ดังนั้นตุลาการเลยนำมติทั้งสองมารวมกันเป็น 3+1 = 4 เสียง ว่าเป็นมติเสียงส่วนใหญ่ที่ให้ยกคำร้องพรรค ปชป. คนทั่วไปงงว่าเอามารวมกันได้อย่างไร
ซึ่งอันที่จริงผมนึกในใจแต่แรกแล้วว่า คงจะต้องถกกันในประเด็นนี้แน่ ในส่วนตัวผมนั้น เคยอ่านคำวินิจฉัยของศาลต่างๆมาบ้าง ของศาลรัฐธรรมนูญก็เคยอ่านอยู่บางคดี จำได้ว่ากระบวนการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนะเป็นแบบนี้มานานแล้ว คือเมือรับคดีมา จะมีการประชุมคู่คดีทั้งผู้ร้องและผู้ถูกร้อง และศาลจะกำหนดประเด็นของคดีที่จะวินิจฉัย คู่คดีทั้งสองฝ่ายก็นำเสนอข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายตามที่ฝ่ายตนเห็น แต่ประเด็นทั้งหลายที่ศาลกำหนดในแต่ละคดีนั้น มีหลายครั้งที่ศาลจะวินิจฉัยเอง โดยเฉพาะประเด็นในข้อกฎหมาย เช่นในคดีนี้ก็มีการตั้งประเด็นของคดีตั้งแต่ 7 กค.2553 http://www.thairath.co.th/content/pol/94420 ดังที่ทราบกันดีคือ
1. กระบวนการยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
2.การกระทำของพรรคประชาธิปัตย์ตามคำร้องอยู่ในบังคับพ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2541 หรือ พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2550
3.พรรคประชาธิปัตย์ใช้จ่ายเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองในปี 2548 เป็นไปตามโครงการที่ได้รับอนุมัติหรือไม่
4.พรรคประชาธิปัตย์จัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนของพรรคการเมืองปี ถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่
5.กรณีมีเหตุให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ หัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคจะต้องถูกตัดสิทธิ หรือถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2541 …..
โดยปกติการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะไล่ไปทีละประเด็น ที่สำคัญคือที่ผ่านๆมา ในการวินิจฉัยแต่ละประเด็น ตุลาการที่ลงความเห็นยกหรือไม่ยกในประเด็นนั้นๆ ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลในการยกประเด็นนั้นๆ ด้วยเหตุผลเดียวกันหรือจะต้องเหมือนกัน
ทั้งนี้เพราะตามข้อกำหนดการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญนั้นกำหนดให้ตุลาการแต่ละคน ทำการวินิจฉัยคดีในทุกประเด็นให้เสร็จก่อนเข้ามาลงมติ ดังนั้นคนที่เห็นด้วยในประเด็นเดียงกัน จึงอาจเห็นด้วยด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน แต่มติออกมาเช่นไร ก็ใช้เสียงข้างมากยกหรือไม่ยกประเด็นนั้นๆ ไม่เกี่ยวกับว่าหตุผลในการยกหรือไม่ยกประเด็นนั้นๆของตุลการแต่ละคนจะเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
ที่สำคัญ อย่างกรณีคดีปชป.นี้ แม้คำวินิจฉัยกลางจะพูดถึงประเด็นที่ 1 และ 2 เท่านั้น แต่ข้อบังคับการพิจารณาคดีของศาลรธน.นั้นกำหนดให้ตุลาการทุกท่าน สรุปทุกประเด็นมาก่อนแล้ว และจะมีการลงในราชกิจจานุเบกษาทั้ง 5 ประเด็นต่อไป ก็ต้องคอยตามอ่านกันละครับ
สำหรับตัวอย่างวิธีการพิจารณาคดีและลงมติแบบนี้ ก็ลองดูในอดีตสิครับ ก็เช่น คดีที่ศาลรัฐธรรมนูญยกฟ้งคุณทักษิณ เมื่อปี 2544 ด้วยคะแนนเสียง 8 ต่อ 7 ปรากฏว่า เหตุที่ตุลการทั้ง 8 ให้ยกคดีให้คุณทักษิณพ้นข้อกล่าวหานั้น มีเหตุผลแตกต่างกันออกไปคือ
- พล.ท.จุล อดิเรก ให้ยกเพราะพยานหลักฐานของผู้ร้องเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน พยานหลักฐานไม่พอฟัง
- คุณปรีชา เฉลิมวณิชย์ ให้ยกเพราะถือไม่ได้ว่าผู้ถูกร้องจงใจปิดบังข้อเท็จจริง
- คุณผัน จันทรปาน และ ดร.กมล ทองธรรมชาติ ยกเพราะ รธน.2540 มาตรา 295 นำมาใช้บังคับกับผู้ถูกร้องไมได้
- คุณศักดิ์ เตชาชาญ และคุณจุมพล ณ สงขลา ให้ยกเพราะ ผู้ร้องไม่อาจให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตาม รธน.2540 มาตรา 295ได้
- คุณสุจินดา ยงสุนทร และ ศจ.อนันต์ เกตุวงศ์ให้ยกเพราะ ผู้ร้องไม่จงใจยื่นบัญชีเป็นเท็จ
จะเห็นว่าการเอามติของที่ประชุมศาลรัฐธรรมนูญนั้น แม้เหตุผลที่ยกคดีจะต่างกันออกไป แต่สุดท้ายก็เอาคะแนนรวมมานับ ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเหตุผลจะต่างกันออกไปหรือไม่ ไม่ได้สนใจว่าตุลาการจะมีเหตุผลที่แตกต่างกันหรือไม่ แต่หากลงมติว่าให้ยกประเด็นนั้นๆ แม้เหตุผลจะไม่เหมือนกัน ประเด็นนั้นหรือข้อกล่าวหานั้นก็จะถูกยกไป ทั้งนี้เพราะตุลาการแต่ละท่าน ทำความเห้นกันมาก่อนเข้าประชุมแล้ว ไม่ได้มาถกกันในที่ประชุม ที่ถกกันจะเป็นการถกเพื่อทำคำวินิจฉัยกลางหลังจากดูผลมติรวมเท่านั้นดังเช่นกรณีคุณทักษิณนั้นเองครับ หรือกรณียกประเด็นที่ 1 "กระบวนการยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่" ในคดีปชป.ที่กำลังมีการถกนี้ ซึ่งการยกประเด็นนี้ออก มีผลทำให้ยกคดีออก
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/00018370.PDF
หากผิดพลาดช่วยแนะนำด้วยครับ
ขอเพิ่มเติมลิงค์ที่อาจมีประโยชน์ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ (หากมีกันแล้วก็ขออภัยนะครับ)
พระราชบัญญัติพรรคการเมือง 2550
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/ ... 064/22.PDF
ข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๕๐
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/ ... 096/14.PDF