ชอบชื่อห้องนี้จริงๆ "ชายคาพักใจ"...
ฟังดูเป็นสถานที่ ที่เอาไว้ผ่อนคลาย..
และแวะพัก เพื่อให้เราได้หยุดคิดถึงเรื่องราวดีๆ สักเรื่องสองเรื่อง
แล้วค่อยออกไปเผชิญความยุ่งเหยิงนอกห้องกันต่อไป..
เก็บมาฝากค่ะ..
จากหนังสือ : เวลาเหลือน้อย : อ.บูรพา ผดุงไทย
” เราอาศัยโลกอยู่แต่ไม่อาจเป็นเจ้าของโลกได้
มนุษย์มีอำนาจครอบครองสิ่งต่างๆ บนโลกได้เพียงชั่วคราว
เมื่อต้องจากโลกนี้ไป..
อำนาจแห่งการครอบครองบนโลกก็หมดลงตามไปด้วย
หากเราไม่เข้าใจและไม่ยอมรับในความจริงนี้
ดวงจิตวิญญาณที่ยังคงมีความยึดมั่นถือมั่น
คิดเป็นจริงเป็นจัง คิดว่าโลกนี้เป็นของของตนจริง
จึงต้องได้รับความทุกข์อย่างแสนสาหัส
ด้วยอวิชชาที่ไม่ยอมปล่อยวางสมมติบนโลก “
” ภาพลวงตา..
เราทุกคนต่างอยู่บนโลกแห่งจินตนาการ
โลกที่เต็มไปด้วยภาพมายาการปรุงแต่ง
สิ่งที่เราเห็น จึงมิใช่สิ่งที่เป็นอยู่อย่างแท้จริง
มันจึงเป็นเพียงแค่ภาพมายาที่ถูกกำหนดด้วยอำนาจกิเลสโลก
เราจึงไม่เคยเห็นตัวตนที่แท้่จริงของโลกและตัวของเราเองเลย
สิ่งที่เราเห็นจึงเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา..เท่านั้นเอง “
” มิติเวลาแห่งอดีต..
เมื่อเรามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
เรากำลังมองดูภาพจากในอดีตเมื่อหลายล้านปีมาแ่ล้่ว
สิ่งที่เราเห็นอาจมิใช่สิ่งที่เป็นอยู่จริง
โลกและจักรวาลจึงเป็นแค่เพียงภาพมายาที่จิตของเราปรุงแต่งขึ้นมา
มันมีตัวตนจริงที่ไหน?..”
” ความสุขที่แท้จริง (บรมสุข)
ความสุขอย่างไหนเป็นความสุขที่แท้จริงกันแน่?..
ระหว่างความสุขทางโลกที่เกิดจากการได้สนองอำนาจมายากิเลสโลก (เป็นทาส)
กับความสุขทางธรรมที่เกิดจากการหลุดพ้นจากอำนาจมายากิเลสโลก (เป็นอิสระ)
ความยึดมั่นถือมั่นในสมมติบัญญัติโลกว่าเป็นของตน
กับการปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นนั้นลงได้ “
” วิทยาศาสตร์ ศาสนา และธรรมชาติ
..แท้จริงแล้วล้วนเป็นเรื่องเดียวกัน
แต่ด้วยความเจ้าปัญญาช่างคิดช่างฝันของมนุษย์แท้ๆ
จึงทำให้สิ่งที่เหมือนกัน กลายเป็นสิ่งที่แตกต่างกันได้ “
” มิติแห่งความคิดและความฝัน
การเวียนว่ายตายเกิดนับร้อยนับพันชาติ
อาจเป็นปรากฏการณ์ ที่เกิดขึ้นในความฝันเพียงครั้งเดียวของเราเท่านั้น “
” ผู้ที่หมดอวิชชาแล้วย่อมไม่มาเกิด
มนุษย์ทุกคนที่เกิดขึ้นมาบนโลกสมมติใบนี้
ล้วนเป็นผู้ที่ยังคงมีอวิชชา (ความโง่) อยู่ด้วยกันทั้งสิ้น
จะโง่มาก หรือโง่น้อยเท่านั้น
ที่หมดสิ้นอวิชชา (ความโง่) แล้วไม่มี
ผู้ที่หมดสิ้นอวิชชา..หมดความหลงผิด หมดความโง่แล้ว
ย่ิอมไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดบนโลกสมมติใบนี้
พวกเราทั้งหลายจึงเป็นเพื่อนร่วมทางด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
ไม่มีใครดีำว่าใคร ไม่มีใครเก่งกว่าใคร
เราต่างตกที่นั่งเดียวกันทุกคน
คือ ผู้แสวงหาหนทางกลับบ้านด้วยกันทั้งนั้น “
” เข้าใจมิใช่เข้าถึง
อยากไปเมืองเชียงใหม่..
อย่ามัวแต่นั่งรอให้เมืองเชียงใหม่ มันเดินทางมาหาเรา
อยากถึงเมืองเชียงใหม่ เราต้องเดินทางไปหามัน
ออกเดินทางเสียแต่เดี๋ยวนี้
บางทีชาตินี้อาจถึงเมืองเชียงใหม่ได้
อย่ามัวเอาแต่ศึกษาเรียนรู้แล้วจินตนาการถึงเมืองเชียงใหม่อยู่เลย
เพราะมันไม่มีวันที่จะถึงเมืองเชียงใหม่ได้..ด้วยการจินตนาการคาดเดา
มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องราวของเมืองเชียงใหม่ด้วยการจินตนาการ
จึงมิได้หมายความว่าตนนั้นได้เดินทางมาถึงเมืองเชียงใหม่จริง
ศึกษาธรรมนั้น อาจเข้าใจธรรม
แต่ปฏิบัติธรรมเท่านั้น จึงจะเข้าถึงธรรม”
” อนัตตา
อวิชชาเปรียบดังเส้นเชือกที่ถูกผูกเป็นปมซ้อนกันไว้เป็นชั้นๆ
ด้วยปัญญา (รู้แจ้ง) จึงสามารถแก้ปมเชือกเหล่านั้นออกได้
เมื่อแก้ปมหนึ่งออกได้ ก็พบว่ายังมีปมอื่นซ่อนอยู่อีก
จนกระทั่งมาถึงปมสุดท้ายของเชือกเส้นนี้
หากแก้ปมสุดท้ายนี้ออกได้ เชือกเส้นนี้ก็จะเป็นอิสระและปราศจากปมอีกต่อไป
แต่เมื่อปมสุดท้ายของเชือกเส้นนี้ถูกแก้ออกได้แล้ว..เส้นเชือกนั้นกลับหายไป
ผู้ปฏิบัติทุกคนที่เดินทางมาถึงปมสุดท้ายของอวิชชา
ต่างก็พบกับความจริงของคำว่า อนัตตา นี้เหมือนกันทุกคน
เส้นเชือกที่ว่านั้น มันไม่เคยมีตัวตนอยู่จริงเลยตั้งแต่ต้น
นี่แหละที่สุดของ อนัตตา
มีปม จึงมีเชือก หมดปม เส้นเชือกก็ (ไม่มีตัวตน) หายไป “
ขอให้มีความสุขทุกท่านค่ะ