสียใหม่
2. ถ้ากำหนดเวลา 15 วัน ตามมาตรานี้ ถือว่าเป็นอายุความ แต่การที่ศาลรับคดีไว้พิจารณา แสดงว่าศาลได้นำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/29 ที่บัญญัติว่า "เมื่อไม่ได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ศาลจะอ้างเอาอายุความมาเป็นเหตุยกฟ้องไม่ได้"
ความเห็น-ดังที่ได้อภิปรายไว้ข้างบนแล้ว “กำหนดเวลาในการฟ้องคดี”ในกฏหมายมหาชนนั้น ไม่ใช่อายุความตามกฏหมายแพ่ง อีกทั้งกรณีที่คุณยกมานั้นเป็นกรณีของศาลแพ่งที่พิจารณาด้วยระบบกล่าวหา โดยที่หากคู่ความไม่ยกอายุความาต่อสู้ ก็เท่ากับสละสิทธิที่ตนพึ่งมี แต่กรณีศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นศาลระบบไต่สวน ศาลจะทำหน้าที่ค้นหาความจริงด้วยตนเอง ข้อกฏหมายและข้อเท็จจริงที่มีอยู่แม้คู่กรณีจะไม่ยกขึ้นมาต่อสู้ก็ตาม ศาลก็มีอำนาจที่จะชี้ข้อกฏหมายและข้อเท็จจริงที่มีอยู่จริงนี้ได้ ดังในกรณีนี้ การไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามมาตรา 93 ก็จะมีผลให้เกิดการ “ขาดอายุความ” และในขณะเดียวกันก็คือ “เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย” และมีผลให้กฎหมายในข้อนั้นไม่สมบูรณ์
3. คณะกรรมการการเลือกตั้ง เป็นองค์กรอิสระเช่นเดียวกับศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อไม่มีข้อขัดแย้งกับองค์กรอื่น หรือมีการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่มีสิทธิก้าวล่วงไปพิจารณาในเรื่องขั้นตอนการทำงานภายในของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ดังนั้นระยะเวลา 15 วัน จึงต้องนับจากวันที่กกต.มีมติให้ยื่นคำร้องต่อศาลในครั้งหลัง คือ วันที่ 12 เมษายน 2553
ความเห็น-ศาลแจ้งอยู่แล้วว่า การที่กกต.มีการประชุมกันหลายครั้งนั้นเป็นเรื่องภายในของกกต. แต่ในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย การประชุมกกต.เมื่อ 17 ธค.นั้น ได้มีมติให้นายทะเบียน ดำเนินคดีและยื่นเรื่องต่อศาลแล้ว ตามพฤติการณ์ต้องถือว่าวันนั้นเป็นวันที่นายทะเบียนได้รับทราบเรื่องและได้รับความเห็นชอบจากกกต.และจะต้องยื่นเรื่องต่อศาลใน 15 วันนับจากวันนี้
4 ตามมาตรา93 วรรค2 ตอนท้าย ระบุว่า “เมื่อศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่ามีเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นกับพรรคการเมืองตามคำร้องของนายทะเบียน ให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุบพรรคการเมืองนั้น”+
ความเห็น-
1. ในคดีนี้ คำร้องของนายทะเบียนไม่ถูกกฎหมายแต่แรกศาลไม่ยกคดีเสีย คดีจึงถูกยกไป
2. หากคำร้องของนายทะเบียนถูกต้องก็ตาม ความที่ว่า “เมื่อศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่ามีเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นกับพรรคการเมืองตามคำร้องของนายทะเบียน ให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุบพรรคการเมืองนั้น” หมายถึง ศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาคดี แล้วเห็นว่ามีเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นกับพรรคการเมืองจริง ตามคำร้องของนายทะเบียน ศาลรัฐธรรมนูญจึงสั่งให้ยุบพรรคการเมืองนั้น
หากศาลพิจารณาแล้วไม่เห็นว่ามีเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นกับพรรคการเมืองตามคำร้องของนายทะเบียน ก็จะไม่สั่งยุบพรรคการเมือง ความข้อนี้เป็นความจริง เพราะหากกฎหมายมีเจตนาอย่างที่คุณเติ้ง123 ว่าจริง ก็ไม่ต้องมีการไต่สวนคดี ลำพังนายทะเบียนยื่นเรื่องให้ศาล ศาลก็จะสามารถสั่งยุบได้เลย แต่กรณีไม่เป็นอย่างที่คุณเติ้ง123 สรุปแบบนั้น เพราะที่ผ่านมา ศาลล้วนแต่เปิดศาลดำเนินการไต่สวน ไม่ใช่รับความจากนายทะเบียนมาแล้วไปสั่งยุบพรรคอย่างที่คุณเติ้ง123 ว่าเลย
ดังนั้น ด้วยเหตุที่กล่าวมาทั้งหมดจึงขอสรุปว่า ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นศาลพิจารณาคดีกฏหมายมหาชน และใช้ระบบไต่สวนในการพิจารณาคดี สามารถวินิจฉัยระยะเวลาการยื่นฟ้งอของนายทะเบียนพรรคการเมืองว่า เป็นไปตามกฏหมายหรือไม่ ที่มีการอ้างกันว่า "ขณะที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอยุบพรรคผู้ถูกร้อง นั้น พรรคผู้ถูกร้องไม่ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ ศาลจึงไม่มีอำนาจยกเรื่องอายุความมาเป็นเหตุยกคำร้องได้" นั้นไม่สามารถนำมาใช้ได้ เพราะศาลวินิจฉัยเรื่อง“กำหนดเวลาในการฟ้องคดี”ซึ่งไม่ใช่อายุความตามกฏหมายแพ่ง จึงนำกฏหมายแพ่งมาใช้ตรงนี้ไม่ได้
จึงขอจบกระทู้ไว้ในเวลานี้เพียงแค่นี้ก่อนนะครับ