โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

เรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับพระราชวงศ์ไทย เทิดพระเกียรติในหลวงและราชวงศ์จักรีที่ห้องนี้ครับ
Forum rules
- ห้ามใช้คำพูดหยาบคาย
- ห้ามโพสกระทู้หรือข้อความที่ดูหมิ่นเสียดสีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอันขาด

โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:25 pm

ความเป็นมาของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ด้วยความที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยในทุกข์สุขของพสกนิกรชาวไทย ทำให้พวกเราชาวไทยได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปเยี่ยมเยียนราษฎรในพื้นที่ต่างๆ อยู่เสมอ โดยเฉพาะในพื้นที่ยากจน ห่างไกล และทุรกันดาร ซึ่งพระองค์จะทรงใช้เวลาประทับอยู่ตามเขตภูมิภาคมากกว่าในกรุงเทพฯ ทั้งนี้ เพราะพระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะหาข้อมูลที่แท้จริงจากผู้ที่อยู่ในพื้นที่ เกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ในแต่ละภูมิภาค นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงสังเกตการณ์ และสำรวจสภาพทางภูมิศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน เพื่อจะได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดไว้สำหรับการพระราชทานแนวทางเพื่อการดำเนินงานโครงการตามพระราชดำริต่อไป

พระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานแก่ปวงราษฎรไทยทั้งหลายในระยะต้นแห่งการเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัตินั้น เป็นพระราชดำริด้านการแพทย์และงานสังคมสงเคราะห์เป็นส่วนใหญ่ เพราะในช่วงเวลาดังกล่าว กิจการด้านการแพทย์ของไทยยังไม่เจริญก้าวหน้าเท่าที่ควร อีกทั้งการบริการสาธารณสุขในชนบท ก็ยังมิได้แพร่หลาย ๐พระราชกรณียกิจในระยะช่วงแรก ช่วงระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๙๓ - ๒๕๐๕ จะเป็นการช่วยเหลือเฉพาะหน้า ยังไม่ได้เป็นโครงการเต็มรูปแบบอย่างในปัจจุบัน

พระราชดำริเริ่มแรกที่เป็นโครงการช่วยเหลือประชาชนเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมประมงนำพันธุ์ปลาหมอเทศจากปีนัง ซึ่งได้รับจากผู้เชี่ยวชาญด้านการประมงขององค์การอาหาร และการเกษตร แห่งสหประชาชาติ เข้าไปเลี้ยงในสระน้ำของพระที่นั่งอัมพรสถาน และเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพันธุ์ปลาหมอเทศนี้แก่กำนันผู้ใหญ่บ้านทั่วประเทศ เพื่อจะได้นำไปเลี้ยงเผยแพร่ขยายพันธุ์แก่ราษฎรในหมู่บ้านของตน เพื่อจะได้มีอาหารโปรตีนเพิ่มขึ้น

โครงการพระราชดำริที่นับได้ว่าเป็นโครงการพัฒนาชนบทโครงการแรก เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานรถบูลโดเซอร์ ให้หน่วยตำรวจตระเวนชายแดนค่ายนเรศวร ไปสร้างถนนเข้า ไปยังบ้านห้วยมงคล ตำบลหินเหล็กไฟ อำเภอหัวหินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อให้ราษฎรสามารถสัญจรไปมา และนำผลผลิตออกมาจำหน่ายยังชุมชนภายนอกได้สะดวกขึ้น
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Re: โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:27 pm

โครงการห้วยองคตอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดกาญจนบุรี
โครงการห้วยองคตอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นแนวทางในการพัฒนาพื้นที่โครงการให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ โดยให้ราษฎรได้อยู่อาศัย และทำกินร่วมกันตามหลักการฟื้นฟูและสร้างสมดุลในระบบนิเวศน์ ด้วยการปลูกพืชผสมผสานและปลูกผักกางมุ้ง ลดการใช้สารเคมี การเลี้ยงไก่ และการประกอบอาชีพหัตถกรรมเพื่อให้ราษฎรดำรงชีพได้อย่างยั่งยืน
ที่มา http://www.howeverz.com/the-king/catarogy4.php
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Re: โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:27 pm

โครงการในพระราชดำริด้านการส่งเสริมอาชีพ
สำหรับการส่งเสริมอาชีพนั้น หากเป็นโดยทางอ้อมแล้วโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริส่วนใหญ่ เมื่อได้ดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริแล้วจะทำให้เกิดการส่งเสริมอาชีพแก่ราษฎรในพื้นที่ใกล้เคียง โดยเฉพาะศูนย์ศึกษาการพัฒนาฯ ทั้งหลายนั้น จุดมุ่งหมายที่สำคัญของการจัดตั้งขึ้นมาเพื่อที่จะให้มีการศึกษา ค้นคว้า ทดลอง วิจัย เพื่อแสวงหาแนวทางและวิธีการพัฒนาด้านต่างๆ ที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและการประกอบอาชีพของราษฎรที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคนั้นๆ เพื่อให้ราษฎรสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างจริงจัง
ส่วนโครงการประเภทการส่งเสริมอาชีพโดยตรงนั้นมีจำนวนไม่น้อย ทั้งนี้เพื่อเป็นการช่วยเหลือให้ประชาชนสามารถพึ่งตนเองได้ ดังเช่น โครงการฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรในหมู่บ้านรอบศูนย์ศึกษาการพัฒนาฯ โครงการศิลปาชีพพิเศษทั่วประเทศ โครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มขนาดเล็ก โครงการศูนย์บริการการพัฒนาขยายพันธุ์ไม้ดอกไม้ผลบ้านไร่ จังหวัดเชียงใหม่ และโครงการอื่นๆ อีกมาก ซึ่งโครงการเหล่านี้ผลสุดท้ายของโครงการคือประชาชนที่อยู่ในเป้าหมายโครงการสามารถที่จะนำความรู้ไปประกอบอาชีพจนทำให้เกิดรายได้กับครอบครัว
ที่มา http://www.howeverz.com/the-king/catarogy4.php
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Re: โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:28 pm

พระบรมราโชวาท และพระราชดำรัสเกี่ยวกับความสามัคคี
“…ความสามัคคีนี้ หมายถึงว่ามีสิ่งใดที่อาจ ขัดแย้งซึ่งกัน และกันบ้าง ก็ต้องปรองดองกันเสีย และหา ทางออกโดยที่ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง กันเพราะความสามัคคีเป็นกำลังอย่างสูงสุดของ หมู่ชน…”
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่กลุ่มชาวไร่หมู่บ้านตัวอย่างโครงการไทย-อิสราเอล จังหวัดเพชรบุรี25 พฤษภาคม 2513


“…สามัคคี คือการเห็น แก่บ้านเมืองและช่วยกันทุก วิถีทางเพื่อที่จะสร้างบ้านเมืองให้เข้มแข็ง ด้วย การเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างตรงไปตรงมา นึกถึงประโยชน์ส่วนรวม เพราะประโยชน์ส่วนรวม นั้น คือความมั่นคงของบ้านเมือง
พระราชดำรัส พระราชทานในพิธีประดับยศนายตำรวจชั้นนายพล
ณ พระตำหนักจิตรดารโหฐาน 15 มกราคม 2519
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Re: โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:28 pm

"...บ้านเมืองของเรากำลังต้องการการปรับปรุงและการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพ ทางที่เราจะช่วยกันได้ก็คือการที่ทำความคิดให้ถูกและแน่วแน่ในอันที่จะยึดถือประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นที่หมายต้องเพลาคิดถึงประโยชน์เฉพาะตัวและความขัดแย้งกันในสิ่งที่มิใช่สาระลง…"
(พระราชดำรัส พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยในโอกาสขึ้นปีใหม่ 2543)
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Re: โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:29 pm

"...ความพอพระราชหฤทัยของพระราชาอยู่ที่ว่า แต่ ละคนจะทำหน้าที่ของตัวด้วยความตั้งใจ มีความคิดพิจารณาที่รอบคอบ ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง กัน ส่งเสริมความสามัคคี และปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม..."
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่ผู้ที่ได้รับพระราชทานเหรียญราชรุจิ ณ พระตำหนักจิตรดารโหฐาน 23 มกราคม 2513
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Re: โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:29 pm

ความเป็นมาของโครงการในพระราชดำริ
ด้วยความห่วงใยในทุกข์สุขของอาณาประชาราษฎร์ ชาวไทยเราจึงพบว่านับแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จ เถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นต้นมา พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนิน ไปเยี่ยมเยียนประชาชนตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศโดยเฉพาะในพื้นที่ชน บทยากจน ห่างไกลและทุรกันดาร
ในแต่ละปี พระองค์จึงประทับอยู่ภูมิภาคต่าง ๆ มาก กว่าประทับ อยู่ในพระราชวังที่กรุงเทพฯ เพื่อทรงค้นหาข้อมูลที่แท้จริงจากประชาชน เจ้า หน้าที่ของรัฐประจำพื้นที่ และทรงสังเกตการณ์สำรวจสภาพทางภูมิศาสตร์ไปพร้อม ๆ กันด้วย ทั้งนี้เพื่อทรงรวบรวมข้อมูลไว้เป็นแนวทางที่จะพระราชทานพระราชดำริให้ ดำเนินงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่อไป
พระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานแก่ปวงราษฎรไทยทั้งหลายในระยะต้นแห่งการเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราช สมบัตินั้น เป็นพระ ราชดำริด้านการแพทย์และงานสังคมสงเคราะห์เป็นส่วนใหญ่ เพราะในระยะเวลาดังกล่าว กิจการด้านการแพทย์ของไทยยังไม่เจริญก้าวหน้าเท่าที่ควร และการบริการสาธารณสุข ในชนบทยังมิได้แพร่หลาย โดยพระราชกรณียกิจช่วงแรกเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 - 2505 จะเป็นการช่วยเหลือบรรเทาเฉพาะหน้าไม่เป็นลักษณะโครงการเต็มรูปแบบ อย่างปัจจุบัน พระราชดำริเริ่มแรกอันเป็นโครงการช่วยเหลือประชาชนเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2494 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กรมประมงนำพันธุ์ปลาหมอเทศจากปีนัง ซึ่งได้รับจากผู้เชี่ยวชาญด้านการประมงขององค์การอาหาร และการเกษตร แห่งสหประชาชาติ เข้าไปเลี้ยงในสระน้ำพระที่นั่งอัมพรสถาน และเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2496 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพันธุ์ปลาหมอเทศนี้แก่กำนัน ผู้ใหญ่บ้านทั่วประเทศ นำไปเลี้ยงเผยแพร่ขยายพันธุ์แก่ราษฎรในหมู่บ้านของตน เพื่อจักได้มีอาหารโปรตีนเพิ่มขึ้น โครงการพระราชดำริที่นับได้ว่าเป็นโครงการพัฒนาชนบทโครงการแรก เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2495 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณา โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานรถบูลโดเซอร์ ให้หน่วยตำรวจตระเวนชายแดนค่ายนเรศวร ไปสร้างถนนเข้า ไปยังบ้านห้วยมงคล ตำบลหินเหล็กไฟ อำเภอหัวหินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อให้ราษฎรสามารถสัญจรไปมา และนำผลผลิตออกมาจำหน่ายยังชุมชนภายนอกได้สะดวกขึ้น
ที่มา http://www.howeverz.com/the-king/Propersal1.php
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Re: โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:32 pm

พระอัจฉริยภาพด้านศิลปกรรม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระราชหฤทัยในงานวิจิตรศิลป์เป็นอย่างยิ่ง และจิตรกรรมก็เป็นสาขาหนึ่งที่พระองค์ท่านทรงสนพระราชหฤทัยมากจนกระทั่งได้ ทรงฝึกฝนด้วยพระองค์เองทรงเริ่มเขียนภาพอย่างจริงจังเมื่อ พ.ศ. 2502 ซึ่งภาพที่ทรงเขียนส่วนมากจะเป็นพระสาทิสลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอทุกพระองค์ แต่มักจะเป็นภาพเขียนครึ่งพระองค์ ผลงานจิตรกรรมฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเริ่มเผยแพร่มากขึ้น เมื่อคราวที่ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานภาพร่วมแสดงในการแสดงศิลปกรรม ครั้งที่ 14 พ.ศ. 2506 จิตรกรรมฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ปรากฏแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะใหญ่ๆ
http://www.howeverz.com/the-king/skill.php
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Re: โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:33 pm

พระอัจฉริยภาพด้านภาษาและวรรณกรรม
“...ภาษาไทยนั้นเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของชาติ ภาษาทั้งหลายเป็นเครื่องมือของมนุษย์ชนิดหนึ่ง คือเป็นทางสำหรับแสดงความเห็นอย่างหนึ่ง เป็นสิ่งที่สวยงามอย่างหนึ่ง เช่นในทางวรรณคดีเป็นต้น ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องรักษาไว้ให้ดี ประเทศไทยนั้นมีภาษาของเราเองซึ่งต้องหวงแหนประเทศใกล้เคียงของเราหลาย ประเทศมีภาษาของตนเอง แต่ว่าเขาก็ไม่แข็งแรง เขาต้องพยายามหาทางที่จะสร้างภาษาของตนเองไว้ให้มั่นคง เราโชคดีที่มีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้...”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระอัจฉริยภาพด้านภาษาและวรรณกรรมเป็นอย่าง ยิ่ง แม้ว่าพระองค์จะทรงเจริญพระชันษาในต่างประเทศ ทรงศึกษาภาษาต่างประเทศ แต่พระองค์ยังทรงมีพระอัจฉริยภาพในการใช้ภาษาไทยได้อย่างยอดเยี่ยม และยังทรงห่วงใยต่อภาษาไทยอีกด้วย
http://www.howeverz.com/the-king/skill.php
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Re: โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:33 pm

พระอัจฉริยภาพด้านการถ่ายภาพ
พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัยในการถ่ายภาพอย่างจริงจังมาตั้งแต่ยัง ทรงพระเยาว์ พระองค์ทรงศึกษาและฝึกฝนการถ่ายภาพด้วยพระองค์เอง จนเป็นนักถ่ายภาพที่มีพระปรีชาสามารถยิ่ง พระองค์ทรงเชี่ยวชาญแม้กระทั่งการล้างฟิล์ม การอัดขยายภาพทั้งภาพขาวดำและภาพสี โดยทรงสร้างห้องมืด (Dark Room) ขึ้นในบริเวณชั้นล่างของตึกที่ทำการสถานีวิทยุ อ.ส. ด้วยพระราชประสงค์ที่จะทรง “ สร้างภาพ ” ให้เป็นศิลปะอย่างถูกต้องและรวดเร็วด้วยพระองค์เอง
ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ปรากฏในหนังสือพิมพ์สแตนดาร์ดของพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเปรมบุรฉัตร ในปี พ.ศ. 2489 พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสด้วยพระอารมณ์ขันแก่ผู้ใกล้ชิดผู้หนึ่งถึงการเป็น ช่างภาพอาชีพของพระองค์ว่า
“ ฉันเป็นกษัตริย์ก็จริง แต่ฉันก็ยังมีอาชีพเป็นช่างภาพของหนังสือ พิมพ์ สแตนดาร์ด ได้เงินเดือนเดือนละ 100 บาท ตั้งหลายปีมาแล้ว จนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นเขาขึ้นเงินเดือนให้สักทีเขาก็คงถวายเดือนละ 100 บาท อยู่เรื่อยมา ”
ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ของพระองค์ส่วนใหญ่จะเป็นภาพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และทูลกระหม่อมทุกพระองค์ อีกทั้งเป็นรูปที่พระองค์ทรงเสด็จราชการตามสถานที่ต่างๆ เพื่อใช้ประกอบการทรงงาน
http://www.howeverz.com/the-king/skill.php
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Re: โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:34 pm

พระอัจฉริยภาพด้านดนตรี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัยดนตรีมาตั้งแต่ยังทรงศึกษาอยู่ที่ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงฝึกฝนวิชาดนตรีอย่างแท้จริง คือการเขียนโน๊ตและบรรเลงแบบคลาสสิก แนวดนตรีที่ทรงสนพระราชหฤทัยคือแนวแจ๊ส (Jazz) ทรงศึกษาประวัตินักดนตรีที่มีชื่อเสียงและทรงเปรียบเทียบฝีมือการเล่นดนตรี ต่างๆ จากแผ่นเสียงสไตล์ที่โปรด เช่น สไตล์การเป่าโซปราโน แซกโซโฟนของชิดนี่ เบเซ่ (Sydney Bechet) ออโต แซกโซโฟน ของจอห์นนี่ ฮอดเจส (Johny Hodges) เป็นต้น
http://www.howeverz.com/the-king/skill.php
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Re: โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:36 pm

พระอัจฉริยภาพด้านการศึกษา และเทคโนโลยี
“… ในประเทศไทยนี้ถ้าดูจากสถิติก็มีพลเมืองเพิ่มขึ้นทุกๆ วัน จึงสันนิษฐานได้ว่าพลเมืองของประเทศไทยนี้อยู่ในวัยเรียนอยู่เป็นส่วนมาก ทุกๆ ปี การที่ส่วนรวมคือ ประชาชนทั้งประเทศเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาเป็นสิ่งที่ดีแล้ว จึงต้องช่วยกันจัดการให้เยาวชน ให้ประชาชนที่เกิดขึ้นมาใหม่นี้ได้มีโอกาสได้รับการศึกษาที่ดี เราจะไปอาศัยรัฐบาลหรืออาศัยทางราชการที่จะช่วยให้บ้านเมืองมีความเจริญด้าน เดียวไม่ได้เพราะว่าในสมัยนี้ถือว่าเป็นสมัยประชาธิปไตยทุกคนมีส่วนในงานของ ประเทศชาติ... ”
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Re: โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:38 pm

คุณธรรม ๔ ประการ
ประการแรก คือ การที่ทุกคนคิด พูด ทำ ด้วยความเมตตามุ่งดีมุ่งเจริญต่อกัน
ประการที่สอง คือ การที่แต่ละคนต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ประสานงาน ประสานประโยชน์กัน ให้งานที่ทำสำเร็จผล ทั้งแก่ตน แก่ผู้อื่น และกับประเทศชาติ
ประการที่สาม คือ การที่ทุกคนประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในความสุจริต ในกฎกติกาและในระเบียบแบบแผน โดยเท่าเทียมเสมอกัน
ประการที่สี่ คือ การที่ต่างคนต่างพยายามทำความคิดความเห็นของตนให้ถูกต้องเที่ยงตรง และมั่นคงอยู่ในเหตุในผล หากความคิดจิตใจ และการประพฤติปฏิบัติที่ลงรอยเดียวกันในทางที่ดี ที่เจริญนี้ ยังมีพร้อมมูลในกายในใจของคนไทย ก็มั่นใจได้ว่า ประเทศชาติไทยจะดำรงมั่นคงอยู่ตลอดไปได้

พระราชดำรัสตอบแก่ พระบรมวงศานุวงศ์และพสกนิกรที่เข้าเฝ้าฯ เนื่องในพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๐
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Re: โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:38 pm

ไม่ย่อท้อในสิ่งที่ดีงาม
"...การสร้างสรรค์ตนเอง การสร้างบ้านเมืองก็ตาม มิใช่ว่าสร้างในวันเดียว
ต้องใช้เวลา ต้องใช้ความเพียร ต้องใช้ความอดทนเสียสละ
แต่สำคัญที่สุดคือความอดทน คือไม่ย่อท้อ ไม่ย่อท้อในสิ่งที่ดีงาม
สิ่งที่ดีงามนั้นทำมันน่าเบื่อ บางทีเหมือนว่าไม่ได้ผล ไม่ดัง
คือมันครึทำดีนี่ แต่ขอรับรองว่าการทำให้ดีไม่ครึ ต้องมีความอดทน
เวลาข้างหน้าจะเห็นผลแน่นอน
ในความอดทนของตน ในความเพียรของตน
ต้องถือว่าวันนี้เราทำยังไม่ได้ผล อย่าไปท้อ
บอกว่าวันนี้เราทำแล้วก็ไม่ได้ผล พรุ่งนี้เราจะต้องทำอีก วันนี้เราทำ
พรุ่งนี้เราทำ พรุ่งนี้เราก็ทำ อาทิตย์หน้าเราก็ทำ เดือนหน้าเราก็ทำ
ผลอาจปีหน้า หรืออีกสองปีหรือสามปีข้างหน้า..."

พระบรมราโชวาทพระราชทานแก่นักเรียน นักศึกษา
ครูและอาจารย์ในโอกาสเข้าเฝ้าฯ วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ.2516
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Re: โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:39 pm

ธรรมะจากในหลวง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชศรัทธาปสาทะอันแน่วแน่มั่นคง
ในบวรพุทธศาสนา โดยได้เสด็จออกทรงพระผนวช ระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน พ.ศ.2499 ในระหว่างนั้นได้ทรง ศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ดังที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ได้ทรงเล่าถึงพระราชจริยวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะทรงพระผนวชว่า

“...พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะได้ทรงพระผนวชตามราชประเพณีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นหามิได้ แต่ทรงพระผนวชด้วยพระราชศรัทธาที่ตั้งมั่นในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
มิได้เป็นบุคคลจำพวกที่เรียกว่า “หัวใหม่” ไม่เห็นศาสนาเป็นสำคัญ
แต่ได้ทรงเห็นคุณค่าของพระศาสนา ฉะนั้น ถ้าเป็นบุคคลธรรมดาสามัญก็กล่าวได้ว่า...
“บวชด้วยศรัทธา” เพราะทรงผนวชด้วยพระราชศรัทธา ประกอบด้วยพระปัญญา
และได้ทรงปฏิบัติพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด...”

และสมเด็จพระสังฆราช ยังได้ทรงกล่าวถึงพระราชจริยวัตร
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในทางพุทธศาสนา ว่า...

“...ในด้านหน้าที่ราชการนั้น ก็ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจทางพระพุทธศาสนา
ตามราชประเพณีโดยมิได้ขาดตกบกพร่อง เช่น...
พระราชกรณียกิจเนื่องในเทศกาลสำคัญทางพระพุทธศาสนา
พระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์ในการบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ
และในหัวเมือง พระราชทานแต่งตั้งสมณศักดิ์แด่พระสงฆ์ในการเอื้ออำนวย
แก่การปกครองคณะสงฆ์และเชิดชูผู้ทรงศีลทรงธรรมให้เป็นที่ปรากฏ
ตลอดถึงพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์ การสั่งสอนและการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ในด้านที่เป็นการส่วนพระองค์นั้น ก็ทรงปฏิบัติพระองค์ยึดมั่นอยู่ในคุณธรรม
ของพระพุทธศาสนา มีราชธรรม เป็นต้นดังกล่าวแล้ว ทรงศึกษาพระพุทธศาสนา
และทรงนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นการส่วนพระองค์ในโอกาสต่างๆ
และบำรุงพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นจำนวนมากมิได้ขาด...”
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Re: โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:40 pm

พระบาทสมเด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงใฝ่รู้ในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างจริงจัง และได้นำมาประยุกต์ใช้กับโครงการต่างๆ ในพระราชดำริ รวมถึงได้ทรงคิดค้นประดิษฐ์นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์
ตัวอย่างผลงานการประดิษฐ์และพระอัจฉริยภาพด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมของพระองค์ อาทิ
- การประดิษฐ์เครื่องสีข้าวปิ่นแก้ว
- การประดิษฐ์เครื่องจักรผลิตกระแสไฟฟ้าขนาดเล็ก
- การออกแบบและต่อเรือใบ และได้พระราชทานคำแนะนำในการต่อเรือขนาดใหญ่แก่กองทัพเรือ
- การประดิษฐ์กังหันน้ำชัยพัฒนา (ได้รับรางวัลที่ ๑ ประเภทผลงานคิดค้นหรือสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ จากสภาวิจัยแห่งชาติ เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๓๖ และปัจจุบันได้รับการจดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว)
- ทรงติดตั้งเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อสนับสนุนโครงการต่างๆ ของพระองค์เอง
- การคิดค้นสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อประมวลผลข้อมูลต่างๆ
- การเขียนโน้ตเพลงด้วยคอมพิวเตอร์
- ทรงทำวิธีการบันทึกเสียงแบบใหม่ ที่สามารถบันทึกเสียงดนตรีได้เป็นช่อง เพื่อประโยชน์ในการวิจารณ์ และปรับปรุงวิธีการเล่นดนตรี
- ทรงสนับสนุนให้มีการค้นคว้าบันไดเสียงของดนตรีไทยโดยใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Re: โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:41 pm

กระแสพระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2494

“…ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้ปรากฏตลอดมาว่าชาติใดเสื่อมสูญย่อยยับอับปางไป ก็เพราะประชาชาติขาดสามัคคีธรรม แตกแยกเป็นหมู่คณะ เป็นพรรคเป็นพวก คอยเอารัดเอาเปรียบ ประหัสประหารซึ่งกันและกัน บางพรรคบางพวก ถึงกับเป็นไส้ศึกให้ศัตรูมาจู่โจมทำลายชาติของตนดังนี้ ข้าพเจ้าจึงขอชักชวนพี่น้องชาวไทยทั้งหลาย ให้ระลึกถึงพระคุณของบรรพบุรุษ ซึ่งได้กอบกู้รักษาบ้านเกิดเมืองนอนของเรามานั้นให้จงหนัก แล้วถือเอาความสามัคคี ความยินยอมเสียสละส่วนตัวเพื่อประโยชน์ยิ่งใหญ่ของประเทศชาติเป็นคุณธรรมประจำใจอยู่เนืองนิจ จึงขอให้พี่น้องชาวไทยทั้งหลาย จงบำเพ็ญกรณีกิจของตนแต่ละคน ด้วยซื่อสัตย์สุจริต ขยันหมั่นเพียร อดทนและกล้าหาญ แล้วอุทิศความเสียสละส่วนตัว ความเหน็ดเหนื่อยลำบากยากแค้น เป็นพลีบูชาบรรพบุรุษ ผู้ซึ่งได้ก่อสร้างชาติเป็นมรดกตกทอดมาถึงพวกเราชาวไทยจนบัดนี้”
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Re: โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:45 pm

ในหลวงกับสิ่งแวดล้อม

“...ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาที่มีความสำคัญควบคู่กับการพัฒนาความเจริญก้าวหน้าซึ่งเป็นปัญหาร่วมกันของทุกประเทศ กล่าวคือการพัฒนา ยิ่งรุดหน้าปัญหาคุณภาพสิ่งแวดล้อม และภาวะมลพิษก็ยิ่งก่อตัว และทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ประเทศไทยก็เป็นประเทศหนึ่ง ที่กำลังประสบกับปัญหาดังกล่าวอยู่ในขณะนี้...” พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2545
นับตั้งแต่ในหลวงของเราขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2493 ท่านทรงมีพระราชกรณียกิจหลายด้านที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นด้านการอนุรักษ์น้ำ ดิน หรือป่าไม้ โดยพระราชกรณียกิจเหล่านี้เกิดขึ้นจากพระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถในการคิดค้น ดัดแปลง ปรับปรุง และ แก้ไขทฤษฎี และวิธีการต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่ของพสกนิกรและระบบนิเวศอันจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (sustainable Development) ของประเทศไทยของเรา ดังนั้น เราจึงขนานนามในหลวงของเราว่า “พระบิดาแห่งการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม”
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Re: โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:45 pm

การทำความดี

การทำดีนั้นทำยากและเห็นผลช้า แต่ก็จำเป็นต้องทำ
เพราะหาไม่ความชั่วซึ่งทำได้ง่าย จะเข้ามาแทนที่
และจะพอกพูนขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันรู้สึกตัว
แต่ละคนจึงต้องตั้งใจและเพียรพยายามให้สุดกำลัง
ในการสร้างเสริมและสะสมความดี

พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Re: โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:47 pm

แนะ 80 วิธีทำความดีง่ายๆ ถวายในหลวง
เนื่องในโอกาสปี 2554 เป็นปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงขอนำเสนอ 80 วิธีทำดีต่อตนเอง ต่อสังคมรอบข้าง ตลอดจนประเทศชาติ มาให้ทุกคนได้ลองเลือกไปปฏิบัติตามความถนัดและความชอบ เพื่อนำมาซึ่งความสุขและความสมานฉันท์ของชาติและเพื่อถวายแด่ "ในหลวง" ที่รักยิ่งของเรา ดังต่อไปนี้
- ทำดีต่อตนเอง เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เราได้รู้สึกดีๆ และพร้อมที่จะแบ่งปันความสุขไปให้ผู้อื่น ได้แก่ 1. ตื่นขึ้นมาอย่างกระตือรือร้นทุกเช้า พร้อมยิ้มแย้มแจ่มใสรับวันใหม่ 2. ไหว้พระก่อนออกจากบ้านเพื่อเตือนสติและเพื่อสิริมงคลแก่ตน 3. สวัสดีคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ใหญ่ก่อนและหลังกลับจากโรงเรียนหรือที่ทำงานทุกครั้ง 4. ตั้งใจไม่โมโห หรือไม่โกรธใคร อย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 วัน 5. ไม่พาตัวไปยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทั้งปวง 6. อ่านหนังสือดีๆอย่างน้อยเดือนละครั้งเพื่อเสริมสร้างสติปัญญา และนำมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต 7. พูดคำว่า "ขอบคุณ" หรือ "ขอบใจ" ทุกครั้ง เมื่อผู้อื่นทำอะไรให้ เช่น ช่วยถือของ ให้บริการ 8. อย่าลืม "ขอโทษ" เมื่อทำผิดต่อผู้อื่นทั้งโดยตั้งใจ และไม่ตั้งใจ หรือเมื่อทำสิ่งใดผิดพลาด 9. มีหลักการ ยึดมั่นในคุณความดี และมีความเพียรพยายาม 10. ซื่อสัตย์ต่อตนเอง ด้วยการตั้งใจทำสิ่งใด ก็เพียรทำให้สำเร็จ ไม่เบี้ยวแม้แต่กับตนเอง
- ทำดีต่อครอบครัว ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเราที่สุด และมีผลต่อความสุขของสมาชิกทุกคน ได้แก่ 11. ลดการบ่นว่า ดุด่าคนในครอบครัวให้น้อยลง ไม่ว่าจะเป็นลูก สามี/ภริยา พี่น้อง เพื่อลดความเครียดในบ้านและทำให้ทุกคนรู้สึกบ้านน่าอยู่ไม่ร้อนหูร้อนใจ 12. พาสมาชิกในครอบครัวไปกินอาหารนอกบ้านหรือไปเที่ยวบ้างเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ 13. ช่วยกันลดรายจ่ายด้วยการไม่ซื้อของฟุ่มเฟือยหรือไม่จำเป็น เพื่อมิให้เป็นหนี้สินหรือเงินไม่พอใช้ 14. ไม่คิดจะมีกิ๊ก หรือเป็นชู้กับสามี/ภริยาผู้อื่น อันเป็นสาเหตุให้ครอบครัวเราและผู้อื่นเกิดความแตกแยก 15. พูดจาไพเราะ สุภาพกับสมาชิกในบ้าน ไม่ตะคอกด่าทอหรือจิกเรียกด้วยถ้อยคำหยาบคาย 16. มีสัมมาคารวะ และแสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่ในบ้านทั้งพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย หรือพี่ป้าน้าอา เพื่อเป็นแบบอย่างแก่ลูกหลาน 17. มีน้ำใจกับคนในบ้าน เช่น ช่วยพ่อแม่ล้างถ้วยชาม ช่วยภริยากวาดถูบ้าน ช่วยพาพ่อ/แม่ของสามีหรือภริยาไปหาหมอ ซื้อของใช้ให้สามี/ภริยา 18. ไม่เอาแต่ความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่ แต่รับฟังความคิดเห็นของสมาชิกในบ้าน เช่น ฟังสามี/ภริยา ฟังลูกว่าต้องการอะไรบ้างเพื่อให้เกิดความรัก ความเข้าใจซึ่งกันและกัน 19. พูดจาชมเชยและให้กำลังใจแก่สมาชิกในบ้าน เช่น ชมว่าแต่งตัวดี ทำกับข้าวอร่อย วาดภาพสวย เป็นต้น 20. พาครอบครัวไปทำบุญสร้างกุศลร่วมกันในโอกาสวันสำคัญต่างๆ เช่น วันเกิด วันวิสาขบูชา ฯลฯ เพื่อให้สมาชิกได้ใกล้ชิดกับพระศาสนา และได้เห็นแบบอย่างการทำดีอย่างเป็นรูปธรรม
- ทำดีต่อเพื่อนบ้าน ซึ่งอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกัน หากปลูกไมตรีต่อกันได้ ย่อมจะทำให้เราอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ดังนั้น จึงควรทำดีต่อกัน ดังนี้ 21. ยิ้มและทักทายเมื่อพบกัน 22. ช่วยดูแล สอดส่องบ้านให้เมื่อเพื่อนบ้านไม่อยู่ หรือไปต่างจังหวัด หรือช่วยแจ้งเหตุหากมีสิ่งใดผิดปกติ 23. ซื้อของขวัญหรือของฝากไปให้บ้างตามโอกาส เช่น วันปีใหม่ วันตรุษจีน หรือเมื่อกลับจากต่างถิ่น เพื่อเป็นการผูกมิตรหรือขอบคุณเขาที่ช่วยดูบ้านให้ 24. ไม่เลี้ยงสัตว์หรือปลูกต้นไม้ที่จะสร้างความเดือดร้อนรำคาญใจมาสู่เพื่อนบ้าน หรือเป็นมูลเหตุให้เกิดการทะเลาะกัน เช่น สัตว์ส่งเสียงดังรบกวน หรือใบไม้ร่วงไปรกบ้านเขา 25. ไม่จอดรถขวางทางเข้าบ้านของเขา หรือในที่ที่เขาจอดประจำ 26. ไม่พาสัตว์เลี้ยงเช่น หมา แมว ไปอึหรือฉี่หน้าบ้าน ต้นไม้ของเขา 27. ไม่เปิดวิทยุ โทรทัศน์ หรือคาราโอเกะเสียงดังจนรบกวนเขา โดยเฉพาะในวันหยุด 28. ไม่ซ้อมดนตรี /จัดงานหรือส่งเสียงเอะอะ โวยวายรบกวนเพื่อนบ้าน ควรจะจัดเวลาซ้อมที่ไม่เช้าหรือดึกเกินไป หรือไม่ก็ควรจะไปซ้อมที่อื่น และไม่ควรพาเพื่อนมาตั้งวงกินเหล้าส่งเสียงดัง หนวกหูชาวบ้านเขาทุกอาทิตย์ 29. ไม่กวาดขยะไปกองหรือทำสกปรกหน้าบ้านผู้อื่น ควรกวาดและเก็บใส่ถุงหรือถังขยะให้เรียบร้อย 30. ร่วมกิจกรรมสังสรรค์ที่จัดขึ้นในหมู่บ้านหรือชุมชนของเราเองบ้างตามโอกาสอันควร
- ดีต่อเพื่อนร่วมงาน ซึ่งจะทำให้การทำงานของเราราบรื่น เกิดความสามัคคี และมีผลต่อความเจริญก้าวหน้าของเราด้วย ได้แก่ 31. ยิ้มแย้มแจ่มใส รู้จักโอภาปราศรัยต่อเพื่อนร่วมงาน ไม่ทำเมิน หรือทำหน้าเฉยเมยไร้ชีวิตเมื่อเจอกัน 32. ช่วยแนะหรือสอนงานที่เรามีความชำนาญให้ 33. แสดงความยินดีหรือชมเชยเมื่อเขาประสบความสำเร็จหรือได้รับรางวัล 34. ซื้อของขวัญ ให้เงิน หรือการ์ดอวยพรในโอกาสต่างๆ เช่น วันเกิด วันแต่งงาน คลอดลูก 35. แสดงความเสียใจหรือปลอบใจเมื่อเขาประสบเหตุหรือโชคร้าย เช่น พ่อแม่ตาย ถูกขโมยขึ้นบ้าน 36. ช่วยเหลือ ตักเตือนหรือชี้แนะเมื่อเขาทำผิดพลาดด้วยความจริงใจ ไม่ซ้ำเติม 37. ไม่ขโมยผลงานของเขามาเสนอเป็นผลงานของเรา 38.ไม่ใส่ร้ายป้ายสี หรือยุยงให้เพื่อนร่วมงานแตกคอ หรือทะเลาะวิวาทกัน 39. แนะนำหนังสือ ร้านอาหาร วัด หรือสถานที่ดีๆแก่เพื่อนให้เขาได้ไปใช้บริการบ้าง 40. รู้จักอยู่ช่วยงานหรือร่วมกิจกรรมที่เพื่อนในหน่วยงานจัดขึ้น แม้จะมิใช่งานของเรา เพื่อจะได้รู้จักสนิทสนม และทำงานเข้าขากันได้มากขึ้น
- ดีต่อหน่วยงานหรือที่ทำงานของตน ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่ประกอบอาชีพ ทำให้เรามีกินมีใช้ เราจึงควรต้องกตัญญูรู้คุณ ด้วยการ 41. ซื่อสัตย์ต่อหน่วยงาน ไม่โกงเวลา โกงทรัพย์สินของหน่วยงาน 42. ไม่นินทาว่าร้าย หรือดูถูกหน่วยงานของเราเอง หากเราคิดว่าไม่ดี ก็ควรออกไปหางานอื่นทำ 43. ตั้งใจทำงานด้วยความขยันขันแข็ง ไม่เอาเปรียบผู้อื่น 44. เมื่อเห็นสิ่งใดไม่ดีในหน่วยงาน ต้องร่วมแรงร่วมใจกันแก้ไข ไม่ใช่ซ้ำเติมหรือเมินเฉย 45. ให้บริการหรือพูดจากับผู้มาติดต่อกับหน่วยงานให้สุภาพ ไพเราะเพื่อให้เกิดความประทับใจที่ดี 46. ใช้ทรัพยากรต่างๆของหน่วยงานอย่างประหยัด คุ้มค่าให้เหมือนสมบัติของเราเอง 47. ไม่ละเมิดกฎเกณฑ์ ทำลายระเบียบที่ดีจนหน่วยงานเละเทะ ยุ่งเหยิงเพราะต่างทำตามใจตนเองจนควบคุมไม่ได้ 48. รู้จักเสียสละเพื่อหน่วยงานบ้างบางโอกาส เช่น ทำงานโดยไม่เอาโอ.ทีหรือร่วมลงขันจัดกิจกรรมให้หน่วยงาน 49. ช่วยกันสร้างภาพลักษณ์และชื่อเสียงที่ดีให้หน่วยงาน เช่น แข่งกีฬาชนะเลิศ จัดทำโครงการดีๆเพื่อสังคม 50. ต้องมีความภาคภูมิใจในหน่วยงานของตน
- ดีต่อสังคม ซึ่งมีเราเป็นหน่วยหนึ่ง ก็จะทำให้สภาพแวดล้อมรอบๆตัวเราน่าอยู่ยิ่งขึ้น เพราะจะเต็มไปด้วยความเอื้ออาทร และความมีไมตรีจิตต่อกัน ด้วยการ 51. ส่งของกิน ของใช้ หรือเงินไปบริจาคมูลนิธิต่างๆเมื่อถึงวันเกิด หรือวันสำคัญอื่นๆของตน 52. ทำหนังสือชมเชยไปยังบุคคล หรือหน่วยงานที่ให้บริการที่ดีเพื่อเป็นกำลังใจ และเป็นแบบอย่างแก่ผู้อื่น เช่นเขียนไปชมกระเป๋ารถเมล์ที่พูดจาดี ช่วยพยุงคนแก่ขึ้นรถ 53. ช่วยกันรักษาความสะอาดและถนอมใช้สมบัติสาธารณะให้มีอายุยืนนาน เช่น ไม่ขีดเขียนในห้องน้ำสาธารณะ ไม่ทิ้งขยะ/ถ่มน้ำลายบนถนนหนทางหรือในแม่น้ำลำคลอง 54. ช่วยกดลิฟท์ให้กับผู้ร่วมทาง หรือช่วยถือของหนักให้กับคนบนรถเมล์ 55. ไม่แซงคิวใดๆที่เขากำลังเข้าแถวรอรับบริการ เช่น ซื้อตั๋วหนัง หรือเข้าส้วม 56. นำหนังสือดีๆ หรือหนังสือธรรมะ ไปบริจาคตามโรงพยาบาลรัฐ เช่น ห้องรอรับการรักษา ห้องพักผู้ป่วย ห้องพยาบาล เป็นต้น เพื่อเป็นการแนะวิธีปฏิบัติตน และช่วยปลุกปลอบใจ 57. ขับรถตามกฎจราจร มีน้ำใจให้กับรถคันอื่น ไม่แซงซ้ายป่ายขวา และจอดรถให้คนข้ามถนนบ้าง 58. อ่านหนังสือธรรมะ หรือหนังสือดีๆใส่เทป ซีดี ส่งไปให้คนตาบอดฟัง 59. รับเป็นพ่อแม่อุปถัมภ์ให้เด็กที่ด้อยโอกาสได้เรียนหนังสือ 60. ให้ความช่วยเหลือ/แนะนำแก่ผู้อื่นในสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคยหรือไม่เคยทำ เช่น แนะวิธีคาดเข็มขัดบนเครื่องบิน แนะวิธีใช้อุปกรณ์ออกกำลังกายในฟิตเนส
- ดีต่อศาสนา อันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และทำให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข เราจึงควรสืบทอดศาสนาให้ยั่งยืนต่อไปยังลูกหลานของเราด้วยการ 61. ศึกษาหลักธรรมในศาสนาของเราให้รู้จริง 62. ปฏิบัติตามธรรมะที่ศาสดาสอนไว้ 63. ช่วยเหลือแนะนำผู้อื่นให้ปฏิบัติให้ถูกต้อง 64. ไม่ดูหมิ่นเหยียดหยามศาสนาอื่น อันเป็นเหตุให้เกิดความแตกแยก 65. ทำบุญตามหลักศาสนาของตนอย่างน้อยเดือนละครั้ง 66. สั่งสอนและปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีกับอนุชนรุ่นหลัง 67. ไม่ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือทำลายผู้อื่น 68. ไม่ใช้ศาสนาไปหลอกลวงให้ผู้อื่นหลงเชื่อในทางที่ผิด 69. หากเป็นพระ นักบวชต้องทำตนเป็นแบบอย่างและแนะแนวทางดำเนินชีวิตที่ถูกที่ควรแก่ศาสนิกชน 70. เชื่อมั่น และตั้งใจที่จะช่วยสืบทอดศาสนาทุกวิถีทางที่ดีและถูกต้อง
- ดีต่อชาติบ้านเมือง ซึ่งเป็นแผ่นดินถิ่นเกิดหรือให้เราได้อยู่อาศัย เราจึงควรตอบแทนด้วยการ 71. ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเต็มความสามารถไม่ว่าจะอยู่ในฐานะหรือตำแหน่งใด 72. ไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่หาผลประโยชน์ใส่ตัวหรือพวกพ้อง และไม่คิดคอรัปชั่นหรือคดโกงด้วยวิธีการใดๆ 73. ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต มีจรรยาบรรณต่อวิชาชีพของตน 74. ช่วยปกป้องหรือรักษาผลประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองเมื่อมีโอกาส 75. ไม่เมินเฉยหรือละเลยให้ผู้อื่นมาฉกฉวยผลประโยชน์จากชาติบ้านเมืองของเรา 76. ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี 77. สอนลูกหลานให้รักและภาคภูมิใจในชาติของเรา 78. ตั้งใจศึกษาหาความรู้ และนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาชาติบ้านเมืองอย่างเต็มที่ 79. มีความรักความสามัคคีต่อกันในทุกระดับ 80. ช่วยกันรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุขของประเทศ
ทั้งหมดคือตัวอย่างการ "ทำความดี" อันหลากหลายที่ทุกคนสามารถนำไปปฏิบัติได้ แม้บางข้อดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่อย่าลืมว่าหากเราทุกคนตั้งใจทำ ความดีเล็กๆเหล่านี้ก็สามารถรวมเป็น "พลังอันยิ่งใหญ่" ที่ทำให้ทุกคนเป็นสุข เพราะไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน และมีผลทำให้ชาติบ้านเมืองร่มเย็นได้ และน่าจะเป็นสิ่งที่ "ในหลวง" ของเรา คงทรงยินดีที่ราษฎรของพระองค์สร้างความดีแก่ตัวและผู้อื่นมากกว่าการสร้างถาวรวัตถุใดๆถวายพระองค์ท่านอย่างแน่นอน
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Re: โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:48 pm

ในหลวงกับคอมพิวเตอร์
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่สนพระทัยใฝ่รู้และทรงศึกษาอย่างจริงจัง ลึกซึ้งในการค้นคว้าวิจัยเพื่อการพัฒนาในทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ การเกษตร การชลประทาน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีต่างๆ โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศนั้น ทรงเห็นความสำคัญและประโยชน์อย่างยิ่ง ทรงสนับสนุนการค้นคว้าในทางวิทยาการคอมพิวเตอร์ ในด้านส่วนพระองค์นั้น ทรงศึกษาคิดค้นสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อการประมวลผลข้อมูลต่างๆ ด้วยพระองค์เอง ทรงประดิษฐ์รูปแบบตัวอักษรไทยที่มีลักษณะงดงาม เพื่อแสดงผลบนจอภาพคอมพิวเตอร์และเครื่องพิมพ์ ทรงใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อบันทึกพระราชกรณียกิจต่างๆ และทรงติดตั้งเครือข่ายสื่อสารคอมพิวเตอร์เพื่อสนับสนุนพระราชภารกิจต่างๆ ทั้งยังทรงเคยประดิษฐ์ ส.ค.ส. ด้วยคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนเพื่อทรงอวยพรปวงชนชาวไทย
ความเป็นมาที่พระองค์ท่านทรงเริ่มใช้คอมพิวเตอร์นั้น ม.ล.อัศนี ปราโมช ได้ตกลงใจซื้อคอมพิวเตอร์แมคอินทอชพลัส อันเป็นเครื่องที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้นขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย คุณสมบัติอย่างหนึ่งที่ ม.ล.อัศนี เลือกเครื่องนี้ เพราะสามารถเก็บและพิมพ์โน้ตเพลงได้ การเรียนรู้และใช้งานไม่ยาก ทั้งยังอาจเชื่อมต่ออุปกรณ์พิเศษสำหรับเล่นดนตรีตามโน้ตเพลงที่เก็บไว้ได้ด้วย ตั้งแต่นั้น พระองค์ทรงใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในงานส่วนพระองค์ทางด้านดนตรี โดยทรงใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการป้อนโน้ตเพลงและเนื้อร้อง พระองค์ท่านทรงศึกษาวิธีการใช้เครื่องและโปรแกรมที่เกี่ยวข้องด้วยพระองค์เอง
สำหรับเรื่องอักขระคอมพิวเตอร์หรือฟอนต์ (Font) นั้นเป็นที่สนพระราชหฤทัย ก็เพราะหลังจากที่พระองค์ท่านได้ทรงศึกษา และใช้คอมพิวเตอร์ทำโน้ต คือเมื่อประมาณเดือนธันวาคม พ.ศ. 2529 และทรงทดลองใช้โปรแกรม "Fontastic" เมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2530 สิ่งที่ทรงสนพระทัยเป็นพิเศษคือการประดิษฐ์ตัวอักษรไทย ได้ทรงประดิษฐ์อักษรไทยหลายแบบ เช่น แบบจิตรลดา แบบภูพิงค์ ฯลฯ ทรงสนพระทัยประดิษฐ์อักษรขนาดใหญ่ที่สุดจนถึงขนาดเล็กที่สุด นอกจากนี้ยังตั้งพระทัยในการประดิษฐ์อักษรภาษาอื่นๆ เพิ่มขึ้น คือภาษาสันสกฤต และทรงดำริจะประดิษฐ์อักษรภาษาญี่ปุ่น แต่ขณะนี้ยังไม่ได้เริ่มประดิษฐ์ รับสั่งว่าต้องใช้เวลามาก ต่อมาก็ได้ทรงหันมาศึกษาการใช้คอมพิวเตอร์แสดงตัวเทวนาครีบนจอภาพ หรือที่พระองค์ท่าน ทรงเรียกว่า "ภาษาแขก" ซึ่งจัดทำได้ยากกว่าตัวอักษรภาษาไทย เพราะตัวอักษรเทวนาครีนั้นรูปแบบไม่คงที่ กล่าวคือ ถ้านำส่วนหนึ่งของอักษรนำมาต่อรวมกับอีกส่วนหนึ่งของอักษร จะเกิดอักษรใหม่ขึ้น และโปรแกรมที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นนั้นมีตัว phonetic symbols การสร้างตัวอักษรเทวนาครีนั้น ทรงเริ่มเมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2530 ทรงศึกษาตัวอักษรเทวนาครีด้วยพระองค์เอง จากพจนานุกรมและตำราภาษาสันสกฤต และทรงสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาบาลีสันสกฤต เช่น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และท่านองคมนตรี ม.ล. จิรายุ นพวงศ์ ซึ่งจะต้องตรวจสอบตัวอักษรที่ทรงสร้างขึ้น พระองค์นำโปรแกรมออกแสดงเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2530 มีคำถามว่า เหตุใดพระองค์ท่านจึงทรงสนพระราชหฤทัยในตัวอักษรเทวนาครีหรือภาษาแขก เรื่องนี้มีผู้อธิบายไว้ว่า ในหลวงที่รักของพวกเรานั้น ทรงศึกษาข้อธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างจริงจังและลึกซึ้ง การที่ทรงศึกษาตัวอักษรแขก ก็เพื่อเป็นการนำไปสู่ความเข้าใจด้านอักษรศาสตร์ และความเข้าใจในหัวข้อธรรมะนั่นเอง เรื่องนี้นับว่าพระองค์มีวิจารณญาณที่ลึกซึ้งยิ่งนัก เพราะคำสอนและข้อธรรมะในพุทธศาสนานั้น เดิมทีก็เกิดและเผยแพร่มาจากประเทศอินเดีย บรรดาธรรมะที่ลึกซึ้งและยากแก่ความเข้าใจ ก็อาจจะถูกตีความผันแปรบิดเบือนไปได้ ดังนั้นการศึกษาค้นคว้าลึกลงไปถึงภาษาแขก จึงน่าจะได้ความรู้เกี่ยวกับธรรมะชัดเจนกระจ่างมากขึ้น
ต่อมาได้มีผู้ทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องคอมพิวเตอร์ IBM PC Compatible และทรงสนพระทัยศึกษาในการพัฒนา Software ต่างๆ และได้สร้างโปรแกรมใหม่ๆ ขึ้นมา รวมทั้งสนพระทัยในเทคนิคการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์แบบนี้มากทีเดียว บางครั้งทรงเปิดเครื่องออกดูระบบต่างๆ ภายในด้วยพระองค์เอง หรือทรงปรับปรุง Software ใหม่ขึ้นใช้ ทรงแก้ซอฟต์แวร์ในเครื่อง เช่น โปรแกรมภาษาไทย CU WRITER ให้เป็นไปตามพระราชประสงค์
จะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการพิมพ์ งานทรงพระอักษรส่วนพระองค์ และทรงเก็บงานเหล่านี้เป็นเรื่องๆ มาปะติดปะต่อกัน จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ และบทพระราชนิพนธ์ต่างๆ เช่น เรื่องนายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ เป็นต้น ผลงานอีกชิ้นหนึ่งที่พระองค์ทรงประดิษฐ์ก็คือ การใช้คอมพิวเตอร์ "ปรุง" อวยพรปีใหม่ เพื่อพระราชทานแก่ข้าราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง แต่เดิมพระองค์ได้พระราชทานผ่านเครื่องเทเล็กซ์ นอกจากนี้พระองค์ทรงสนพระทัยคอมพิวเตอร์เป็นอย่างมาก สังเกตได้จากขณะเสด็จพระราชดำเนินชมงานนิทรรศการต่างๆ เช่น สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พระองค์สนพระทัยซักถามอาจารย์และนักศึกษาที่ประดิษฐ์ซอฟต์แวร์ต่างๆ อย่างละเอียดและเป็นเวลานาน
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Re: โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:48 pm

เรียนรู้ตามรอยเท้า..พ่อหลวง

ข้อมูลจาก : นิตยสาร Kids and School ฉบับที่ 78 เดือนธันวาคม พ.ศ.2549
โดย กองบรรณาธิการนิตยสาร kids and school
หากเด็กไทยของเราจะเติบโตเป็นคนเก่ง คนดี สร้างสรรค์สังคม และมุ่งพัฒนาประเทศอันเป็นที่รักแล้ว พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย ทรงเป็นแบบอย่างของการใฝ่เรียนรู้ที่ชัดเจนที่สุด
"ในหลวงของเรา...ทรงเริ่มศึกษางานศิลปะ ตั้งแต่ครั้งยังประทับที่สวิตเซอร์แลนด์ และทรงสนพระราชหฤทัยในการวาดภาพเหมือนจากพระสาทิสลักษณ์ของผู้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท"
จิตรกรน้อย..วัยเตาะแตะKids can do
พัฒนาการของเจ้าตัวเล็กโดยเฉพาะ อ.1 โดดเด่นด้วยการใช้ประสาทสัมผัส สนุกกับการสัมผัสด้วยนิ้วมือ แขน ตื่นตาตื่นใจกับแสงสี เส้นสาย ศิลปะจึงเป็นเรื่องสนุกในการถ่ายทอดความคิด จินตนาการ สำหรับหนูๆ ที่กล้ามเนื้อมือยังไม่แข็งแรงพอจะเขียนเป็นตัวอักษร

เปิดโลกกว้าง : ศิลปะ
จะปั้น ละเลง หรือพิมพ์ด้วยปลายนิ้ว ศิลปะเป็นคุณครูที่เปลี่ยนแปลงหน้าตาให้เราตื่นเต้นได้ตลอดเวลา ลองให้เขาใช้ประสาทสัมผัสอย่างรอบด้าน เติมด้วยลูกเล่น เช่น ไม้นวดดิน หรือพู่กันอันใหญ่ๆ ให้เขาฝึกใช้มือควบคุมทิศทาง เลือกใช้วัสดุที่หลากหลาย เพิ่มความสนุกในการเรียนรู้
"ในหลวงของเรา...ทรงโปรดการช่าง สมัยทรงพระเยาว์ทรงนำสิ่งของเหลือใช้ภายในที่ประทับ เช่น ไม้แขวนเสื้อมาสร้างรถไฟฟ้าเล่น ทรงประดิษฐ์มอเตอร์ไฟฟ้าเอง โดยเอาลวดทองแดงมาพันเข้าเป็นแกนกลางของเครื่องมอเตอร์"

เปิดโลกกว้าง : ประดิษฐ์คิดค้น
ลองให้เจ้าหนูนำสิ่งรอบตัวมาดัดแปลง ตกแต่งตามความคิดสร้างสรรค์ ไม้แขวนเสื้อ ขวดน้ำ กับกระดาษว่าว อาจประกอบกันเป็นเครื่องบิน โดยสอดแทรกเรื่องการนำสิ่งของเหลือใช้มาใช้ใหม่ เพื่อให้เขาเข้าใจคุณค่าของสิ่งของ และกระตุ้นพลังแห่งจินตนาการค่ะ
"ในหลวงของเรา...เมื่อทรงพระเยาว์ ทรงนำพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ที่ทรงสะสมไว้ไปซื้อคลาริเน็ตมาทรงฝึกเป่า ทรงโปรดเครื่องเป่าเป็นพิเศษ เช่น แซกโซโฟน ทรัมเป็ต และทรงพระราชนิพนธ์เพลงมากมาย เช่น แสงเทียน ใกล้รุ่ง"

เปิดโลกกว้าง : ดนตรี
เริ่มผ่อนคลายด้วยการฟังเพลงเพลินๆ การเคาะจังหวะตามทำนองด้วยอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ตะเกียบกับขวดใส่น้ำ แล้วเพิ่มความยากเป็นลำดับ ด้วยการทำความรู้จักกับกลไกของเครื่องดนตรีที่ต่างกัน เช่น ขลุ่ยใช้การเป่าลม กลองใช้การตี ไวโอลินใช้การสี
"ในหลวงของเรา...ทรงฝึกถ่ายภาพตั้งแต่พระชนมายุ 6 พรรษา สมัยนั้นกล้องยังไม่ทันสมัย ไม่มีเครื่องวัดแสงในตัว แต่ด้วยพระอัจฉริยภาพ ทรงสร้างผลงานภาพถ่ายได้อย่างเชี่ยวชาญ จนปัจจุบันนี้พระองค์ทรงโปรดที่จะนำกล้องคู่พระหัตถ์ไปถ่ายภาพตามสถานที่ที่เสด็จพระราชดำเนินไปเสมอ"
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Re: โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:48 pm

ดอกไม้จากหัวใจ
ที่นครพนม บนเส้นทางรับเสด็จตรงสามแยกชยางกูร-เรณูนคร บายวันที่ 13 พ.ย. 2498 อาณัติ บุนนาค หัวหน้าส่วนช่างภาพประจำพระองค์ ได้บันทึกภาพในวินาทีสำคัญที่กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ภาพหนึ่งของประเทศ ภาพที่พูดได้มากกว่าคำพูดหนึ่งล้านคำ
วันนั้น หลังจากทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารเสร็จสิ้นในช่วงเช้าแล้ว ทั้ง 2 พระองค์ได้เสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่นั่งกลับไปประทับแรม ณ จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ราษฎรที่รู้ข่าวก็พากันอุ้มลูก จูงหลานหอบกันมารับเสด็จที่ริมถนนอย่างเนืองแน่น ดังเช่นครอบครัว จันท์นิตย์ ที่ลูกหลายช่วยกันนำ แม่ตุ้ม จันทนิตย์ วัย 102 ปี ไปรอรับเสด็จ ณ จุดรับเสด็จห่างจากบ้าน 700 เมตร โดยลูกหลานได้จัดหาดอกบัวสายสีชมพูให้แม่เฒ่าจำนวน 3 ดอก และพาออกไปรอที่แถวหน้าสุดเพื่อให้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทที่สุด
เปลวแดดร้อนแรงตั้งแต่เช้าจนสาย เที่ยงจนบ่าย แผดเผาจนดอกบัวสายในมือเหี่ยวโรย แต่หัวใจรักภักดีของหญิงชรายังเบิกบาน เมื่อเสด็จฯ มาถึงตรงหน้า แม่เฒ่าได้ยกดอกบัวสายโรยราสามดอกนั้นขึ้นจบเหนือศีรษะแสดงความจงรักภักดี อย่างสุดซึ้ง พระเจ้าแผ่นดินทรงโน้มพระองค์อย่างต่ำที่สุด จนพระพักตร์แนบชิดกับศีรษะของแม่เฒ่า ทรงแย้มพระสรวลอย่างเอ็นดู พระหัตถ์แตะมือกร้านคล้ำของเกษตรกรชราชาวอีสานอยางอ่อนโยน
เป็นคำบรรยายเหมือนไม่จำเป็น สำหรับภาพที่ไม่จำเป็นต้องบรรยาย ไม่มีใครรู้ว่าทรงกระซิบคำใดกับแม่เฒ่า แต่แน่นอนว่าแม่เฒ่าไม่มีวันลืม
เช่น เดียวกับที่ในหลวงไม่ทรงลืมราษฎรคนสำคัญที่ทรงพบริมถนนวันนั้น หลานและเหลนของแม่เฒ่าเล่าว่า “หลังจากเสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพฯ แล้ว ทางสำนักพระราชวังได้ส่งภาพรับเสด็จของแม่เฒ่าตุ้ม พร้อมทั้งพระบรมรูปหล่อด้วยปูนพลาสเตอร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานผ่านมาทางอำเภอพระธาตุพนมให้แม่เฒ่าตุ้มไว้เป็นที่ระลึก” พระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้นี้ อาจมีส่วนชุบชูชีวิตให้แม่เฒ่ายืนยาวขึ้นอีกด้วยความสุขต่อมาอีกถึงสามปี เต็ม ๆ แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์ ราษฎรผู้โชคดีที่สุดคนหนึ่งในรัชกาลที่ 9 สิ้นอายุขัยอย่างสงบด้วยโรคชราเมื่ออายุได้ 105 ปี


ข้อมูลจาก “แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์” ภาคพิเศษโดย คุณหญิงศรีนาถ สุริยะ วารสารไทย
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Re: โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:49 pm

ในหลวงทรงเป็นนักพัฒนา
ตลอดระยะเวลากว่า 60 ปี ไม่มีใครสามารถจำได้ว่าพระองค์เสด็จไปยังที่แห่งใดบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่ประชาชนทุกคนจำได้คือ ไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปไหน ณ ที่แห่งใด จะต้องเห็นสิ่งของสามสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์คือแผนที่ และอีกสิ่งหนึ่งคือดินสอ แต่พระองค์มิได้ทรงใช้สามสิ่งนั้นเพื่อการนันทนาการท่องเที่ยว หากแต่ใช้เป็นอุปกรณ์ในการคิด และหาทางพัฒนาพื้นที่ที่ประทับอยู่นั้นในการคิด และหาทางพัฒนาพื้นที่ที่ประทับอยู่นั้นให้พบกับความเจิรญ ที่แห่งนี้ตั้งอยู่ในภูมิประเทศ และภูมิอากาศอย่างไร ฟ้าฝนฤดูกาลเป็นเช่นไร พระองคทรงทราบได้จากแผนที่ รายละเอียดของพื้นที่และปัญหาต่างๆ ที่ต้องแก้ไขมีอะไรบ้าง พระองค์ทรงจำได้จากการจดบันทึกและการถ่ายภาพ พระองค์คือตัวอย่างของนักพัฒนาอย่างแท้จริง ซึ่งต้องเตรียมพร้อมและรับรุ้แก้ไขปัญหาต่างๆ เสมอ การทำที่ดินอันแห้งแล้งแตกระแหงให้เป็นผืนนาอันอุดมสมบูรณ์ การทำภูเขาหัวโล้นให้เป็นนอดเขาอันเขียวขจี การทำให้ข้าที่เหี่ยวเฉากลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทุกสิ่งล้วนไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครก็สามารถทำได้ หากแต่ในหลวงของเราสามารถทำได้
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Re: โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:50 pm

ปิดทองหลังพระ
ทำไมต้องปิดทองหลังพระ? หากทุกคน หวังปิดทองหน้าพระกันหมด องค์พระก็จะสวยแต่เบื้องหน้าเท่านั้น เปรียบได้กับการทำงานเอาหน้า ภาวนากันตาย ในหลวงฯ ท่านทรงมอบพระสมเด็จจิตรลดา ให้แก่บรรดาข้าราชบริพารของท่านพระแต่ละองค์ตอกตรา มีหมายเลขกำกับ ทราบว่ามีเพียง 3,000 องค์ เป็นของดีของหายาก และพระองค์ได้ทรงบอกแก่ผู้ได้รับ ให้ "ปิดทองหลังพระ"
มีคนข้องใจไปถามพระองค์ และขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ปิดทองหน้าพระ
พระองค์ท่านไม่ทรงอนุญาต และมีรับสั่งให้ "ปิดทองหลังพระ" เท่านั้น
เพื่อเป็นคติเตือนใจตนเองด้วย ให้รู้จักทำงาน โดยไม่ต้องโฆษณาประชาสัมพันธ์ทำดีแล้วไม่ต้องเป่าแตรฟันฟา (Fanfare) ไม่ต้องป่าวประกาศไม่ต้องป่าวร้องให้คนมาลุมล้อม จ้องมองตนว่า กำลังกระทำความดีอยู่อุทิศอะไร ถวายอะไรแก่ใคร ไม่ต้องถ่ายรูป หากจะถ่ายก็ไม่ต้องหันมาตาโมงโก้ง (ตามองกล้อง) กันให้เมื่อย ทำดี ทำด้วยใจทำไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องโฆษณา อวดสรรพคุณ แห่งการประกอบคุณงามความดีนั้น แก่ใคร ๆ เขาหรอก
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Re: โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:51 pm

คนไทยกับคำสอนในหลวง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีกระแสพระราชดำรัสทรงแนะนำว่า ประเทศไทย-คนไทย จะรอดได้ จะอยู่ดีกินดีกันได้ ต้องใช้แนวทาง "เศรษฐกิจพอเพียง"
พระองค์ทรงมองการณ์ไกล พระองค์ทรงใคร่ครวญ และทรงศึกษาถึง "ความสมบูรณ์ที่ธรรมชาติมอบให้" อันเป็นจุดแข็งของความเป็นแผ่นดินไทยที่ประเทศอื่นๆ เกือบทั้งโลกไม่สมดุลพร้อมเช่นแผ่นดินไทย ด้วยทรงย่ำไปทุกหัวระแหงของแผ่นดินด้วยพระองค์เองจนรู้ซึ้งเช่นนั้นแล้ว จึงทรงตรัสบอกให้ปฏิบัติ ตรัสบอกมา ๑๐-๒๐ ปีแล้ว แต่มี "คนไหน-ยุคไหน" เชื่อฟังและนำไปปฏิบัติจริงจังบ้าง?
๐ นิยามความรวยกับความจน
มันเป็นเรื่องแปลกที่ประเทศไทย คนยากจนมีหนี้สินเยอะ ที่อังกฤษมีแต่คนรวยที่มีหนี้สิน คนจนไม่มีหนี้ เพราะเขาไม่ให้คนจนยืมเงินเนื่องจากกลัวจะไม่ใช้คืน จึงไม่มีสิทธิ์มีหนี้สิน แต่คนรวยยืมเงินได้ คำว่ารวยกับคำว่าจน มันคืออะไรกันแน่
๐ จุดอ่อน-จุดแข็งของคนไทย
คนไทยส่วนมากยังไม่เข้าใจระบบทุนนิยม เห็นฝรั่งที่ไหนก็คิดว่ารวยหมด คิดว่าการพัฒนาในระบบทุนนิยมจะทำให้ทุกคนมีเงิน ไม่เข้าใจว่าประเทศที่พัฒนาระบบทุนนิยมนานแล้ว เช่น อังกฤษ สหรัฐ มีปัญหาเยอะมาก แต่คนไทยก็คิดว่าเมืองนอกดีกว่า อันนี้จุดอ่อนครับ คือคนไทยสนใจเมืองนอก ไม่ได้สนใจประเทศไทย อันนี้เป็นจุดอ่อน
แต่จุดแข็งคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แผ่นดินประเทศไทยอุดมสมบูรณ์มาก ๆ มีดินเยอะมาก น้ำเยอะมาก แสงแดดเยอะมาก ทำเกษตรอยู่รอดแน่ เป็นพลังแผ่นดิน ใคร ๆ ก็อยากได้ประเทศไทย
คนไทยโชคดีมาก ๆ ที่ได้ในหลวงเป็นผู้นำ พระองค์ท่านเป็นคนที่ทำงานหนักมากเพื่อช่วยให้คนคิดได้ ช่วยให้คนอยู่ได้ จะหากษัตริย์ในประเทศอื่นไม่ค่อยมีแบบนี้ ปัญหาคือคนไทยส่วนมากนับถือในหลวง แต่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสอนของในหลวง พระองค์ท่านบอกมา ๒๗ ปีถึงเศรษฐกิจพอเพียง แต่คนไทยก็ไม่รู้จักพอเพียง
ถ้าทุกคนเริ่มคิดจริงๆ ถึงสิ่งที่ในหลวงพูด เราน่าจะช่วยให้ประเทศไทยอยู่ได้ เพราะความคิดของในหลวงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงต้องอาศัยพลังแผ่นดิน ทำได้เฉพาะประเทศไทยนะ เศรษฐกิจพอเพียง ที่อื่นทำไม่ได้หรอก เพราะเขาไม่มีที่ดิน ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะเหมือนประเทศไทย

๐ อยากบอกอะไรคนไทย
โชคดีมาก ๆ ที่เกิดในประเทศไทยที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องไปรบกับใคร ไม่ต้องไปเอาน้ำมันจากใคร ไม่ต้องไปเบียดเบียนคนอื่น ประเทศไทยอยู่ได้ กินอิ่ม มีเหลือแจกด้วย อย่าไปคิดเรื่องเงินอะไรมาก อย่าลดคุณค่าความเป็นไทยของตัวเองลง คนไทยส่วนมากนิสัยดีจริงๆ คนไทยมีน้ำใจ
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Re: โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:54 pm

9 คำสอนของพ่อ
1. ความเพียร
การสร้างสรรค์ตนเอง การสร้างบ้านเมืองก็ตาม มิใช่ว่าสร้างในวันเดียว ต้องใช้เวลาต้องใช้ความเพียร ต้องใช้ความอดทน เสียสละ แต่สำคัญที่สุดคือความอดทนคือไม่ย่อท้อ ไม่ย่อท้อในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ดีงามนั้น ทำมันน่าเบื่อ บางทีเหมือนว่าไม่ได้ผล ไม่ดัง คือดูมันครึทำดีนี่ แต่ขอรับรองว่าการทำให้ดีไม่ครึต้องมีความอดทน เวลาข้างหน้าจะเห็นผลแน่นอนในความอดทนของตนเอง
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักเรียน นักศึกษา ครู และอาจารย์ในโอกาสเข้าเฝ้าฯ วันที่ 27 ตุลาคม 2516
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Re: โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:55 pm

2. ความพอดี
ในการสร้างตัวสร้างฐานะนั้นจะต้องถือหลักค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวังและความพอเหมาะพอดี ไม่ทำเกินฐานะและกำลัง หรือทำด้วยความเร่งรีบ เมื่อมีพื้นฐานแน่นหนารองรับพร้อมแล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญก้าวหน้าในระดับสูงขึ้น ตามต่อกันไปเป็นลำดับผลที่เกิดขึ้นจึงจะแน่นอน มีหลักเกณฑ์ เป็นประโยชน์แท้และยั่งยืน
พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยขอนแก่นวันที่ 18 ธันวาคม 2540
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Re: โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:55 pm

3. ความรู้ตน
เด็กๆ ทำอะไรต้องหัดให้รู้ตัว การรู้ตัวอยู่เสมอจะทำให้เป็นคนมีระเบียบและคนที่มีระเบียบดีแล้ว จะสามารถเล่าเรียนและทำการงานต่างๆ ได้โดยถูกต้องรวดเร็ว จะเป็นคนที่สร้างความสำเร็จและความเจริญ ให้แก่ตนเองและส่วนรวมในอนาคตได้อย่างแน่นอน
พระบรมราโชวาท พระราชทานลงพิมพ์ในหนังสือ วันเด็ก ประจำปี 2521
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Re: โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

Postby BeerIS52 » Thu Sep 29, 2011 8:56 pm

4. คนเราจะต้องรับและจะต้องให้
คนเราจะเอาแต่ได้ไม่ได้ คนเราจะต้องรับและจะต้องให้หมายความว่าต่อไป และเดี๋ยวนี้ด้วยเมื่อรับสิ่งของใดมาก็จะต้องพยายามให้ ในการให้นั้นให้ได้โดยพยายามที่จะสร้างความสามัคคีให้หมู่คณะและในชาติ ทำให้หมู่คณะและชาติประชาชนทั้งหลายมีความไว้ใจซึ่งกันและกันได้ ช่วยที่ไหนได้ก็ช่วย ด้วยจิตใจที่เผื่อแผ่โดยแท้
พระบรมราโชวาทพระราชทานแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ 20 เมษายน 2521
User avatar
BeerIS52
 
Posts: 223
Joined: Sat Aug 27, 2011 11:13 am

Next

Return to ห้องเฉลิมพระเกียรติ



cron