คิดถึงฝรั่งมองไทย... “ไมเคิล ไรท์ ผู้จากไป

คุยกันสบายๆ ไม่ซีเรียส

คิดถึงฝรั่งมองไทย... “ไมเคิล ไรท์ ผู้จากไป

Postby Cherub Rock » Wed Sep 09, 2009 9:21 am


Image

อะไรบางอย่างจากกระแสความคิดที่ถ่ายทอดผ่านเนื้องานของฝรั่งตาน้ำข้าวคน หนึ่ง ทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อย สัมผัสได้ว่า เขาคนนี้ ชายชาวต่างชาติสูงวัยผู้ ซึ่งหัวใจไม่เคยลืมรอยยิ้ม รักเมืองไทยไม่น้อยไปกว่าที่เจ้าของประเทศรู้สึก

...ไมเคิล ไรท เป็นเช่นนั้นเสมอ ในความคิดคำนึงของผู้อ่านจำนวนไม่น้อย ที่ติดตาม "ฝรั่งมองไทย" คอลัมน์ ซึ่งตีพิมพ์สม่ำเสมอในหนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์

เช่นนี้แล้ว คงไม่เกินเลยความจริงนักหรอก หากจะเชื่อดังถ้อยความที่เกริ่นไว้ตอนต้น ด้วยความหวังดีที่ไมเคิล ไรท มีต่อแผ่นดินเล็กๆ ของประชากรกว่าหกสิบล้านคนนี้ ผ่านการพิสูจน์แล้วด้วยระยะเวลาที่ยืนหยัดมานาน ผสานด้วยความตั้งใจจริง ผนวกรวมเข้ากับองค์ความรู้หลากหลายอันตกผลึกตามวันวัย ประสบการณ์ ซึ่งผ่าน และพบเห็นโลกมานานารูปแบบ แม้วันนี้ ลมหายใจของเขาปลิดปลิวจางหายไปพร้อมอายุขัยที่เดินมาจนสุดทาง กระนั้น กลิ่นอายแห่งสำนึกของการวิพากษ์ วิจารณ์สังคมอย่างตรงไปตรงมา ที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลัง จะยังกรุ่นอวลไม่จางหาย

กล่าวให้ลึกกว่านั้น มิใช่เพียงความตรงไปตรงมา ที่เราสัมผัสพบใน "น้ำเสียง" ซึ่งเจืออยู่ตามแต่ละบทความวิพากษ์บ้านเมืองของเขา สำคัญกว่านั้นคือความจริงใจที่สามารถละลายกำแพงฐานะแห่งคนนอก-คนใน (ประเทศ) ได้อย่างร้ายกาจ แน่ล่ะ แม้ดูคล้ายว่าเขาถ่อมตนว่าเป็นคนนอกมิใช่คนไทยผู้จะมองปัญหาประเทศได้ทะลุ ปรุโปร่ง มีความสุภาพตามสมควร หากในอีกมุมหนึ่ง นั่นเป็นเพียงกลเม็ดล่อหลอก ต่อเมื่อหลงเดินตามเข้าไปในดินแดนความคิดของเขา จึงพบว่าพื้นที่แห่งนั้น กลับมากด้วยชั้นเชิงเกินกว่าความถ่อมตนภายนอกนัก เพราะมันเต็มไปด้วยชั้นเชิงอันแยบคายที่มาพร้อมวาจาเสียดสี เย้ยหนัน จี้ใจดำให้แสบๆ คัน และไม่น้อยครั้งก็จิกกัดให้สะดุ้งสะเทือนกันทั้งสังคม

"ถ่อมตน แต่ไม่เกรงใจ" คือเสน่ห์ของไมเคิล ไรท ที่อย่างน้อยๆ ก็มัดใจเราไว้ได้คนหนึ่ง ทำให้คอยเปิดหาคอลัมน์ "ฝรั่งมองไทย" ด้วยความสงสัยใคร่รู้ ว่า วันนี้ สัปดาห์นี้ ตาฝรั่งคนนี้ จะตบกะโหลกเราตามประสามิตรสนิทชิดเชื้อด้วยการวิพากษ์ประเด็นร้อนประเด็นใด ในสังคม ก่อนจะตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะแสบๆ ผ่านมุมมอง "อีนังโมหิณี" แมวสีสวาทสุดรัดสุดดวงใจ ที่มักโผล่มาปิดท้ายคอลัมน์อยู่เนืองๆ พร้อมคำด่าคำจิกแบบแทงทะลุกลางใจประสาสัตว์ที่ไม่จำต้องตอแหล แคร์มารยาทสังคม จึงสะใจ สมใจใครต่อใครนักแล แต่มากกว่านั้น เกินกว่าความสาแก่ใจที่มีใครสักคนมาคอยเป็นกระบอกเสียงสะกิดเตือน กระแทกกระทุ้งจิตสำนึกคนในชาติกันแบบแรงๆ ไม่เกรงอกเกรงใจแล้ว "ทรรศนะ" หรือ "มุมมอง" ของ ไมเคิล ไรท ที่มีต่อประเด็นปัญหานั้นๆ ต่างหาก ที่มีคุณค่า น่าสนใจ ใส่ใจ ไม่น้อยไปกว่านักวิเคราะห์การเมือง นักวิชาการผู้ทรงภูมิ หริอคอลัมนิสต์มากชั่วโมงบินคนไหนๆ

สะท้อนมุมมองกระแสจตุคามรามเทพฟีเวอร์, เสนอความเห็นเรื่องยุคสมัยแห่งเรเนสซองส์ของไทยผ่านการเคลื่อนไหวของเสรีภาพ ทางความคิด, วิพากษ์ประเด็นเรื่องความรักชาติ และการมุ่งบัญญัติศาสนาประจำชาติได้อย่างลึกซึ้ง เข้าใจหลักธรรมในศาสนาพุทธอย่างผู้ที่สนใจศึกษาอย่างจริงจัง ทั้งหยิบยกมานำเสนอ เปรียบเทียบกับสภาวะการณ์ของบ้านเมืองอยู่บ่อยครั้ง เหล่านี้เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยของตัวอย่างบทความสะท้อนสังคมของเขา

Image

หากต้องสวมบทบู๊ ที่ต้องคอยกระทุ้งสีข้างคนไทยแรงๆ ไมเคิล ไรทก็ไม่ไว้หน้า ไม่อะลุ้มอล่วย พินอบพิเทาสยบยอม เทียบเท่ากับที่ไม่เคยอ่อนข้อให้กับชาติมหาอำนาจหน้าไหนก็ตาม หากสมควรต้องโดนวิพากษ์ ไมเคิล ไรท ก็ไม่ยั้งมือ

แม้หลายครั้ง ไม่เห็นด้วยกับทรรศนะของไมเคิล ไรท แต่ในชีวิตจริง " เพื่อน" ที่คอยบอกกล่าว ตักเตือน ด่าว่าเราด้วยความหวังดี กระทุ้งเตือนอย่างจริงใจ ไม่เสแสร้ง ไม่นับเป็น เพื่อนที่น่าคำนึงถึงหรอกหรือ สำหรับเรา ฝรั่งตาน้ำข้าวคนนี้ จัดอยู่ในข่ายนั้น เพื่อนแท้ทางความคิด ผู้ถ่อมตน แต่ไม่เกรงใจ อหังการ์ และซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่ตนเชื่อมั่น ไม่สยบยอมให้อำนาจทางการเมืองไม่ว่าฝ่ายไหน

"นัก หนังสือพิมพ์ฝรั่งหลายฉบับนิยมชมชอบคุณทักษิณ แต่ยังงงไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไรแน่ และอธิบายไม่ได้ว่าทักษิณีสม์ เป็นปรัชญาแนวใด คุณโมหิณี แมวสุดสวาทของผมเสนอว่า ชะรอยฝรั่งคงงงงันกันกับคุณทักษิณ เพราะภาษาอังกฤษไม่มีคำว่ากะล่อน"

"ท่าน ผู้อ่านอย่าไปสนใจว่าอีโมหิณีตัวปากร้ายจะใส่ความใคร ผมถือเพียงว่า ในปัจจุบัน เมืองไทยกำลังต้องการนักคิดที่มีหลักการอย่างหนึ่งอย่างใด ไม่ใช่นักเล่นมายากลสารพัดตลบตะแลง เมืองไทยต้องการระบอบประชาธิปไตยขนานแท้ ที่มีกลไกป้องกัน ไม่ให้รัฐอาละวาดหรือฉ้อราษฎร์บังหลวง ..." (จาก มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับ 1384)

ด้วยรัก และอาลัย ไมเคิล ไรท
เหนืออื่นใด ขอให้ “โมหิณี” ไม่ถูกทอดทิ้ง แต่ยังคงส่งเสียง และคอยตั้งคำถามต่อสังคมไทยเสมอ

............

เรื่องโดย : ตัวหนอนบนกองหนังสือ

หมาย เหตุ-ไมเคิล ไรท หรือ Michale Anthony Stanley Wright มีชื่อตามบัตรประชาชนหลังโอนสัญชาติจากอังกฤษเป็นไทย ว่า เมฆ มณีวาจา เกิดวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2483 ณ เมืองเซาแธมป์ตัน ประเทศอังกฤษ เคยได้รับการทาบทามจากบุญชู โรจนเสถียร ให้เป็นที่ปรึกษาส่วนตัว ทั้งถูกรับเข้าทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายแปลเอกสารที่ธนาคารกรุงเทพ ให้หลัง จึงเข้าทำงานที่ศูนย์สังคีตศิลป์ ธนาคารกรุงเทพนับแต่ปี พ.ศ. 2513- พ.ศ. 2543 จากนั้น ปี พ.ศ. 2543 ดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษา บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน)

เป็นคอลัมนิสต์ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม นับแต่ปี พ.ศ. 2522 ถึงปัจจุบัน

เป็นคอลัมนิสต์ ในคอลัมน์ “ฝรั่งมองไทย” หนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์ นับแต่ พ.ศ. 2535 ถึงปัจจุบัน

ได้รับการยกย่องเชิดชู จาก สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ให้เป็นผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่น เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2550 ทั้งได้รับการยกย่องจากมูลนิธิเสฐียร โกเศศ-นาคะประทีป ให้เป็นผู้มีอุปการคุณต่อวงการไทยคดีศึกษา

ไมเคิล ไรท สิ้นใจอย่างสงบ เมื่อวันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2552 ด้วยโรคมะเร็งปอด ในวัย 68 ปี

ตัวอย่างผลงานที่เคยตีพิมพ์เป็นหนังสือเล่ม อาทิ โองการแช่งน้ำ, ไมเคิล ไรท มองโลก, โลกนี้มีอนาคตหรือ? ,ฝรั่งคลั่งผี, ฝรั่งหายคลั่งหรือยัง, ฝรั่งอุษาคเนย์, ฝรั่งคลั่งสยาม, ฝรั่งหลังตะวันตก


http://www.boybdream.com/manager-news-c ... newid=3966



เมื่อก่อนอ่านคอลัมน์ของแกเป็นคอลัมน์แรกๆ

หลังๆ งอนมติชน เลยตกข่าวอย่างแรง

ใจหายๆ RIP ครับ :cry:
:idea: 1 ปีตุลาเลือด ฆาตรกรต้องไม่ลอยนวล
วันข้างหน้า ผู้มีอำนาจ จะไม่บังอาจฆ่าประชาชน
-->
User avatar
Cherub Rock
 
Posts: 2769
Joined: Mon Oct 13, 2008 12:47 am

Re: คิดถึงฝรั่งมองไทย... “ไมเคิล ไรท์ ผู้จากไป

Postby Cherub Rock » Wed Sep 09, 2009 9:27 am

ฝรั่งมองไทย

ข้อคิดดีๆ ตัดมาจาก blog ดักแด้
----

วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์

“แม้เติบโตจากระบบทุนนิยม แต่แนวคิดกลับแปลกแยกอย่างสิ้นเชิง
แม้เป็นชาวอังกฤษ แต่มุมมอง "ความเป็นไทย"กลับเฉียบคมยิ่ง ๑๒ ปีในเมืองไทย
หล่อหลอมฝรั่งคนนี้เป็นคนไทย เกือบสมบูรณ์ กว่าคนไทยอีกหลายคน.....”

ประวัติ

ชื่อ Martin Wheeler อายุ ๔๒ ปี
เป็นชาวอังกฤษ เมือง Blackpool
ปริญญาตรีเกียรตินิยม ภาษาละติน จาก University of London
ภรรยา นางรจนา วีลเลอร์ ชาวขอนแก่น บุตร ๓ คน
๑. ด.ช.อิริค วีลเลอร์ (Eric Wheeler) อายุ ๘ ขวบ
๒. ด.ญ.แอนนี่ วีลเลอร์ (Anne Wheeler) อายุ ๖ ขวบ
๓. ด.ช.ดิเรก วีลเลอร์ (Derek Wheeler) อายุ ๖ เดือน

...

ผมเป็นชาวอังกฤษ
เกิดในครอบครัวที่ฐานะดีพอสมควร
พ่อจบปริญญาเอก เป็นผู้จัดการบริษัทเกี่ยวกับสารเคมี ยาฆ่าแมลง มีลูกน้อง ๒๐,๐๐๐กว่าคน
แม่จบปริญญาตรี เป็นครูสอนเปียโนกับไวโอลิน

ผมจบปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับหนึ่งภาษาละติน
ครั้งแรกเรียนที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
ปีที่ ๓ ผมย้ายไปเรียน มหาวิทยาลัยลอนดอน และจบที่นั่น

ผมไม่ชอบเคมบริดจ์ เพราะเป็น แบบโบราณ
อังกฤษเป็นประเทศเก่าแก่มาก
สมัยโบราณเป็นระบบศักดินา มีขุนนาง
และ ชาวบ้านเป็นขี้ข้า

ทุกวันนี้แม้ยกเลิกระบบนั้นแล้ว
แต่ที่เคมบริดจ์ยังเจอวัฒนธรรม แบบขุนนาง
เป็นสังคมเล็กๆ ผ่านมา ๒๐๐-๓๐๐ ปีแล้ว
แต่ไม่รับรู้อะไร ไม่เข้าใจชาวบ้าน

เขาคิดแต่เรื่อง สังคมเล็กๆ ของเขาในกลุ่มคนชั้นสูง
เป็นพวกหอคอยงาช้าง

ที่ผมเรียนได้คะแนนดี
เพราะพ่อแม่ของผม บังคับให้เรียนหนังสือ
ส่งเสริมให้เรียนตั้งแต่อายุ ๒ ขวบครึ่ง
สอบไปเรื่อยๆ เพิ่มไอ.คิว. ให้สูงที่สุด เท่าที่จะทำได้
ผมเรียนสูงจนได้เกียรตินิยม เพราะพ่อแม่มีเงินช่วย
ไม่เกี่ยวกับความฉลาดเฉพาะตัว

ปฏิวัติค่านิยมเก่า

ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องเงิน
ไม่อยากมีรถยนต์ ไม่อยากมีบ้านใหญ่
อยากมีบ้านเล็กๆ อยากมี ครอบครัวเล็กๆ ที่มีความสุข
ไม่สนใจเรื่องวัตถุ ผมอยากอยู่แบบง่ายๆ
เมื่อก่อน ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไร
แต่ตอนนี้รู้ว่า เขาเรียกมักน้อย สันโดษ
ที่อังกฤษเขาว่าผมบ้า เป็นเด็กนิสัยเสีย
เพราะพ่อแม่ส่งให้เรียนหนังสือ แต่ไม่เอาความรู้ไปหาเงิน
เขาหาว่า เด็กที่ไม่คิดทำงานนั้น นิสัยเสีย

หลังจากเรียนจบแล้ว
ผมก็เอาปริญญาให้พ่อแม่ตามที่ท่านอยากได้
แล้วผมก็ไปทำงานก่อสร้าง แบกอิฐแบกปูนอยู่ ๑๐ ปี
ช่วงนั้นชาวบ้านบอกว่า ผมบ้าแน่ครับ
แต่เป็นเรื่องที่ผมอยากเรียนรู้ชีวิต อยากรู้จักตัวเอง
ว่ามีความสามารถมากน้อยเพียงใด มีความอดทนมั้ย
ทำในสิ่งที่เราไม่น่าจะทำได้มั้ย
ท้าทายตัวเองบ้าง อยากผ่านชีวิตที่ลำบากบ้าง

ผมอยู่ในสังคมของคนมีเงิน เขาจะพูดถึงแต่เรื่องเงิน
คุณมีรถยี่ห้ออะไรบ้าง? มี่กี่คัน?
คุณมีบ้านใหญ่ขนาดไหน?
ลูกของคุณเรียนที่ไหน?
เอาลูกมาแข่งขันกัน จบจากที่ไหนบ้าง?
จบจากเคมบริดจ์ดีกว่าจบจากมหาวิทยาลัยลอนดอน

แต่ผมกลับคิดว่า ชีวิตน่าจะมีอะไร มากกว่านั้น
ช่วงนั้นผมไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร
แต่ที่รู้แน่ๆ คือไม่ใช่เงิน ไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่ปริญญา
ต้องมีสิ่งอื่น ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน
ผมก็เลยมาลองแบกอิฐ แบกของหนักไว้ก่อน
เดินแบกอิฐไปมา วันละสาม-สี่พันเที่ยว
มันอิสระ เรามีเวลาคิด
ได้รู้จักคนอื่น และได้สร้างความเข้มแข็ง ให้ร่างกาย
แล้วจิตใจเราก็เข้มแข็งขึ้นด้วย

ชาวบ้านธรรมดาที่อังกฤษนั้น จริงๆ เขาลำบากกว่าคนไทยมาก
เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ผมได้เห็น ชีวิตของชาวบ้านที่อังกฤษแย่มาก
คนที่นั่น ๖๐% ไม่มีบ้าน
ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา จะไม่ได้เป็น เจ้าของบ้าน
ต้องไปเช่าบ้านจากเจ้านายตลอดชีวิต
๙๘% ไม่มีใครมีที่ทำกิน แล้วก็อยู่ในเมือง
เป็นขี้ข้าเขาหมด แม้แต่เป็นผู้จัดการก็เป็นขี้ข้าด้วย

เพราะไม่มีใครพึ่งตนเอง ไม่มีใครมีที่ทำกิน
จะไปทำอะไร ช่วยตัวเองก็ไม่ได้ จะไปสุขอะไรก็ไม่ได้
ต้องไปหาเงิน ชีวิตอยู่กับเงินอย่างเดียว
เงินเยอะ ก็มีคุณภาพชีวิตที่ดี
ได้เงินน้อย คุณภาพชีวิตก็ไม่ค่อยสูงเท่าไหร่

พ่อแม่และผม

ถามว่าชีวิตของพ่อมีความสุขมั้ย? ผมคิดว่าไม่
ผมคิดว่าพ่ออยากได้บางสิ่งบางอย่าง
เขาได้เงินเดือน เยอะมาก ได้รับบำเหน็จบำนาญ
เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านในชุมชน
มีตำแหน่ง มีเกียรติยศอะไรอีกเยอะแยะ

แต่ผมคิดว่าพ่อไม่มีความสุข
เพราะว่าวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ไปทำงานที่โรงงาน
ตกเย็นไปประชุมอีก
กลับบ้านสามทุ่มสี่ทุ่ม ไม่ได้เจอเมียเจอลูก
วันเสาร์อาทิตย์พ่อก็ปวดหัว อยากพักผ่อน
พ่ออยากอยู่คนเดียว ไม่ให้ใครรบกวน

พ่อมีเมีย และลูกสามคน
แต่พ่อไม่ค่อยได้เห็นลูกเห็นเมีย
สมัยที่ผมอายุสิบสามขวบ
ผมไม่ได้คุยกับพ่อ แม้แต่คำเดียวเกือบปีครึ่ง
เห็นเมื่อไหร่ก็เจอพ่อปวดหัวตลอด
คิดหนัก อาชีพของพ่อ ต้องใช้สมองมาก
ผมว่ามันเป็นกรรมพันธุ์ด้วย
ผมก็ปวดหัวบ่อยเหมือนกัน (หัวเราะ) ชอบคิดมาก ตอนนี้หายแล้ว

แม่เข้าใจผม แต่ไม่เห็นด้วยที่ผมมาเมืองไทย

แม่เสียชีวิต
ผมได้มรดกนิดๆ หน่อยๆ มีเวลาที่จะไปเที่ยว

ผมเคยวางแผนไว้ในใจว่าจะเที่ยว ๑ ปี
จะไปในประเทศ ที่ผมไม่เคยไปมาก่อน
เช่น ไทย ลาว เขมร พม่า มาเลย์ เวียดนาม อินโด ออสเตรเลีย

คิดว่าจะไปออสเตรเลีย เพราะเป็นประเทศเปิด
ไม่ค่อยมีกฎระเบียบเหมือนอังกฤษ
แต่ก็ยังไม่ได้ไปตามแผนที่วางไว้
ประเทศแรกที่ผมมาคือ ประเทศไทย

ผมไม่ใช่ครูฝรั่ง

สมัยก่อนผมนิสัยเสีย ชอบกินเหล้า ชอบเที่ยว ชอบสนุก
เงินที่ผมเก็บไว้ ๑ ปี ภายใน ๒ เดือนใช้หมดเลย
ไม่มีเงินกลับบ้าน ผมอยู่ประเทศไทย ตั้งแต่ปี ๒๕๓๕

ผมอยู่กรุงเทพฯ ไม่มีเงิน แม้แต่บาทเดียว
ไปหางานทำ อาชีพอย่างเดียวที่เราทำได้
คือเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ

จริงๆ แล้ว ผมไม่ได้เป็นครูหรอก ผมสอนไม่เป็น
แต่คนไทยเห็นฝรั่ง จะบอกว่าฝรั่งทุกคน
เป็นครูสอนภาษา ซึ่งมันไม่จริง

ฝรั่งส่วนมากไม่ได้เป็นครู
ที่กรุงเทพฯ เขาจ้างผมให้เป็นครู
เอาเสื้อผ้าดีๆ เนคไทดีๆ ให้ใส่
เขาบอกว่า คุณเป็นครูนะ
แล้วเขาก็ส่งผมเข้าห้องเรียนเลย

ความจริงฝรั่งที่เขาเรียกครูนั้น
ไม่มีใครเคยสอนหนังสือ แม้แต่คนเดียว
และบางครั้ง ก็ไม่ใช่คนอังกฤษด้วย
มีคนหนึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส
พูดภาษาอังกฤษผมฟังไม่รู้เรื่อง แม้แต่คำเดียว
คนไทยก็แปลกดีเหมือนกัน

เขาให้เงินเดือนผมเดือนละ ๓ หมื่นบาท ไปนั่งเฉยๆ
ผมก็ละอายใจ ไม่อยากรับ
ผมคิดมาก ปวดหัวทั้งวันทั้งคืน

เพราะถ้าเราทำงานอะไรในชีวิต เราต้องได้ผล

สมมติมีคนมาจ้างเรา ๑๐๐ บาทแบกอิฐ
ผมจะรับแน่ เพราะว่า ผมแบกอิฐแผ่นนั้น
จากโน่นไปที่นู่น ผมทำได้แน่ครับ
แล้วผมก็จะเอาเงินของคุณไป

แต่เวลาผมเป็นครูสอนภาษา มันไม่ได้ผลหรอก
ผมสอนไม่เป็น เอาเงินให้ผมเฉยๆ
ผมก็รู้สึกว่า ไม่น่าจะเอา
ผมไม่ได้ทำประโยชน์อะไร คุ้มค่าเงินนะ

เงินไม่ทำให้ผมมีความสุข

ผมมีอุดมการณ์เล็กๆ ตั้งแต่อายุยังน้อยๆ
๑. ถ้าเราทำงานอะไร ต้องทำในสิ่งที่เรามีความสุข
๒. จะไม่ทำงานที่ต้องผูกเนคไท
๓. จะไม่มีกระเป๋าเอกสาร

เพราะว่าเหมือนสังคมของพ่อแม่ผม เขาจะทำงานแบบนั้น

ทุกคนมีเสื้อนอก มีรถยนต์ มีเอกสาร
แต่เขาไม่ค่อยมีความสุขหรอก
ผมเอาสิ่งนี้ มาเป็นสัญลักษณ์ แห่งการทำงานที่ไม่มีความสุข

มีช่วงเดียวเท่านั้น ที่ผมทรยศต่อชีวิตตัวเองคือ
ช่วงที่ผมเป็นครูอยู่ที่กรุงเทพฯ ผมต้องผูกเนคไท
ผมทำในสิ่งที่ผมเกลียดที่สุดเลย เพื่อเงินอย่างเดียว

ทำอยู่ประมาณ ๑๑ เดือน
ชีวิตไม่มีความสุข เหมือนอยู่ที่อังกฤษ
คือทำงานอะไรก็ได้ ขอให้มีเงิน
แต่ไม่มีความสุข
แล้วก็เอาเงินไปใช้ในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ไปเที่ยว ไปกินเหล้า ไปสูบบุหรี่
ยาเสพติดทุกชนิดผมเอาหมด
ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม แม้แต่อยู่กรุงเทพฯ ก็ยังทำอยู่
ถึงได้เงินเยอะ แต่ไม่รู้ว่า จะเอาไปทำอะไร
เพราะเงินไม่ช่วยให้เรามีความสุข

หันเหชีวิตสู่แนวทางที่วาดหวังไว้

ผมเจอภรรยา เธอมาจากจังหวัดขอนแก่น
อยู่กรุงเทพฯ ไม่นานก็มีลูก
ผมเริ่มคิดหนัก แต่ก่อน อยู่คนเดียวไม่มีปัญหา
มีความสุขหรือไม่มีก็คนเดียว ไม่ยากหรอก
เมื่อมีเมียมีลูก มันต้อง รับผิดชอบผู้อื่นด้วย
จะไปนั่งกินเหล้าเฉยๆ ไม่ได้หรอก
คิดว่าทำอย่างไร ให้เมียกับลูกอยู่ได้ ผมรู้แน่ๆ
ถ้าผมอยู่ในสังคมเมือง และทำงานแบบนี้ ผมจะเป็นคนแย่มาก
จะกินเหล้า สูบบุหรี่ ติดยา เที่ยวอย่างเดียว
จึงตัดสินใจตัดตัวเองออกจากสังคมเมือง ไปอยู่บ้านนอก
แฟนผม มาจากหมู่บ้านเล็กๆ ในจังหวัดขอนแก่น
ช่วงปีใหม่ผมไปเที่ยวบ้านของแม่ยายเห็นว่า เป็นธรรมชาติดี

ต้องเข้าใจว่าคนอังกฤษอยู่บ้านนอกไม่ได้
เพราะชนบทมีพื้นที่นิดเดียว พวกขุนนางยึดหมด
คนยากจน จึงอยู่ชนบทไม่ได้ ต้องไปอยู่ในเมืองที่สกปรก แออัด
คนอังกฤษที่ยังรวยไม่ถึงขั้น เช่นพ่อของผม
มีเงินเยอะ แต่ก็ยังรวยไม่ถึงขั้น เพราะยังอยู่ในเมือง
วัดจากคนที่อยู่กลางเมืองใหญ่ๆ จะเป็นคนจนที่สุด
ที่อยู่ชานเมือง จะเป็นพวกครู ข้าราชการ อะไรแบบนั้น
เป็นผู้จัดการ ก็ยังอยู่ในเมือง
ส่วนคนที่จะได้อยู่บ้านนอก จะต้องเป็นคนรวยถึงขั้นจริงๆ
เป็นพวกขุนนางใหญ่โต มันเป็นเรื่องแปลก

ผมมาอยู่ที่ขอนแก่น เห็นแต่ละคน มีที่ดินเยอะมาก
ชาวบ้านธรรมดา คนเดียวมีถึง ๕๐ ไร่ ๒๐๐ กว่าไร่ก็มี
พ่อแม่ผมมีแค่ ครึ่งไร่เท่านั้นเอง
แต่อยู่บ้านนอกที่นี่ โอ้โฮ..มีเยอะมาก
สะอาดด้วย อากาศก็ดี
ตอนแรกได้กลิ่น ผมก็ว่ากลิ่นอะไร อ๋อ มันกลิ่นธรรมชาติ
ผมไม่เคยดมมาก่อน โอ้สุดยอดเลยบ้านนอก

คนอื่นว่าฝรั่งมันบ้า เพราะเขาไม่คิดว่า
ทำไมฝรั่งอยากไปอยู่บ้านนอก
เขาคิดว่าฝรั่งมีแต่คนรวย ฝรั่งไม่มีคนยากจน
เขาไม่รู้จริงๆ ว่าฝรั่งส่วนมากลำบาก
บ้านก็ไม่มี ที่ดินก็ไม่มี เป็นขี้ข้าเขาหมด ลูกก็ไม่มีอนาคต

ปัญหาของระบบทุนนิยมคือเรื่องเงิน เงินถูกจำกัดเป็นก้อนเล็กๆ
คนรวยกวาดเงินไปเยอะ จนเหลือนิดเดียว มันแบ่งกันไม่ลงตัว
ทำให้มีคนจนเยอะ
ถ้ามีคนรวย ๑ คน จะมีคนจน เป็นร้อยเลย ระบบทุนนิยมจึงอยู่ได้
ปัญหาของคนยากจนคือ ทำยังไง จะมีชีวิตที่ดี
เราจะหลุดพ้นจากความยากจนได้ ต้องหาสิ่งที่ไม่ใช่เงิน
อันนี้เป็นจุดเด่นของประเทศไทย
ชาวบ้านธรรมดา อาจจะไม่มีเงินเยอะ
แต่เขาสามารถจะหาหลายสิ่งหลายอย่าง ที่มีคุณค่า มากกว่าเงินตั้งเยอะ

แค่อยากหาคำตอบให้ชีวิต

ผมตกลงกับแฟนว่าเราจะไปอยู่บ้านนอก
ผมจะไม่รับจ้างสอนภาษาอังกฤษ เขาก็ตกลง
แต่ปัญหาคือ ผมทำเกษตรไม่เป็น
ช่วงแรกก็ลำบาก
ต้องกลับมาแบกอิฐเหมือนเดิม วันละร้อยยี่สิบบาท
โอ้โฮ...เหนื่อย
เพราะที่อังกฤษ ถึงจะแดดร้อน แต่อากาศเย็น
เดินไม่ได้ ต้องวิ่ง ก็อุ่นได้
แต่ขอนแก่นช่วงนั้น เป็นเดือน ๔ อากาศร้อนมาก ๔๐ กว่าองศา
บางครั้ง ผมเป็นลม เขาเอาน้ำมาสาด
โอ๊ย.! ฝรั่งมันบ้า ทำไม ไม่กลับบ้าน
คิดผิดหรือเปล่า ทำไมต้อง มาลำบากขนาดนี้
เขาคิดว่า ผมเป็นฆาตกร
ไปฆ่าคนที่อังกฤษ แล้วกลับบ้านไม่ได้ หนีคดีมา
ความจริงไม่ใช่
ผมก็แค่อยากหาคำตอบในชีวิต บางเรื่องเท่านั้น
อยากหาความสุข ที่เป็นแบบ ยั่งยืนสักหน่อย

บางครั้งก็คิดหนีไปที่อื่นเหมือนกัน
แต่ผมไม่รู้ว่า ถ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้จะไปอยู่ที่ไหน
คิดว่า เราต้องหาคำตอบให้ได้
ปัญหาอาจจะอยู่ที่ตัวของผมเอง
แต่ในภาพรวมที่นี่ดี สิ่งแวดล้อมดี สะอาด
ถ้าเรามีลูก เราอยากให้ลูกของเราอยู่ในที่สะอาด
อาหารธรรมชาติฟรีๆ ก็มีเยอะมาก ในภาคอีสาน
เห็ดแดง หน่อไม้ ไข่มดแดง ดอกกระเจียว
ผักอีหรอก แมงคับแมงคาม ขี้กะปอม เยอะ
แต่บางคนก็ไม่กินนะ บางคนก็กิน
ซึ่งมันดีมากเพราะว่า
๑. สะอาด อาหารธรรมชาติ ไม่มีใครไปใส่ปุ๋ยเคมี
๒. ไม่ได้ซื้อ ไม่ได้ใช้เงิน ขอให้ขยันเดินไปเก็บ
สมัยก่อน ที่อังกฤษ ผมจะเดินแบกอิฐทั้งวัน
เมื่อได้เงินแล้ว ก็เอาเงินเกือบทั้งหมดไปซื้ออาหารในร้าน
ฝรั่งส่วนมาก ทำงานหนักทุกวัน
แต่เงินที่เขาได้ มันเพียงพอที่จะซื้ออาหารกินเท่านั้น
ไม่มีเงินเหลือ ฝากธนาคาร

นิยามความรวยกับความจน

มันเป็นเรื่องแปลกนะที่ประเทศไทย คนยากจนมีหนี้สินเยอะ
ที่อังกฤษมีแต่คนรวย ที่มีหนี้สิน
คนจนไม่มีหนี้ เพราะเขาไม่ให้คนจนยืมเงิน
เนื่องจากกลัวจะไม่มีปัญญาใช้คืน จึงไม่มีสิทธิ์ มีหนี้สิน
แต่คนรวยยืมเงินได้
คำว่ารวยกับคำว่าจน มันคืออะไรกันแน่ ?

ที่ขอนแก่นเขาว่าผมบ้าบ้าง ฝรั่งยากจนบ้าง ฝรั่งตกอับบ้าง
ฝรั่งขี้นก ฝรั่งไม่มีเงิน
แต่ผมบอกว่า ไม่ใช่ ผมรวยนะ
เขาถามว่ารวยได้ยังไง
ผมบอกว่า

๑. ผมมีบ้าน
ผมทำบ้านเล็กๆ เป็นกระท่อมน้อยๆ เอาหญ้ามามุงหลังคา
ชาวบ้านเรียกว่า เถียงนา ไม่ใช่บ้านหรอก
ผมบอกว่าใช่ มันบ้านของผม ไม่ใช่บ้านเจ้านาย
ราคาหนึ่งหมื่นสองพันบาท อยู่ได้ครับ
มันกันแดดกันฝนได้ แค่นั้นผมก็รวยแล้ว

๒. มีที่ดิน
แค่ ๖ ไร่เท่านั้นเอง ที่นั่นเขาบอกว่ากระจอก มีนิดเดียว
แต่สำหรับฝรั่ง มันเยอะมาก
จริงๆ ผมคิดว่า มันเป็นเรื่องสำคัญ เป็นพื้นฐานของชีวิต
เราต้องมีที่อยู่อาศัยเป็นของเรา ไม่ใช่ของเจ้านาย
เพราะว่าถ้ามันเป็นของเจ้านาย เราต้องไปหาเงินให้เขา
ถ้าเราไม่มีเงิน เขาก็ไล่เราออก เราไม่มีที่อยู่นะ
เพราะฉะนั้น ต้องมีบ้านเป็นของตัวเองไว้ก่อน
ซึ่งผมก็มีบ้าน คิดว่าลูกของผม จะต้องมีบ้านแน่ๆ ด้วย

เรื่องเกษตรผมทำไม่เก่ง
แต่ที่ทำได้ง่ายคือ ปลูกต้นไม้
ไม้ประดู่ ไม้สะเดา ไม้ยาง ปลูกไว้ให้ลูกสร้างบ้าน
ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้โตเร็วมาก แค่ ๒๕-๓๐ ปี ตัดได้แล้ว
ไม่เหมือนอังกฤษ ๒๐๐ ปีได้เท่านี้เอง เพราะอากาศเย็น
เป็นเรื่องแปลก ที่คนไทยจะบ่น
โอ๊ย..มันร้อนๆ ผมว่ากลับเป็นเรื่องดี
แสงแดดเยอะ จะทำการเกษตรได้
ตลอดเวลา ๑ ปี ทำได้ทุกวัน
แต่คนไทยจะบ่นร้อนๆ ไม่เอาๆ อยากเป็นคนผิวขาวดีกว่า
แต่คนอังกฤษ เขาถือคนผิวขาวเป็นคนจน
เพราะว่าไม่มีปัญญา จะไปเมืองนอก ซึ่งกลับกันเลย
แม้แต่พ่อของผม เขาก็ยังมีเครื่องอาบแดด
เพื่อให้ผิวเป็นสีแทน ให้ดูเป็นแบบคนมีสตางค์
แต่คนไทย กลับอยากมีผิวขาว

ผมมีลูก ๓ คน ชาย ๒ หญิง ๑
สิ่งสำคัญที่สุด ๒ เรื่องในชีวิตของเรา คือ
๑. ต้องมีบ้าน เป็นของตัวเองให้ได้ จึงจะถือว่า ชีวิตประสบความสำเร็จ
๒. ต้องมีงานทำทุกวัน ไม่ได้จำกัดว่า ต้องเป็นงานอะไร
แต่ขอให้ มีงานทำทุกวัน ชีวิตจึงจะไม่สูญเปล่า
วิธีเดียวที่รับประกันได้ว่า ลูกมีงานทำ
คือการมีที่ทำกินให้เขา และเราต้องช่วยให้เขาทำเป็น
ผมคิดว่าคนชนบทจริงๆ ใครมีที่ดินทำกินแล้วจะไม่ตกงาน เว้นแต่คนขี้เกียจ
ซึ่งบางคนมีที่ดินเยอะ แต่ไม่ยอมทำ
ถ้าเราสั่งสอน ให้ลูกรู้จักทำมาหากิน เขาก็ไม่ตกงาน
ผมถือว่างานที่อิสระ และมีประโยชน์ มากที่สุด
คืองานเกษตร ซึ่งช่วยให้เรากินอิ่มทุกวัน
คนอังกฤษกินไม่อิ่มเยอะมากนะ
ผมไม่อยากให้ลูกของผมอดอาหาร อยากให้ลูกกินอิ่มในลักษณะที่ส่งเสริมสุขภาพด้วย
กินอาหาร ที่ไม่มีสารพิษ กินอาหารแบบเรียบง่ายก็ได้ แต่อิ่มทุกวัน

เมื่อมีบ้าน มีงาน มีอาหาร
ลูกของผม ก็จะรวยที่สุด
ผมอยากให้ลูกอยู่บ้านนอก เพราะว่าสะอาด
จ้างเท่าไหร่ ก็ไม่อยาก ให้ไปอยู่ ในเมืองหรอกเพราะสกปรก แออัด

สำคัญที่สุดคือเรื่องของสังคม
ผมไม่อยากให้ลูกไปอยู่ในเมือง
เพราะว่า คนเมืองเห็นแก่ตัว
วิ่งไปหาเงินอย่างเดียว แข่งขันกันเยอะ
เดี๋ยวก็ฆ่ากัน ด่ากันทุกวัน ไม่สงบ
อยากให้ลูกอยู่บ้านนอก
เขาจะได้สิ่งที่หายากที่สุดในโลก

คนอีสานบ้านนอกเป็นคนดีมากนะ
มีน้ำใจ รู้จักช่วยเหลือคนอื่น
เอื้ออาทรกัน เกื้อกูลกัน แบ่งปันกัน ไม่แข่งขันกัน
ความเป็นชุมชนเป็นสิ่งที่หายากนะ
ถ้าเราไปอยู่ในเมือง จะอยู่แบบ ของใครของมัน
บ้านคนละหลัง ครอบครัวคนละหลัง ไม่รู้จักกัน
ถ้าเราอยู่ในชุมชนเล็กๆ เราก็ช่วยเหลือกันได้
คุยกันได้ แบ่งปันกันได้
ในที่สุดเราก็จะเป็นคนมีน้ำใจได้

ลูกของผมเขาเป็นคนมีน้ำใจ
เขาอาจจะไม่มีเงิน ไม่ได้เรียนหนังสือสูงๆ
แต่เขาจะมี สิ่งที่ดีกว่านั้นเยอะ
คือเขาจะมีที่อยู่อาศัย มีชุมชนที่ดี
ไม่มียาเสพติดไม่มีการพนัน ไม่มีอาชญากรรม มันน่าอยู่
ขอให้เราอยู่ในชุมชนที่เป็นแบบนั้น
มันก็ดีนะ ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องเป็นห่วง
ลูกก็จะเป็นคนดี ไม่ติดยา ไม่ขี้ขโมย ไม่เล่นไพ่
มีน้ำใจและรู้จักช่วยเหลือคนอื่น
ลูกผมเรียนหนังสือไม่เก่ง
ปีนี้เขาได้คะแนนเป็นอันดับที่ ๑๙ ในห้องของเขา
มีนักเรียน ๓๙ คน มันเดินสายกลาง พอดีเลย (หัวเราะ)

แต่ผมไม่ได้สนใจเรื่องอันดับคะแนนหรอก
ครูเขาเขียนถึงอุปนิสัยของลูกว่า
เป็นคนที่มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนอื่น
ซึ่งผมไม่ได้สอนแบบนั้น
ฝรั่งส่วนมากจะเห็นแก่ตัว
ผมเคยอยู่ ในสังคมอย่างนั้นมาก่อน
มันเปลี่ยนยากครับ ผมจึงไม่ได้สอนให้ลูกเป็นคนมีน้ำใจ
แต่มันเป็นที่ชุมชน เป็นวิถีชีวิตของคนอีสาน
ที่เริ่มซึมเข้าไปในกระดูกของเขา
ทำให้ลูกอายุแค่ ๘ ขวบเป็นคนมีน้ำใจ
ผมถือว่าสุดยอดแล้ว ผมภูมิใจในตัวของลูกมากๆ
เรื่องเรียนไม่สำคัญหรอก
สำคัญที่สุดนั้น เป็นความมีน้ำใจ
ถ้าเขาสามารถรักษาสิ่งนี้ไว้ตลอดชีวิต
ผมคิดว่า เขาคงมีความสุขแน่

วิเคราะห์เจาะลึกอีสานบ้านเฮา

ผมเคยบังคับลูกชายคนแรก ตอนอายุประมาณ ๓ ขวบ
จับมานั่งสอนภาษาอังกฤษ
เขาก็ร้องไห้ ๆ ไม่เอาๆๆ
ผมก็คิดว่า เอ๊ะ..เราน่าจะเลิกทรมานเด็ก ปล่อยให้เขามีความสุข
ตั้งแต่วันนั้น ผมบอก จะไม่สอนเขาอีก
แต่ถ้าอยากเรียนมาบอกผม จะสอนให้
ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ เขายังไม่บอกผมเลย
ผมก็มาคิดว่า จะให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษเพื่ออะไร
ในหมู่บ้าน ของผมมี ๕๐ ครอบครัว
ทุกคนพูดอีสานอย่างเดียว แม้แต่ผมก็ยังพูด
แล้วจะให้เขาเรียนภาษาอังกฤษ เพื่ออะไร?

สมมติว่าลูกของผม อยากอยู่ในหมู่บ้านนี้ตลอดชีวิต
ภาษาอังกฤษก็จะเป็นความรู้ ที่ไม่เป็นประโยชน์อะไรทั้งสิ้น
ผมเคยเรียกว่า มันเป็นวิชาขี้ข้า
เอาไว้รับจ้างเฉยๆ เอาไปหาเงิน
คนที่มีความรู้ ภาษาอังกฤษ จะเอาอันนี้แลกกับเงินอย่างเดียว
เขาไม่ได้เรียนเพื่อชีวิตของเขา
เขาอยากเอาเงิน ไปทำงานสูงๆ หน่อย

ปัญหาของคนอีสานมีมากในเรื่องของการศึกษา
คนอีสานส่วนมากไม่อยากให้ลูกเป็นคนอีสาน
ไม่อยากให้ลูกเป็นคนบ้านนอก
ไม่อยากให้ลูกพูดภาษาอีสาน อยากให้พูดไทย
ชาวบ้านส่วนมาก คิดอยากให้ลูกได้ดีในชีวิต
คิดว่าสิ่งที่ดีในชีวิตของลูกคือ
๑. ไม่ได้พูดอีสาน พูดแต่ภาษาไทย
๒. พูดภาษาอังกฤษด้วย
๓. เล่นคอมพิวเตอร์ได้
๔. ไปอยู่ในเมือง
๕. ไปรับจ้างเขา
๖. ไปสร้าง หนี้สิน ไปซื้อบ้านหลังเล็กๆ ราคา ๒ ล้าน ๓ ล้านบาท

เขาคิดว่า อย่างนี้ลูกของเขาได้ดี ซึ่งผมไม่เห็นด้วย
ผมก็อยากให้ลูกของผมได้ดีเหมือนกัน
แต่ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ปัจจัยที่จะช่วยให้เขาได้ชีวิตที่ดี
อาจจะเอาไปแลกเงินในบางช่วงได้
แต่ผมหวังว่า ลูกของผม จะมีความคิด สูงกว่านั้น
ชีวิตน่าจะมีไว้เพื่อหาสิ่งที่ไม่ใช่เงิน
ถ้าเขาเรียนรู้ เพื่ออยาก จะหาเงิน อย่างเดียวก็น่าเสียใจนะ
เพราะความรู้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
แต่การเรียนรู้ เป็นสิ่งที่เราต้องทำทุกวันตลอดชีวิต
เราหยุดเรียนรู้ไม่ได้
แต่เราไม่น่าจะเรียนเพื่อเอาความรู้ เอาปริญญา
ไปแลกกับเงิน ทำให้ความรู้ไม่มีคุณค่า

จุดอ่อนจุดแข็งของคนไทย

ผมคิดว่าคนไทยส่วนมากยังไม่เข้าใจระบบทุนนิยม
เห็นฝรั่งที่ไหน ก็คิดว่ารวยหมด
คิดว่าการพัฒนา ในระบบทุนนิยมจะทำให้ทุกคนมีเงิน
ไม่เข้าใจว่าประเทศที่พัฒนาระบบทุนนิยมนานแล้ว
เช่น อังกฤษ สหรัฐ มีปัญหาเยอะมาก

แต่คนไทยก็คิดว่า เมืองนอก ดีกว่า
อันนี้จุดอ่อนครับ
คือคนไทยสนใจเมืองนอก
ไม่ได้สนใจ ประเทศไทย

ผมเป็นฝรั่ง คุณเลยนั่งฟังผม
ถ้าผมเป็นชาวบ้าน คุณจะไม่สนใจผม
อันนี้เป็นจุดอ่อนนะ
แต่จุดแข็งคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
แผ่นดินประเทศไทย อุดมสมบูรณ์มากๆ
ที่ดินเยอะมาก น้ำเยอะมาก แสงแดดเยอะมาก
ทำเกษตรอยู่รอดแน่ เป็นพลังแผ่นดิน
ใครๆ ก็อยากได้ประเทศไทย
ผมก็ได้ถึง ๖ ไร่

คนไทยโชคดีมากๆ
ที่ได้ในหลวง เป็นผู้นำ
พระองค์ท่านเป็นคนที่ทำงาน หนักมาก
เพื่อช่วยให้คนคิดได้ ช่วยให้คนอยู่ได้
จะหากษัตริย์ ในประเทศอื่น ไม่ค่อยมีแบบนี้

ปัญหาคือคนไทยส่วนมากนับถือในหลวง
แต่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสอนของในหลวง
พระองค์ท่าน บอกมา ๒๗ ปีถึงเศรษฐกิจพอเพียง
แต่คนไทย ก็ไม่รู้จักพอเพียง เอาอย่างเดียว
ถึงยกมือไหว้ในหลวง
แต่เวลาดำรงชีวิต ไม่ได้ทำตามในหลวง
ก็ในหลวงบอกไว้แล้วว่า
ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเสือ ขอให้มีอยู่มีกินไว้ก่อน
ถ้าทุกคนเริ่มคิดจริงๆ ถึงสิ่งที่ในหลวงพูด
เราน่าจะช่วยให้ประเทศไทยอยู่ได้
เพราะความคิด ของในหลวง เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง
ต้องอาศัย พลังแผ่นดิน ทำได้เฉพาะประเทศไทยนะ
เศรษฐกิจพอเพียง ที่อื่นทำไม่ได้หรอก
เพราะเขาไม่มีที่ดิน ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะ เหมือนประเทศไทย

พวกคุณโชคดีที่ได้แผ่นดินดีๆ ได้ผู้นำที่ดีด้วย
และเรื่องที่ ๓ เรื่องศาสนา
ผมคิดว่าศาสนาพุทธ มีความสำคัญมากๆ สำหรับคนไทย
ไม่ใช่แค่นับถือไหว้พระ แค่นั้นไม่พอ
แต่อยู่ที่การปฏิบัติ ด้วยนะ มักน้อย สันโดษ พอเพียง
ธรรมะคือธรรมชาติ เป็นเรื่องง่ายๆ
พึ่งตนเองก็ได้ ปรัชญาของ ศาสนาพุทธ ทำได้นะ
แต่คนไทยจำนวนน้อยที่เข้าใจ จริงๆ แล้วศาสนาพุทธ
เป็นศาสนาที่ออกแบบให้เหมาะสม สำหรับคนบ้านนอก
ให้ใช้ชีวิตร่วมกับ ธรรมชาติ
โดยไม่ทำลาย ไม่เอาเปรียบ
แต่ให้เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

อยากบอกอะไรคนไทย

คุณโชคดีมากๆ ที่เกิดในประเทศไทยที่อุดมสมบูรณ์
ไม่ต้องไปรบกับใคร ไม่ต้องไปเอาน้ำมันจากใคร
ไม่ต้องไปเบียดเบียนคนอื่น ประเทศไทยอยู่ได้
กินอิ่ม มีเหลือแจกด้วย อย่าไปคิด เรื่องเงินอะไรมาก
อย่าลดคุณค่าความเป็นไทยของตัวเองลง
คนไทยส่วนมาก นิสัยดีจริงๆ คนไทยมีน้ำใจ หายากนะ

คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัวมีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์
มีศาสนาพุทธ ที่ดีมาก
ทั้ง ๓ อย่างนี้พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้
ชีวิตที่ไม่ทะเยอทะยานเกินไป
คือชีวิต ที่มีคุณภาพ ชาวบ้านทุกคนทำได้
ผมเองถึงยังทำไม่สำเร็จ แต่มั่นใจว่าจะทำได้แน่ในอนาคต
ถ้าผมทำได้ คนอื่นก็คงทำได้ง่ายกว่าผมเยอะ
ทุกอย่างอยู่ที่เรา
ถ้าเราไม่อยากได้อะไร มากเกินไป ในชีวิต
ชีวิตมันก็ง่าย
พยายามทำให้ชีวิตมันง่ายขึ้น
อย่าให้มันสับสน อย่าให้มันลำบาก
พยายามรักษา สิ่งแบบนี้ให้ดี และอย่าเชื่อฝรั่งมากเกินไป...

----

http://bact.blogspot.com/2004/05/blog-post_19.html


อันนี้ฝรั่งอีกคนนึงที่มองไทย :P
Last edited by Cherub Rock on Wed Sep 09, 2009 10:21 am, edited 2 times in total.
:idea: 1 ปีตุลาเลือด ฆาตรกรต้องไม่ลอยนวล
วันข้างหน้า ผู้มีอำนาจ จะไม่บังอาจฆ่าประชาชน
-->
User avatar
Cherub Rock
 
Posts: 2769
Joined: Mon Oct 13, 2008 12:47 am

Re: คิดถึงฝรั่งมองไทย... “ไมเคิล ไรท์ ผู้จากไป

Postby แดง ขาว น้ำเงิน » Wed Sep 09, 2009 9:30 am

ผมอ่านงานของแกแล้วก็ชอบเหมือนกันครับ สมัยก่อนงานด้านประวัติศาสตร์ยอมรับว่าอ่านค่ายของศิลปวัฒนธรรมเยอะเหมือนกัน
แต่ระยะหลังเริ่มมีอคติ โดยเฉพาะงานของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ คงต้องมาพิจารณาใหม่ว่ามีวาระแฝงหรือไม่
แต่ผมก็เชื่อว่างานของคุณไมเคิลเป็นงานที่มาจากเนื้อแท้วิเคราะห์วิจารณ์ตามหลักเหตุผลครับ
ได้ข่าวการจากไปของคุณไมเคิลก็เสียใจครับ
"ผู้ที่ใช้สติปัญญาไม่เป็น คือคนโง่ ผู้ที่ไม่กล้าใช้สติปัญญา คือทาส" เพลโต้
User avatar
แดง ขาว น้ำเงิน
Moderator
 
Posts: 4943
Joined: Thu Feb 12, 2009 4:07 pm
Location: Earth

Re: คิดถึงฝรั่งมองไทย... “ไมเคิล ไรท์ ผู้จากไป

Postby Cherub Rock » Wed Sep 09, 2009 9:49 am

ผมอ่านแต่คอลัมน์ในมติชนสุดฯ
เปิดอ่านเป็นคอลัมน์แรกๆ (หลังจากนิวัต :mrgreen: )

ชอบเพราะเขียนเจ็บๆ คันๆ มีมุมมองแปลกๆ
ไม่งี่เง่าเหมือนพวกฝรั่งที่ไม่รู้จักเมืองไทย หรือคนไทยโง่ๆ ที่ไม่รู้จักตัวเอง (เช่นไอ้ดุก)

น่าเสียดายที่แกจากไปเร็ว :(
:idea: 1 ปีตุลาเลือด ฆาตรกรต้องไม่ลอยนวล
วันข้างหน้า ผู้มีอำนาจ จะไม่บังอาจฆ่าประชาชน
-->
User avatar
Cherub Rock
 
Posts: 2769
Joined: Mon Oct 13, 2008 12:47 am

Re: คิดถึงฝรั่งมองไทย... “ไมเคิล ไรท์ ผู้จากไป

Postby Jseventh » Wed Sep 09, 2009 10:18 am

มาลงชื่ออ่านเอาไว้ก่อนค่ะ..สำรวจเนื้อหาดูคร่าวๆแล้ว..น่าสนใจ (อีกแล้ว :P )
สารภาพว่า..ไม่เคยรู้จักเลย ได้ยินชื่อจากการคุยกันของสมาชิกในเว็บบอร์ดเสรีไทยหลายครั้งแล้ว
แต่ยังไม่เคยขวนขวายที่จะรู้เรื่องราวของเขา..

ไว้จะแวะมาอ่าน :)
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเทวาหรือซาตาน มนุษย์เท่านั้นที่เป็นผู้กำหนด
User avatar
Jseventh
 
Posts: 1741
Joined: Wed Nov 19, 2008 11:19 am

Re: คิดถึงฝรั่งมองไทย... “ไมเคิล ไรท์ ผู้จากไป

Postby Jseventh » Fri Sep 11, 2009 9:52 am

อ่านกระทู้นี้แล้ว ทำให้รู้จักฝรั่งท่านนี้มากขึ้น
แนวคิดดูเรียบง่าย แต่เฉียบคม .. มีหลายประเด็นที่รู้สึกเห็นด้วย
จะหาซื้อหนังสือของเขามาอ่านอย่างแน่นอนค่ะ :)
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเทวาหรือซาตาน มนุษย์เท่านั้นที่เป็นผู้กำหนด
User avatar
Jseventh
 
Posts: 1741
Joined: Wed Nov 19, 2008 11:19 am

Re: คิดถึงฝรั่งมองไทย... “ไมเคิล ไรท์ ผู้จากไป

Postby nonnun » Fri Sep 11, 2009 10:37 am

เพิ่งดูรายการชีพจรโลก ... เสียดายคนดี ๆ
... ลูกหลานทั้งหลาย แผ่นดินใดให้เรากำเนิดมา... แผ่นดินใดให้ที่ซุกหัวนอน ให้ความร่มเย็นเป็นสุข มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น./
(กรมหลวงชุมพร เขตรอุดมศักดิ์)
User avatar
nonnun
 
Posts: 1695
Joined: Wed Oct 15, 2008 11:52 am

Re: คิดถึงฝรั่งมองไทย... “ไมเคิล ไรท์ ผู้จากไป

Postby แดง ขาว น้ำเงิน » Fri Sep 11, 2009 7:58 pm

nonnun wrote:เพิ่งดูรายการชีพจรโลก ... เสียดายคนดี ๆ


เอ่ คนในชีพจรโลก สเตเฟ่น ยัง รึป่าวครับ คนนี้ยังไม่เสียไม่ใช่เหรอครับ

ไมเคิล ไรท์เสียไป 9 เดือนแล้ว หรือว่าแกเคยออกชีพจรโลกด้วยครับ :roll:
"ผู้ที่ใช้สติปัญญาไม่เป็น คือคนโง่ ผู้ที่ไม่กล้าใช้สติปัญญา คือทาส" เพลโต้
User avatar
แดง ขาว น้ำเงิน
Moderator
 
Posts: 4943
Joined: Thu Feb 12, 2009 4:07 pm
Location: Earth

Re: คิดถึงฝรั่งมองไทย... “ไมเคิล ไรท์ ผู้จากไป

Postby banana_dot » Fri Sep 11, 2009 8:59 pm

ขอบคุณน่ะครับ ที่เอามาให้อ่าน :)
User avatar
banana_dot
 
Posts: 473
Joined: Mon Oct 13, 2008 9:42 am

Re: คิดถึงฝรั่งมองไทย... “ไมเคิล ไรท์ ผู้จากไป

Postby nonnun » Sat Sep 12, 2009 12:26 am

แดง ขาว น้ำเงิน wrote:
nonnun wrote:เพิ่งดูรายการชีพจรโลก ... เสียดายคนดี ๆ


เอ่ คนในชีพจรโลก สเตเฟ่น ยัง รึป่าวครับ คนนี้ยังไม่เสียไม่ใช่เหรอครับ

ไมเคิล ไรท์เสียไป 9 เดือนแล้ว หรือว่าแกเคยออกชีพจรโลกด้วยครับ :roll:


อ๊าว! จำผิดสิเนี่ยะ ขอโทษ ขอโทษ แตกเลย :roll:

ยังงัยก็เสียใจด้วยสำหรับคนดี ๆ ที่จากไป.../
... ลูกหลานทั้งหลาย แผ่นดินใดให้เรากำเนิดมา... แผ่นดินใดให้ที่ซุกหัวนอน ให้ความร่มเย็นเป็นสุข มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น./
(กรมหลวงชุมพร เขตรอุดมศักดิ์)
User avatar
nonnun
 
Posts: 1695
Joined: Wed Oct 15, 2008 11:52 am

Re: คิดถึงฝรั่งมองไทย... “ไมเคิล ไรท์ ผู้จากไป

Postby Jseventh » Sat Oct 03, 2009 3:47 pm

เข้ามาอ่านคอมเม้นต์หนังสือที่กระทู้นี้อีกรอบ ทำให้นึกถึงเพลงนี้ขึ้นมา..
จะเข้ากับกระทู้ไม๊เนี่ย.. :roll: :)

เพลง: แผ่นดิน
ต้นฉบับ ขับร้องโดย คาราบาว
ร้องใหม่โดย ฟอร์ด


บทเพลง "แผ่นดิน" โดย คาราบาว

ไม่มีดินผืนใดให้ไออุ่น เท่ากับดินที่คุณถือกำเนิด
ไม่มีดินผืนใดดูมั่นคง เท่ากับดินที่ลงสัมมะโนครัว
ไม่มีดินผืนใดให้คุณเดิน เท่ากับดินที่คุณเดินตอนตั้งไข่
ไม่มีดินผืนใดมีความหมาย เท่าแผ่นดินสุดท้ายของเผ่าพันธ์

ไม่มีชายหญิงใดมีชีวิต หมกมุ่นครุ่นคิดแต่สืบพันธ์
ไม่มีชายหญิงใดมัวแต่ฝัน ถึงแต่ตนทุกวันทุกเวลา
ไม่มีชายหญิงใดไม่เคยคิด ถึงชีวิตต่อไปภายภาคหน้า
ไม่มีชายหญิงใดไม่อ่อนล้า ร่วงโรยชราไปตามกัน

อย่ามัวแต่ฝัน อย่ามัวแต่คิด ฝันถึง คิดถึง แต่ประโยชน์ส่วนตัว
เห็นแก่ตัว คนเห็นแก่ตัว แผ่นฟ้าจะมัว แผ่นดินจะหมองนองน้ำตา

ไม่มีดินผืนใดให้ไออุ่น เท่ากับดินที่คุณถือกำเนิด
ไม่มีดินผืนใดดูมั่นคง เท่ากับดินที่ลงสัมมะโนครัว
ไม่มีดินผืนใดให้คุณเดิน เท่ากับดินที่คุณเดินตอนตั้งไข่
ไม่มีดินผืนใดมีความหมาย เท่าแผ่นดินสุดท้ายของเผ่าพันธ์

ไม่มีชัยชนะใดยิ่งใหญ่ เท่ากับชัยชนะเหนือใจตน
ไม่มีภัยผองใดเหี้ยมโหดร้าย เท่ากับภัยผองไทยทำลายตน
ไม่มีเงินไม่มีทองยังไม่หมองเศร้า มีแผ่นดินปลูกข้าวเราอยู่ได้
ไม่มีเงินไม่มีทองค่อยหาใหม่ บนแผ่นดินสุดท้ายของไทยทุกคน

อย่ามัวแต่ฝัน อย่ามัวแต่คิด ฝันถึง คิดถึง แต่ประโยชน์ส่วนตัว
เห็นแก่ตัว คนเห็นแก่ตัว แผ่นฟ้าจะมัว แผ่นดินจะหมองนองน้ำตา

แผ่นดินเดือดร้อน (ผู้คนหมองไหม้)
ผู้คนใจร้าย (แผ่นดินเดือดร้อน)
แผ่นดินเหือดหาย (ผู้คนเหือดสิ้น)
หมดสิ้นแผ่นดิน หมดสิ้นเผ่าพันธ์

ไม่มีดินผืนใดให้ไออุ่น เท่ากับดินที่คุณถือกำเนิด
ไม่มีดินผืนใดดูมั่นคง เท่ากับดินที่ลงสัมมะโนครัว
ไม่มีดินผืนใดให้คุณเดิน เท่ากับดินที่คุณเดินตอนตั้งไข่
ไม่มีดินผืนใดมีความหมาย เท่าแผ่นดินสุดท้ายของเผ่าพันธ์
ไม่มีดินผืนใดมีความหมาย เท่ากับผืนดินไทยของไทยทุกคน

**************************************************************

ฟังได้ที่..
http://dek-d.com/board/view.php?id=934703
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเทวาหรือซาตาน มนุษย์เท่านั้นที่เป็นผู้กำหนด
User avatar
Jseventh
 
Posts: 1741
Joined: Wed Nov 19, 2008 11:19 am


Return to ชายคาพักใจ



cron