นึกสงสัยอะไรบางอย่าง ก็เลยนำข้อมูลค่าแรงขั้นต่ำล่าสุดทั่วประเทศมาลงแผนที่ประเทศไทย
ผลที่ได้ก็อย่างที่เห็นครับ อาจบังเอิญก็ได้ที่ระดับค่าแรงขั้นต่ำสัมพันธ์กับผลการเลือกตั้ง 2554
อย่างเห็นได้ชัดแบบนี้
*แต่ผมเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา* ถ้าเปรียบเทียบนโยบาย "
ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 25% ของ ปชป." กับ
"ค่าแรงขั้นต่ำ 300บ.ของ พท."จากแผนที่จะเห็นได้ชัดว่า นโยบายของ ปชป.ไม่มีความแตกต่างของระดับค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้น
ในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ เพราะจะขึ้น 25% จากฐานเดิมเท่ากันทั้งหมด
เทียบกับนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300บ.ของ พท.
จังหวัดที่ค่าแรงถูกจะได้รับค่าแรงเพิ่มมากกว่า-
จังหวัดที่มีค่าแรงสูง ซึ่งจากแผนที่จะเห็นได้ว่า จังหวัดเกือบทั้งหมดในภาคเหนือและภาคอีสาน
มีค่าแรงถูกกว่าภาคกลางและภาคใต้ (อุดรและอุบล แม้จะจัดอยู่ในกลุ่มสีเหลือง แต่ความจริง
มีค่าจ้างขั้นต่ำ 171บ. ต่ำที่สุดในกลุ่มสีเหลือง)
*สรุปได้ว่า นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300บ.ของ พท. น่าจะเป็นนโยบายประชานิยมที่ออกแบบมา
ให้เกิดผลมากเป็นพิเศษในภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งเป็นพื้นที่ฐานเสียงของ พท.*ในขณะที่การออกนโยบายของ ปชป.คำนึงถึงความเป็นไปได้ และความสมเหตุสมผล ทำให้
ติดข้อจำกัดความสามารถในการขึ้นค่าแรง และข้อเท็จจริงที่ฐานค่าแรงขั้นต่ำในแต่ละจังหวัด
สูงไม่เท่ากัน แต่การออกนโยบายของ พท.กลับให้ผลทางการตลาดที่ดีกว่า ทั้งการรับรู้จดจำ
ที่ไม่ต้องคำนวณเปอร์เซ็นต์ และจำนวนค่าแรงที่เพิ่มขึ้นมากกว่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่
ฐานเสียงของเพื่อไทย ซึ่งจะได้ค่าแรงเพิ่มมากกว่าภาคอื่นๆ...
แน่นอนว่าลำพัง ค่าแรง 300บ.โดยตัวมันเองไม่น่าเป็นไปได้ แต่เนื่องจากฐานเสียงของ พท.
มีความเชื่อถือ พตท.ทักษิณ สูงมาก (ใช้หนี้ IMF,สร้างสนามบิน,30บาทรักษาทุกโรค ฯลฯ)
ทำให้เชื่อมั่นว่า พท.จะสามารถทำให้เป็นจริงได้ โดยไม่เกิดผลกระทบใดๆ หรือถึงมีปัญหา
ก็เชื่อว่าจะสามารถแก้ปัญหาในอนาคตได้ กลายเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ พท.ชนะการเลือกตั้ง
ในพื้นที่ภาคเหนือและอีสานอย่างถล่มทลาย ขณะที่พรรคคู่แข่งเดิมๆ ในการเลือกตั้ง 2550
แทบจะสูญพันธุ์จากพื้นที่
โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า นโยบายค่าแรง300บ. มีผลให้ พท.ชนะเลือกตั้ง มากกว่าการชูประเด็น
สงสารทักษิณ, ต่อต้านอำมาตย์, ทวงคืนประชาธิปไตย หรือ ทวงความยุติธรรม91ศพ ฯลฯ
ผมไม่ค่อยเชื่อว่าคนทั่วๆไปจะใส่ใจจริงจังมากมายกับประเด็นทางการเมือง แต่น่าจะสนใจ
ปัญหาปากท้องของตัวเองมากกว่า
กรณีค่าแรง 300บ. น่าจะเป็นตัวอย่างได้ดี ผมคุยกับใครๆที่เลือก เบอร์ 1 ต่างก็สนับสนุน
และเชื่อว่า พท.ทำได้ เพราะทักษิณเก่ง และนโยบายนี้จะทำให้ชาวบ้านอยู่ดีกินดี ^_^!
...
แต่สิ่งที่ ปชช. 11.4 ล้านเสียง ที่เลือกพรรคตรงกันข้ามกับ พท. รู้สึกอึดอัดคับข้องใจก็คือ
ตลอด 45วัน ของการหาเสียงเืลือกตั้ง จนกระทั่ง พท.ชนะการเลือกตั้ง กลับยังไม่มีความ-
แน่นอนชัดเจนของแนวทางการขึ้นค่าแรง 300บ. แกนนำทีมเศรษฐกิจแต่ละคนพูดกันไป-
คนละทิศคนละทาง
ทำให้รู้สึกได้ว่าความจริง ค่าแรง 300บ.เป็นเพียง "แคมเปญหาเสียง"
ที่ พท.ตั้งขึ้นมาเพื่อเอาชนะพรรคคู่แข่ง โดยยังไม่ได้มีการศึกษาวางแผนจริงจังแต่อย่างใด
เพียงต้องการเอาชนะได้เป็นรัฐบาลก่อน แล้วไปหาวิธีเอาข้างหน้า!!ตอนนี้ประเทศเหมือนติดกับดัก เพราะหากเพื่อไทยเดินหน้านโยบายค่าแรง 300บ.จริง
ก็จะเกิดผลกระทบ อย่างที่ทุกภาคส่วนต่างออกมาแสดงความกังวล แต่หากพท.ไม่ทำ-
ตามนโยบายที่หาเสียงไว้ ก็จะกลายเป็น พท.หาเสียงหลอกลวงประชาชนให้ลงคะแนน
เช่นเดียวกับนโยบายอื่นๆ แทบทุกนโยบายที่มีสภาพไ่ม่ต่างกัน
ข้อเสียของประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งตัวแทนก็คือ พรรคการเมืองใดสามารถนำเสนอ
นโยบายจูงใจให้ประชาชนลงคะแนนเลือกตั้งได้มากก็จะชนะการเลือกตั้ง ในขณะที่ไม่มี-
หลักประกันใดๆเลยว่าเมื่อพรรคการเมืองนั้นๆได้เป็นรัฐบาล จะสามารถทำตามนโยบาย
ที่หาเสียงไว้ และที่ร้ายกว่านั้นคือถ้าสามารถทำตามที่หาเสียงก็ไม่มีหลักประกันใดๆ ว่า
จะไม่เกิดผลเสียหายร้ายแรงต่อประเทศ
ตอนนี้กองเชียร์ พท.ต่างเฝ้ารอผลดีจากนโยบาย ค่าแรง 300บ., เงินเดือน 15000บ.,
จำนำข้าว 15000-20000บ./ตัน, Tablet PC นักเรียน ฯลฯ ขณะที่ ปชช.ส่วนที่เหลือ
กำลังเฝ้ามองตาปริบๆ ไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง และประเทศหลังจากนั้น
ยังไม่นับการนิรโทษกรรม เอาทักษิณกลับประเทศ และปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา...
ผมมองข้อดีของเลือกตั้งครั้งนี้ที่ พท.ชนะเลือกตั้งว่า ทำให้พี่น้องคนไทย 15.7ล้านคน
รู้สึกเชื่อมั่นในความเป็นประชาธิปไตยของประเทศมากขึ้น ขณะที่นโยบายประชานิยม
แบบพาประเทศไปเสี่ยงของ พท.ถ้าทำได้ และเกิดผลดีจริงก็เป็นผลดีกับประเทศชาติ
แต่ถ้าทำไม่ได้ หรือทำแล้วเกิดผลกระทบเสียหาย ก็จะเป็นการพิสูจน์ให้ปชช.ได้เห็นว่า
ทักษิณไม่ได้เก่งจริงตามที่โฆษณาชวนเชื่อ (และผมไม่เคยเชื่อมาโดยตลอด)
ตอนนี้ก็มาลุ้นกันครับว่า พท.จะทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ได้แค่ไหน ผมเองก็เหมือน
อีกหลายท่านที่อยากเห็น พท.ทำตามนโยบายให้ครบทุกข้อ รวมถึงถมทะเลสร้างเขื่อน
อะไรต่างๆนั่นด้วย
ถ้าทำไม่ได้จริงเลือกตั้งคราวหน้า พท.จะลงสนามแบบมีแผลเต็มตัว
คงหลอกใครไม่ได้ง่ายๆอีกต่อไป แต่ถ้าสมมุติ พท.ทำได้ดีจริง ก็เป็นหน้าที่พรรคการเมืองอื่นที่ต้องปรับปรุงตัวให้สามารถ
แข่งขันเชิงนโยบายกับ พท.ได้ต่อไป จากกรณีเปรียบเทียบนโยบาย "ขึ้นค่าแรง 25%"
ของ ปชป. กับ "ค่าแรง 300บ." ของ พท. น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีของการออกนโยบาย
ให้เกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพกับพื้นที่เป้าหมายมากกว่าพรรคคู่แข่ง
หากพรรคการเมืองใดต้องการชนะ พท. อยากฝากให้ศึกษาการวางนโยบายลักษณะนี้
ของ พท.ไว้ด้วย แต่มีโจทย์สำคัญคือ หากออกนโยบายที่เป็นไปได้จริง และไม่สุ่มเสี่ยง
เกิดผลกระทบทางลบด้วยก็จะดีมาก
ประชาชนจะได้ไม่ต้องมาลุ้่นระทึกกันแบบตอนนี้ครับ