สามก๊กการเมืองไทย ตอน ยุทธการปลุกผีแดง
.
.
เจิ้งหยางศกปีที่ 164 เดือน 9 ขึ้น 15 ค่ำ เป็นเทศกาลวสันต์ฤดู ฝนได้เทกระหน่ำทั่วทุกพื้นที่ในฮวนนั้งก๊กตามหนัก ตามเบา ที่หนักก็หนักจนดินถล่ม น้ำทะลาย ฝายแตก ที่เบาก็น้ำไม่เพียงพอต่อการใช้สอยในภาคเกษตร
นี่คืออาเพศที่เทพยดาบันดาลให้ปรากฏแก่ใจชน อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่คนชั่วมีอำนาจวาสนาขึ้นในบ้านเมือง ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติ ธรรมดา ที่มีมาแต่โบราณกาลแล้ว
เมื่อคนชั่วมีอำนาจในบ้านเมือง ก็จะข่มเหงยำเยงทั้งบ้านเมืองและราษฎรจนเดือดร้อนยับเยินทุกหย่อมหญ้า ดาวเดือนบนฟากฟ้าก็จะพากันวิปริตผันแปรไป ครั้นดาวเดือนเคลื่อนคล้อยวิปริตวิปลาส การอากาศฤดูกาลก็วิปริตผันแปรตามไปด้วย ฝนฟ้าจึงไม่ตกต้องตามฤดูกาล
เมื่อฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาลก็เกิดความเดือดร้อนแก่อาณาประชาราษฎรทุกแห่งหน พื้นที่ที่ไม่ต้องการน้ำก็มีน้ำไหลหลากจนทำลายทรัพย์สิน ข้าวของ บ้านเรือนราษฎร พื้นที่ที่ต้องการน้ำก็เกิดความแห้งแล้ง เป็นทุพภิกขภัยที่ได้ความเดือดร้อนกันทั่วถ้วน
เรื่องเคยมีมาแล้วแต่อดีตที่ปีศาจจำแลงแฝงกายเป็นมานพหนุ่มแล้วได้สมสู่กับสตรีที่มีอำนาจวาสนา จึงพากันก้าวสู่อำนาจด้วยกัน แต่วิสัยปิศาจจำแลงก็ย่อมเป็นปิศาจอยู่วันยังค่ำ เพราะมีน้ำใจเป็นพาล เบียดเบียนชีวิตและผู้คนทั้งปวงให้ได้รับความเดือดร้อนโดยไม่เลือกหน้า
เมื่อเป็นเช่นนี้เทพยดาที่รักษาแผ่นดินก็ต้องทำสัญญาณเป็นอาเพศต่าง ๆ ให้ปรากฏแก่คนทั้งปวงว่าปิศาจเข้าสิงเมือง จนผู้มีบุญญาธิการอดสงสารฝูงชนผู้ทนทุกข์ทรมานไม่ได้ ในที่สุดก็จำต้องสำแดงกฤดาภินิหารกำจัดมารให้สิ้นสูญ ดังนั้นแล้วเดือนดาวดินฟ้าก็จะหายอาเพศ ทุกเขตแคว้นก็จะกลับสู่ความสงบสุขดังแต่ก่อน
รอยเท้าโคย่อมตามตัวโค รอยเกวียนย่อมตามเกวียนไป ไม่มีทางที่จะสิ้นสูญฉันใด ทุกข์สุขยุคเข็ญและรุ่งเรืองก็สลับหมุนเวียนเปลี่ยนไปติดตามกันไปไม่มีที่สิ้นสุดดุจเดียวกัน
ทว่าโชคร้ายของชาวฮวนนั้งก๊กในวันนี้ที่กลียุคบังเกิดขึ้น อสูรจำแลงแฝงตนเข้ามามีอำนาจวาสนาในบ้านเมือง ความวิปริตวิปลาสและอาเพศทุกเขตแคว้นและความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าจึงปรากฏขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า จนกระทั่งอาณาประชาราษฎร์ต่างพากันท้อแท้สิ้นอาลัยตายอยาก
ทุกแห่งหนมีแต่เสียงบ่นครวญคร่ำว่าฟ้าไฉนจึงไม่ยุติธรรมแก่อาณาประชาราษฎร์ คนชั่วช้าสารเลวกลับมีอำนาจ แต่คนดีมีคุณต่อแผ่นดินกลับสูญสิ้นอำนาจวาสนา เงินตรากลายเป็นพระเจ้าที่โหมโรมเร้าเข้าครองน้ำใจคน จนผิดชอบชั่วดีใกล้สิ้นสูญ พืชพันธุ์ธัญญาหารกำลังสิ้นสลายคลายรสแทบหมดสิ้น
ฟ้าเอย! อธรรมย่ำยีอาณาประชาราษฎร์แสนสาหัสนักหนาแล้ว วิบากกรรมอันใดที่คนชั่วช้าสารเลวได้กระทำแล้วแก่บ้านเมือง วิบากกรรมนั้นเป็นอนันตริยกรรมนักหนา สมควรจะถึงแก่เวลาที่ฟ้าท่านจะได้พิทักษ์ความยุติธรรมให้ประจักษ์ในสามโลก
หลังจากพ่ายศึกสิบทัพ ข่าวคราวของ “โจสิน” ในแผ่นดินฮวนนั้งก๊กได้ค่อย ๆ มลายคลายจางไปโดยลำดับ ประดุจดั่งแพน้อยที่ไม่อาจลอยเข้าสู่ฝั่ง มิหนำซ้ำยังถูกคลื่นแห่งกาลเวลาชะพาให้ถอยห่างจากฝั่งไปวันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า เดือนแล้วปีเล่า ยิ่งนานวันแพน้อยก็ค่อยๆ ห่างไกลออกจากฝั่งจนลิบลับ ไม่อาจกลับเข้าสู่ฝั่งได้อีกแล้ว
ผู้มีปัญญาที่มองเห็นสัจธรรมของคลื่นแห่งกรรมก็ย่อมเห็นความจริงได้กระจ่าง แต่ฮวนนั้งก๊กยามนี้ทุกแห่งที่เต็มไปด้วยมายา ดังนั้นแม้ในความเป็นจริง “โจสิน” ซึ่งเปรียบประดุจเรือน้อยลอยไกลออกจากฝั่งไปโดยลำดับแล้ว กลับถูกมนต์มายาอันสามานย์เสกม่านบังตาให้ประชาราษฎร์เห็นเป็นเรือน้อยลอยใกล้เข้าสู่ฝั่งอีกครั้งหนึ่ง
เพลงกรรมจังหวะนี้เร่าร้อนและโหมโรมเร้าจากทุกทิศทาง อา! มันช่างเป็นเวรกรรมของ “โจสิน” เสียจริง ๆ
เนื่องเพราะยามนี้ “โจสิน” ก็ยังมีสินทรัพย์นับอนันต์อยู่ จึงตกเป็นเป้าของเหล่าพญาแร้งทั้งหลายที่หมายจะกินตับไตไส้พุง “โจสิน” ไปจนกว่าจะสิ้นชีพิตักษัย ดังนั้นแม้เหล่ามันจะรู้เช่นเห็นชาติว่าเรือน้อยลอยไกลจากฝั่งไปปานไหนแล้ว มันก็ยังเสกเป่าพร่ำเพ้อทุกวี่วันว่าบัดนี้เรือน้อยใกล้ลอยเข้าสู่ฝั่งแล้ว
ทั้งพวกอั้งตั่ง พวกอั้งนั้ง ต่างพากันโหมประโคมม่านมายานี้จนกลายเป็นม่านมหึมาขึงบังตาชาวฮวนนั้งก๊ก จนเกิดความประหวั่นพรั่นพรึงตรึงจิตใจขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง
พวกมันโหมคลื่นกรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเหล่าประดาเราจะจัดชุมนุมเหล่าอั้งนั้ง เหล่าโอ่วนั้ง เพื่อเผาบ้านเผาเมืองครั้งมโหฬารพันลึกอีกครั้งหนึ่งเพื่อลงโทษพวก “ปี้เซ็ก” และพวก “ซุนลิ้ม” ให้สาแก่ใจ
แต่ที่พวกมันคิดแต่ไม่กล้าพูดก็คือความต้องการความสะใจในความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าของชาวฮวนนั้ง ที่ทำเป็นเพิกเฉยมิได้สนใจไยดีต่อชะตากรรมที่ “โจสิน” เผชิญหน้าอยู่ ดังนั้นเหล่าจัญไรชนจึงหวังผลความเดือดร้อนให้บังเกิดแก่ชาวฮวนนั้ง
ประดามันสำนึกอยู่แต่ว่าเมื่อ “โจสิน” เดือดร้อน พวกฮวนนั้งทั้งหมดก็ต้องเดือดร้อนเช่นเดียวกัน ดังนั้นการใดที่จะทำให้ชาวฮวนนั้งเดือดร้อนฉิบหายวายวอดได้ การนั้นพวกมันก็เห็นว่าจะเป็นสิ่งที่พึงใจ “โจสิน” เป็นยิ่งนัก และเมื่อพึงใจแล้วประโยชน์โภคผลก็จะไหลหลั่งมายังอุ้งมือของคนประดานั้นเป็นอันมาก
พวกมันคิดและทำเรื่องนี้มาอย่างไร? แม้เหตุการณ์ศึกสิบทัพผ่านไปแล้ว มันก็ยังคิดและทำอยู่เช่นนั้น จึงกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญอันดียิ่งให้กับกลไกอำนาจของ “ปี้เซ็ก” โดยเฉพาะวงอำนาจ “ตั๋ง-ลิ” ที่จะหยิบฉวยใช้เป็นมนต์มายาเพื่อคุ้มครองป้องกันตนตาม “1 ยุทธศาสตร์ 2 แนวทาง” ที่ได้กำหนดไว้อย่างเลือดเย็น
ดังนั้นในขณะที่นักวิชาการเต้าหู้ยี้และนักวิชากลวงทั้งหลายที่กำลังเมามันอยู่ด้วยสุราพิษยี่ห้อปรองดองและปฏิกูล พร่ำเพ้อร่ำร้องหาสิทธิเสรีภาพที่จะทำลายบ้านเมืองต่อไปตามใจชอบ โดยกดดันให้ “ปี้เซ็ก” ยกเลิกประกาศวิกฤตเพื่อพวกมันจะได้เต้นแร้งเต้นกากันตามประสาผีบ้าต่อไป พวกอั้งนั้งและพวกอั้งตั่งก็ขยับขับเคลื่อนมนต์มายาเรือน้อยลอยใกล้ฝั่งกันอย่างคึกคัก
บ้างก็ผูกผ้าแดง บ้างก็ผูกผ้าดำ แต่พิกลพิการนัก เพราะประดามันหาได้ผูกเข้ากับคอตัวเองไม่ แต่ไปผูกตามเสาไฟฟ้าและศาลพระภูมิและที่ต่าง ๆ แต่คงไม่หวังให้ชาวฮวนนั้งไปกราบไหว้บูชาเหมือนกับการผูกผ้าตามต้นกล้วยหรือรูปปั้นหมูหมาแต่ประการใด
กระบอกเสียงสารพัดกระบอกก็เป่าหูป่าวประกาศถึงการฟื้นคืนชีพของพวกอั้งนั้งและโอ่วนั้ง ข่มขู่คุกคามอาณาประชาราษฎร์ชาวฮวนนั้งว่าการเผาบ้านเผาเมืองและการนองเลือดครั้งใหม่จะต้องเกิดขึ้น ตราบใดที่ยังมีการกระทำเผด็จการสองมาตรฐาน
พวกมันพร่ำเพ้อเรื่องสองมาตรฐาน เหมือนกับความต้องการให้เอาหมาบ้าขึ้นมานอนบนเตียง เช่นเดียวกับหมาดี ข้อเรียกร้องอย่างนี้ถ้าไม่ใช่ข้อเรียกร้องที่บ้าบอคอแตก คนเรียกร้องนั่นแหละคือคนที่บ้าบอคอแตกเสียเอง
เหล่าประดาผู้นำของก๊กฟ้า ซึ่งล้วนช่ำชองเชิงยุทธ์ เชี่ยวชาญจัดจ้านเล่ห์กล พวกมันมองเห็นเกมกลมายาของพวกอั้งตั่งและอั้งนั้งดังนี้แล้วก็พากันหัวร่อครื้นเครง เสพสุรา เคล้านารีกันอย่างสนุกสนาน จนที่รโหฐาน “พลอยพิสมัย” ในวิมานวิษณุแทบจะกลายเป็นโรงแรมม่านรูดไปแล้ว
พวกมันอ่านไต๋ซึ่งกลบไว้ได้กระจ่าง ดังนั้นจึงแทนที่จะห้ามปรามหรือหยุดยั้งการสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงในฮวนนั้งก๊ก เหล่าประดาก๊กฟ้าจึงพากันสรวลเสเฮฮาตีฆ้องร้องป่าวไขข่าวแพร่หลายให้กลายเป็นจริงเป็นจังขึ้น
ดังนั้นในวันนี้จึงมีแต่ข่าวพวกอั้งนั้ง พวกอั้งตั่ง พวกโอ่วนั้ง จะเปิดศึกสิบทัพ สิบสองทัพ เพื่อเผาบ้านเผาเมืองครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ก่อให้เกิดความประหวั่นพรั่นพรึงและหวาดผวาแก่อาณาราษฎรฮวนนั้งตั้งแต่เหนือจรดใต้ ตั้งแต่ซ้ายจรดขวา
ส่วนพวกอ้วงนั้ง เหล่าประดามันก็เป็นพวกขวัญอ่อน ในสมองมีแต่เสียงก้องอยู่ด้วยเรื่อง “โจสิน” จนผี “โจสิน” ขึ้นสมอง ดังนั้นแทนที่พวกมันจะป่าวประกาศให้อาณาประชาราษฎร์ฮวนนั้งได้รับรู้ว่าไผเป็นไผ ความจริงเป็นเช่นไร พวกมันกลับโหมประโคมคำเล่าข่าวลือเรื่องพวกอั้งนั้ง อั้งตั่ง โอ่วนั้ง จะเปิดศึกหลายสิบทัพเพื่อขยับเผาบ้านเผาเมืองกันอย่างครึกโครม
แท้จริงการโหมประโคมข่าวเช่นนี้ก็เป็นผลประโยชน์อย่างหนึ่งของพวกอ้วงนั้ง เพราะเมื่อชาวฮวนนั้งอกสั่นขวัญแขวนแล้ว ก็จะแห่แหนเข้ามาผนึกกำลังกัน ลงขัน ลงไห ลงหม้อเพื่อเตรียมทำศึกกับ “โจสิน” อีกครั้งหนึ่ง
ก็ไม่ต่างกับกลุ่มอำนาจ “ตั๋ง-ลิ” ที่การโหมประโคมข่าวศึกหลายสิบทัพครั้งใหม่จะเป็นอาณาประโยชน์ยิ่งแก่อำนาจของ “ปี้เซ็ก” เพราะเมื่อผู้คนหันไปสนใจในเรื่องศึกครั้งใหม่ ก็ย่อมไม่มีใครมาสนใจไยดีในสิ่งที่ประดามันกำลังก่อกรรมทำเข็ญโกงบ้านผลาญเมืองกันอยู่อย่างครึกโครมและคึกคัก
เฉพาะ “ลิห้อย” นั้นมันรู้ดีแก่ใจว่าด้วยสารรูป รูปชั่ว ตัวดำ คะมำขะแมร์ เช่นมันนั้น หาได้รับความเลื่อมใสศรัทธาแก่เหล่าประชาฮวนนั้งไม่ แต่ถ้าเมื่อใดที่ชาวฮวนนั้งพากันอกสั่นขวัญหายเพราะกลัวภัย “โจสิน” แล้ว ก็ย่อมยินยอมให้เหล่าประดามันกอดคอซุกรักแร้กับ “ปี้เซ็ก” กันอย่างสำราญบานใจต่อไปได้ โดยจะไม่มีใครมาข้องแวะให้เคืองหูรำคาญตาอีกต่อไป
ดังนั้นทั้งกระบอกเสียงของก๊กฟ้า ก๊กน้ำเงิน และก๊กเหลืองจึงโหมประโคมเรื่องเรือน้อยลอยใกล้ฝั่งด้วยเสียงดังจังหวะเพลงเดียวกันกับพวกอั้งนั้ง อั้งตั่งและโอ่วนั้ง
น่าสมเพชนัก ชาวฮวนนั้งเอย! พวกท่านช่างมีเวรกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อนหนักหนาสาหัสนัก ซ้ายก็หลอก ขวาก็ลวง หน้าก็ต้ม หลังก็ตุ๋น จนใกล้จะเป็นแมงกะพรุนที่ไม่มีกระดูกอีกต่อไป ในขณะที่เนื้อตัวก็เหลือแต่หนังแห้ง ๆ เกรียม ๆ เท่านั้น
ทว่าแผ่นดินที่มากด้วยคนชั่วก็ใช่ว่าจะไร้เสียซึ่งคนดี แผ่นดินมากมีด้วยคนโง่บัดซบงมงาย แต่แผ่นดินก็มิวายยังมีผู้มีสายตาหลักแหลม เห็นมนต์มายาที่เหล่าประดาสารเลวทั้งหลายโหมกระหน่ำย่ำโมงยามแทนนาฬิกาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็รู้สึกคันรำคาญในใจเป็นยิ่งนัก
ราตรีกาลในคืนเพ็ญกลับมืดมิดด้วยม่านเมฆฝนดำทะมึนบนฟากฟ้าฮวนนั้งก๊ก สายฝนยังคงโปรยปรอยมาเป็นระยะ ๆ หลังจากฝนห่าใหญ่ผ่านพ้นไป ชายวัยชรายังคงยืนหันหน้าออกนอกคฤหาสน์ทอดสายตาไปยังสนามหญ้า พลางทอดถอนใจใหญ่
อืมม์! แผ่นดินฮวนนั้งก๊กยามกลียุคเป็นทุกข์นักหนา น่าสงสารอาณาประชาราษฎร์ยิ่งนัก แต่จะทำฉันใดได้ ราตรีในยามข้างขึ้นแต่เมฆฝนบนฟ้าหนาแน่นนัก แสงแห่งจันทร์ไหนเลยจะทอทาบทั่วพิภพได้ ความมืดมิดและความวิตกทุกข์ร้อนจึงต้องเป็นวิสัยอันพึงเป็น
ชายชราผมขาวราวสีเงินยวงรำพึงในใจต่อไปว่า ราตรีกาลผ่านไปแล้ว อรุโณทัยย่อมไขแสงสู่แหล่งหล้า มายาภาพย่อมสิ้นสลาย รำพึงดังนั้นแล้วจึงได้แต่ยืนสงบนิ่งประหนึ่งหลวงจีนกำลังเข้าฌานสมาธิ
ทันใดนั้นชายชราพลันอุทานขึ้นด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาว่า ท่านมาแล้วหรือ ไยไม่รีบปรากฏตัว กล่าวแล้วชายชราก็หันไปทางด้านซ้ายมือ เห็นบุรุษในร่างผอมแห้งแรงน้อยในวัยใกล้เคียงกันแต่คงอ่อนปีเกือบสิบปี พลิ้วร่างเข้ามาอย่างแผ่วเบาไร้ร่องรอย ใบหน้าปกปิดด้วยผ้าคลุมสีดำบาง ๆ จึงคล้ายกับเงาร่างจาง ๆ สายหนึ่งที่พลิ้วเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เสียงเบา ๆ จากอาคันตุกะผู้มาเยือนดังขึ้นว่า ข้าพเจ้าย่อมต้องมาตามที่ผู้เฒ่านัดหมาย ไม่อาจช้าเร็วได้แม้แต่น้อยนิด และต้องขอขอบคุณผู้เฒ่าที่ได้ให้โอกาสข้าพเจ้ามาเข้าพบในยามวิกาล
เสียงดังตอบกลับมาว่า ข่าวคราวอันโหมกึกก้องทั่วทั้งฮวนนั้งก๊กยามนี้มีมาทั่วด้าน ประหนึ่งฟ้าถล่ม ดินจะทะลาย สร้างความประหวั่นพรั่นใจให้กับชาวฮวนนั้งเป็นยิ่งนัก แม้ตัวเราเองบางครั้งก็ยังประหวัดว่า หรือว่ามันจะเป็นเรื่องจริง?
บุรุษผู้เป็นอาคันตุกะค้อมหัวลงหน่อยหนึ่ง แล้วจ้องใบหน้าของเจ้าของคฤหาสน์ ฝ่าความมืดมิดประดุจประกายมีดอันคมกล้า พลางกล่าวว่าผู้เฒ่าจะมากล่าวเล่นฉะนี้กับข้าพเจ้าไปไย? การเล่นกลของเหล่าประดาหมูหมาเหล่านี้มันจะหลอกจะลวงได้ก็แต่เฉพาะคนทั้งปวงดอก ไหนเลยจะพ้นจากสายตาอันคมกล้าของผู้เฒ่าได้เล่า
เสียงตอบอย่างแผ่วเบาและหนักแน่นกล่าวว่า เราไม่ต้องกล่าวเรื่องนี้กันอีกแล้ว ท่านก็รู้เช่นเรารู้ว่าข่าวคราวอันครึกโครมนั้นเป็นแค่ผลประโยชน์ร่วมของพวกลูกเต่าหลานเต่า จระเข้ แย้ และอีแร้ง ที่แม้พวกมันต่างเผ่าต่างพันธุ์ แต่เพราะผลประโยชน์ร่วมกัน มันจึงสามารถเสกสรรปั้นแต่งให้เป็นเรื่องเดียวกัน จนผู้คนหวาดหวั่นพรั่นพรึงไปทั่ว
อาคันตุกะผู้มาเยือนกล่าวว่า คำผู้เฒ่าต้องด้วยใจข้าพเจ้านัก จากการตรวจสอบข่าวสารทุกกระแสยืนยันตรงกันว่าขณะนี้ “โจสิน” มันอยู่ในสภาพผีก็ไม่ใช่ผี คนก็ไม่ใช่คน จะว่าเป็นแค่ครึ่งผีครึ่งคนก็ย่อมได้ แต่แท้จริงมันกำลังกลายเป็นเหยื่อของฝูงสารพัดแร้ง สารพัดแย้ และสารพัดสัตว์ ที่จะรุมกัดกิน แม้กระทั่ง “เล่าจิ๋ว” ที่แก่เฒ่าใกล้เข้าโลงก็ยังไม่วายร่วมสังฆเวร หวังล้วงกระเป๋าเจ้า “โจสิน” อีกด้วย
เจ้าของคฤหาสน์ผงกหน้าแต่เบา ๆ แล้วกล่าวว่า “เล่าจิ๋ว” มันคงเป็น “เล่าจิ๋ว” ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง หาหลัก หาเกณฑ์ หาทิศ หาทาง หาถูก หาผิดใด ๆ ในตัวมันมิได้เลย ยิ่งนับวันยิ่งเลอะเทอะจนกลายพันธุ์เป็นพวกผีโม่แป้งไปอย่างน่าเสียดายนัก
เสียงตอบกลับมาว่า ผู้เฒ่ากล่าวก็ไม่ผิด “เล่าจิ๋ว” มันประดุจดั่งน้ำ ยามอยู่ในโถส้วมมันก็เป็นน้ำในโถส้วม ยามอยู่ในขันน้ำมนต์มันก็เป็นน้ำมนต์ แต่มันหาได้รู้จักตัวเองไม่ ที่เคยทำการใหญ่ได้เป็นคุณแก่แผ่นดินบ้างก็เพราะยามนั้นมันเป็นน้ำในขันน้ำมนต์ของผู้เฒ่าต่างหากเล่า
เสียงหัวร่อในลำคอดังเฮอะ เฮอะ แม้แผ่วเบานัก แต่อาคันตุกะผู้มาเยือนก็ได้ยินอย่างลึกซึ้ง และรู้อากัปกิริยาของผู้เฒ่าเจ้าของคฤหาสน์เป็นอย่างดีว่าสุ้มเสียงหัวเราะชนิดนี้ไม่ต่างกับน้ำเสียงของนักฆ่าในอดีต ที่เคยเปล่งเสียงหัวร่ออย่างเดียวกันนี้ในคืนวันลอยกระทง จึงเปลี่ยนเรื่องที่กล่าวไปเป็นว่า มายาก็คือมายา ของจริงก็คือของจริง
ชายชราเจ้าของคฤหาสน์ได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้า พร้อมกับเสียงอืมม์ในลำคออีกครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า ท่านลองว่าของจริงมาเถิด เวลานี้ก็ดึกมากแล้ว
อาคันตุกะผู้มาเยือนจึงกล่าวว่า ต่อหน้าเทพเจ้าองค์จริง ข้าพเจ้ามิอาจจุดธูปปลอม เรื่องจริงมีอยู่เรื่องเดียว คือการสถาปนาอำนาจใหม่ของพวกตระกูล “อ้วน” ที่กำลังตะกละตะกลามมูมมามอยู่ในขณะนี้ จะเป็นสิ่งชี้ขาดอนาคตของฮวนนั้งก๊ก และท่านอ๋องของพวกเรา
เสียงของอาคันตุกะลดต่ำลงจนแทบคล้ายกับเสียงยุงร้อง พลางกล่าวว่าพวกมันคิดการใหญ่หลวงนัก หวังลงหลักปักฐานเถลิงอำนาจบาตรใหญ่ไปไม่มีที่สิ้นสุด คาดไม่ถึงว่าความกำเริบใจของเหล่ามารจะยิ่งกว่า “โจสิน” มากมายหลายเท่านัก แต่มันหาได้นึกไม่ว่ายิ่งบังอาจฮึกเหิมมากเท่าใด แผลใหญ่ก็จะปรากฏมากเท่านั้น
เสียงยังดังอย่างราบเรียบต่อมาว่า พวกมันคิดว่ายามนี้มันมีอำนาจบาตรใหญ่ในบ้านเมือง เชอะ! ช่างเป็นสำนึกเดียวกับ “โจสิน” เมื่อครั้งเรืองอำนาจไม่มีผิด แต่ทว่ามันยิ่งบังอาจคิดคว่ำฟ้า พลิกดิน ฟ้าและดินก็จะพลิกคว่ำมันอย่างมิต้องสงสัย พลางลดเสียงลงอีกแล้วกล่าวว่า ในบู๊เฮี้ยบหลายสิบปีมานี้ ถึงใครจะวางกลวิธีลี้ลับประการใด ก็ไม่มีทางผ่านสายตาผู้เฒ่าไปได้ มีหรือฝีมือที่หยาบช้ากระด้างดุจอ้วนเสี้ยวจะรอดพ้นสายตาและเงื้อมมือท่าน
เจ้าของคฤหาสน์ผงกศีรษะเล็กน้อย พลางกล่าวว่าพฤติกรรมและโอกาสที่พวกมันจะทำแต่ละยุคแห่งอำนาจไม่อาจมีมากครั้ง ดังนั้นเหล่าประดามันย่อมมองไม่เห็นตัวหมากทั้งกระดาน จึงทำการสิ่งใดก็เป็นไปอย่างหยาบ ๆ ลวก ๆ จนเกิดแรงกระเพื่อมขึ้นในวงการบู๊เฮี้ยบ การครั้งนี้หาได้หนักหนาสาหัสเสมอเหมือนครั้ง “โจสิน” เรืองอำนาจไม่
กล่าวแล้วก็หยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง อาคันตุกะผู้มาเยือนจึงกล่าวแทรกขึ้นว่าฝีมือนักฆ่าอย่างผู้เฒ่า คราคราวนี้เห็นทีจะมิต้องลงมือเองแล้วกระมัง
เจ้าของบ้านจ้องหน้าผู้มาเยือนเพียงเล็กน้อย แต่ประกายตาคมกล้าดุจคมกระบี่ พลางกล่าวว่า ลงมือกับไม่ลงมือ จะมีอันใดต่างกันเล่า ลงมือก็คือลงมือ ไม่ลงมือก็คือลงมือ หรืออยู่เฉย ๆ ก็ลงมือได้ เจ้าไม่เห็นหรือว่าสายลมที่พลิ้วไปในอากาศนั้นมีใครไปจัดการลงมือเล่า
เสียงของผู้มาเยือนดังขึ้นเล็กน้อยว่า ผู้เฒ่าท่านยอดคนโดยแท้ วิชาสิบตำลึงผลักพันชั่งครั้งนี้คงสำแดงอานุภาพให้ปรากฏเป็นแน่แท้ ชาวฮวนนั้งแม้กระทั่งขุมข่ายทั้งปวงมันยังคงมองและเข้าใจว่าผู้เฒ่าท่านยืนนิ่งอยู่เฉย ๆ แต่พวกมันหารู้ไม่ว่านี่คือสุดยอดวิชาสิบตำลึงผลักพันชั่ง ซึ่งน้อยครั้งนักที่ผู้เฒ่าจะใช้สุดยอดวิชานี้
เสียงอืมม์ในลำคอเจ้าของคฤหาสน์ดังขึ้นอย่างแผ่วเบาอีกครั้งหนึ่ง พลางกล่าวว่าสรรพสิ่งมีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน ดาวเดือนเคลื่อนไปในจักรราศีก็ย่อมมีวิถีที่พึงเป็น ฤดูกาลทั้งหลายผันแปรเปลี่ยนแปลงไปตามวัฏจักรก็เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่พึงเป็น
น้ำเสียงลดต่ำลงเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อไปว่าสายลมเย็นพลิ้วแผ่วเบาหนักประการใดก็หามีน้ำมือใดไปจัดการไม่ แห่งหนึ่งร้อน แห่งหนึ่งเย็น แห่งหนึ่งดึง แห่งหนึ่งดัน แห่งหนึ่งผลัก แห่งหนึ่งไส แห่งหนึ่งรุก แห่งหนึ่งรับ ย่อมขยับกลายเป็นสายลมที่พลิ้วแผ่วตั้งแต่อ่อนหยุ่นไปจนแข็งกล้าที่สามารถทำลายล้างสรรพสิ่งได้ อานุภาพแห่งลมนั้นใหญ่หลวงนัก
อาคันตุกะผู้มาเยือนได้ยินดังนั้นก็ค้อมศีรษะลงคำนับ พลางกล่าวว่าในที่สุดจุดอ่อนของพลังดัน พลังผลัก ของพวกประดา “อ้วน” ก็ไม่สามารถลอดจากสายตาอันคมกล้าของท่านผู้เฒ่าได้ ดังนั้นผู้เฒ่าท่านแค่ยืนนิ่งอยู่เฉย ๆ สิ่งที่ถูกดัน สิ่งที่ถูกผลัก ก็จักไหลเทมาที่ผู้เฒ่า โดยมิต้องลงแรงแต่ประการใด โอ้! สุดยอดวิชาสิบตำลึงผลักพันชั่งช่างล้ำเลิศนัก
บุรุษผู้มาเยือนลดเสียงลงจนแทบไม่ได้ยิน แล้วกล่าวว่าอันธรรมดานั้นก่อนวันสารทตงชิว เง็กเซียนฮ่องเต้จะประทานอนุญาตให้บรรดาเหล่าเทวาที่ทำคุณแก่สามโลกเข้าไปเฝ้า เทศกาลตงชิวปีนี้มีเรื่องราวอันใดที่ข้าพเจ้าจะแบ่งเบาภารกิจของผู้เฒ่าได้บ้างเล่า
เจ้าของคฤหาสน์ซึ่งยืนนิ่งประดุจเสาหลักค้ำฟ้าได้ยินดังนั้นแล้วจึงกล่าวว่า โบราณว่ามาแต่กาลก่อนว่าไม่พึงฟังเสียงฟ้า ไม่พึงแปลเสียงฟ้า จะเกิดอัปมงคล แต่ว่าในยามนี้เหตุการณ์บ้านเมืองก็สำคัญยิ่งนัก ตัวเราเล่าก็แก่เฒ่าแล้ว ความจำเริ่มเลอะเลือนสับสน จึงจำไม่ถนัดว่าเมื่อครั้งปลายชีวิตของมหาอุปราชจูกัดเหลียงนั้น ได้คิดอ่านทำการสิ่งใดที่สำคัญบ้าง แล้วกล่าวทิ้งท้ายว่าสายลมยามนี้เย็นสบาย แต่ไฉนเล่าเราจึงมองไม่เห็นลม
บุรุษผู้มาเยือนได้ฟังดังนั้นก็ค้อมหัวคำนับแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้ากล่าวถามความเรื่องเทศกาลตงชิว หาใช่ปรารถนาฟังเสียงฟ้าแต่ประการใดไม่ แต่ด้วยน้ำใจใคร่แบ่งเบาธุระของผู้เฒ่าท่านเป็นสำคัญ
อาคันตุกะมองหน้าเจ้าของคฤหาสน์เขม็งนิ่ง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งราวกับว่าทบทวนความทรงจำ แล้วกล่าวว่าผู้เฒ่าท่านช่างเลิศล้ำ ให้สติแก่ข้าพเจ้า อันสายลมที่ต้องกายให้เป็นที่สบายนั้น มิอาจเห็นได้ด้วยตาเปล่าฉันใดก็ฉันนั้น ขอคารวะท่านผู้เฒ่าด้วยใจ
เสียงของอาคันตุกะกลับคืนสู่ระดับปกติอีกครั้งหนึ่งแล้วกล่าวว่า ในบั้นปลายชีวิตของเสิงเซี่ยงจูกัดเหลียงขงเบ้งนั้น ได้กำหนดภารกิจสำคัญหลายประการ
แล้วว่าประการหนึ่งนั้น คือการกำจัดคนชั่วรอบตัวพระเจ้าเล่าเสี้ยนที่จะเป็นอันตรายใหญ่หลวงแก่แผ่นดิน ประการหนึ่งนั้น คือการจัดวางกำลังทหารจุกช่องอิมเป๋งซึ่งเป็นหนทางลับลัดที่จะเข้าสู่เสฉวน ประการหนึ่งนั้น คือการวางแผนสังหารอุยเอี๋ยนที่จะก่อการกบฏ ประการหนึ่งนั้น คือการวางแผนถอยทัพกลับฮันต๋ง โดยไม่ให้เกิดอันตรายแก่เหล่าทหาร ในประการเหล่านี้ท่านผู้เฒ่าเห็นว่าภารกิจใดสำคัญที่สุด
เจ้าของคฤหาสน์กล่าวว่า ไยเจ้าต้องมาถามเราด้วยเล่า เจ้ากล่าวความทั้งนี้ก็ดีแล้ว ทำให้เราสามารถทบทวนความทรงจำได้อีกครั้งหนึ่ง ท่านลองว่ามาดูว่าในประดาเรื่องเหล่านี้ประการใดสำคัญที่สุด
อาคันตุกะยืนนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบาอย่างยิ่งว่า การกำจัดคนชั่วรอบตัวพระเจ้าเล่าเสี้ยนสำคัญที่สุดเป็นลำดับที่หนึ่ง การจัดวางกำลังจุกช่องอิมเป๋งซึ่งเป็นทางลับลัดที่ข้าศึกจะบุกเข้าเสฉวนได้โดยง่ายเป็นลำดับที่สอง การล่าถอยจากแดนเว่ยกลับคืนเสฉวนเป็นลำดับที่สาม และการสังหารอุยเอี๋ยนจอมกบฏเป็นลำดับที่สี่
เสียงฮือฮือแต่แผ่วเบายิ่งนักดังขึ้น 2-3 ครั้ง จากปากเจ้าของคฤหาสน์ พลางกล่าวว่า ทุกประการนั่นแหละสำคัญที่สุด เพราะหากพลาดพลั้งเสียหายไปแม้ประการเดียวก็เสียหายทั้งหมด และทั้งหมดนั้นหัวใจก็คือบู๊เฮี๊ยบที่จะประมาทพลาดพลั้งมิได้เป็นอันขาด
กล่าวขาดคำลง เจ้าของคฤหาสน์ก็พยักหน้าเป็นทีบอกสัญญาณให้อาคันตุกะลากลับได้แล้ว สายลมแผ่วโผยโชยมาอีกครั้งหนึ่ง ความเงียบสงบในยามราตรียังคงแผ่ปกคลุมไปทั่วฮวนนั้งก๊ก.