ต้องขออภัยรุ่นพี่ๆที่นี้ด้วยหากเรื่องนี้ถกกันแล้ว และทราบกันดีอยู่แล้ว แต่น้องใหม่คนนี้อยากเอามาลงโพสต์เพื่อขอความคิดเห็นเพิ่มเติมนะครับ
คือ เรื่องแรก เรื่องนายทะเบียนและกกต.ยื่นฟ้องร้องยุบพรรคปชป.ใหม่ได้หรือไม่
เรื่องนี้ผมว่ามีประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ
1.ตามกฏหมายนั้น ฟ้องซ้ำได้หรือไม่เพราะเหตุใด
2.หากไม่ขัดในข้อกฎหมายและสามารถฟ้องซ้ำได้ จะมีปัญหาเรื่องอายุความอีกหรือไม่
ข้อ 1 ตามกฏหมายนั้น ฟ้องซ้ำได้หรือไม่เพราะเหตุใด
ศาลรัฐธรรมนูญมีข้อบังคับการพิจารณาคดีของตนเองอยู่ (ที่จริงต้องเป็นพรบ.แต่ตอนนี้พรบ.การพิจารณาของศาลรธน.ยังไม่เสร็จ จึงใช้ข้อบังคับเดิมปี 2550ไปก่อน) ในข้อบังคับไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวเรื่องการฟ้องซ้ำ แต่ในมาตรา 6 บัญญัติตอนท้ายว่า ในกรณีที่ไม่มีข้อบังคับของศาลรัฐธรรมนูญกำหนดในเรื่องใด ให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งตราบเท่าที่ไม่ขัดต่อข้อบังคับ ซึ่งในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมีบัญญัติเกี่ยวเรื่องการฟ้องซ้ำ หรือร้องซ้ำไว้ในมาตรา 164 ความว่า
มาตรา ๑๔๘ คดีที่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน เว้นแต่ในกรณี ต่อไปนี้
(๑) เมื่อเป็นกระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล
(๒) เมื่อคำพิพากษาหรือคำสั่งได้กำหนดวิธีการชั่วคราวให้อยู่ภายในบังคับที่จะ
แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกเสียได้ตามพฤติการณ์
(๓) เมื่อคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นให้ยกฟ้องเสียโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำ
ฟ้องมายื่นใหม่ ในศาลเดียวกันหรือในศาลอื่น ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วย
อายุความ
หากนายทะเบียนและกกต.จะฟ้องซ้ำโดยพยามยามไปประชุมกันอีกรอบแล้วมีมติให้ส่งคำร้องต่อศาลรธน. ก็ไม่เข้าบัญญัติ ข้อ(๑) หรือ (๒) หรือ (๓) แต่จะอาศัยความในวรรคแรกของมาตรานั้นที่ว่า “ห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน” หากจะฟ้องซ้ำหรือร้องซ้ำต่อศาลรธน.อีกครั้งเพื่อให้ยุบพรรคจากการกระทำความผิดต่อพรบ.พรรคการเมือง มาตรา 93 ดูแล้วน่าจะเป็นประเด็นเดิมคือ “ประเด็นเรื่องขอยุบพรรค” ที่อาศัยเหตุเดิมคือ “การกระทำที่ผิดต่อพรบ.พรรคการเมือง มาตรา 93 วรรคแรกเรื่องเงินสนับสนุนพรรคการเมือง ดังนั้นดูในเวลานี้ ตามความเห็นผม น่าจะฟ้องไม่ได้
(ในความเห็นผมนั้น.........เหตุมี่มีบัญญัติแบบนี้ก็เพื่อป้องกันการเวียนเทียนฟ้องกันไม่รู้จบไม่รู้เลิก เช่นกรณีร้องยุบพรรคปชป. นายทะเบียนยื่นร้องครั้งแรก พอเรื่องเข้าสู่การไต่สวนของศาล พอสุดท้ายศาลวินิจฉัยว่ามีความไม่สมบูรณ์ในขั้นตอนนายทะเบียนก็ดี เรื่องระยะเวลาการฟ้องคดีก็ดี พอศาลยกคำร้องไป หากนายทะเบียนกลับไปทำตามขั้นตอนที่วินิจฉัยว่าไม่สมบูรณ์เสียใหม่ ก็ต้องถามว่าทำไมไม่ทำให้สมบูรณ์เสียตั้งแต่ก่อนฟ้งครั้งแรก และหากกฏหมายเปิดโอกาสให้ยื่นฟ้องซ้ำซ้อนได้ ในฟ้องครั้งที่สองศาลพบความไม่สมบูรณ์ในขั้นตอนอื่นอีกต้องยกคำร้องอีก ก็มิต้องย้อนกลับมาแก้ไขและฟ้องร้องกันใหม่มิรู้จบสิ้น ซึ่งย่อมไม่เป็นธรรมแก่คู่คดีอีกฝ่าย และส่งเสริมให้มีการฟ้องร้องพร่ำเพรือไม่รับผิดชอบตรวจและทำสำนวนการฟ้องให้สมบูรณ์จริงๆเสียก่อนที่จะฟ้อง ดังนั้นกฏมายมาตรานี้จึงปรามคู่คดี ให้เตรียมการด้านดคีให้สมบูรณ์ที่สุด เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว....ก็เป็นการอนุมานอีกเช่นเคยครับ ว่าน่าจะเป็นด้วยเหตุนี้ จึงมีมาตรานี้)
2.หากไม่ขัดในข้อกฎหมายและสามารถฟ้องซ้ำได้ จะมีปัญหาเรื่องอายุความอีกหรือไม่
เอาละ หากมีการตีความตามปวพ. 148 แล้วบอกว่าฟ้องซ้ำได้และมีการยื่นร้องซ้ำต่อศาลรธน.เพื่อยุบพรรค อาจมีปัญหาเรื่องอายุความหรือกำหนดการฟ้อง ที่จะต้องเริ่มนับจาก วันที่เหตุปรากฏแก่นายทะเบียน ตามที่เคยมีการวินิจฉัยกันมาก่อนในคดียุบพรรคธัมมาธิปไตย พรรคพลังธรรม และพรรคธรรมชาติไทยนั้น ในคำวินิจฉัยกลางเขียนไว้ว่า"เหตุปรากฏแก่นายทะเบียนในวันที่ที่ประชุมกกต.มีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ"
แต่ทั้ง 3 คดีนั้นเป็นกรณีที่ไม่ซับซ้อน วันที่ที่ประชุมกกต.มีมติดังกล่าวล้วนแต่เป็นวันที่เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งสรุปสำนวนความผิดมาให้ที่ประชุมซึ่งมีนายทะเบียนนั่งประชุมอยู่ ที่ประชุมและที่ประชุมมีมติที่สามารถพิจารณาได้เป็นสองประการคือ หนึ่ง กกต. มีมติว่าพรรคนั้นผิดจริงตามที่สำนักงานกกต.สรุปสำนวนมา และสอง ให้นายทะเบียนดำเนินการต่อตามาตรา 93 วรรคสอง หรือถ้าเอาตามตัวอักษรในบัญญัติของมาตรา 93 วรรคสอง ต้องบอกว่า นายทะเบียนขอความเห็นชอบกกต.ส่งเรื่องให้ศาลรธน.วินิจฉัยยุบพรรค
ในความหมายตามตัวอักษรภาษาไทย ผมว่าคนทั่วไปจะรู้สึกว่า"เมื่อเหตุปรากฏแก่นายทะเบียน" น่าจะเป็นตอนที่ ที่ประชุมกกต.สรุปว่าพรรคทำผิด ในขณะนั้นนายทะเบียนคือประธานกกต.ร่วมประชุมอยู่ ก็จะถือว่า “เหตุปรากฏแก่นายทะเบียน” ในทันที่ที่ประชุมกกต.วินิจฉัยว่าพรรคนั้นผิดและนายทะเบียนนั่งรับฟังอยู่
แต่การส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เป็นองค์ประกอบของ“เหตุปรากฏแก่นายทะเบียน” เพียงแต่เมื่อมี“เหตุปรากฏแก่นายทะเบียน” แล้ว นายทะเบียนจะต้องขอมติกกต. ขอความเห็นชอบกกต.ส่งเรื่องให้ศาลรธน.วินิจฉัยยุบพรรค ซึ่งในกรณีของทั้งสามพรรคคือ คดียุบพรรคธัมมาธิปไตย พรรคพลังธรรม และพรรคธรรมชาติไทย นั้น ทั้งการประชุมว่าพรรคทั้งสามผิดและมติให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญนั้นอยู่ในวันเดียวกัน คำวินิจฉัยกลางของทั้งสามพรรคจึงวินิจฉัยว่า“เหตุปรากฏแก่นายทะเบียน” คือ“วันที่ที่ประชุมกกต.มีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ”
ที่นี้ในกรณีที่ ที่ประชุมกกต.และนายทะเบียนเกิดมีมติแยกกัน คือมติที่หนี่งสรุปว่าพรรคนั้นผิดจริงตามมาตรา 93 วรรคแรก แล้วแยกไปอีก 10 วันหรืออีกหลายเดือนจึงมีมติที่สองคือ นายทะเบียนเสนอขอมติกกต.เพื่อยุบพรรคนั้น หากเป็นแบบนี้ จะนับวันที่“เหตุปรากฏแก่นายทะเบียน” เป็นวันไหน
ตามความเห็นผมนั้น ผมว่าหากดูตามบัญญัติของตัวอักษรในมาตรา 93 วรรคสองแล้ว น่าจะเป็นวันที่มีมติที่หนี่งสรุปว่าพรรคนั้นผิดจริงตามมาตรา 93 วรรคแรก ซึ่งในกรณีคดีปชป.นั้น ในการประชุมวันที่ 17 ค.2552 ครั้งที่ 144/2552 ที่มีการรับทราบสรุปรายงานของอนุกรรมการสอบสวนพรรคประชาธิปัตย์แล้วมีมติให้ดำเนินการต่อมาตรา 95 นั้นย่อมบ่งว่าที่ประชุมยอมรับความเห็นของอนุกรรมการ นั้นคือกกต.เห็นว่าปชป.ผิดจริง หากเป็นเช่นนี้ต้องถือว่านายทะเบียนได้รับทราบเหตุตั้งแต่ในวันนี้แล้วนั้นเอง
คำวินิจฉัยของศาบมนอดีตนั้น เป็นเพียงแค่แนวทางเท่านั้น หากพฤติการณ์คดีต่างออกไป การวินิจฉัยว่า เหตปรากฏแก่นายทะเบียน ย่อมจะต่างไป แต่ต้องยึดถือตามข้อเท็จจริงและสมามัญสำนึกว่า คำว่า เหตุปรากฏแก่นายทะเบียนก็คือนายทะเบียนได้รับทราบว่าพรรคนั้นกระทำความผิดจากมตกกต. การที่นายทะเบียนประชุมอีกรอบเพื่อขอมติกกต.ฟ้องศาล ไม่น่าจะเป็นองค์ประกอบของคำว่า เหตุปรากฏแก่นายทะเบียนไปได้
ฝากกระทู้ไว้พิจารณากันด้วยนะครับ