เสียงคนวงนอก : สังคมไทย ฤาเราต้องเรียกหา “ นักรบในเงามืด ”

คุยกันสบายๆ ไม่ซีเรียส

เสียงคนวงนอก : สังคมไทย ฤาเราต้องเรียกหา “ นักรบในเงามืด ”

Postby TonyMao_NK51 » Tue Jul 06, 2010 6:29 pm

เสียงคนวงนอก : สังคมไทย ฤาเราต้องเรียกหา “ นักรบในเงามืด ”


โดย : TonyMao_NK51
E – Mail : tonymao_nk51@hotmail.com

“ นานมาแล้วเขาเป็นตำรวจสังกัด FBI ชายผู้ฝึกฝนวิชาการรบทุกอย่างเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะสามารถฝึกได้ ผู้ผ่านทั้งหลักสูตร LRRP , Ranger , Sniper และ Navy SEAL บุรุษผู้อุทิศทั้งชีวิตของตนให้กับความยุติธรรมและกฎหมายบ้านเมือง ทว่า...ในวันที่ครอบครัวของเขาถูกฆ่าอย่างอำมหิตจากจอมอิทธิพลเถื่อน ผู้กว้างขวางในสายสัมพันธ์อันทุจริตทั้งนักการเมือง และผู้รักษากฎหมาย ดังนั้นแล้ว หากอาญาแผ่นดินไม่อาจจะให้ความยุติธรรมกับเขาและครอบครัวอันเป็นที่รักได้ เขาก็จะขอทวงความยุติธรรมนั้นด้วยตัวเอง โดยไม่เชื่อในกฎหมายใดๆ อีกต่อไป ”

ผมนั้นจำไม่ได้แล้วว่าใครเป็นผู้โปรยคำนิยามให้กับหนัง Anti – Hero จาก Marvel เรื่องนี้ “ The Punisher - เพชฌฆาตมหากาฬ ” ( ฉบับปี 2004 นำแสดงโดย Thomas Jane และ John Travolta ) ที่แม้จะถูกนักวิจารณ์หนังหลายคนบอกว่าเข้าขั้น “ แย่ ” หากจะเทียบกับหนัง SuperHero ค่ายเดียวกันอย่าง Spider - Man หรือ Iron Man อย่างไรก็ตามมันก็เป็นหนังที่ผมชอบเรื่องหนึ่ง ( และแอบไม่พอใจที่ภาค 2 เปลี่ยนนักแสดงนำเป็นใครก็ไม่รู้ และทำออกมายังกับหนังเกรด B ) เรื่องราวของ Frank Castle ตำรวจนอกเครื่องแบบสังกัด FBI ผู้ที่วันหนึ่งถูกพวกมาเฟียรู้ตัวตนที่แท้จริง และสั่งเก็บทั้งครอบครัวอย่างอำมหิต เขาเป็นคนเดียวที่รอดมาได้ ( ฉบับการ์ตูนตามสารานุกรม Marvel บอกว่าทางการก็ไม่ยอมช่วยเขาทำคดี เพราะเรื่องของอิทธิพลและการคอรัปชั่น ) ดังนั้นเขาจึงต้องใช้ทุกอย่างที่ฝึกฝนมาสมัยอยู่ในกองทัพ ทำการแก้แค้นให้กับครอบครัวด้วยตัวของเขาเอง และกลายเป็นนักกวาดล้าง เป็นฝันร้ายของอาชญากรทั่วทั้ง NY ( ในจักรวาล Marvel )

อาจจะงง เดี๋ยวจะหาว่าผมใช้คอลัมน์ตัวเองเป็นที่วิจารณ์ภาพยนตร์อีกแล้วหรือ? ( ปลายปีก่อนผมวิจารณ์เรื่อง Avatar ไปแล้ว ) ต้องบอกก่อนว่าไม่มีเจตนาดังกล่าว แต่ที่ต้องยกนิยามของภาพยนตร์เรื่องหนึ่งขึ้นมา เพราะระหว่างที่ผมกำลังหาอ่านข่าวฟุตบอลโลก ก็พลันไปเห็นข่าวๆ หนึ่ง ความจริงข่าวนี้ก็เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป กับกรณีเด็กติดเกม ขอเงินพ่อแม่ผู้ปกครองไปแล้วไม่ได้ เลยใช้กำลังทำร้าย ในตอนแรกที่ผมอ่านข่าวนี้ก็อ่านแบบผ่านๆ ด้วยความคิดปกติว่า “ อีกแล้วหรือ? ” แต่เมื่อวานนี้ ( 5/7/2010 ) ตอนเย็นผมว่างพอดี ได้เปิดไปเจอคุณสรยุทธ์กำลังสัมภาษณ์แม่ของเด็กสาวดังกล่าว และก็ต้องพบกับเรื่องราวที่ผมทนไม่ได้ จนต้องมาบ่นในคอลัมน์ของตัวเอง

จากปากคำของแม่ เธอบอกว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่เธอขอมาจากโรงพยาบาล ก่อนหน้านี้เด็กคนนี้เป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนโดยมีผลงานเป็นที่ประจักษ์เพราะได้รับทุนการศึกษาจากหลายๆ ที่ ทว่า....เมื่อ 1 ปีก่อน เด็กคนนี้ถูกกระทำ “ บางอย่าง ” ทำให้สภาพจิตที่เคยปกติเสียไป กลายเป็นเด็กก้าวร้าว ควบคุมตัวเองไม่ได้ มีพฤติกรรมประหลาดเช่นการกินผ้าขนหนูและหลอดพลาสติก และติดเกมจนทำร้ายแม่ตัวเอง ทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ใจความสำคัญมันอยู่ที่ว่า เธอไม่สามารถบอกเราได้ว่า “ ใคร ” เป็นผู้กระทำ เพราะเกรงอันตรายจะเกิดขึ้นทั้งกับเธอและลูก

ท่ามกลางกระแสด่าทอเด็กคนนี้ที่แพร่กระจายไปทั่วโลกไซเบอร์ โดยส่วนตัวแล้วผมก็ค่อนข้างที่จะเข้าใจสังคมไทยอยู่ว่า “ บุพการี ” คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดและบุตรจะละเมิดมิได้ แต่อีกทางหนึ่งผมก็อยากให้เข้าใจด้วยว่า ผู้ป่วยทางจิตมิใช่บุคคลปกติอย่างเราๆ ท่านๆ พวกเขาสูญเสียการควบคุมตัวเอง บางคนอาการอาจจะไม่หนัก มีการกำเริบได้เป็นพักๆ อย่างเด็กคนนี้ ไปจนถึงหลุดโลก เช่นที่เราเห็นตามท้องถนนบางแห่งไปเลยก็มี ก็ให้เข้าใจกันว่าพวกเขาไม่เหมือนเรา ไม่อาจจะควบคุมสติสัมปชัญญะได้แบบเรา ( ขนาดคนปกติ พอดื่มเหล้าเบียร์หนักๆ จากคนดีๆ ก็รั่วได้เลวได้ นับประสาอะไรกับคนจิตไม่ปกติ จริงไหม? ) แต่ประเด็นที่ผมจะต้องเขียนถึงให้ได้ ( อีกแล้ว ) คือปัญหาซ้ำซากของสังคมไทย ที่คน กทม. อย่างผมและผู้อ่านหลายท่านคงไม่เข้าใจและนึกภาพไม่ออก นั่นคือ “ อิทธิพลมืด ” คือเมื่อคุณก้าวพ้นจากพรมแดนเมืองหลวงของประเทศไทยไปแล้ว ก็จงคิดเสียเถอะว่า ดินแดนต่อจากนี้ไป จงดูแลตัวเอง ไม่มีใครช่วยท่านได้แม้แต่กฎหมาย และอย่าไปมองหน้า สบตา หรือขัดใจอะไรเจ้าถิ่นถ้าคุณไม่ “ .ใหญ่คับฟ้า ” ไม่งั้นคุณก็จะไม่ได้กลับออกมาแน่นอน

ผมนั้นไม่ค่อยจะได้ออกต่างจังหวัด แต่ก็พอรู้จัก ได้พูดคุยกับวัยรุ่นที่มาจาก ตจว. อยู่บ้าง ก็พอจะนึกภาพและจินตนาการออกว่า โลกของพวกเขาต่างจาก กทม. ที่ผมและหลายๆ ท่านอยู่อย่างไร กล่าวคือในต่างจังหวัดที่ใครๆ บอกว่าสงบสุขไม่วุ่นวายแบบในเมือง มันก็มีส่วนที่เป็น “ รัฐซ้อนรัฐ ” คือกลุ่มอิทธิพลท้องถิ่น ทั้งนักการเมือง นายทุนท้องถิ่น และคนมีสีไม่ว่าเขียวหรือกากีทำการครอบครองอยู่ คนพวกนี้มีทั้งเงินทุน กำลังพลและอาวุธจากธุรกิจสีดำบ้าง เทาบ้าง ผ่านเครือข่ายที่ซับซ้อนกับภาครัฐในระบบอุปถัมภ์จนยากที่จะแยกออกจากกันได้ บางคนเมื่ออ่านถึงตรงนี้อาจจะบอกว่า “ เฮ้ยเวอร์ไปป่าวคุณเหมา? ” ไม่เวอร์หรอกครับ ไม่ต้องไปดูอะไรมาก ดูฤดูเลือกตั้งท้องถิ่นดีกว่า ฆ่ากันตายตลอดเพราะแต่ละฝ่ายก็มีอิทธิพล เลี้ยงลูกน้องไว้เยอะ ( เด็กแว้นซ์ตาม ตจว. ส่วนใหญ่ “ เด็กนาย ” ทั้งนั้น แต่จะสังกัดนายคนไหนก็แล้วแต่บุคคล ) ก็ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ตัวรุ่นใหญ่ก็มีลูกน้องทำงานให้ ส่วนเด็กมันก็อยากจะเกิด อยากจะดังในวงการไว้คุยไว้เบ่งในกลุ่มเพื่อน

ถ้าหากว่าคนพวกนี้จะทะเลาะกันฆ่ากันแต่แก๊งค์คู่อริ มันคงไม่มีใครสนใจ ( แบบยากุซ่าของญี่ปุ่นที่ปกติจะไม่ยุ่งกับสุจริตชนคนทั่วไป ) แต่กลุ่มวัยรุ่นที่ถูกเรียกว่า “ เด็กบ้าน ” อันมาจากการแบ่งของกลุ่มวัยรุ่นเอง คือถ้าเรียนในวิทยาลัยอาชีวะ หรือสายช่างเขาจะเรียกว่า “ เด็กสถาบัน ” มีรุ่นพี่รุ่นน้อง มีระบบชัดเจน และมีเรื่องกับสถาบันคู่อริด้วยกันเท่านั้น แต่ถ้าไม่ได้เรียนแต่มาตั้งแก๊งค์ จะถูกเรียกว่า “ เด็กบ้าน ” พวกนี้มักจะไม่มีระบบระเบียบเท่ากับเด็กสถาบัน และที่สร้างปัญหาให้กับสังคม เอาจริงๆ แล้วผมว่าเด็กบ้านน่ากลัวกว่า ( อย่างน้อยเท่าที่ผมทราบ เด็กช่างจะตีกับเด็กช่างด้วยกันเท่านั้น ไม่ยุ่งกับคนนอกโดยไม่จำเป็น คือที่เป็นข่าวเพราะมีคนอื่นโดนลูกหลง แต่เด็กบ้านจะเล่นมั่ว บางทีเลยไปหาเรื่องเด็กสถาบันก็มี ) ประกอบกับสังคม ตจว. ภูมิประเทศที่ค่อนข้างเป็นเรือกสวนไร่นา การฆ่าคนแล้วเอาไปนั่งยาง เอาไปฝัง หรือโยนลงทะเลจึงทำได้ง่ายกว่าใน กทม. รวมไปถึงการหาและซ่อนอาวุธก็ทำได้ง่ายกว่า ( เด็กช่างทำได้แค่มีปืนรุ่น ปืนกองกลางให้ยืมไปยิงคู่อริ แต่เด็กบ้านตาม ตจว. มีปืนส่วนตัว บางคนหาลูกเกลี้ยง M67 มาใช้ได้อีกต่างหาก )

ที่น่าสนใจกว่านั้น ผมสามารถตบหน้าพวกประชาธิปไตยเสรีนิยมที่พยายามบอกว่าตำรวจควรถูกโอนไปอยู่กับท้องถิ่น ไม่ใช่อยู่กับส่วนกลางแบบทุกวันนี้ ผู้อ่านทุกท่านดูเอาเถอะครับ ขนาดตำรวจอยู่ส่วนกลาง ไปประจำท้องที่ยังกลายเป็นมือเท้าให้ผู้มีอิทธิพลทิ้งถิ่นได้ คดีที่ชาวบ้านไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกข่มเหงจากผู้มีอิทธิพลหรือพวกลิ่วล้อของคนเหล่านี้ ตำรวจมักจะ “ เคลียร์ให้จบๆ ” ด้วยการให้ผู้มีอิทธิพลยัดเงินสักก้อนหนึ่งให้เจ้าทุกข์ เจ้าทุกข์ส่วนใหญ่ก็จะยอมรับเพราะไม่อยากมีเรื่อง ไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยงกับคนพวกนี้ที่ไม่เคยมาซึ่งๆ หน้าอยู่แล้ว ( เป็นผมๆ ก็ยอมความถ้าต้องไปอยู่แบบนั้น ใครเล่าไม่กลัวตาย จริงไหม? ผมไม่ใช่ Frank Castle นี่ครับ ) สุดท้ายมันก็วนไปมาแค่นี้ เว้นเสียแต่ว่าจะมีใครสักคนที่ “ บ้าบิ่น ” นำเรื่องมาฟ้องร้องที่ “ ศาลพระราม 4 ” .ให้ท่านสรยุทธ์เป็นคนตามเรื่องให้ เมื่อนั้นจึงจะมีการคืบหน้าจนไปถึงเจ้าทุกข์ได้รับความเป็นธรรม ( ถ้าท่านเปาฯ สรยุทธ์ไม่ตามเรื่องให้ ท่านคนของรัฐก็จะนิ่ง เงียบ เกียร์ว่างตามปกติ )

อย่าให้ผมต้องบอกเลย จ.ไหนที่มีอาชญากรรมสูงสุด และผมมักจะได้รับการบอกเล่าจากคนพวกนี้ว่าถ้าหากก่อคดีแล้วจะหนีไป จ.ไหนถึงจะมีโอกาสรอดมากที่สุด ( หาข่าวอ่านใน นสพ. เองละกัน ถ้าอ่านข่าวอาชญากรรมบ่อยๆ จะพบว่า จ.นี้มีเรื่องปล้น ฆ่าออกข่าวกันทุกวัน มีอยู่ 2 จังหวัดนี่ละ ) แล้วก็อยู่ที่นั่นจนเรื่องเงียบแล้วค่อยกลับออกมา

ดูเอาเถอะครับ เอาอะไรมากมายกับประเทศไทย ในคุกยังสั่งซื้อขายยาเสพติดกันได้ ที่ตรวจๆ ไปน่ะ อย่าให้ผมต่อว่าเลย เป็นแค่การทำงานในวงรอบเท่านั้นละครับ พอข่าวเลิกจี้ ทุกอย่างก็เหมือนเดิม ทำไงได้ ประเทศไทย ฝรั่งเขาบอกว่า “ สวรรค์ของอาชญากร ” และแค่มีเงินมากๆ เท่านั้น ก็อยู่ที่นี่ได้ราวกับเป็นพระเจ้า แล้วจะไปหาความเป็นธรรมจากไหน เพราะในความเป็นจริง อันธพาลเด็กแว้นซ์ทำงานให้นักการเมืองท้องถิ่น นักการเมืองท้องถิ่นสมคบคนมีสีทำงานให้นักการเมืองระดับชาติ เอางบมาก็มาถลุงกันอย่างสนุกสนาน รวยกันถ้วนหน้าโดยที่ประชาชนทำได้แค่มองตาปริบๆ เพราะไม่อยากได้ลูกตะกั่ว ( หรือทองแดง ) เป็นของขวัญ

เชื่อเถอะเดี๋ยวคดีนี้ก็เงียบ แล้วเด็กคนนั้นก็จะถูกประณามว่าทรพี เนรคุณกันต่อไป เผอิญว่าลูกตาสีตาสา ไม่ใช่ลูกอดีตบุคคลสำคัญ ไม่งั้นฝ่ายที่หาเรื่องก็คงโดนลงโทษกันบ้าง อย่างที่เป็นข่าวเมื่อไม่นานมานี้

ฝากถึงคนไทยทุกท่าน อย่าไปเชื่อกฎหมายเลยครับ แค่ค่าจ้างทนายก็แพงแล้ว ทนายไม่อยากช่วยคนจนหรอก ไหนๆ ก็เสี่ยงกับการได้ลูกตะกั่ว ( หรือทองแดง ) เป็นของขวัญทั้งที ควรจะทำงานให้คนรวยดีกว่า คุ้มกว่าด้วยจริงไหม?

หันมาเรียกหาความยุติธรรมด้วยตัวเอง แบบที่เหมาเจ๋อตุงเคยบอกว่า “ อำนาจมาจากปากกระบอกปืน ” จะดีกว่า ไม่มีใครช่วยท่านได้ ในบ้านป่าเมืองเถื่อนแห่งนี้หรอกครับ สมัยเด็กๆ พ่อผมมักจะเล่าเรื่องของ “ หน่วยใต้ดิน ” ที่เป็นการรวมกันของสีกากีกับสีเขียวที่ไม่ชอบการคอรัปชั่น คอยเก็บกวาดพวกที่กฎหมายเอื้อมไม่ถึง แต่ไปๆ มาๆ ผมชักรู้สึกว่า คนพวกนี้ไม่มีแล้ว ( ด้วยเหตุผลทางการเมืองและยุคสมัยที่เปลี่ยนไป )

ก็สู้ๆ ทนๆ กันต่อไปครับ คนไทย กับประเทศในเงาอิทธิพล ที่เรายังเรียกหาผู้ให้ความเป็นธรรม ไม่ว่าจะในหรือนอกกฎหมายก็ตาม

ด้วยความเคารพ

..................................................
" มนุษย์มีหน้าที่ต่อสู้กับกิเลสนิยมเพื่ิิอพิทักษ์หลักแห่งคุณธรรมนิยม และทั้งนี้ผู้มีคุณธรรมที่แท้จริง ย่อมมิเกรงกลัวการตรวจสอบจากสาธารณชนเช่นกัน "

I'm Haew Master. The Man who never happy in love. Forever.
User avatar
TonyMao_NK51
 
Posts: 43
Joined: Sun Jan 10, 2010 5:14 pm



Return to ชายคาพักใจ