by tarato13 » Wed Mar 09, 2011 1:51 pm
เย็นศิระเพราะพระบริบาล
ปีพุทธศักราช ๒๕๕๐ เป็นปีมหามงคลซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๘๐ พรรษา และเป็นปีที่ทรงครองราชย์ครบ ๖๑ ปี ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ซึ่งครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นที่เคารพรักของปวงชนชาวไทย พระองค์ทรงใช้ทศพิธราชธรรมในการนำประเทศชาติผ่านวิกฤติการณ์ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมือง ด้วยพระบารมีของพระองค์ทำให้สามารถยุติการนองเลือดและการแตกความสามัคคีอันส่งผลให้ระบอบประชาธิปไตย มีความยุติธรรมและมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้พระอัจฉริยภาพแก้ปัญหาวิกฤตทางการเมืองหลายครั้ง แต่ ครั้งที่สำคัญยิ่งคือ เหตุการณ์นองเลือด ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พุทธศักราช ๒๕๓๕ และเหตุการณ์ความแตกสามัคคี พุทธศักราช ๒๕๔๙ โดยพระองค์จะระมัดระวังไม่ทรงเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรง แต่จะทรงแนะนำทางออกเพื่อแก้วิกฤตด้วยพระองค์เองเมื่อถึงคราวที่บ้านเมืองมาถึงทางตันไร้ทางออกที่เหมาะสม พระองค์ทรงวางพระองค์เป็นกลาง ทรงมีพระราชประสงค์ให้บ้านเมืองมีความสงบสุขและประชาราษฎร์มีความปลอดภัยเพียงประการเดียว
วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ เป็นวันที่พระบาทสมเด็จมีพระราชดำรัสทางสื่อโทรทัศน์จากพระตำหนักจิตรลดารโหฐานว่า เป็นวันมหาวิปโยค เป็นช่วงที่มีเหตุการณ์น่าเศร้าสลดของชาติไทย เกิดการปะทะกันและมีความรุนแรงทวีขึ้นจนถึงขั้นจลาจลและไม่มีทีท่าว่าจะจบลงด้วยความสงบ ทำให้คนไทยเสียชีวิตจำนวนมาก ทรงขอให้ทุกฝ่ายระงับเหตุแห่งความรุนแรงด้วยการตั้งสติยับยั้ง และให้ความร่วมมือกับรัฐบาลพื่อให้บ้านเมืองคืนสู่สภาพปกติโดยเร็วที่สุด หลังจากนั้นไม่นานนักบ้านเมืองก็มีความสงบสุข และมีความรุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง
ประเทศไทยประสบภาวะวิกฤตอีกครั้งในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬซึ่งทำให้มีการปะทะกันและเกิดการนองเลือด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสเตือนสติผู้ก่อการให้เห็นถึงผลกระทบที่จะมีต่อประเทศชาติในทุกๆด้าน ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจและการเมือง ทรงขอให้ผู้แทนทั้งสองฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน ร่วมกันแก้ปัญหาเพื่อให้ประเทศชาติกลับคืนสู่ความสงบสุข ไม่นานนักบ้านเมืองก็กลับมาสงบสุขดังเดิม
พุทธศักราช ๒๕๔๙ เป็นปีที่ราษฎรไทยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกครั้ง ปีนี้มีเหตุการณ์แตกความสามัคคีลุกลามไปทั่วประเทศที่อาจจะนำไปสู่การนองเลือดได้ ด้วยพระบารมีของพระองค์ ทำให้ไทยรอดพ้นภาวะวิกฤตไปได้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริก่อเกิดโครงการต่างๆ ถึง ๓๐๐๐ โครงการเพื่อช่วยเหลือราษฎรให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทรงช่วยเหลือราษฎรทุกชุมชนไม่ว่าจะอยู่ไกลแสนไกลในถิ่นทุรกันดาร หรือในเขตของผู้ก่อการร้ายก็ตาม
ด้วยทศพิธราชธรรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้นิตยสารไทม์เอเชียถวายการยกย่องพระองค์เป็นวีรบุรุษแห่งเอเชีย สาขาผู้เป็นแรงบันดาลใจในโอกาสฉลองวาระครบ ๖๐ ปีของนิตยสารในฉบับวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๙
นิตยสารไทม์ได้สดุดีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก ทรงใช้พระบารมีแห่งทศพิธราชธรรมนำประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตหลายครั้ง ด้วยพระองค์ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งประเทศ ทรงดำรงสถานะอันสูงส่งเป็นที่เคารพรักดุจบิดาของปวงชนชาวไทยตลอดมา
นับจากวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ พระองค์ทรงนำประเทศชาติพ้นไปจากความยากจน ความทุกข์ ความไม่รู้หนังสือ การปกครองที่ก่อให้เกิดปัญหาและการแตกความสามัคคี พ้นจากด้านมืดที่มีคนกระหายอำนาจ มีความเห็นแก่ตัวมุ่งทำลายชาติ ไปสู่ความเป็นชาติที่เจริญและมีความเป็นอยู่แบบพอมีพอกิน ทั้งนี้เพราะพระองค์ทรงพระราชทานแนวความคิดตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งเป็นหลักปรัชญาที่สอดคล้องกับการดำรงชีวิตของคนไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จึงได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเหมาะสมที่สุดสำหรับการพัฒนาชาติไทย พระองค์จึงได้รับการถวายพระนามจากชาวโลกว่า “ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนา”
องค์การสหประชาชาติโดย นายโคฟี อันนัม เลขาธิการองค์การสหประชาชาติทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายรางวัล “ความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์” จากการที่พระองค์ทรงอุทิศพระวรกาย เพื่อความอยู่ดีกินดีของราษฎร
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ นานาประเทศเกิดความตื่นตัวและยอมรับแนวความคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่มุ่งเน้นหลักความเป็นอยู่พอประมาณ ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันผลกระทบจากโลกาภิวัตน์
ตลอดเวลาของการครองสิริราชสมบัติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการด้วยพระอัจฉริยภาพ ทรงมีพระวิริยะอุตสาหะเพื่อความสุขความปลอดภัยของราษฎรมาโดยตลอด โดยไม่เคยทรงทอดทิ้งราษฏร ดังปฐมบรมราชโองการที่ว่า
“...เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม...”
โดย. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์สมโภชน์ วีระกุล
นางสาวชะอำ เมนะสูต