***ผู้ดีแบบ....

คุยกันสบายๆ ไม่ซีเรียส

***ผู้ดีแบบ....

Postby Great Wall » Wed Feb 17, 2010 8:41 am

เมื่อคนเรามาอยู่ร่วมกัน มาทำงานร่วมกัน ก็จะมีการพูดการคุยการสนทนาปราศรัยกัน เราก็จะเห็นได้ว่าคนไหนเป็นคนชอบความสงบ หรือคนไหนเป็นคนฟุ้งซ่านชอบพูดคุยไม่รู้จักหยุดหย่อน การที่เราได้ศึกษาเรียนรู้บุคคลหลายๆ ประเภทก็จะเป็นประโยชน์ในการทดสอบจิตของเราเอง ได้เรียนรู้เรื่องกิริยามารยาท การที่มีมารยาทก็เป็นลักษณะของผู้ดีที่ได้รับการศึกษาอบรมมา ส่วนการที่ไม่มีมารยาทก็เป็นลักษณะของผู้ด้อยการศึกษาที่ไม่ได้รับการอบรม

มารยาท ของคนไทย เช่นมารยาทในการเดิน เมื่อผู้ใหญ่นั่งอยู่ หากผู้น้อยต้องการจะผ่านไป ผู้น้อยก็จะต้องขอโทษแล้วเดินด้วยเข่าจนพ้นผู้ใหญ่ไปประมาณวาหรือสองวา แล้วจึงลุกเดินต่อไป นี่คือ มารยาทผู้ดี ถ้าเป็นมารยาทกึ่งผู้ดี ผู้น้อยก็ก้มหัวก้มหลังเดินผ่านไป ส่วนผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษามารยาทผู้ดีก็เดินแข็งทื่อ ไม่ก้มหัว ไม่เคารพ ไม่เกรงใจ บางทีก็เดินเบียดผู้ใหญ่เข้าไปจนชายผ้าไปกระทบหรือโดนผู้ใหญ่ก็มี กิริยาอาการที่ออกมาจึงไม่งดงาม หากคนที่มีมารยาทงามได้พบเห็นเข้าก็จะตำหนิติเตียน แต่คนที่ไม่ได้รับการศึกษาเรื่องมารยาทมาพบเห็นก็เป็นเรื่องธรรมดาว่าจะเดิน อย่างไรก็ได้ ดังนั้นการศึกษาเรื่องมารยาทจะแสดงอาการที่ดีออกมา

เรา จะดูความไม่เจริญของคนบางกลุ่มในสังคมได้จากการแย่งกันกิน แย่งกันใช้ แย่งกันพูด แย่งกันทำ ส่วนคนที่มีความรู้มีมารยาทก็จะมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เช่น เวลาอยู่ในห้องประชุมก็จะไม่สูบบุหรี่ จะสงบเงียบ เวลากระแอมหรือไอก็จะไม่ส่งเสียงดัง เวลาจะพูดก็จะยกมือเพื่อขอโอกาสพูด ถ้าประธานเปิดโอกาสให้พูดจึงจะพูด ถ้าไม่เปิ ดโอกาสให้ก็จะสงบฟังไปก่อน แต่ถ้าเป็นคนไม่มีมารยาทผู้ดี เวลาจะพูดก็พูดขึ้นโดยไม่ยกมือขอโอกาสพูด จะพูดทะลุกลางปล้องออกมา จะพูดตามอารมณ์ตัวเอง จะส่งเสียงกระแอมกระไอเสียงดัง นี่เรียกว่าไม่มีมารยาทในที่ประชุม

เมื่อ เราเรียนรู้หลักพระพุทธศาสนาก็ควรเรียนรู้เรื่องมารยาทของผู้ดีไว้ เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวันแล้วก็จะไม่มีใครดูถูกว่าเราไม่มีการศึกษา เรื่องมารยาท คนที่ไม่มีการศึกษาเรื่องมารยาทผู้ดีเราจะมองออกเลยว่าเขาไม่มีมารยาท เขาด้อยวัฒนธรรม เขาไม่มีความเป็นผู้ดี เขาไม่มีความเกรงใจ

คนที่ เกรงใจคนอื่นไม่เป็น จะไม่มีความเป็นผู้ดีในตัวเอง เมื่อเขาไม่เกรงใจผู้อื่น คนอื่นก็ไม่เกรงใจเขา ดังนั้นถ้าเรารู้จักเกรงใจผู้อื่น คนอื่นก็จะรู้จักเกรงใจเรา เราก็จะได้รับความเป็นผู้ดีตอบอยู่ตลอดเวลา อย่างเช่น ผู้ดีสำหรับคนไทยนั้นเจอกันต้องไหว้ ต้องสวัสดี ถ้าเจอกันแล้วไม่ไหว้ก็ไม่ใช่พวกผู้ดี ดังนั้นลักษณะผู้ดีคือเจอกันต้องไหว้กัน ไปลามาไหว้ ต้องไม่อายในการทำความดี

มารยาทนั้นไม่จำเป็นต้องพูดกันก็ได้ เพราะมารยาทเป็นการแสดงออกถึงความมีเมตตา ให้อภัยกัน ยิ้มให้กัน เคารพรักกัน เมื่อเราอยู่ในสังคมของผู้ดี เราก็ต้องศึกษาเรื่องมารยาทผู้ดีและนำไปใช้ ไม่ใช่แต่เรียนรู้อย่างเดียวก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เราควรนำเอาไปด้วย เช่นการกราบไหว้พระ เป็นมารยาทผู้ดีอันสูงสุด เป็นมงคล เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน เป็นการแสดงออกถึงจิตใจที่เบิกบาน ถ้าคนเราเจอกันแล้วยกมือไหว้ "สวัสดีครับ" "สวัสดีค่ะ" จิตใจเขาก็ต้องดี ถ้าเจอกันแล้วไหว้กันไม่ได้ ทำหน้าบึ้งใส่กัน ก็ถือว่าหมดความเป็นผู้ดีทำให้การที่จะติดต่อสื่อสารอะไรต่อไปก็ไม่มี เพราะเราไม่มีการทักทายการเข้าหากัน ขาดมารยาทผู้ดีเสียแล้ว

การ ที่เราอยู่ในสังคมก็จะต้องมีคนที่มีอายุมากกว่า คือวัยวุฒิมากกว่าเรา บางคนมีคุณวุฒิหรือความรู้มากกว่าเราก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่เราต้องเกรงใจเขามากขึ้น ถ้าหากมีความรู้เท่ากันมีวัยเดียวกันก็ถือว่าเป็นเพื่อนกันก็ต้องมีความเกรง ใจในฐานะความเป็นเพื่อน คือช่วยเหลือเกื้อกูล ให้ความสนิทสนม ห่วงใยซึ่งกันและกัน รับภาระหน้าที่ที่สมควรช่วยกัน ถ้าไม่มีความเกรงใจกันก็จะทำให้เบียดเบียนกัน
เปรียบเหมือน ม้าอารีกับวัว เจ้าของเขาทำคอกให้ม้าอยู่ ไม่ได้ทำคอกให้วัว เวลาฝนตก วัวก็หนาวจึงเอาหัวไปซุกในคอกม้า ม้าก็ไม่ได้ว่าอะไร วัวพอหัวอุ่นขึ้นก็จะเอาขาหน้าทั้งสองเข้าไปซุกอีก ม้าก็ใจดีให้วัวเอาขาหน้าเข้าไป พอขาอุ่นขึ้นวัวก็อยากจะเข้าไปอยู่ในคอกม้าทั้งตัวเลย ม้าก็เกรงอกเกรงใจ วัวจึงเข้าไปอยู่ในคอกม้า ส่วนม้าต้องออกมายืนตากฝน เป็นอันว่า วัวไม่รู้จักเกรงใจม้า แต่ม้ารู้จักเกรงใจวัว ดังนั้น ความเป็นผู้ดีก็เหมือนม้า ความไม่เป็นผู้ดีก็เหมือนวัว

คนบางคนไปอยู่บ้านเขา แต่จะพูดจาหรือทำอะไรก็จะทำตามอำเภอใจ ไม่เกรงใจเจ้าของบ้านเลย นี่เรียกว่า แขกไม่มีความเป็นผู้ดี

ถ้าแขกมีความเป็นผู้ดีก็จะรู้จักเกรงใจว่าจะทำให้เจ้าของบ้านเดือดร้อน จะพูดจะทำอะไรก็มีความสังวรระวัง นี่คือแขกที่มีความเป็นผู้ดี

ส่วน เจ้าของบ้านบางคนกลับเกรงใจแขก จะพูดจะจาจะทำอะไรก็เกรงใจแขก กลัวว่าจะส่งเสียงดัง กลัวว่าจะเป็นการลบหลู่ดูถูกแขก นี่คือเจ้าของบ้านเป็นผู้ดี " ความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดี"

ถ้า เจ้าของบ้านเกรงใจแขก แขกก็เกรงใจเจ้าของบ้าน ก็เรียกว่าม้าเข้าคอกม้า ถ้าแขกไม่เกรงใจเจ้าของบ้าน แต่เจ้าของบ้านเกรงใจแขก ก็เรียกว่า วัวเข้ามาในคอกม้า ถ้าแขกไม่เกรงใจ เจ้าของบ้านก็ไม่เกรงใจ ต่างเอะอะโวยวายทั้งคู่ ทำโดยไม่มีมารยาท นั่นคือวัวกับวัวมาหากันก็ไม่เกรงใจกัน ฉะนั้นเรื่องวัวกับม้าก็เป็นเรื่องมารยาทผู้ดีนั่นเอง แสดงถึงมารยาทของคนชั้นสูงชั้นต่ำมีการศึกษาดีหรือไม่ดี ถ้าคนมีมารยาทรู้จักเกรงใจก็เปรียบเหมือนม้า ถ้าคนไม่มีมารยาทไม่รู้จักเกรงใจก็เปรียบเหมือนวัว

ถ้าคนเรามีความ เกรงใจกันเสมอต้นเสมอปลายเวลาอยู่ด้วยกันก็ไม่ทะเลาะกัน ไม่สร้างปัญหาให้กันมีความเกรงใจกัน และแสดงแต่กิริยามารยาทที่งดงามออกมา ดังนั้นคนไทยจะมีมารยาทมีความเป็นผู้ดีได้ก็ต้องมีพื้นฐานจากจิตใจ ที่ได้ฝึกฝนอบรมตามหลักพระพุทธศาสนาอันละเอียดอ่อนนั่นเอง...

จากคุณ : ธรรมะจัดสรร 10 พ.ย. 2545
User avatar
Great Wall
 
Posts: 153
Joined: Tue Oct 14, 2008 3:01 am

Re: ***ผู้ดีแบบ....

Postby nonnun » Wed Feb 17, 2010 11:03 pm

เราไม่จำเป็นต้องไร้มารยาทกับคนไร้มารยาท.../ :)
... ลูกหลานทั้งหลาย แผ่นดินใดให้เรากำเนิดมา... แผ่นดินใดให้ที่ซุกหัวนอน ให้ความร่มเย็นเป็นสุข มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น./
(กรมหลวงชุมพร เขตรอุดมศักดิ์)
User avatar
nonnun
 
Posts: 1695
Joined: Wed Oct 15, 2008 11:52 am

Re: ***ผู้ดีแบบ....

Postby love_samkha » Fri Apr 30, 2010 10:12 am

ผู้ดีแบบไหน ผู้ดีที่ไม่มีศีลธรรม ผู้ดีเดินตรอก ขี้ครอกเดินถนน ผู้ดีแบบหมู่มากรากไป ผู้ดีแบบยึดหลักกู กติกู ประชาธิปไตยแบบผู้ดีต้องซื้อเสียง แล้วคอรัปชั่น ใครไม่เห็นด้วยต้องใช้มีด ใช้ปืน ใช้ระเบิด สั่งอุ้มฆ้า ผู้ดีแบบ แบบแม้ว แม้ว แม้ว แม้วดี ถูกต้อง มีมาตรฐาน เป็นประชาธิปไตยที่สุด ไม่ใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย
User avatar
love_samkha
 
Posts: 370
Joined: Thu Apr 22, 2010 1:48 pm


Return to ชายคาพักใจ