ความเป็นครูในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (1)
ในวโรกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554 นี้ พสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่าได้รวมหัวใจสมัครสมานสามัคคีถวายการแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี
เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศล ด้วยหัวใจเทิดทูนที่เกิดจากสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงทุ่มเทพระองค์ทั้งพระวรกาย พระสติปัญญาปฏิบัติพระราชกรณียกิจอย่างตรากตรำที่ก่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่ราษฎรคือ การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตที่เคยอดอยากยากจน ทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บ มาสู่ความเป็นอยู่ที่ดีด้วยความพออยู่พอกิน ยืนอยู่ได้ด้วยลำแข้งของตนเองเลี้ยงตัวเองครอบครัวให้มีความสุขอย่างยั่งยืนตลอดไป โดยมิได้ทรงคำนึงถึงความเหน็ดเหนื่อยและความสุขส่วนพระองค์ คนไทยทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจว่าความสุขของพระองค์ก็คือ การที่ทรงเห็นคนไทยอยู่ดีกินดีพ้นจากความยากจนและโรคภัยไข้เจ็บนั่นเอง
ในวันและปีสำคัญอย่างปีนี้ที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 7 รอบจึงถือว่าเป็นวันมหามงคลอย่างที่สุด ประชาชนทุกหมู่เหล่าหน่วยงานทุกหน่วยงานจึงพร้อมใจกันจัดกิจกรรมเพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศลภายใต้การนำของรัฐบาล
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา โดยนายธงทอง จันทรางศุ เลขาธิการ ได้เฉลิมพระเกียรติเนื่องในอภิลักขิตสมัยดังกล่าว โดยการจัดพิมพ์หนังสือประกอบภาพจิตรกรรม “ยิ่งครูสั่งสอนแจง ใจโลก” เพื่อร่วมบูชาในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีแก่มหาชนในด้านการศึกษา โดยการนำปาฐกถาพิเศษของหลายท่านผู้ทรงคุณวุฒิที่บอกเล่าถึงพระมหากรุณาธิคุณในด้านต่างๆ เป็นปาฐกถาที่ทรงคุณค่าอย่างเหลือเกิน ด้วยประสบการณ์สัมผัสพระมหากรุณาธิคุณในทุกด้านของแต่ละท่านที่ได้รับใช้เบื้องพระยุคลบาท
หนึ่งในปาฐกถาที่เสนอไว้ในหนังสือเล่มนี้คือเรื่อง “ความเป็นครูในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” โดยดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ที่บรรยายไว้เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2553 เพื่อเฉลิมพระเกียรติปีที่ 60 แห่งพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ทีมข่าว “ในหลวงของเรา” ขออนุญาตนำลงให้ประชาชนทั่วไปได้อ่านกัน เพื่อร่วมกันเทิดทูนในพระมหากรุณาธิคุณ
…………………………………….
“ความเป็นครูของพระองค์ท่านคืออะไร ประการแรกทรงทำให้ดู ขอบอกว่าทรงทำให้ดูและรับสั่งอยู่ตลอดเวลา ทำให้เขาดู”
วันนี้รู้สึกเป็นเกียรติและรู้สึกมีปมด้อยเล็กน้อย เพราะอยู่ท่ามกลางท่านอาจารย์ทั้งหลายเพื่อบรรยายเรื่องความเป็นครู โดยเฉพาะความเป็นครูของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นหัวข้อที่จะว่าง่ายก็ได้ ยากก็ได้ ผมขอเลือกเอาอย่างง่าย คือเล่าจากสิ่งที่ผมได้พบได้เห็น สิ่งที่ผมได้รับในฐานะลูกศิษย์ ผมเป็นลูกศิษย์จริงๆ เพราะพระองค์ท่านทรงสอนทรงปั้นขึ้นมา จนกระทั่งผมสำเร็จศาสตร์หลายศาสตร์ที่ผมไม่ได้เรียน
ขอเรียนตามตรงว่าได้ศึกษาสำเร็จจากพระองค์ท่านโดยตรง ถ้ารู้ภูมิหลังแล้วก็จะแปลกใจว่าผมนั้นจบรัฐศาสตร์การทูต แต่ไปทำงานในสำนักงานที่ไม่ต้องการนักการทูต คือสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) แทนที่จะไปเมืองนอกตามความคิดตอนสมัยที่เป็นเด็กหนุ่มคาดหวังไว้ในชีวิต กลับต้องไปทำงานอยู่ในชนบทคือไปอยู่บ้านนอก แต่ก็ไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย รู้สึกได้กำไรชีวิตอย่างมากมาย
ถ้าเป็นนักการทูตอย่างที่ฝันชีวิตก็คงจำกัดอยู่แค่นั้น
สิ่งที่เป็นโชคอย่างมหาศาลของชีวิตคือได้มีโอกาสเข้าไปถวายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สิ่งที่มีโอกาสเหนือจากนั้นคือได้เรียนรู้ ตรงนี้สำคัญ ถ้าดูประวัติการศึกษาจะพบว่าเรียนประหลาดกว่าคนอื่น คือไปเรียนที่เวียดนามแล้วก็ไปจบที่ลาว แล้วก็ไปต่อที่ฝรั่งเศส กลับมารับราชการเจ้านายคือดร.เสนาะ อูนากูล ส่งไปเรียนที่ธนาคารโลก ท่านบอกว่าอยู่สภาพัฒน์ฯ ไม่รู้เรื่องเศรษฐศาสตร์ได้อย่างไร
ทำงานพัฒนาชนบทลงไปในสนามรบเพื่อสู้กับการก่อการร้าย ผมอยู่ในป่า 11 ปีไม่มีใครทราบชีวิตภาคนั้นของผม กล้าบอกเลยว่าถ้าหากมีทหารอยู่ในนี้ก็จะบอกต่อหน้าว่า ผมลงสนามรบในประเทศนี้มากกว่าทหารคนใดในกองทัพอีก เพราะสนามรบ 19 แห่งในประเทศไทยนั้นผมเองมีส่วนเข้าไปร่วมวางแผนหมดทุกแห่ง สิ่งที่เราได้รับเป็นสิ่งมีค่าอย่างยิ่ง คือได้พบเห็นชีวิต ได้เรียนรู้
ประมาณ พ.ศ. 2524 เมื่อสงครามสิ้นสุดได้มีโอกาสรับคัดเลือกจากรัฐบาลในยุคนั้นให้เข้าไปถวายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะเป็นเลขาธิการสำนักงานกปร. เป็นคนแรกและดำรงตำแหน่งนี้ยาวนานที่สุดคือ 18 ปีต่อด้วยเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา สรุปว่าตลอดระยะเวลาประมาณ 30 ปีไม่ได้ขาดช่วงในการถวายงานเลย
ผมกล่าวกับคนทั่วไปเสมอว่าผมเรียน 3 ทวีป เรียนเอเชีย เรียนยุโรปเรียนอเมริกา แต่จบจริงๆ นั้น จบที่วัดกับวัง 2 แห่ง คือไม่รู้เรื่องพุทธเลยไปเมืองนอกตั้งแต่เด็ก เลยลงทุนไปบวชถึง 4 ครั้งด้วยกัน เป็นชาย 4 โบสถ์ เป็นที่เกรงขามของทุกคนแม้กระทั่งพระ บวช 4 หนแล้ว ได้เรียนจากวังก็รู้สึกว่าดีกว่าได้ปริญญาด็อกเตอร์จากฝรั่งเศส หรือได้ประกาศนียบัตรจากธนาคารโลกหรืออะไรต่ออะไรที่ประมาณค่ามิได้
ทั้งวัดทั้งวังสอนผมมาก เป็นโรงเรียนวิถีชีวิตไทย
ความเป็นครูของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรากล่าวเสมอว่าทรงเป็นครูแห่งแผ่นดิน ครูของแผ่นดิน ผมขอกล่าวสั้นๆว่า “ครูของแผ่นดิน” เพราะตลอดระยะเวลาที่ได้ถวายงานมา 30 ปีนั้นได้ทรงสอนเรื่องแผ่นดิน ทรงสอนให้รู้จักและเข้าใจ ดิน น้ำ ลม ไฟ ทรงสอนให้รู้จักชีวิต ทรงสอนให้รู้จักใช้พฤติกรรมในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น ไม่มีในมหาวิทยาลัยที่ไหนสอนครบถ้วนอย่างนี้ ไม่มีในตำราใดๆ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นสอนในห้องเรียนจริงทั้งสิ้น
พระองค์ท่านทรงทราบว่าพื้นฐานผมไม่มีเรื่องการเกษตรตามกิจกรรมหลักของพระองค์ท่านที่ทรงเน้นในเรื่องการเกษตรเป็นหลัก ก็ทรงเริ่มสอนเกือบเรียกว่าตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปถวายงาน ผมจำได้ผมได้บรรยายไปหลายหนแล้วครับ
เมื่อเราได้ถวายพระราชสมัญญานามว่าทรงเป็นครูแห่งแผ่นดิน ก็เปรียบเสมือนเรานั้นเป็นศิษย์ แต่เป็นศิษย์ที่แย่ แย่อย่างไรครับ ก็พูดต่อหน้าท่านคุรุทั้งหลายนี่แหละโดยไม่ต้องเกรงใจกันละ พวกเราคนไทยนี่ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดๆ นั้น “ชอบเห็นพระเจ้าอยู่หัวแต่ไม่เคยมองพระเจ้าอยู่หัว ชอบได้ยินพระเจ้าอยู่หัวแต่ไม่เคยฟังพระเจ้าอยู่หัว”
ทำไมผมพูดอย่างนั้น ที่ผมอย่างนั้นเพราะว่าพวกเรามีความชื่นชมศรัทธาพระองค์ท่าน ยินดีที่จะได้เห็น เสด็จฯไปที่ไหนก็วิ่งไปเห็นด้วยความชื่นชม ซาบซึ้งน้ำหูน้ำตาไหล แต่การที่ผมบอกไม่เคยมองคือ เมื่อถามลึกลงไปทรงทำอะไรอยู่ ทรงสอนอะไร ไม่มีใครตอบได้ พอใจกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาในลักษณะที่ปัจจุบันทันด่วนเหมือนเราไปดูหนัง
ความลึกซึ้งที่จะหาคำอธิบายอะไรต่างๆ นั้นไม่ค่อยจะมีเท่าไรนัก
ชอบได้ยิน แน่นอนพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งทีไรเงี่ยหูได้ยิน วันที่ 4 ธันวาคมทุกปี เราจะรอคอยว่าจะรับสั่งอะไร จะดุใคร เอาหวานมันเป็นหลัก ชอบมากคนไทยนี่ถ้าพระองค์ท่านทรงดุใครหรือแหย่ใครนี่รู้สึกชอบมาก
แต่ความจริงพอรับสั่งในเย็นวันนั้น วันรุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์ทุกฉบับก็ลอกคำต่อคำ ผมคิดว่าหลายท่านก็ต้องอ่าน แต่ถัดมาสักอาทิตย์ ผมลองถามถามว่าเมื่อวันที่ 4 เมื่อวานนี้หรือว่าสัปดาห์ที่แล้ว พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งเรื่องอะไร ไม่มีใครตอบผมได้ ไม่มีแม้กระทั่งสักประโยคหนึ่งที่มีค่าอย่างยิ่งที่จะอยู่ในความทรงจำ
http://www.chaoprayanews.com