Page 1 of 1

20 ปีที่ตามหา พิสูจน์ได้ว่า...(เพื่อน) ไม่มีจริง: เรื่องจริง

PostPosted: Wed Aug 17, 2011 9:35 am
by pom7065
20 ปี ที่ตามหา พิสูจน์ได้ว่า...(เพื่อน) ไม่มีจริง : เรื่องจริงของฉัน ที่อยากให้ทุกคนได้อ่าน


ฉันเกิดในครอบครัวที่ไม่สู้ดีนัก พ่อฉันเสียตั้งแต่ฉันอยู่ ป.5 แม่ฉันก็แค่คนงานก่อสร้างคนหนึ่ง ที่ต้องย้ายที่พำนักพักพิง(แค้มป์ก่อสร้าง) ไปเรื่อยๆ งานก่อสร้างตรงไหนเสร็จ ก็ต้องย้ายถิ่น ย้ายฐานไป โดยที่ไม่มีที่ยึดเหนี่ยว หรือแม้แต่ความทรงจำที่ดีในที่เหล่านั้น ฉันเป็นผู้ชายที่จิตใจออกแนวหญิง แต่ไม่ได้แต่งสาวแต่งเฉี่ยวอะไร เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งก็คิดว่าคนภายนอกเห็นก็คงรู้ว่าฉันเป็นเช่นไร เพื่อนๆ และทุกคนเรียกฉันว่า “ป้อม”

จนเมื่อปี 2534 ครอบครัวฉันได้งานที่ใหม่ เป็นงานก่อสร้างอพาร์ทเม้นที่ไม่ใหญ่มากนัก ซึ่งตัวอพาร์ทเม้นต์ตั้งอยู่หน้าตรอกแคบๆ ตรอกหนึ่ง ซึ่งบริเวณตรงนั้นเขาเรียกว่า นาเกลือ ซึ่งอยู่ในอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ตอนนั้นฉันเรียนแค่ ม.1 ต้องนั่งรถไปกลับระหว่างนาเกลือและบ้านอำเภอ ซึ่งระยะทางก็ห่างพอควร ฉันย้ายมาซึ่งก็ทำใจไว้แล้วว่า...ฉันต้องเจอกับอะไร ต้องทำยังไง เพราะฉันก็แค่ลูกเด็กก่อสร้างคนหนึ่ง

และความคิดของฉันก็เป็นจริง ไม่มีเด็กคนไหนเป็นเพื่อนเล่นกับฉัน ไม่มีเด็กคนไหนมาพูดคุยกับฉัน พ่อและแม่ของเด็กในละแวกนั้น ให้เหตุผลว่าฉันเป็นเด็กก่อสร้าง เขาห้ามไม่ได้มาเล่นกับฉัน ซึ่งก็แน่นอนความรู้สึกของฉันตอนนั้น ก็ได้ทำใจไว้แล้ว เพราะฉันรู้ดีกว่า ทุกครั้งที่ฉันต้องย้ายถิ่นฐานมักจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับฉันเสมอ

ทุกครั้งที่ฉันต้องเดินเข้ามาในซอยต้องผ่านกลุ่มเด็กมากมายที่เล่นกันอยู่ตรงนั้น หลายๆ คนตะโกนล้อฉันว่า “เด็กก่อสร้างบ้าง ตุ๊ดบ้าง กะเทยบ้าง” ไม่มีแม้แต่ใครคนหนึ่งคนใด จะห้ามปรามไม่ให้เด็กแถวนั้นล้อฉัน สิ่งที่ฉันทำได้คือ เงียบและเดินจากบริเวณนั้นด้วยใจที่ห่อเหี่ยว และทำใจไว้อยู่แล้วว่า....คงไม่มีใครอยากจะมาเป็นเพื่อนเล่นกับฉัน

จนวันหนึ่ง....อยู่ๆ ก็มีเด็กผู้ชายคนหนึ่ง รูปร่างอวบอ้วน อยู่ๆ ก็เข้ามาทักทาย ระหว่างที่ฉันกำลังจะเดินขึ้นบันได เพื่อไปที่พัก ครอบครัวฉันพักบนตึกอพาร์ทเม้นต์ที่ยังสร้างไม่เสร็จ เราไม่มีทีวี ไม่มีเครื่องซักผ้า มีเพียงแค่หม้อหุงข้าวใบเก่าๆ และกระทะไฟฟ้าพอประทังชีวิต ที่นอนของเราเป็นแค่เสื่อ มีหมอน และมุ้งสำหรับกางกันยุงเท่านั้น เด็กคนนั้นทักทายฉัน และเป็นเด็กคนแรกที่อยากคุยและอยากรู้จักฉัน

“เพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่หรือ พักที่นี่หรือ” คำแรกที่เขาทักทายฉัน ณ เวลานั้นฉันรู้สึกดีมากๆ เพราะร่วม 2 อาทิตย์ที่ย้ายมา ไม่มีใครคนใดเลยที่จะทักทายฉัน นอกจากคำล้อเลียน และคำเสียดสีบั่นทอนหัวใจเท่านั้น

“ฉันตอบว่า ใช่ เพิ่งย้ายมา แม่ทำงานอยู่ที่นี่ (หมายถึงก่อสร้างอพาร์ทเม้นต์หลังนี้) เขาถามฉันว่า ฉันชื่ออะไร ฉันตอบว่าฉันชื่อ “ป้อม” เขาเองก็บอกว่าเขาชื่อ “อ้น” เขาบอกว่า บ้านเขาอยู่ตรอกนี้ (ก็คือตรอกที่อพาร์ทเม้นต์สร้างอยู่ข้างหน้านั่นเอง) แล้วเขาก็เดินเข้าตรอกไป
หลังจากวันนั้น เขาจะมาทักทายฉันบ่อยๆ เราได้คุยกันมากขึ้น ฉันได้คำว่าเพื่อนจากเขามากขึ้น ในทุกเย็นเขาจะคอยปกป้อง และต่อว่าเด็กกลุ่มตรงนั้นที่ชอบล้อฉันว่า “เด็กก่อสร้างบ้าง ตุ๊ดบ้าง กะเทยบ้าง” และคอยขับไล่เด็กพวกนั้นในทุกครั้ง จนบ่อยเข้าก็คอยมาดักรอฉันแถวๆ ตรงที่เด็กในซอยนั้นเล่นกันอยู่เพื่อไม่ให้ใครคอยมาเสียดสีบั่นทอนฉัน

เขาเริ่มมาเล่นกับฉันบ่อยๆ บนอพาร์ทเม้นต์ ซึ่งเขาต้องแอบแม่มา เพราะแม่เขาก็สั่งห้ามไม่ให้มาเล่นกับฉันเหมือนกัน ฉันมีความสุขมากที่เขามาเล่นกับฉัน ฉันดีใจและรู้สึกว่าเขาเป็นฮีโร่ ฮีโร่ที่คอยปกป้องฉัน และเป็นเพื่อนที่ดีกับฉัน หลายครั้งนักที่เขาคงอยากถามฉัน ว่าฉันเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วใช่ไหม แต่เขาก็ไม่กล้าถามมาสักที ได้แต่เอิ๊กๆอั๊กๆ แล้วก็เปลี่ยนเรื่องคุยทุกที กิจกรรมที่เราเล่นกันตามประสาเด็กๆ ก็คือขึ้นไปนอนนับดาว นอนคุยกันตามประสาเด็กๆ แต่นั่นก็ทำให้เด็กก่อสร้างอย่างฉันรู้สึกดีมากเลยทีเดียว และทุกครั้งที่ใกล้ถึงเวลา 19.30 น. ฉันจะเดินมาส่งเขาข้างล่างในทุกครั้งไป

จนอยู่มาวันหนึ่ง อยู่ๆ พอถึงเวลานัดที่เขาจะขึ้นมาเล่นก็ฉันบนอพาร์ทเม้น ฉันชะเง้อมอง แต่ไม่เห็นเขา รอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นเขา เขาหายไปโดยที่ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น วันรุ่งขึ้นเขาก็ไม่ได้ขึ้นมาเล่นกับฉันเหมือนเคยเช่นกัน จนวันถัดไป เขาขึ้นมาหาฉัน แต่ฉันยังไม่ทันได้ฟังเหตุผลอะไรจากเขา ฉันก็ไล่เขาลงไป ซึ่งก็แน่นอน เขาก็ลงไป โดยที่ไม่พูดอะไรสักคำเหมือนกัน

เราโกรธกันอยู่หลายวัน จนในที่สุด ฉันต้องดักรอเขาออกมาจากตรอก เพื่อขอโทษเขา และจึงได้รับรู้เหตุผลว่า แม่เขาจับได้ที่เขาขึ้นมาเล่นกับฉัน แม่ก็เลยไม่ให้ออกมาเล่นข้างนอก โอ้...ฉันทำไมไม่ฟังเขาก่อนตั้งแต่วันนั้น เกือบเสียเพื่อนอย่างเขาไปแล้ว

เวลาล่วงเลยผ่านมาเรื่อยๆ ความรู้สึกฉันเริ่มดีกับเขา จะว่าชอบเขาแบบเชิงรักก็ไม่ถึงขนาดนั้น รู้เพียงแต่ว่า ฉันรู้สึกอุ่นใจมากเวลาที่เขาเดินอยู่ข้างๆ จนวันหนึ่งเขาพาฉันไปเดินเล่นแถวๆ ตลาดลานโพธิ์ (ตลาดนาเกลือ) แล้วก็พาฉันเข้าไปใน Seven Eleven เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เข้า ฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะลำพังเด็กก่อสร้างอย่างฉัน คงไม่มีโอกาสได้เข้าไปในที่แบบนั้น เขาซื้อสเลอปี้แก้วใหญ่ให้ฉัน ฉันดีใจมาก เพราะชั่วชีวิตในตอนนั้น ยังไม่เคยได้ดื่มเลย

วันเวลาผ่านไป ในทุกช่วงเวลานั้น ฉันมีความสุขมาก จนครั้งสุดท้ายที่เขาขึ้นมาเล่นกับฉันตามปกติ และฉันก็เดินมาส่งเขาที่บันไดด้านล่างตึกตามปกติ แต่ก่อนที่เขาจะหุนหันกลับบ้านไป มีหนึ่งประโยคที่ฉันไม่เคยลืม เขาถามฉันว่า
“ป้อม...ป้อมรักอ้นเหมือนเพื่อนหรือเหมือนแฟน” ฉันตอบกลับไปตรงข้ามกับใจฉันคิดว่า “ก็เหมือนเพื่อนสิ” เขาก็วิ่งกลับบ้านไป โดยที่ฉันเองก็ไม่รู้ว่า ณ ตอนนั้นความรู้สึกของเขาคิดอะไร จนวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ฉันไม่พร้อมจะทำใจและทำใจไม่ได้เลย ครอบครัวฉันและผู้รับเหมาต้องย้ายถิ่นฐานกะทันหัน เพราะอพาร์ทเม้นต์ตรงนี้เสร็จแล้ว ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้ล่วงหน้าเลย และฉันเองก็ไม่มีโอกาสแม้จะได้อำลา หรือบอกความรู้สึก กับเพื่อนคนนั้นของฉันสักคำ ฉันเฝ้าภาวนาว่า เขาจะออกมาจากตรอกก่อนที่ครอบครัวฉันจะขึ้นรถที่ขนย้ายออกไป ณ วินาทีนั้น ฉันได้แต่เอามือกุมและภาวนาขอให้เขาออกมา จนวินาทีสุดท้าย ก็ไม่มีวี่แววที่เขาจะออกไป ฉันบอกแม่ว่ารอแป๊บนึง ฉันเขียนข้อความไว้ในกระดาษ
ใจความว่า “อ้น...เราขอโทษ เราต้องย้ายแล้ว” แล้วฉันก็เอาไปแป่ะไว้ที่ตรงตรอกซอยบ้านเขา ฉันต้องขึ้นรถขนของแล้ว และความรู้สึกในตอนนั้นมันช่างเศร้าและพูดอะไรไม่ออกเลยสักคำ รถค่อยๆเคลื่อนออกมาจากตรงนั้น แต่ก็ไม่มีวี่แววเพื่อนคนนั้นของฉันที่จะเดินออกมาจากตรอกเลย ฉันเฝ้าภาวนาว่า เขาจะได้อ่านข้อความบนกระดาษแผ่นนั้น

หลังจากที่ฉันย้ายมาจากตรงนั้น ฉันไม่เคยลืมเพื่อนคนนั้นที่ชื่อ “อ้น” ฉันไม่เคยลืมที่ตรงนั้นที่เราเคยเป็นเพื่อนเล่นกัน ฉันไม่เคยลืมฮีโร่ตัวอวบอ้วนของฉัน ฉันไม่เคยลืมตลาดลานโพธิ์ ไม่เคยลืม Seven Eleven สาขาตลาดลานโพธิ์ ไม่เคยลืมสเลอร์ปี้แก้วแรกที่ฉันได้ดื่ม ไม่เคยลืมเด็กอ้วนคิ้วเข้มๆ ไม่เคยลืมตรอกตรงนั้น และไม่เคยลืมชื่อและนามสกุลของเพื่อนเลย
ล่วงเลยมาเกือบปี ที่ฉันย้ายมาจากที่ตรงนั้น ฉันหาโอกาสกลับไปอีกครั้ง เพื่อไปหาเพื่อนของฉันคนนี้ แต่ที่สุด...ฉันได้คำตอบจากคนบ้านนั้นว่า “ครอบครัวของอ้น ขายบ้านหลังนี้และย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว” ฉันใจหายจัง....ฉันแค่อยากจะกลับมาขอโทษเพื่อน กลับมาหาฮีโร่ตัวอวบอ้วน แต่กลับมาเจอกับความว่างเปล่า และเฝ้าถามตัวเองว่า....แล้วฉันจะไปตามหาเธอได้ที่ไหน “ไอ้เพื่อนตัวอ้วน”

ความพยายามของฉัน ไม่เคยลดละ ทุกสงกรานต์ฉันจะกลับไปที่นั่น โดยหวังไว้ว่าเพื่อนของฉันคนนี้จะกลับมาที่นี่ ฉันไปทุกปี เฝ้าตามหาไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้จุดหมายเหมือนกันว่า สิ่งที่ฉันทำอยู่...มันมีประโยชน์มากน้อยแค่ไหน เพียงแต่ฉันทำตามความรู้สึกของฉันก็เท่านั้นเอง เพื่อนตัวอ้วนของฉัน อาจจะลืมฉันไปแล้ว หรือจำฉันไม่ได้....ฉันไม่รู้หรอก แต่ฉันรู้สึกดี...ที่ฉันได้ตามหา ตามหาความรู้สึกของใจตัวเองที่เพียงแค่อยากบอกเพื่อนตัวอ้วนของฉันว่า “ฉันคิดถึงแก” คิดถึงจริงๆ

โลกเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วนัก เวลาผ่านไปอย่างไม่เคยรออะไรให้หยุดอยู่กับที่เลย แต่...ฉันและความรู้สึกของฉัน ยังไม่เปลี่ยน...ฉันยังคิดถึงเพื่อนตัวอ้วนไม่เคยลืม จนฉันเรียนจบ ปวช. จบ ปวส. และปริญญาตรี จวบจนทำงาน แต่....ฉันไม่เคยลืมเพื่อนตัวอ้วน ที่ชื่อ “อ้น” เลย

ฉันโชคดี....โชคดีที่มีเพื่อนดีๆ ที่ผ่านพ้นเข้ามา และแล้ววันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม 2554 เป็นวันที่ฉันดีใจมาก และเป็นวันที่ฉันครุ่นคิดว่า ความฝันของการตามหาเพื่อนอวบอ้วน ที่ชื่อ “อ้น” ที่ฉันไม่เคยเจอมา 20 ปี จะเป็นจริงแล้ว

เพื่อนฉันอีกคน สมัยที่เรียน ปวช. ทำงานอยู่ในหน่วยงานสำมะโนประชากร ในอำเภอแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี ได้สืบค้นที่อยู่ของเพื่อนตัวอ้วนของฉันคนนั้น ได้ความว่า เขาอยู่ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี และเท่าที่ฉันดูที่อยู่ เหมือนอยู่ไม่ไกลจากที่ฉันพักเลย

8 สิงหาคม 2554 ฉันเริ่มตามหา เริ่มสอบถามคนละแวกนั้นว่า หมู่ที่ 9 (หมู่ที่เพื่อนตัวอ้วนของฉันอยู่) อยู่แถวไหน บางคนก็บอกว่าอยู่ตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง โอ้...ฉันจะเชื่อใครดีละทีนี้ และแล้วฉันก็ปิ้งไอเดียร์ดีๆ ขึ้นมา และคิดว่าบุคคลคนนี้ น่าจะช่วยฉันได้ก็คือ.... บุรุษไปรษณีย์นั่นเอง
9 สิงหาคม 2554 ฉันให้ รปภ. บริษัทของฉัน คอยดักบุรุษไปรษณีย์ให้ฉันที บ่ายแก่ๆ บุรุษไปรษณีย์ที่ฉันเฝ้าชะเง้อรอก็มาถึง ฉันรีบวิ่งไปหน้าป้อม รปภ. ด้วยความดีใจยิ่ง แต่ก็ยังสำรวมเพื่อไม่ให้เสียภาพพจน์ และไต่ถาม จนบุรุษไปรษณีย์รับอาสาจะไปถามเพื่อนอีกคนให้

9 สิงหาคม 2554 ฉันนอนไม่หลับ เป็นค่ำคืนที่มันช่างผ่านไปช้าเสียจริง ฉันอยากให้ถึงวันพรุ่งนี้เร็วๆ จัง เพื่อฉันจะได้รู้ว่า บ้านเพื่อนตัวอ้วนของฉันอยู่ที่ไหน

10 สิงหาคม 2554 เวลาประมาณ 14.30 น. เป็นวันและเวลาที่ฉันดีใจสุดๆ ฉันรับรู้จากบุรุษไปรษณีย์แล้ว ว่าฉันจะไปตามหาเพื่อนตัวอ้วน ที่ชื่อ “อ้น” ได้ตรงไหนของ อำเภอศรีราชา
17.30 น. ของวันที่ 10 สิงหาคม 2554 ฉันมุ่งตรงไปตามหาตามข้อมูลที่ได้มาพร้อมกับน้องที่ทำงานที่ฉันสนิทและถือได้ว่าเหมือนญาติของฉันคนหนึ่งในปัจจุบันเลยก็ว่าได้ เรามุ่งตรงไปตามหากันอย่างใจจดใจจ่อ ซอยข้างวัดพระประทานพร เป็นจุดมุ่งหมายสำหรับเรา เรามุ่งตรงเข้าไปในซอยนั้น ซึ่งขับเลยเข้าไปจนไกล จนน้องต้องบอกฉันว่า เราคงเลยมา และน้องบอกอีกว่า น่าจะเป็นหมู่บ้านตรงนั้นที่เราเลยผ่านมา
18.00 น. ความฝันของเราเริ่มเข้าใกล้ความเป็นจริง เราขับรถคู่ใจคันสีม่วง ค่อยขยับขับทีละนิด มองดูเลขที่บ้าน ไอ้เลขที่บ้านเจ้ากรรมก็ช่างใจร้ายเสียจริงๆ โดดไปโดดมาจนฉันและน้องงงกันไปหมด ขับรถวนเวียนจนฉันเริ่มถอดใจว่าบ้านอยู่ตรงไหนกัน รอบแรกผ่านไป ก็ไม่มีวี่แวว รอบสองผ่านไปก็ยังหาไม่เจอ ฉันกับน้องเลยตั้งสติใหม่ รอบสามเริ่มส่อเค้า เริ่มเห็นบ้านเลขที่แล้ว แต่ใจเจ้ากรรมดันเห็นแต่เลขที่บ้าน 177/7 และ 177/9 แต่เอ๊ะ...แล้ว 177/8 หายไปไหน น้องติ๊ก (น้องที่มากับฉัน) เลยตัดสินใจลงไปถามให้ฉัน และเราก็สันนิษฐานว่า บ้านที่อยู่ระหว่าง 177/7 และ 177/9 น่าจะเป็นเป็นบ้านของอ้น
รั้วสีส้ม และมีชายวัยเกษียณนั่งอยู่ในบ้าน น้องติ๊กตะโกนถาม “ขอโทษนะค่ะ นี่บ้านพี่อ้นหรือเปล่าค่ะ?” คำตอบที่ได้จากชายผู้นั้นคือ...ใช่ครับ เราต่างไต่ถามต่างๆนาๆว่า อ้นอยู่ไหม คำตอบที่ได้คือ กลับมามืดๆ เราก็เลยบอกว่า งั้นเดี๋ยวเราจะมาใหม่ ระหว่างนั้นฉันดีใจจนคิดอะไรไม่ถูก จนขับรถไปได้ระยะหนึ่ง ถึงนึกได้ว่า ทำไมไม่เอาเบอร์โทรให้เขา....เราขับรถวนมาอีกครั้ง
โอ้...เจ้ากรรม...นามบัตรฉันหายไปไหนหมด ในใจก็ครุ่นคิดว่าถ้าฉันเขียนเบอร์โทรเพื่อนก็คงจะไม่โทรมา (เป็นความคิดไปเองของฉัน) เพราะเพื่อนคงจะจำฉันไม่ได้ ดีนะที่น้องติ๊ก...พกนามบัตรฉันไว้ ฉันเลยถือโอกาสยึดคืนมา และฝากไปยังชายวัยเกษียณผู้นั้น และบอกให้เขาบอกให้อ้น โทรหาฉันด้วย
จากนั้นฉันและน้องติ๊กก็ขับรถกลับอย่างมีความสุข เพราะนั่นหมายถึงว่า เราได้ดำเนินการค้นห้าเพื่อนที่เป็นฮีโร่ของฉันเมื่อสมัย 20 ปีที่แล้วเริ่มสำเร็จมาแล้วค่อนเรื่อง
19.55 น. เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น และเป็นเบอร์ที่ฉันไม่คุ้นเคย ฉันรับสาย เสียงผู้หญิงจากปลายสายถามฉันว่า “ขอสายคุณอลงกต ค่ะ” ฉันตอบรับว่า “พูดอยู่ครับ” เขาถามฉันว่า “คุณอลงกต มีธุระอะไรกับคุณมานพหรือเปล่าค่ะ” ฉันตอบไปด้วยใจชื้นว่า “อ้อ...ไม่มีอะไรครับ แค่ตามหาอ้นเท่านั้น เขาเป็นเพื่อนเมื่อสมัย20ปีที่แล้ว หญิงผู้นั้น ทิ้งท้ายก่อนวางสายว่า เขาจะกลับราวๆ 20.30 น. เดี๋ยวให้เขาโทรกลับ


ณ เวลานั้น ฉันดีใจมาก เพราะอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ฉันจะได้คุยกับฮีโร่ของฉันเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ที่คอยปกป้องฉันในวันที่ฉันพลัดถิ่นมา
20.26 น. โทรศัพท์ดังอีกครั้ง เป็นเสียงของอ้น อ้นจริงๆ เพื่อนตัวอ้วนของฉันมึนงงมาก ว่าฉันเป็นใคร ฉันรำลึกและย้อนอดีตให้ฟังอยู่พักใหญ่ จนเขาเริ่มจำได้ แต่เขาก็ยังจำหน้าฉันไม่ได้อยู่ดี เอาเป็นเวลา ณ เวลานั้น ฉันไม่สนว่าเขาจะจำฉันได้หรือไม่ เพียงแค่ฉันได้รู้ว่า เขายังอยู่ดีมีสุข และอยู่ไม่ไกลจากที่ฉันพักเลย ฉันก็ดีใจมากพอเหลือเกินแล้ว ฉันป้อนคำถาม และบอกเขาไปว่า “ฉันจะไปรับเขามากินข้าว โดยที่ความรู้สึกของฉันแค่เพียงว่า ฉันจะได้บอกเพื่อนว่า ถึงเรื่องในอดีตที่ผ่านมา รวมถึงได้ถามถึงในชีวิตปัจจุบันของเขา ว่าดูดีมีสุขอย่างไร”
ฉันโทรไปหาเพื่อนบ่อยๆ เพราะในความรู้สึกของฉันตอนนั้น มันอิ่มเอมหรือเกินที่ได้จะได้เจอเพื่อน มันสุขเหลือเกินที่ฉันตามหาเพื่อนเจอ ไม่รู้จะพูดอะไร รู้แต่ว่า...ฉันดีใจมาก มากจนไม่สามารถพูดออกมาเป็นคำพูดได้

22.36 น. ฉันส่งข้อความหาอ้น “ดีใจ ดีใจที่ตามหาอ้นเจอ ดีใจมากจริงๆ”
พฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม 2554 09.55 น. ฉันส่งข้อความหาอ้น “ อากาศดีๆ คิดถึงจริง”
11.24 น. ส่งมาเพราะคิดถึง คิดถึงเพื่อนตัวอ้วนๆจริงๆ
16.30 น. เลิกงานกี่โมงอะอ้วน
19.07 น. เปียกฝนไหมเนี่ย กลับถึงบ้านแม่ปลอดภัย ห่วงเพื่อนนะ

ศุกร์ที่ 12 สิงหาคม 2554 08.55 น. จากคนหนึ่งถึงอีกคน
09.03 น. ของวันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม 2554 มีโทรศัพท์ที่เป็นเบอร์ของเพื่อนฮีโร่ตัวอวบอ้วนของฉัน และเป็นคำพูดที่ทำให้ฉันอึ้งและไม่อาจทำใจได้เลยในตอนนั้น “ป้อม ต่อไปไม่ต้องส่งข้อความ และโทรมาหาเราอีกนะ เราทะเลาะกับแฟน หวังว่าป้อมคงเข้าใจเรา”
ทุกอย่างจบลง ณ เวลานั้น และวันนั้น ด้วยความรู้สึกที่เพื่อนที่เป็นฮีโร่ของฉันไม่อาจรับรู้ได้เลยว่า 20 ปีที่ฉันเฝ้าตามหาเพื่อไต่ถามถึงทุกข์และสุขของเพื่อนว่าอยู่ที่ไหน เป็นเช่นไร
20 ปีที่ผ่านมา มันช่างทำให้ความรู้สึกของคำว่าเพื่อนระหว่างเรา จบลงด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค เพียงแค่เพราะเราไม่เจอกัน เนิ่นนานมันก็ผ่านไป ด้วยใจที่จบลง ตรงคำว่า “เพื่อน”

ขอขอบคุณจากใจจริงๆ

นังเล็ก เพื่อนที่กุลีกุจอ หาที่อยู่ของฮีโร่ของฉันมาจนทำให้ฝันของฉันเป็นจริง
บุรุษไปรษณีย์ ที่ทำให้ฉันตามหาเพื่อนเจอ และทำให้ฉันได้รู้ว่าเวลาและวันวานมันไม่มีอยู่จริง
น้องติ๊ก ที่ทำหน้าที่เปรียบประดุจว่าคือตัวฉัน ดำเนินการเสาะหา ให้เบอร์ สอบถาม เหมือนเป็นตัวฉันในทุกเวลา
นังโรส เพื่อนที่คอยให้คำปรึกษา และคอยขัดแย้งความคิด
และอ้น...เพื่อนฮีโร่ตัวอ้วนของฉัน ที่ทำให้ฉันได้รู้ว่า แม้วันเวลามันจะล่วงเลยผ่านมา 20 ปี มันก็จบลงแบบสั้นๆง่ายๆ ในคำพูดไม่กี่ประโยค และทิ้งท้ายด้วยคำลงท้ายที่สวยงาม



โดย ป้อม ศรีราชา