ความเป็นครูในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว(2)
ในหลวงทรงสอนอะไรในวันนั้น ทรงเตือนอะไร จะใช้คำว่าเตือน จะใช้คำว่าสอน จะใช้คำว่าแนะนำอะไรก็ได้ น้อยคนเหลือเกิน เกือบไม่มีเลย เพราะความชื่นชมความประทับใจได้ผ่านไปแล้ว อันนี้เป็นสิ่งที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ในฐานะที่ทรงเป็นครูทรงสอนมา 60 กว่าปี
ถ้าถ่ายทอดมาเป็นตำรับตำรา ห้องสมุดตามสถานที่ต่างๆที่พยายามตั้งห้องสมุดถวายเอกสารเต็มไปหมด แต่จะมีใครสักกี่คนที่จะอ่านและอ่านด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
แม้กระทั่งประโยคแรกก่อนจะเข้าไปถวายงาน ระดับพวกเราก่อนที่จะทำงานอะไรเราต้องศึกษาก่อน เมื่อรู้ตัวว่าไปถวายงานผมเริ่มศึกษาทันที เจอประโยคแรกผมก็รู้สึกประทับใจอย่างยิ่ง
“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม”
พวกเราก็ท่องขึ้นใจกันทุกคน ถามพวกวัยรุ่นที่อยู่ข้างหน้า หรือถามพวกที่ผมเปลี่ยนสีข้างหลังก็ท่องจำไว้ได้ทุกคน แม้ว่าจะเกิดทันหรือเกิดไม่ทัน สองประโยคนี้คนไทยทุกคนจะต้องรู้หมด
“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
ถ้าเป็นสมัยพระพุทธกาล หากเข้าถึงสองประโยคก็สำเร็จแล้วบรรลุได้ ข้อสังเกตในฐานะที่ผมเป็นนักรัฐศาสตร์ก็สงสัยว่า ประการแรกทำไมไม่ใช้คำว่า “ปกครอง” เพราะโดยสามัญสำนึก พระเจ้าแผ่นดินต้องปกครองแผ่นดิน ทรงใช้คำว่า “ครอง” เราจะครองแผ่นดิน
พวกท่านรู้ดีกว่าผม ผมเหมือนเณร ท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่นี่เหมือนสังฆราชทั้งนั้น เพราะภาษาไทยนี่ผมเรียนแค่มัธยมต้นผมก็ไปเรียนต่อไฮสกูลที่ต่างประเทศ ภาษาไทยแย่ที่สุด ด้วยความรู้ภาษาไทยอันน้อยนิดแต่ผมก็ซึ้ง เราใช้คำว่า “ครอง”กับอะไรครับ เราครองเรือน พระครองสมณเพศ ครองจีวร เราครองชีวิตคู่ เราใช้คำพูดที่ให้ความเคารพ มีความเมตตา มีความรัก มีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่คำว่า “ปกครอง” นั้นเป็นเรื่องของอำนาจ ตัวบทกฎหมายหรืออะไรไม่รู้ ความรู้สึกต่างกันโดยสิ้นเชิง
การที่พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า “ครองแผ่นดิน” นั้น แผ่นดินเป็นของมีค่า จะต้องทะนุถนอม จะต้องให้เกียรติ จะต้องรักษาจนกระทั่งตลอดพระชนมายุหรือตลอดชีวิตของพวกเรา แค่คำแรกผมก็รู้สึกปีติอย่างยิ่ง “เราจะครองแผ่นดิน” บนฐานของอะไร บนฐานของคำสั้นๆคำว่า “ธรรมะ” ก็ได้รับโอกาส ได้รับพระราชทานคำแปลอย่างตรงไปตรงมาจากพระองค์ท่านธรรมะนี่ไม่ต้องแปลอะไรมากมายเลย “ความดีความถูกต้อง” สองคำนี้เท่านั้น
ในการครองแผ่นดินของพระองค์ท่าน ทรงใช้คำสองคำนี้เป็นตัวนำตลอดเวลา คือใช้ความดีความถูกต้องเป็นฐาน เรียบง่าย เป็นความเรียบง่ายที่เข้าถึงแก่นของชีวิตและจิตใจ
แต่คนไทยเปล่าไม่ได้สนใจ หลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจแล้ว พอฝรั่งมาพูดคำว่า “good governance” ก็แตกตื่นกันทั้งประเทศ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายนั่งถกเถียงกันตื่นเต้นว่าแปลว่าอะไร บ้างบอกว่า “ธรรมรัฐ บางคนแปลพิลึกไปยิ่งกว่านั้นอีก แปลว่า “สุประศาสนการ” คือยิ่งแปลยิ่งแปลกตามประสาของครูบาอาจารย์ ต้องทำให้ยุ่งๆยากๆเข้าไว้ โชว์ภูมิปัญญาดี ผลสุดท้ายมาลงที่คำว่า “ธรรมาภิบาล”
ต่อจากนั้น ในวงราชการหรือจะเป็นองค์กรต่างๆ จะเป็นหน่วยงาน จะเป็นตลาดหลักทรัพย์ จะเป็นนักธุรกิจใช้คำนี้เป็นตัวนำ คือคำว่า “ธรรมาภิบาล” วงเล็บ good governance ต้องวงเล็บทุกครั้ง ลองสังเกต6-7 ข้อที่กำหนดไว้ ตั้งแต่ transparency accountability responsibility อะไรตี้ๆ ก็ไม่รู้ครับ เยอะแยะไปหมด ลอกมาจากคำที่กำหนดโดยฝรั่งทั้งนั้น แล้วยึดเป็นสรณะหรืออะไรก็แปลไม่ถูก นึกว่า “ธรรมาภิบาล” ต้องฝรั่งกำหนดให้
แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งคำว่า good governance มาก่อนฝรั่งถึง 50 ปี เราคนไทยหลายคนไม่ใส่ใจ ผมไปที่ไหนก็ไม่มี อเมริกาอายุ 200 กว่าปี อายุเท่ากรุงเทพฯ แต่มากำหนดอะไรให้เราเชื่อกันงมงาย เด็กเมื่อวานซืน
ประเทศเรา 900 กว่าปี แก่ปานนั้น ธรรมะไม่มีหรือที่เป็นของเรา แล้วมีใครนึกบ้างที่ท่องกันปาวๆ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม” ที่พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งวันนั้น ก็ไม่นึกถามต่อหรือว่าธรรมะของพระเจ้าอยู่หัวคืออะไร พอไล่กันจริงๆ ก็ตอบได้นะ ไม่ใช่ตอบไม่ได้
แต่ตอบแบบอะไร ธรรมะของพระเจ้าอยู่หัวก็ทศพิธราชธรรมไง ถามว่ามีกี่ข้อ อ้าว ทศก็ต้องมี 10 ข้อ ถามว่าอะไรบ้าง ตอบไม่รู้ ท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ในห้องนี้ถามตัวเองแล้วกัน มีสักกี่คนในห้องนี้ไล่ได้จบทั้ง 10 ข้อ
ผมบรรยายข้าราชการมาเป็นแสน มีสองคนเท่านั้นที่ตอบผมได้ คนหนึ่งคาดว่าผมต้องถาม เขาไปท่องจำไว้ก่อน เรียกว่าโกงนิดๆ แต่ถือว่ามีความพยายาม อีกคนที่ตอบได้เป็นทหารยศพันโท ถามว่าอยู่หน่วยไหน ก็ตอบอย่างอายๆ ผมเป็นอนุศาสนาจารย์
อ๋อ…มิน่าถึงท่องทศพิธราชธรรมได้คล่อง เพราะอาชีพทำให้ต้องรู้ ไม่มีใครเลยจะมาท่องให้ผมฟังได้ ทศพิธราชธรรมประกอบด้วย ทาน ศีล บริจาค อาชชวะ มัททวะ ตบะ อักโกธะ อวิหิงสา ขันติ และอวิโรธนะ ง่ายๆ อย่างนี้แล้วไม่จำเป็นต้องท่องบาลี เอาความหมายออกมาให้ครบ 10 ประการก็แล้วกัน นับคนได้ที่ท่องอย่างนั้นได้ แล้วท่องก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าปฏิบัติหรือเปล่า
ความเป็นครูของพระองค์ท่านคืออะไร ประการแรก “ทรงทำให้ดู” ขอบอกว่าทรงทำให้ดูและรับสั่งอยู่ตลอดเวลา “ทำให้เขาดู”
เพราะฉะนั้นจะเห็นว่ามีโครงการสาธิต โครงการแสดงอะไรต่ออะไร จนกระทั่งแน่ใจพอสมควร ไม่ต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็เอาออกไปแสดงให้ดู ลักษณะที่เป็นประชาธิปไตยอย่างที่สุด
เป็นครูที่พยายามที่จะจูงใจนักเรียนให้มาสนใจ ไม่มีสักครั้งหนึ่ง ทำอย่างนี้นะ ทำอย่างนั้น ศูนย์ศึกษาฯโครงการสาธิตตั้งมาเป็นร้อยเป็นพันทั่วประเทศ ใครสนใจเข้าไปดู
“บอกเขาไปว่าเราทำอะไร” จะรับสั่งอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา ไม่มีลักษณะที่จะไปสั่งการ ถ้ารับสั่ง พวกเราก็คงวิ่งฮือกันไปทำกันหมดด้วยความเต็มใจ แต่ไม่เคยสักครั้ง ทรงเป็นครูที่พยายามทำให้ดู พยายามชักจูง พยายามสอน
บางทีพระองค์ท่านมีวิธีสอนอย่างเดียวที่ทรงรับสั่งต่อไปเป็นสิบอย่าง ในสิบประการนั้น สิบอย่างที่ทรงอธิบายที่จริงอธิบายอย่างเดียว แต่สามารถอธิบายออกมาได้ถึงสิบอย่าง สิบประการ หวังว่าจะให้เราเข้าใจทุกแง่ทุกมุมของเหรียญหรือ “ทุกหน้าของเหรียญ” หรืออะไรก็ตามที่เราพยายามเอาประโยคฝรั่งมาใช้ พอสำนวนไทยเราฟังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร เหรียญก็มีสองหน้าท่านั้น
ฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ทรงสอนอยู่ตลอดเวลา ทรงแสดงให้เห็น ไม่เคยทรงบีบบังคับ แม้ทรงอยากจะสั่งการ พระองค์ท่านก็ไม่ทรงสั่งการ ทรงอยากจะสอน ทรงอยากให้นักเรียนทำอย่างนั้น ทำการบ้านเดี๋ยวนั้น อะไรต่ออะไร ไม่ทรงทำ
จำเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อหลายปีนั้นได้หรือไม่ น้ำกำลังมา น้ำไม่ใช่พรวดพราดมา ใช้เวลาเป็นชั่วโมง เป็นวัน กว่าจะถึงกรุงเทพฯ แต่ดูเสมือนหน่วยงานต่างๆ ไม่ได้ตื่นตระหนกตกใจ เฉยๆ ไม่มีใครพูด ในฐานะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้รู้ เพราะว่าตัวเลขข้อมูลจากกรมอุตุฯ จะต้องถวายทุก 10 โมงเช้า
สภาพดินฟ้าอากาศรายละเอียดทั้งหมด ทรงเรียนรู้อยู่ทุกวัน พระองค์ท่านทรงเรียนรู้อยู่ทุกวัน ศึกษาข้อมูลต่างๆ พายุเกิดที่ไหน ทรงตามติดตลอด
เสร็จแล้วพระองค์ท่านจะทำอย่างไร
ธรรมะของพระองค์ท่านคือความดี และอย่าลืมคำที่สอง “ความถูกต้อง”
โดยฐานะของพระองค์ท่านนั้นไม่ทรงสิทธิ์ที่จะไปสั่งการหน่วยราชการหรืออะไร เพราะมีรัฐบาล มีหน่วยงานต่างๆ ทรงระวังเรื่องนี้มาก ถ้าท่านอยู่ใกล้ชิดพระองค์ท่านจะเห็นว่าทรงระวัง
พวกเราเองกลับคิดว่าทำไมท่านไม่ทรงอย่างนี้ ทำไมท่านไม่ทรงทำอย่างนั้น ทำไมพระองค์ท่านไม่ออกมาเสียที ทำไมพระองค์ท่าน ทำไมพระองค์ท่านอันนั้นเราคิดได้ เราชาวบ้านคิดได้ตามความรู้สึกของความอยากของเรา หลายเรื่องผมเคยกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าทำไมไม่ทรงทำอันนี้ รับสั่งว่า “ไม่ได้” “ผิด” ทำอย่างนี้ไม่ได้ กฎหมายไม่เอื้อ “ทำอย่างนี้ถูก” “อย่างนี้ไม่ได้”
ทรงดำรงอยู่ในธรรมะของพระองค์และเป็นธรรมะที่ลึกซึ้งเกินที่เราคนธรรมดาจะเข้าใจได้ เพราะเราใช้อารมณ์เป็นเครื่องนำทาง แต่พระองค์ท่านทรงใช้ปัญญาและเหตุผลเป็นเครื่องนำทาง ส่วนเราใช้จินตนาการไปตามความต้องการความปรารถนาของเรา หลายครั้งเราก็ผิด ในฐานะพระเจ้าแผ่นดินทำไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นทรงทำอย่างไร
ถ้าภาษาพระเผอิญพระคุณเจ้าเข้ามาพอดี ผมก็เลยใช้ภาษาพระ ภาษาพระเวลาบวชผมมักจะได้รับคำสอนว่าใช้อุบาย ใช้คำว่า “อุบาย” อุบายของพระองค์นคืออะไร ทรงทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วก็ทรงเรียกอธิบดีกรมชลประทาน ทรงเรียกใครมาสักกลุ่ม 7-8 คน แล้วเอาทีวี.มาออก แล้วก็ตรัสถาม
จำภาพนี้ได้ไหม ไม่ได้ ลืมแล้ว ผ่านไปแล้วนี่ น้ำท่วม นึกให้ดี วันนั้นจะมีคนมาประชุมแล้วพระองค์ท่านจะทรงไล่ถามเป็นอย่างไรสถานการณ์น้ำ เมื่อน้ำไหล ไหลมาทีละกี่เมตร กี่วันจะถึง อีกกี่ชั่วโมงจะถึง เป็นการสอนแบบทางอ้อมเพื่อให้เกิดความรู้สึก เข้าใจว่าสถานการณ์ภัยอันตรายมาถึงแล้ว ทำไมไม่ตื่นเต้น แต่ไม่ต้องมานั่งแถลงการณ์อะไรต่ออะไรให้ตื่นตระหนกไม่ต้อง
พระองค์ท่านไม่มีหน้าที่จะทำอย่างนั้น แต่ทรงมีอุบายที่จะสื่อออกไปให้กับลูกศิษย์ของท่านทั้งหลายเกิดตื่นขึ้นมาได้ในรายการนั้น
ถ้าหากความจำดีพอ ผมจำได้ว่าหน่วยราชการก็รับใส่เกล้าฯ เลยว่าพรุ่งนี้จะเริ่มทำงานแล้ว นี่คือราชการ เพราะเวลาราชการแปดโมงครึ่ง พรุ่งนี้พวกข้าพระพุทธเจ้าจะไปปฏิบัติ พระองค์ท่านก็ทรงสวนถามว่าน้ำหยุดหรือ ไปเดี๋ยวนี้แหละ คืนนี้เลย น้ำไม่ใช่ว่าแปดโมงครึ่งเริ่มไหลแล้วก็สี่โมงครึ่งหยุดพักตามริมตลิ่ง
ผมก็โดน เข้าเฝ้าฯวันศุกร์ พระองค์ท่านทรงบอกตรงนี้ตรงนั้นเขาอดอยากอยู่ เดี๋ยววันจันทร์ข้าพระพุทธเจ้าจะรีบไปเลย ก็นิสัยข้าราชการ จันทร์ถึงศุกร์วันทำงาน พระท่านรับสั่งว่า “ความทุกข์ความทรมานไม่มีวันหยุดหรอก พอวันศุกร์หยุดเดี๋ยวตอนเช้าวันจันทร์มาทรมานใหม่ยังงั้นหรือ”
พวกเขาทุกข์เดี๋ยวนี้ไปเดี๋ยวนี้เลย
นับตั้งแต่นั้นมา 30 กว่าปีแล้วผมก็เลยไม่มีวันเสาร์-อาทิตย์อีกต่อไปแล้ว วันคือวัน วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นสมมติที่เราตั้งกันเท่านั้น แต่เหตุการณ์เป็นจริงที่พระองค์ท่านสอนคือ ความทุกข์ความสุขที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์จริง ชีวิตจริงเกิดขึ้นเป็นจริงเดี๋ยวนั้น ต้องทำเดี๋ยวนั้น ต้องปฏิบัติเดี๋ยวนั้น ไปผูกมัดตั้งสมมติฐานอะไรขึ้นมาไม่มีประโยชน์
อันนี้ก็เป็นบทเรียนที่พระองค์ทรงสอน เป็นเรื่องสมมติทั้งนั้น ที่เราตั้งขึ้นมา สมมติว่าวันเกิดฉลองกันอยู่ได้ ก็เกิดมาตั้งเท่าไหร่แล้ว กลับไปหนึ่งขวบตลอดเวลา คนไทยถึงเป็นเด็กไม่ค่อยโตเท่าไร เพราะฉลองวันเกิดกันทุกปี กลับไปขวบหนึ่งทุกปี
ปากผมไม่ค่อยดี เมื่อสักครู่ขอบคุณท่านอาจารย์ธงทองเตือนเสียก่อนเลยต้องระมัดระวังปากหน่อย เพราะตามปรกติผมไม่ค่อยระมัดระวังเท่าไรนัก จริงไหมครับ เราไปผูกติดกับอะไรที่เราสร้างสมมติขึ้นมา ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป เราตั้งต้นชีวิตวันปีใหม่ วันเกิด วันเสาร์ วันอาทิตย์ วันพระ วันอะไรต่ออะไร วันพระเสียอีกกลับไม่มีใครนึกถึงพระคุณเจ้าหรือพระศาสดา
ที่มา : สำนักข่าวเจ้าพระยา