บีบมวยผม wrote:เงินทุนสำรอง ที่ว่ามาก
เงินนั้นได้มากจากเก็บภาษี...หรือว่า...เป็นเงินที่ได้มาจากการ กู้ต่างประเทศ กู้เขามามาเก็บไว้คงคลัง ครับ
ขอข้อมูลหน่อย มีสัดส่วนเท่ารัย
ที่มาของทุนสำรอง (เอาความรู้ตอนปีหนึ่งมาขายคุณเลยนะเนี่ย)
นักลงทุนผู้ประกอบการต่างชาติถือเงินดอลล่าเข้ามาลงทุน ต้องเอาดอลล่าไปแลกที่ธนาคาร ธนาคารส่งต่อดอลล่าให้แบงค์ชาติไป
นักลงทุนในตลาดทุน(พวกเล่นหุ้น)ถือเงินดอลล่าเข้ามาลงทุน ต้องเอาดอลล่าไปแลกที่ธนาคาร ธนาคารส่งต่อดอลล่าให้แบงค์ชาติไป
ผู้ประกอบการส่งออก ได้รับเงินเค่าสินค้าเป็นดอลล่ามา เอาดอลล่าไปแลกที่ธนาคาร ธนาคารส่งต่อดอลล่าให้แบงค์ชาติไป
นักท่องเที่ยวถือเงินดอลล่าเข้ามาเที่ยว เอาดอลล่าไปแลกที่ธนาคาร ธนาคารส่งต่อดอลล่าให้แบงค์ชาติไป
เงินกู้ของทั้งภาคเอกชนและรัฐบาล กู้มาเป็นดอลล่า เอาดอลล่าไปแลกที่ธนาคาร ธนาคารส่งต่อดอลล่าให้แบงค์ชาติไป
ฯลฯ....
ส่วนของนักท่องเที่ยวกับผู้ประกอบการส่งออกไม่น่ามีปัญหา เพราะใช้จ่ายไปแล้วจะเรียกคืนไม่ได้ แต่ส่วนของนักลงทุนต่างชาติและผู้ประกอบการที่กู้เงินมาลงทุน และนักลงทุนในตลาดหุ้นที่หอบเงินมาลงทุน เมื่อไหร่ที่เค้าถอนการลงทุน หรือต้องจ่ายหนี้เงินกู้(จะกลับบ้านแล้ว หรือจะย้ายฐานแล้ว) เค้าก็จะเอาเงินบาทที่เค้ามีอยู่ในธนาคาร ไปแลกเอาดอลล่าของเค้าคืน
ทีนี้ถ้าเราเอาทุนสำรองในรูปของดอลล่าของเค้า(ที่อยู่ในแบงค์ชาติ)ไปอีลุ่ยฉุยแฉกอย่างอื่น ถึงเวลาไม่มีดอลล่า(หรือมีเหลือน้อยมาก)มาให้เค้าแลกคืน เราก็ต้องไปวิ่งหากู้ดอลล่ามาให้เค้าแลกให้ได้ ทีนี้มันก็จะเริ่มเป็นงูกินหาง เมื่อไม่มีทุนสำรองในรูปดอลล่าเพียงพอให้เค้าแลกคืน ความน่าเชื่อถือ(อันดับเครดิต)ก็จะเริ่มตกต่ำ เมื่ออันดับความน่าเชื่อถือต่ำ ผู้ให้กู้ก็จะคิดอัตราดอกเบี้ยที่แพงขึ้นบวกค่าความเสี่ยง(ที่จะไม่ได้เงินต้นและดอกเบี้ยคืน) เมื่อต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงขึ้น หาผู้ให้กู้ยากขึ้น ความน่าเชื่อถือก็จะลดลงไปอีกเรื่อยๆ แล้วก็วนไปเป็นลูกโซ่ นี่คือวิกฤติปี 40 ที่กำลังจะตามมาหลอกหลอนพวกเราอีกครั้ง จากฝีมือรัฐบาลควายโง่ครับ
...................................................................................................................
มาขอร้องให้กุช่วยอธิบายให้ฟังหน่อย กุอธิบายให้ด้วยภาษาง่ายๆ พอเข้าใจกันหมดแล้ว แม่มก็หายหัวโม้ดด....
ไม่ขอบคุณกุซักคำ...
กัดฟันดันหน่อยวะ