พระบารมีอันบดบังมิได้
Posted: Sun May 15, 2011 2:08 pm
เมื่อสักครู่นี้ได้มีโอกาสชมงานพระราชพิธีเสกสมรสของเจ้าชายแห่งอังกฤษ บรรยากาศหน้าพระราชวังที่มีประชาชนออกมารอรับเสด็จเนืองแน่น ทำให้ผมนึกย้อนไปครั้งงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในทันที
ภาพในจอโทรทัศน์วันนี้แปดเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มของพสกนิกรชาวอังกฤษและทั่วโลก แม้นไม่เคยได้สัมผัสพระบารมีของพระราชวงศ์แห่งอังกฤษแต่ก็สามารถรับรู้ถึง ความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมาจากสีหน้าของเหล่าพสกนิกรได้เป็นอย่างดี
เช่นเดียวกับวันนั้น วันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกสีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต ผมเฝ้ารอภาพพระราชพิธีอย่างใจจดจ่อแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต ภาพพสกนิกรของพระเจ้าแผ่นดินที่ต่างเฝ้ารอชมพระบารมีและรอฟังพระบรมราโชวาท โดยไม่เกรงแสงแดดที่แผดเผา ภาพของมหาชนที่สวมเสื้อสีเหลืองวันพระราชสมภพเต็มลานพระบรมรูปทรงม้ายาวไปถึงถนน และภาพของน้ำตาที่อาบนองแก้มของหญิงชราที่ถูกฉายแพร่ออกไปทั่วประเทศและทั่วโลก ยังคงตรึงในใจผมและเป็นแรงกระตุ้นอย่างมหาศาลที่จะทำให้ผมต้องค้นหาคำตอบแห่งปรากฎการณ์นี้
สองพระราชพิธีนี้แตกต่างวัน แตกต่างวาระ และจัดกันคนละมุมโลก แต่ที่เหมือนกันคือความเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาติที่ยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้อีกแล้ว
ฝากหนึ่งในเครือจักรภพ วันนี้ประชาชนหน้าตาแช่มชื่น โห่ร้องและรื่นเริงในงานเสกสมรสครั้งนี้ และเมื่อหลายปีที่แล้ว ณ ที่ประเทศแห่งนี้ หน้าตาของประชาชนนั้นก็ไม่ได้ต่างจากที่อังกฤษ แต่ต่างกันที่ความปลื้มปิตินั้นได้นำพาน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวของประชาชนที่เป็นที่รักของพระเจ้าแผ่นดิน ภาพพระเจ้าแผ่นดินที่เจริญพระชนมายุ ๘๐ พรรษา แต่ยังคงซึ่งพระบารมีที่หาสิ่งใดมาบดบังมิได้ ทรงแย้มพระสลวลและโบกพระหัตถ์รับกับเสียงทรงพระเจริญที่ดังกึกก้องไปทั้งบริเวณ กลายเป็นสิ่งที่ยังคงติดตาตรึงใจผมไปอีกนานแสนนาน
แต่แล้วสิ่งที่ผมรับรู้ในวันนี้กลับทำให้ผมเสียใจและไม่นึกไม่ฝันเลยว่า วันนี้ยังมีคนไทยจำนวนหนึ่งที่พยายามจะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ใส่ร้ายพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ด้วยข้อหาการเมืองสารพัด การรณรงค์ของคนเหล่านี้อาศัยช่องโหว่ของคนไทยได้เป็นอย่างดี ช่องโหว่ที่ว่านั้นคือ "ความรัก"
กลุ่มคนที่คิดไม่ดีนั้นใช้ตรรกะ "ความศรัทธาเป็นบ่อเกิดของการปิดหูปิดตา" คำว่า "ปิดหูปิดตา" ที่ว่านั้น ไม่ใช่พระเจ้าแผ่นดินปิดหูปิดตา แต่เป็นประชาชนที่ปิดหูปิดตาตัวเอง ประชาชนที่คิดว่าเมื่อเกิดปัญหาอะไรก็ตามในบ้านเมืองก็จะได้รับพระราชทาน ความช่วยเหลือจากพระเจ้าแผ่นดิน หรือกระทั่งการรณรงค์เรื่องความแตกแยกทางความคิดทางการเมือง ก็มีการนำวลี "รักพ่ออย่าทะเลาะกัน" มาเป็นสิ่งกระตุ้นจิตใจ ซึ่งผมพิจารณาว่าเป็นการกระทำของเราเองที่ "ปิดหูปิดตา" ตัวเอง คิดแต่จะพึ่งพระเจ้าอยู่หัวอยู่ถ่ายเดียว
การปิดหูปิดตาตัวเองของคนไทยที่รักพระเจ้าอยู่หัวอย่างที่สุด ทำให้เราไม่รับรู้ว่าทรงกระทำสิ่งใดให้กับบ้านเมืองเมื่อในอดีต การปิดหูปิดตานั้นเพราะความรักที่มีต่อพระเจ้าอยู่หัวอย่างที่สุด เมื่อใครมาว่าพระเจ้าอยู่หัว ความรักนั้นก็จะสำแดงออกโดยการตอบโต้คนเหล่านั้นไม่ว่าจะสื่อออกทางใดก็ตาม เมื่อคนคิดไม่ดีต่อพระเจ้าอยู่หัวเห็นจุดบกพร่องของคนไทยส่วนใหญ่แล้ว ก็ใช้จุดนี้เป็นยุทธศาสตร์ในการทำงาน คนที่คิดไม่ดีอาศัยเรื่องการทรงงานที่น้อยคนนักจะรู้ น้อยคนนักจะเห็น น้อยคนนักจะเข้าใจ และน้อยคนนักที่จะปฏิบัติ มาเป็นเครื่องมือในการให้ร้ายพระเจ้าอยู่หัว
ความรักที่ปิดหูปิดตาคนไทยจำนวนหนึ่ง ทำให้คนไทยนั้นเพิกเฉยและไม่ได้เหลียวหลังไปดูในสิ่งทีพระเจ้าแผ่นดินทรงทำไว้ เรารู้เพียงว่าพระเจ้าแผ่นดินทรงงานหนักเพื่อประชาชนในถิ่นทุรกันดารและที่อื่นๆอีกมากมาย แต่เมื่อโดนถามว่า "รู้ได้อย่างไรว่าทรงงานหนัก?" แค่เท่านั้นผมเชื่อเลยว่าหลายๆคนก็ตอบไม่ได้ ซึ่งผมเองก็เคยได้รับคำถามเช่นนี้จากคนเหล่านั้น จนกลายเป็นการบ้านชั้นดีที่ทำให้ผมต้องไปหาคำตอบ คำตอบนั้นไม่ได้ถูกหามาเพื่อตอบคนไม่หวังดี แต่เพื่อมาตอบตัวเองเพื่อให้อย่างน้อยๆผมอาจจะได้เปิดหูเปิดตามองเห็นสิ่งที่พระเจ้าแผ่นดินทำไว้ให้กับราษฎรของพระองค์เสียที
และเพื่อไม่ให้คนไม่หวังดีมาว่าเราว่า "ความศรัทธาเป็นบ่อเกิดของการปิดหูปิดตา" เพราะผมนั้นจะพยายามผันศรัทธาที่มีเปิดหูเปิดตาตนเองและคนรอบข้างเท่าที่จะเป็นไปได้
ผมได้วิเคราะห์คนที่ไม่หวังดีเหล่านั้นด้วยตรรกะเช่นเดียวกันคือ "ความไม่ศรัทธาเป็นบ่อเกิดของการบิดเบือน"
เพราะคนเราถ้าไม่ชอบสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผูกใจเจ็บสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็จะพยายามสร้าง "อคติ" ขึ้นมากับสิ่งนั้นๆ และเมื่ออคติบดบังพระเจ้าอยู่หัว จึงกลายเป็นที่มาของ "การบิดเบือน" ไม่ว่าจะกระทำโดยลักษณะใดก็ตาม
การอาศัยความรู้ทางรัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ กฎหมาย มาเป็นพื้นฐานอธิบายลักษณะการทรงงานของพระเจ้าอยู่หัวของคนเหล่านี้แนบเนียน จนทำให้เกิดการคล้อยตามได้โดยง่ายหากไม่มีหลักใดให้ยึดเหนี่ยว และเมื่อความบิดเบือนถูกเขียนด้วยหลักทางวิชาการ ความน่าเชื่อถือที่ตามมาส่งผลให้ผู้ที่รับข้อมูลเหล่านี้(ซึ่งต้องมีความอ่อนไหวในเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้เป็นพื้นฐานมาแต่ก่อน)เชื่อถือโดยสนิทใจ และสามารถวิเคราะห์ต่อยอดจนเกิดเป็นคำถามจำนวนมากที่ยากจะหาใครมาตอบสิ่งเหล่านั้นได้ทั้งหมด
ปัญหาในทุกวันนี้คือคนรู้ไม่มีโอกาสชี้แจง คนมีโอกาสชี้แจงกลับไม่รู้ ประเด็นต่างๆที่กลายเป็นคำถามล้วนถูกถามกับเยาวชนและวัยรุ่นที่เพิ่งสนใจประวัติศาสตร์ และประเภทศึกษาแบบฉาบฉวยซึ่งจะไคว่เขวได้ง่าย บางประเภทไม่ได้เชื่อในตอนแรก แต่เพราะไม่เคยได้รับข้อมูลอีกด้านก็ทำให้เกิดการอยากรู้และติดตามจนกลายเป็นเชื่อไปเอง บางประเภทรู้แล้วชอบพูดทีเล่นทีจริง พูดประมาณประชดประชัน ยิ่งพูดบ่อยเข้าก็กลายเป็นเชื่อจริง เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้เป็นอันตรายอย่างยิ่งในวันนี้และวันข้างหน้า ผมเขียนบทความรณรงค์ให้รัฐดูแลเรื่องการจัดงานเฉลิมพระเกียรติที่มีบ่อยครั้งในปีหนึ่งๆมาหลายครั้งก็เพราะเห็นว่าตรงนี้ก็เป็นจุดอ่อนอีกอย่างหนึ่ง ที่คนไม่หวังดีใช้เป็นเป้าโจมตี โดยเฉพาะเรื่อง "ประชาสัมพันธ์ด้านเดียว" และงบประมาณการจัดงานของหน่วยงานรัฐและเอกชนที่ใช้ชื่อต่อท้ายงานว่า "เฉลิมพระเกียรติ" หรือที่บางจังหวัดตั้งชื่อการประกวดร้องเพลงที่ผมมองเห็นแล้วว่าไม่สมควรคือ "ประกวดร้องเพลงเทิดทูนสถาบันฯ" หรือแผ่นป้ายคัตเอาท์ขนาดใหญ่ของบางจังหวัดที่ว่า "คน...เทิดทูนสถาบันฯ" และอีกหลายๆแห่ง ซึ่งผมมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่บังควร
ความจงรักภักดีนั้นมีอยู่ แต่ความจงรักภักดีนั้นไม่ใช่แค่คำพูด การจัดงาน การร้องเพลง ที่ขึ้นตามป้ายคัตเอาท์ขนาดใหญ่ เพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดได้หน้า หน่วยงานที่จัดได้หน้าหรืองบประมาณที่ไม่ค่อยมีการคัดค้านจากทางภาครัฐเพราะเป็นการเฉลิมพระเกียรติ แม้ว่าบางท่านจะบอกว่าลักษณะการจัดงานเฉลิมพระเกียรติทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นการประกวด การแข่งขัน นั้นทำให้งานนั้นได้รับความร่วมมือร่วมใจ และสร้างสรรค์ให้ยิ่งใหญ่ได้โดยง่ายกว่างานทั่วไปที่จะแสวงหาความร่วมมือได้ยากกว่า และทำให้รู้สึกว่าได้ทำอะไรๆให้ในหลวง
ซึ่งผมกลับมองว่าการจะทำอะไรสักอย่างให้ในหลวง ไม่ใช่แค่ร้องเพลงเทิดทูน ไม่ใช่แข่งกีฬาเฉลิมพระเกียรติ ที่จบงานแล้วจบเลย แต่ต้องเป็นลักษณะการทำงานทียั่งยืนและสานต่องานของพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงทำไว้ให้ดียิ่งๆขึ้นไปต่างหาก
ตลอดช่วงที่ทรงงานถิ่นทุรกันดาร ประพาสป่าเขา เพื่อสำรวจภูมิประเทศและเข้าใจความเป็นอยู่ของราษฎรนั้น ทรงใช้ความเป็น "พระเจ้าแผ่นดิน" ของพระองค์เร่งรัดหน่วยงานราชการ และเค้นมันสมองของข้าราชการเหล่านี้ออกมาเพื่อสนองพระราชดำริที่ทรงวางไว้ ให้ข้าราชการสานต่อและทำงานเพื่อราษฎรอย่างจริงๆจังๆ พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ทรงใช้การทรงงานของพระองค์เป็นแบบอย่างให้ข้าราชการตามเสด็จได้เห็น หลายโครงการตามพระราชดำริทรงคิดและพระราชทานให้ไปทำต่อ หลายโครงการตามพระราชดำริทรงถามข้าราชการเหล่านั้นว่าจะทำอย่างไร แล้วให้ไปคิดต่อมาเสนอพระองค์
นี่คือการใช้ "พระบารมี" เพื่อกระตุ้นข้าราชการ ที่แปลว่าข้าของพระราชาให้ทำงานเพื่อราษฎร ไม่ใช่แบบเช้าชามเย็นชาม เลิกงานแล้วกลับบ้านแบบสมัยนี้
หลายๆโครงการสำเร็จด้วยดี บางโครงการก็ไม่สำเร็จ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อประชาชนไม่ต้องการโครงการของพระองค์ พระองค์ก็ไม่ทรงบังคับ และทรงมีดำริว่า "ยังมีอีกหลายที่ที่ต้องทำ"
วันนี้หากเราจะเปลี่ยนแปลงการ "เฉลิมพระเกียรติ" ด้วยการจัดงานอย่างมโหฬาร แสงสีตระการตา มาเป็นการสานต่องานในพระราชดำริของพระเจ้าอยู่หัว แม้นว่าจะเห็นผลช้า แต่สิ่งที่พระองค์ทรงทำมาอย่างยาวนานนั้นก็จะสร้างความยั่งยืนให้กับคนไทยได้ไม่น้อย
เราละเลยความพอเพียง เราละเลยรากฐานทางเกษตรกรรม เราละเลยการดูแลทรัพยากรป่า น้ำ ดิน มาอย่างยาวนาน เป็นเพราะพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้ลงมาทรงงานให้เราเห็นแบบสมัยก่อนหรืออย่างไร? ทำให้เรา "ละเลย" สิ่งเหล่านี้ไปมากขนาดนี้
ความจงรักภักดีกลายเป็นคำพูดติดปากคนใหญ่คนโต กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ทรงพลานุภาพ หากคนใช้ผิดพลาด คนที่ใช้เสียหาย แต่พระเจ้าอยู่หัวเสียหายกว่า
เรารับเอาพระราชดำรัสมาปฏิบัติในช่วงเวลาสั้นๆ หากเราศึกษาให้ถ่องแท้จะพบว่าหลายปีมานี้และก่อนหน้านี้ทรงเน้นย้ำ "หน้าที่" มาโดนสม่ำเสมอ เพราะคนไทยไม่รู้จักหน้าที่ ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย คนที่มีหน้าที่แต่ไม่ปฏิบัติ กับคนที่ปฏิบัติไม่ตรงหน้าที่ กลายเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ จนนำไปสู่การพระราชทานพระราชดำรัสเพื่อเตือนสติคนเหล่านั้นอยูบ่อยครั้ง
ภาพพระเจ้าอยู่หัวพระชนมายุ ๘๔ พรรษา แค่ได้เห็นน้ำตาก็ปริ่มนั้น ยิ่งทำให้กินใจไปทุกที ความรู้สึกของคนไทยหลายๆคนคงเป็นแบบผม ซึ่งผมไม่จำเป็นต้องเขียนอธิบายเพราะเราย่อมรู้กันอยู่แก่ใจทั้งสิ้น
เขียนเมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๔