สนามหลวงวันธรรมดา

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการแต่งบทกลอน

สนามหลวงวันธรรมดา

Postby banana_dot » Thu Nov 27, 2008 9:41 pm

ขออนุญาตผู้ดูแลนำเรื่องสั้นที่น่าสนใจมาให้ได้อ่านกัน อาจจะได้แง่คิดและอัฐรสที่เหมาะสมกับเหตุการณ์บ้านเมืองในปี พ.ศ.2551(ขณะนี้)

เรื่อง สนามหลวงวันธรรมดา(1/4)

โดย ลิด้า จิรกาลาวสาน

จาก รวมเรื่องสั้นสกุลไทย

แดดเปรี้ยงยามเที่ยงวันแยงตาชายจรจัดจนเขาฝืนนอนต่อไปไม่ไหว จึงลุกขึ้นมาแคะขี้ตาแล้วบิดตัวอย่างเกียจคร้าน เหลือบดูหมูปิ้งบนเตาของแม่ค้ารถเข็นริมคลองหลอด ควันฉุยกับกลิ่นหอมๆทำเอากระเพาะของเขาแสดงอาการปั่นป่วน ต้องรีบล้วงมือเข้าไปควานหาเศษเงินในกระเป๋ากางเกงขาสั้น ซึ่งรัดมุมล่างสุดไว้ด้วยหนังยาง พอแก้ออกแล้วนำเหรียญทั้งหมดมานับดู ปรากฏว่ามีไม่ถึงสิบบาท เขาแสยะยิ้มอย่างไม่อินังขังขอบ จัดแจงเสยผมเผ้าลูบหนวดเคราให้เข้าที่ ก่อนจะคว้ากระสอบปุ๋ยเก่าๆ ข้างกายเดินเลียบรั้วศาล แล้วข้ามถนนราชดำเนินในมุ่งไปยังท้องสนามหลวง สายตาสอดส่ายเที่ยวดูตามพื้น ถ้าโชคเข้าข้างอยู่บ้างก็คงได้ขวดน้ำพลาสติกหรือกระป๋องเบียร์เปล่าๆ พอเอาไปขายซื้อข้าวราดแกงสักจานหนึ่ง นี่เป็นเรื่องปกติของชายจรจัดเจ้าของชีวิตงดงามที่ดำรงอยู่ด้วยความมีอิสระและเสรีภาพมรู้สึกห่วงใยก็ปรากฏลอยรบกวนอยู่ในดวงความคิดของผม การที่ลูกสาวคนเดียวเกิดและเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง พ่อแม่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ความจริงก็ไม่น่าจะมีอะไรเป็นที่น่าห่วงกังวลนัก แต่ลักษณะการใช้ชีวิตบางอย่างของลูกอดทำให้ผมรู้สึกหนักใจไม่ได้ การกินใช้อย่างฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย หรือการจับจ่ายใช้สอยสินค้าเพื่อการบำรุงบำเรอความสุข ของลูกเป็นแบบเกินความพอดี ของเล่นของใช้บางอย่างยังมีสภาพดีก็ถูกทิ้งขว้างอย่างปราศจากความแยแสอุปกรณ์การเรียนพวกไม้บรรทัด ยางลบ ดินสอสูญหายเป็นประจำ
นั่นไงเล่า เขามองเห็นกระป๋องน้ำอัดลมสีแดงยี่ห้อหนึ่งแล้ว มันนอนสงบอยู่ข้างตู้โทรศัพท์สาธารณะ ขณะกำลังจะก้าวเข้าไปหยิบ พลันก็ผิดสังเกตที่เห็นผู้คนแถวนั้นพากันสุมหัวล้อมเป็นวงกลม เหมือนกำลังมุงดูเหตุการณ์ที่น่าสนใจ บางทีอาจจะเป็นการแสดงปาหี่ ชายจรจัดคิด แต่แล้วก็แย้งว่า มันนานมาแล้วนี่นา ที่ท้องสนามหลวงไม่มีใครมาเล่นปาหี่ แต่มันจะเป็นอะไรก็ช่างเถอะ เขาคิดด้วยความอยากรู้อยากเห็น เหมือนหมาเฝ้าบ้านที่ต้องเมียงมองดูสิ่งผิดปกติเสมอ สิ่งนี้เองที่บงการให้ชายจรจัดเข้าไปชะเง้อมองเหมือนคนอื่นๆ
ให้ตายเถอะ ชายจรจัดอุทาน เลือดในกายที่ไม่ได้สูบฉีดซ่านแบบนี้มานานแล้ว มีอันพุ่งปรี๊ดขึ้นสู่สมองและใบหน้า จนรู้สึกเห่อชาปนเปไป กับความตื่นเต้น มือไม้ปากคอสั่นระริก
ภาพที่เห็นเป็นเด็กหนุ่มสาวคู่หนึ่ง กำลังเริงรักกันอยู่บนพื้นหญ้ากลางแจ้ง ข้างตัวมีชุดนักเรียนกองอยู่พร้อมชุดชั้นใน แสงแดดยามเที่ยงวัน สาดส่องจนเห็นทุกรูขุมขนของคนทั้งสองชายจรจัดเห็นเด็กสาวหลับตาพริ้ม บางครั้งทำปากพึมพำเหมือนกำลังเคี้ยวของเผ็ดร้อน ขณะที่ร่าง ซึ่งคร่อมอยู่กำลังขะมักเขม้นกับการขยับขึ้นลง พร้อมกับหอบหายใจฟืดฟาด เหงื่อบนแผ่นหลังของเด็กหนุ่มหยดย้อยลงต้องร่างขาวโพลนของ เด็กสาว ขณะเดียวกันกลุ่มไทยมุงก็จ้องมองไม่วางตา ทุกคนล้วนเกร็งตัวแข็งทื่อและเงียบกริบเหมือนจะหยุดหายใจ ไม่มีใครส่งเสียงออกมา สักแอะหนึ่ง
ชายจรจัดเหลียวมองหาตำรวจ โคตรเอ๊ย ตำรวจมันปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไงวะเขาคิดอย่างไม่สบอารมณ์ขณะเดินเลี่ยงออกมา ท้องไส้ที่เคยปั่นป่วนด้วยความหิวก่อนหน้านี้ ดูเหมือนจะคลายอาการไป หลังจากที่ได้เห็นกามกรีฑาไปหยกๆ เขาคิดว่าเวลานี้จะมัวคิดถึง แต่ความหิวไม่ได้เสียแล้ว ต้องตามหาตำรวจสักคนมาจัดการเรื่องนี้เสียก่อน แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสนามหลวงเพียงคนเดียว แต่เขาคิดว่าตนเองยังหวังดีกับที่นี่เสมอ และไม่เคยคิดจะแปรเปลี่ยนความหวังดีเป็นความรู้สึกอื่น เช่นที่หลายคนเคยทำหรือกำลังทำอยู่
แดดกลางวันช่างร้อนแรงเหลือเกิน ตำรวจไม่รู้หายหัวไปไหนกันหมด ชายจรจัดบ่นพึมพำ ขณะกำลังมองหาร่มเงาไม้เพื่อหลบเข้าไปนั่งพัก สักครู่ ทว่ามองไปทางไหนก็ไม่เห็นมีที่ว่าง ดูเหมือนโคนมะขามทุกต้นรอบๆสนามหลวง จะมีคนเข้าไปจับจองกันหมดแล้ว แต่เมื่อเขาเพ่งมองดูชัดๆ กลับพบว่า กลุ่มคนใต้ต้นมะขามที่อยู่ใกล้ที่สุด กำลังจั่วไพ่กันหน้าดำหน้าแดง ส่วนต้นมะขามถัดไปมีเด็กวัยรุ่นกำลังใช้ปากดูดควันจากบ้องกัญชา บางคนกำลังง่วนกับการเสพยาชนิดใหม่ๆ อ้าว ไกลออกไปโน่น หญิงชายกลุ่มใหญ่พากันดวดเหล้าเมาปลิ้นอยู่ใต้ต้นมะขาม พร้อมกับโยกตัว ไปตามจังหวะดนตรีคึกคัก ชายจรจัดรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันทีว่า วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับสนามหลวงกันแน่วะ
Last edited by banana_dot on Thu Nov 27, 2008 10:06 pm, edited 1 time in total.
User avatar
banana_dot
 
Posts: 473
Joined: Mon Oct 13, 2008 9:42 am

Re: สนามหลวงวันธรรมดา

Postby banana_dot » Thu Nov 27, 2008 9:54 pm

สนามหลวงวันธรรมดา (2/4)

เขาเดินโฉบเข้าไปเก็บขวดน้ำที่กองอยู่รอบวงพนันและวงเหล้า พอเห็นก้นบุหรี่ยังติดไฟแดงๆที่เจ้าของดีดทิ้ง เขารีบหยิบขึ้นมาคีบอัดควัน ละเอียดเข้าปอดอย่างชื่นใจ ก่อนจะดื่มน้ำที่เหลือก้นขวดใบหนึ่งดับกระหาย จากนั้นจึงเดินเตร่มองหาตำรวจและขวดเปล่าไปเรื่อยๆ พอเจอ หนังสือพิมพ์ที่ใครบางคนทิ้งไว้ก็หยิบขึ้นมาอ่านเล่นบางข่าวบางบทความ แล้วเดินเก็บขวดเหมือนเดิม เผลอประเดี๋ยวเดียวได้ตั้งครึ่งค่อนกระสอบ ดูท่าว่าเย็นนี้คงได้กินเกาเหลาเนื้อเปื่อยที่ท่าพระจันทร์ แค่นี้ก็หรูสุดสุด ชายจรจัดคิดด้วยความยินดี
กำลังรู้สึกสบายใจหายห่วงเรื่องปากท้อง ชายจรจัดต้องสะดุ้งเฮือก ขณะกระโจนหลบรถบรรทุกคันหนึ่ง ซึ่งแล่นเฉียดร่างเข้าไป กลางสนามหลวง มันขับรถประสาอะไรของมันวะ ไม่ดูคนเดินบ้างเลย เขาโวยวายด้วยความโมโห ถึงกระนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น เมื่อมองไปยังรถบรรทุกที่จอดนิ่งแล้ว และมีชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งกระโดดลงมา นั่นทำให้ชายจรจัดอดที่จะเดินตามเข้าไปดูไม่ได้
คนพวกนั้นช่วยกันแบกข้าวของลงมาตั้งบนพื้นหญ้า ประกอบไปด้วยลำโพงขนาดใหญ่ราวสิบตู้ โต๊ะสำหรับตั้งถังน้ำดื่ม และหีบเหล็กใบใหญ่ ใส่อะไรไม่รู้ ส่วนรถบรรทุกคันนั้น ด้านท้ายมีการตั้งขาไมโครโฟน พร้อมกับขึงผ้าขาวเขียนด้วยตัวอักษรสีแดงเป็นข้อความว่า "การปราศรัยของนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่แห่งท้องสนามหลวง"
ผู้คนทั้งหญิงชาย ลูกเด็กเล็กแดง คนแก่คนเฒ่าต่างพากันจูงมือมาปูเสื่อ บ้างก็ปูกระดาษหนังสือพิมพ์ อย่างหลังนี่มักจะเป็นพวกหนุ่มๆ แต่คนส่วนหนึ่งเลือกที่จะยืนเสียมากกว่าเหมือนกับจะบอกคนปราศรัยว่า ถ้าพูดไม่สนุกรับรองมีการเดินหนีแน่
ชั่วประเดี๋ยวเดียว รถเก๋งยาวหลายวาสีดำขลับ ได้แล่นเข้ามาจอดข้างรถบรรทุกอย่างสง่าผ่าเผย ชายกลางคนท่าทางโอ่อ่าก้าวออกมาจาก ตอนหลังของรถ หลังจากที่ตำรวจในเครื่องแบบนายพลคนหนึ่ง แย่งเปิดประตูกับคนขับรถของนักการเมือง ที่แม้จะลงทุนกระโดดออกมาทันที ที่รถจอดก็ยังช้ากว่าอยู่ดี ชายจรจัดเฝ้ามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วนึกขัน จนต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังสนั่นหวั่นไหว
"นี่แก เบาๆหน่อย ไม่ใช่การแสดงจำอวด ท่านกำลังขึ้นกล่าวคำปราศรัย" ตำรวจหนุ่มนายหนึ่งซึ่งเข้ามายืนอยู่ด้านหลังชายจรจัดเมื่อใดไม่รู้ บอกเสียงเข้ม เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ากำลังตามหาตำรวจสักคนไปจัดการปัญหาที่เห็นมา แต่วาจาของตำรวจนายนี้ทำให้เขาต้องส่ายหน้า รีบเดินเลี่ยงหนีมาอย่างหวาดๆ
ที่นี่มีแต่ตำรวจเต็มไปหมดเลยโว้ย ชายจรจัดคิดด้วยความไม่สบอารมณ์ ไม่ได้นึกกลัวว่าจะต้องถูกจับส่งประชาสงเคราะห์ จนหมดอิสระ เสรีภาพที่เขามีอยู่เต็มเปี่ยม หลังจากได้กลายเป็นคนจรจัดเต็มตัวแล้ว เขาแค่เศร้าใจที่ตำรวจพวกนี้ ไม่เคยใส่ใจ กับปัญหาความเสื่อมโทรม ในท้องสนามหลวง แต่ถ้าเป็นเรื่องท้องอืดท้องเฟ้อของนักการเมืองแล้วละก็ พวกนี้มักจะรวดเร็วเสมอ

เขาลองไล่นับจำนวนตำรวจที่เห็นอยู่ละลานตา แต่นับไปนับมาต้องบอกตัวเองว่า คงนับไม่ถ้วน ดูนั่นเถอะแม้กระทั่งบนคาคบต้นมะขาม ยังมีตำรวจซุ่มอยู่ ไกลออกไปโน้น บนหลังคาตึกส่วนราชการต่างๆ แม้กระทั่งหอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เขาเคยเตร็ดเตร่อยู่แถวนั้น ปีสองปี เขาเห็นตำรวจพร้อมอาวุธปืนยาวยืดเด่นเป็นสีดำตัดกับสีอ่อนของท้องฟ้า ดูท่าว่าการปราศรัยครั้งนี้ของนักการเมืองผู้ยิ่งยงคงจะไม่ใช่ เรื่องเล่นๆเสียแล้ว ชายจรจัดนึกด้วยอาการครั่นคร้ามในวาสนาบารมีของชายคนนั้น ซึ่งบัดนี้ได้ก้าวขึ้นบันไดเล็กๆ ไปยืนเด่นเป็นสง่า อยู่หลังไมโครโฟนท้ายรถบรรทุกแล้ว
มีเสียงปรบมือดังเปาะแปะจากประชาชนอย่างเสียไม่ได้ จนนักการเมืองออกอาการไม่สบอารมณ์ บริวารคนหนึ่งดูท่าจะเข้าใจสถานการณ์ดี จึงได้ยกวิทยุสื่อสารขึ้นมากรอกคำสั่งลงไปก่อนจะล้วงเอาธนบัตรจำนวนมากจากหีบใบหนึ่ง ขึ้นมาโปรยให้ปลิวไปตามกระแสลม
ทันใดนั้นเองผู้คนจากไหนไม่รู้ดูมืดฟ้ามัวดินไปหมด พากันวิ่งแห่เข้ามาปรบมือเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วท้องสนามหลวง แล้วแย่งกันไล่ เก็บธนบัตรที่ตกอยู่บนสนามหญ้า ช่างภาพจากหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์หลายสิบชีวิตพากันวิ่งถ่ายภาพอันน่าอัศจรรย์ใจนั้น บางคนตรงเข้าไป บันทึกภาพสีหน้าอิ่มเอิบของนักการเมืองในระยะใกล้ ขณะที่อีกหลายคนผละไปถ่ายภาพบริวารของนักการเมือง ซึ่งกำลังส่งยิ้มให้กำลังใจนายใหญ่ ของตัวเองอยู่ข้างๆรถบรรทุก ส่วนทางด้านชายจรจัด เขามองการโปรยทานของมหาเศรษฐีด้วยสายตาสมเพช แล้วคิดว่า ขยะในมือของเขายังมีค่ามากกว่าเงินพวกนั้น เพราะไม่ได้คดโกงใครมา
User avatar
banana_dot
 
Posts: 473
Joined: Mon Oct 13, 2008 9:42 am

Re: สนามหลวงวันธรรมดา

Postby banana_dot » Thu Nov 27, 2008 10:01 pm

สนามหลวงวันธรรมดา(3-4)

นักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่กระแอมสองสามครั้ง ก่อนจะเริ่มพูดถึงความสามารถของตนเองในช่วงหลายปีมานี้ พร้อมกับแจ้งให้ทุกคนรับรู้ถึง ผลงานที่ได้ทำลงไปเพื่อปวงชน "...ผมจะทำให้ท้องสนามหลวง เป็นดินแดนที่ทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข มีเสรีภาพ จะไม่มีความยากจน ทุกคนจะปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง ข้าราชการจะต้องรับใช้ประชาชน ผลประโยชน์ทับซ้อนจะต้องไม่มีเป็นอันขาด เยาวชนจะต้องได้รับการปกป้อง อบายมุขจะต้องถูกควบคุมไม่ให้บ่อนทำลายทุกชีวิตในท้องสนามหลวง..."
คำพูดออกจากปากนักการเมืองผู้นั้นปาวๆมันดังกังวานไปทั่วทุกทิศ แต่ต้องถูกขัดจังหวะลง เมื่อมีนักข่าวหญิงคนหนึ่งตะโกนลั่นขึ้นมาว่า "ท่านโกหก ท่านลองมองไปให้ทั่วสนามหลวงดูอีกที ดูให้ชัด ท้องที่แห่งนี้กำลังเต็มไปด้วยความเสื่อมโทรมใช่ไหม ท่านพูดแต่คำว่าจะโดยไม่เคย ทำอะไรได้สำเร็จสักอย่าง"
ชายจรจัดมองเหยี่ยวข่าวสาวคนนั้นด้วยความนิยมชมชอบ รู้สึกคลับคล้ายว่าจะเคยรู้จักเธอที่ไหนมาก่อน แต่แล้วก็ต้องอ้าปากค้าง เมื่อเห็นเธอล้มลงกองกับพื้น หลังจากมีเสียงปืนลั่นเปรี้ยงขึ้นสองนัดติดๆกัน เขาไม่รู้ว่าลูกปืนนั้นยิงออกมาจากทิศใด แต่ยังไม่เห็นว่ามีใครชักปืน การปราศรัยต้องล้มเลิกกลางคันเสียแล้วกระมัง เขาคิดด้วยความเศร้าสร้อย นักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่คงกล่าวคำไว้อาลัย แด่การจากไปของนักข่าวหญิงผู้กล้าหาญคนนี้ และสั่งการให้ควานหาตัวมือปืนมาลงโทษโดยเร็วที่สุด
มีเสียงดังหึ่งๆเหมือนเครื่องจักรขนาดใหญ่ดังขึ้น รถขุดจากไหนไม่รู้วิ่งมาจากถนนด้านวัดมหาธาตุ ตรงเข้ามายังบริเวณที่นักการเมืองปราศรัย และจัดการขุดหลุมลึกอย่างรวดเร็ว มีคนของนักการเมืองใช้เท้าเขี่ยร่างนักข่าวกลิ้งตกลงไปก้นหลุม อะไรกันวะ มันเล่นกันอย่างนี้เลยรึ ชายจรจัดอุทานด้วยความงุนงง
แต่เขายิ่งงงต่อไปอีก เมื่อเห็นชายกลางคนแต่งตัวค่อนข้างภูมิฐาน ท่าทางมีความรู้เหมือนเป็นครูบาอาจารย์หรือนักกฎหมาย ได้ก้าวออกมาจากกลุ่มคนเพื่อประท้วงการกระทำนั้น พร้อมกับตะโกนบอกนักการเมืองบนรถบรรทุกว่า "เกิดเรื่องไม่ถูกต้องขึ้นแล้ว ท่านจะมัวยืนเฉยอยู่ได้อย่างไรกัน"
ยังไม่ทันที่นักการเมืองคนนั้นจะโต้ตอบอะไรออกมา เสียงปืนก็ดังขึ้นอีกหนึ่งนัด ชายคนนั้นค่อยๆล้มลงเอาศีรษะแหว่งๆฟาดพื้น ด้วยกะโหลกซีกหนึ่งของเขากระเด็นหายไปในอากาศตั้งแต่สิ้นเสียงปืนแล้ว ร่างของเขาถูกชายสองคนจับเหวี่ยงลงไปกองกับศพของนักข่าว เคราะห์ร้าย ก่อนที่รถขุดคันเดิมจะรีบตักดินมากลบหลุมจนเรียบสนิทแล้ววิ่งจากไป จากนั้นก็มีชายฉกรรจ์หลายคนหอบเอาผืนหญ้าสี่เหลี่ยม มาปูลงบนหลุมฝังศพนั้น จนแทบจะกลายเป็นเนื้อเดียวกับสนามหญ้าเดิม
ชายจรจัดขยี้ตาทั้งสองข้าง ถามตัวเองว่าฝันไปหรือเปล่า นี่มันกลางวันแสกๆ แม้ว่าแดดจัดเมื่อก่อนหน้านี้จะสลัวลงมากแล้ว ด้วยมีเมฆจากฝั่งสะพานพระปิ่นเกล้าลอยมาบดบังดวงอาทิตย์ แต่ทุกภาพทุกเหตุการณ์ในท้องสนามหลวง ยังคงแจ่มชัดสำหรับคนที่ ดวงตาไม่มืดบอด เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า สูงขึ้นไปลิบลิ่วนั้น เกิดปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกลดโดยไม่มีเค้าลางมาก่อน
นักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ยังคงพูดถึงเรื่องความอยู่ดีกินดีของคนในท้องสนามหลวง เหมือนไม่ได้เห็นหรือรับรู้กับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น นักการเมืองกำลังยุ่งอยู่กับคำสัญญาว่า จะทำให้ทุกคนมีข้าวกินเต็มจานทุกมื้อ มีไก่ย่างกินทุกวัน มีโทรศัพท์มือถือใช้ มีรถมอเตอร์ไซค์ขี่ มีอินเทอร์เนตผ่านดาวเทียมทุกซอกทุกมุมของท้องสนามหลวง ประชาชนกลุ่มหนึ่งพากันส่งเสียงไชโยโห่ร้อง ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งส่งเสียง ฮาป่าโหวกเหวก
ชายจรจัดเห็นตำรวจสิบกว่าคนในมือถือไม้กระบองสีดำ ตรงเข้าทุบตีประชาชนกลุ่มที่ส่งเสียงฮาป่านั้นจนเงียบไป ก่อนจะหันมาไล่ตีช่างภาพ บางคน ซึ่งพยายามบันทึกภาพความโหดร้ายเอาไว้ ขณะที่นักการเมืองก็ยังคงปราศรัยต่อไปอย่างเมามันน้ำลายตัวเอง โดยไม่สนใจเหตุการณ์ข้างล่าง
ทันใดนั้นเอง มีเสียงหญิงสาวคนหนึ่งหวีดร้องขึ้น ชายจรจัดรีบหันไปมอง จึงทันได้เห็นชายหน้าตาเหี้ยมเกรียมสามคน กำลังฉุดกระชาก ผู้หญิงคนนั้นเข้าไปใต้ท้องรถบรรทุก แล้วพากันฉีกเสื้อผ้าของเธอจนหลุดเปลือยตลอดตัว ก่อนจะรุมข่มขืนอย่างบันเทิงเริงใจ
ชายจรจัดปากสั่นด้วยความโกรธ เหลียวมองดูว่า จะมีใครเข้าไปช่วยเธอบ้าง แต่น่าประหลาด เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตำรวจนับร้อยนับพันคนในท้องสนามหลวง ล้วนยืนฟังคำปราศรัยหน้าตาเฉย เขาตัดสินใจวิ่งไปที่รถบรรทุกคันนั้น แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว หญิงเคราะห์ร้ายถูกปาดคอตาเหลือกค้างอยู่ใต้ท้องรถ ส่วนชายสามคนนั้นเปลี่ยนไปไล่ปล้นเอาเงินทองจากคนที่มาฟังนักการเมืองพูด เขาพยายามตะโกนเรียกตำรวจ ทว่าไม่มีใครได้ยิน ทุกคนล้วนสนใจกับนักการเมืองบนรถบรรทุกมากกว่าเรื่องอื่นใด
เขาเดินคอตกเงื่องหงอยออกมาจากบริเวณนั้น หลบไปนั่งเหมือนหมดแรงอยู่ใต้ต้นมะขาม ที่คนกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นไฮโล อย่างหน้าดำคร่ำเครียด ไม่สนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบๆวงพนัน สักพักหนึ่ง มีตำรวจสองคนเดินผ่านมา เจ้ามือไฮโลรีบยื่นเงินปึกหนึ่ง ให้อย่างรำคาญ เขาเห็นตำรวจยิ้มเบิกบานขณะเดินจากไปยังมะขามต้นอื่นๆ เป็นอาชีพที่ควร อิจฉาดีไหมนะ ดีกว่าเดินเก็บขยะขายไม่รู้กี่ร้อยพันเท่า แต่มันก็ไม่ใช่วิถีทางของคนอย่างเรา เราผู้รักความอิสระเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง เขาตรึกตรองอย่างใคร่ครวญ
ชายจรจัดทอดถอนใจ อย่างน้อยเขาก็ยังมีเสรีภาพ จะนอนอาบแสงแดด แสงจันทร์ หรือแสงดาวอย่างไรก็ได้ ไม่ต้องเป็นที่สนใจของใครๆ โดยเฉพาะนักการเมือง คงน่ารำคาญพิลึก หากต้องคอยยกมือรับไหว้คนพวกนั้นเวลาเดินหาเสียง เพื่อจะขอเข้าไปเป็นเจ้านายของเราในสภา คิดแล้วชายจรจัดก็อยากจะล้มตัวเอนนอนอีกครั้ง ลืมทุกเรื่องที่เห็นมา ค่ำแล้วค่อยลุกเอาขวดไปขาย จากนั้นหาของอร่อยๆกินตามฐานะของตนเอง
Last edited by banana_dot on Thu Nov 27, 2008 10:26 pm, edited 2 times in total.
User avatar
banana_dot
 
Posts: 473
Joined: Mon Oct 13, 2008 9:42 am

Re: สนามหลวงวันธรรมดา

Postby banana_dot » Thu Nov 27, 2008 10:11 pm

สนามหลวงวันธรรมดา(4/4 จบ)

ลมแรงที่พัดมาช่างชวนง่วงนอนดีเสียเหลือเกิน เขารำพึง ก่อนจะมองเห็นว่า ท้องฟ้าเริ่มมืดดำ เมฆขาวก่อนหน้านี้แปรเปลี่ยนเป็นเมฆฝน ลอยเรี่ยต่ำลง ภูมิภาพในท้องสนามหลวงกลายเป็นสีเทาสลัว แต่นักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ยังคงพูดจ้ออยู่คนเดียวไม่ขาดปาก เหมือนมีความถนัด ในการพูดคนเดียว เขาได้แต่สงสัยว่า หากให้นักการเมืองผู้นี้ไปพูดคุยกับคนอื่นจะรู้เรื่องกันไหม หรือว่าบางทีอาจไม่มีคนคุยด้วย ร้ายยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนในวงสนทนาอาจจะถูกสั่งห้ามพูดเสียด้วยซ้ำ ดูเอาเถอะ ขนาดหลบมาไกลถึงเพียงนี้ เขายังเห็นน้ำลายของนักการเมืองแตกฟองฟอด อยู่หลังไมโครโฟน ชายจรจัดคิดแล้วอยากหัวเราะให้ตาเหลือกตาปลิ้นอยู่ตรงนั้น
แต่แล้วภาพที่เขาเห็นตรงชายขอบของท้องสนามหลวง ด้านโรงละครแห่งชาติ ก็ทำให้เขาขำไม่ออก ดูเหมือนมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง ไม่น่าจะต่ำกว่าพันคน กำลังมุ่งหน้าตรงมายังบริเวณที่นักการเมืองปราศรัย ในมือของพวกเขาล้วนถือแผ่นป้าย แต่จะเขียนว่าอะไรนั้น ชายจรจัดมองเห็นไม่ชัด
เขาคร้านที่จะนอนต่อแล้ว รีบลุกเดินเข้าไปสังเกตการณ์อีก แต่ถูกตำรวจตั้งกำแพงขวางไว้ เช่นเดียวกับกลุ่มผู้ประท้วงที่มาใหม่ เขาได้ยินคนพวกนั้นตะโกนด่าทอนักการเมือง พร้อมกับทวงถามถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของชาวบ้าน บางคนอุ้มภาพถ่ายมีพวงมาลัยคล้องอยู่พร้อมกับร่ำไห้ บางคนแบกโลงศพด้วยแววตาปวดร้าว เขาได้ยินแว่วๆว่า ญาติพี่น้องของกลุ่มผู้ประท้วงล้วนถูกสังหารขณะออกไปทำมาหากิน โดยที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่อาจคุ้มครองให้ความปลอดภัยได้ บางคนร้องเรียนมากๆเข้า กลับถูกเจ้าหน้าที่เหล่านั้นมาเชิญตัวก่อนหายลับไป ราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่ในท้องสนามหลวงมาก่อน
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ทีแรกชายจรจัดรู้สึกว่า ผู้ประท้วงน่าจะตอแหลเกินจริงไปสักหน่อยอะไรมันขนาดนั้น ท้องสนามหลวงไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อน ที่ใครจะมาละเมิดกฎหมายได้ง่ายๆ แต่พอนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ได้พบเจอในวันนี้ หลังจากตื่นนอนตอนเที่ยง ชายจรจัดเริ่มสงสัยว่าหรือท้องสนามหลวงได้เปลี่ยนไปแล้ว และคำพูดเหล่านั้นคือความเป็นจริงในสังคม
กลุ่มผู้ประท้วงยังคงพากันส่งเสียงเรียกร้อง พวกเขาขอให้นักการเมืองหยุดสนใจการทุจริตสักระยะหนึ่ง แล้วเอาใจใส่กับปัญหาของผู้คนที่ชายขอบท้องสนามหลวงบ้าง
ชายจรจัดหันไปมองทางนักการเมือง ดูสิว่าจะตอบโต้อย่างไร แต่เขาต้องตะลึงในความสามารถของชายคนนั้น ที่ยังคงเงยหน้ามองดูท้องฟ้า เพื่อพูดถึงผลงานของตัวเอง และให้คำสัญญาว่าจะทำให้ทุกครอบครัวก้าวไปสู่ความมั่งคั่งในโลกทุนนิยมให้จงได้
กลุ่มผู้ประท้วงเริ่มพากันเบียดกระแทกกับกำแพงเจ้าหน้าที่ตำรวจ เสียงด่าทอดังลั่นไปทั่วสนามหลวง ก้อนหินหลายก้อนลอยละลิ่วเข้าใส่ตำรวจบางคนจนหัวร้างข้างแตก พวกที่เหลือเห็นเพื่อนถูกทำร้ายจึงเงื้อกระบองหวดใส่ผู้ประท้วงบ้าง แต่ประชาชนก็ไม่ได้เป็นง่อยจึงระดมขว้างก้อนหินโต้ตอบด้วยความเดือดดาล
ท้องสนามหลวงกลายสภาพเป็นแหล่งจลาจล ที่ควบคุมเหตุการณ์ไม่ได้ไปเสียแล้ว ชายจรจัดรีบมองหาทางหนีทีไล่ ใจหนึ่งก็อยากผสมโรงช่วยประชาชนไล่กระทืบคนของนักการเมือง แต่ยามนี้มองไปทางไหนกลับเต็มไปด้วยความชุลมุน จะวิ่งไปทิศใดก็ติดฝูงชน มือกระบองของนักการเมืองเริ่มตั้งกระบวนอีกครั้ง แล้วพากันไล่ทุบประชาชนจนแยกไม่ออกว่าฝ่ายไหนเป็นผู้ประท้วง หรือฝ่ายไหนเป็นกลุ่มจัดตั้งมาเชียร์นักการเมือง หลายคนล้มลุกคลุกคลาน หลายคนเหมือนหมาจนตรอก กรูเข้ารุมประชาทัณฑ์เจ้าหน้าที่ของรัฐโดยไม่มีกริ่งเกรงอีกต่อไป
ภาพที่เกิดขึ้นช่างสับสนอลหม่านในสายตาของชายจรจัด แต่ก็อดบอกตัวเองไม่ได้ว่า 'คุ้มเหลือเกินโว้ย ที่เกิดมาได้พบได้เห็นหรือเรื่องแบบนี้ เอ หรือจะไม่คุ้มวะ' เขาคิดขณะก้มศีรษะหลบกระบองของตำรวจนายหนึ่งไปได้อย่าง
หวุดหวิด
นักข่าวกับช่างภาพสองคนตรงเข้ามาสัมภาษณ์ชายจรจัด ถึงความเห็นในเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น เขาได้แต่หัวเราะเหมือนคนบ้า แล้วตะโกนบอกให้รู้ทั้งสองคนรีบหนีเอาตัวรอดดีกว่า แต่ดูเหมือนจะไม่มีสื่อมวลชนรายไหนถอยทัพกลับไป ในขณะที่เหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ยังไม่จบบริบูรณ์ พวกเขายังคงทำหน้าที่บันทึกภาพความบ้าคลั่งไว้โดยไม่มีการยั้งมือ
ฝนเริ่มตกลงมาแล้วหลังจากตั้งเค้ามานาน ให้ตายเถอะ ชายจรจัดมองดูฝ่ามือตัวเองที่แบรับน้ำฝน มันเป็นฝนสีเลือด ขณะนี้กำลังแดงฉานไปทั่วสนามหลวง ท่ามกลางผู้คนสองฝ่ายที่ยังต่อสู้กันไม่เลิกรา ดูเหมือนประชาชนจะไม่ยอมถอยอีกต่อไปแล้ว ต่างพากันกลุ้มรุมหักแข้งหักขาเจ้าหน้าที่ของรัฐ และทำท่าว่าจะเคลื่อนขบวนเข้าล้อมกรอบนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่
ถึงตรงนี้ ชายจรจัดจึงได้เห็นว่า นักการเมืองบนรถบรรทุกหยุดพูดแล้ว และกำลังยืนหน้าซีดเผือดเหมือนงงกับภาพที่เห็น ทันใดนั้นเองมีอิฐก้อนหนึ่งลอยโค้งมาตกปุลงตรงหน้าของนักการเมืองพอดิบพอดี ส่งผลให้นักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ทรุดตัวลงไปครางหงิงๆ ด้วยความเจ็บปวด
ชายจรจัดนึกอยากกระโดดขึ้นไปบนรถเพื่อเหยียบซ้ำอีกสักที แล้วทวงความยุติธรรมให้แก่ผู้ล้มตายและบาดเจ็บ แต่ต้องผงะด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นนักการเมืองผู้นั้นทะลึ่งตัวขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะคว้าไมโครโฟนมาจ่อปากเปล่งเสียงคำราม
"ฆ่าพวกมันให้หมด อย่าให้นักข่าวเอาเรื่องนี้ไปเขียนเป็นนวนิยายโดดเด็ดขาด"
สิ้นเสียงนักการเมือง ตำรวจรีบเปลี่ยนจากกระบองมาเป็นปืนพก แต่ยังไม่เร็วเท่ากับหน่วยแม่นปืนตามหลังคาตึกที่ล้อมสนามหลวงอยู่ ต่างพากันบรรณาการฝูงชนกลางท้องสนามหลวงด้วยลูกตะกั่วร้อนๆ ส่งผลให้ร่างที่วิ่งขวักไขว่ล้มลงดิ้นพล่านขาดใจตายเป็นใบไม้ร่วง
ตำรวจในท้องสนามหลวงเปลี่ยนมาไล่ยิงนักข่าวและช่างภาพ โดยไม่สนใจว่าค่ายเล็กค่ายใหญ่ แนวคุณภาพหรือประชานิยม ท่ามกลางเสียงหวีดร้องขอความช่วยเหลือจากฝูงชนที่พยายามวิ่งหนีเอาชีวิตรอด
ชายจรจัดทิ้งถุงขยะไปนานแล้ว ยามนี้เขากำลังวิ่งสุดชีวิต ด้วยรู้สึกว่า นี่มันไม่ใช่ท้องสนามหลวงที่เขาคุ้นเคย แต่ยิ่งวิ่งยิ่งสับสนและหาทางหนีไม่ได้ ไปทางไหนก็เจอแต่เพชฌฆาตในเครื่องแบบอยู่เต็มไปหมด
รถขุดคันเดิมวิ่งกลับเข้ามาในท้องสนามหลวงอีกครั้ง มันเร่งขุดหลุดกว้างและลึกกว่าเดิม ชายจรจัดรีบวิ่งไปทางตรงกันข้ามกับหลุมศพขนาดยักษ์นั้น แต่แล้วก็สะดุดเข้ากับกล้องถ่ายวิดีโอที่แตกหักเสียหายอยู่บนสนามหญ้า เขาล้มลงไปประจันหน้ากับช่างภาพโทรทัศน์ช่องหนึ่ง ซึ่งกำลังนอนหงายตาเบิกโพลง มีเลือดทะลักออกมาจากรูลึกกลางหน้าผาก
ชายจรจัดขยับจะลุกขึ้นวิ่งต่อแต่ทำไม่ได้ ใจหายวาบขึ้นมาทันที แน่ใจว่ามีใครกำลังใช้เกือกหนักอึ้งเหยียบกลางหลังของเขาไว้ เมื่อหันกลับไปดูต้องตกใจสุดชีวิต เขาพยายามยกมือพนมไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถืออย่างยากเย็น
"ช่วยด้วย ประชาชนไม่มีที่พึ่งอีกแล้ว"
เสียงปืนลั่นปังประสานกับเสียงฟ้าคำราม ภาพสุดท้ายที่ชายจรจัดได้เห็นก็คือ ฝนยังคงตกลงมาอย่างหนักหน่วง สีเลือดของมันเจิ่งนองไปทั่วท้องสนามหลวงอันกว้างใหญ่
User avatar
banana_dot
 
Posts: 473
Joined: Mon Oct 13, 2008 9:42 am

Re: สนามหลวงวันธรรมดา

Postby Ldap » Mon Mar 16, 2009 7:54 pm

ท่าน ขจกท. ลองปรับแต่ง ให้มันดูน่าอ่านขึ้นดูนะครับ เช่น เน้นคำสำคัญ วรรค ใส่สี เป็นต้น
Image
User avatar
Ldap
 
Posts: 130
Joined: Mon Oct 13, 2008 12:45 am

Re: สนามหลวงวันธรรมดา

Postby NIRANAME » Tue Apr 14, 2009 8:05 am

เห็นด้วยกับ คห. ข้างบนครับ

แต่ยังไงก็ขอขอบคุณ จขกท. ที่เอาสาระดีๆมาให้อ่าน

อย่าเพิ่งหมดกำลังใจนะครับ

* เบื่อพวกรักชาติเพียงแค่ลมปาก
* เบื่อพวกนักเลงคีบอร์ด
.
.

* อยากรวมกลุ่มฮาร์ดคอร์ ล้างเสื้อแดง
User avatar
NIRANAME
 
Posts: 40
Joined: Thu Nov 27, 2008 9:09 pm

Re: สนามหลวงวันธรรมดา

Postby THE THIRD WAY » Tue Apr 21, 2009 2:31 pm

ร้อน
ร้อนหูดับตับแตกร้อนแหลกลาญ
ร้อนทั้งบนวิมานและใต้หล้า
แถมปวดฟันมาซ้ำเติมเกินเยียวยา
อนิจจาร้อนจังร้อนจริงๆ...ครับ
อยู่เฉยๆ แล้วบอกว่าเป็นกลาง
ทีคนอื่นทำอีกอย่าง บอกว่าเอียง
User avatar
THE THIRD WAY
 
Posts: 615
Joined: Mon Oct 13, 2008 12:46 pm

Re: สนามหลวงวันธรรมดา

Postby paper punch » Sat Apr 25, 2009 11:56 am

เป็นวันธรรมดา ที่น่าเศร้า

ขอบคุณที่นำมาให้อ่านครับ
เคารพและศรัทธาคุณ ชวน หลีกภัย

ราตรีสวัสดิ์(official version)
http://www.youtube.com/watch?v=JFCooDPQ ... re=related
User avatar
paper punch
 
Posts: 922
Joined: Mon Oct 13, 2008 9:16 am


Return to ร้อยรักษ์กวีวรรณ



cron