Page 2 of 2

Re: ขอหนึ่งกระทู้บันทึกถ้อยความ

PostPosted: Tue Oct 04, 2011 5:47 pm
by ผ่าวารี
สามก๊กการเมืองไทย ตอน ยุทธการปลุกผีแดง

.
.


            เจิ้งหยางศกปีที่ 164 เดือน 9 ขึ้น 15 ค่ำ เป็นเทศกาลวสันต์ฤดู ฝนได้เทกระหน่ำทั่วทุกพื้นที่ในฮวนนั้งก๊กตามหนัก ตามเบา ที่หนักก็หนักจนดินถล่ม น้ำทะลาย ฝายแตก ที่เบาก็น้ำไม่เพียงพอต่อการใช้สอยในภาคเกษตร 

            นี่คืออาเพศที่เทพยดาบันดาลให้ปรากฏแก่ใจชน อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่คนชั่วมีอำนาจวาสนาขึ้นในบ้านเมือง ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติ ธรรมดา ที่มีมาแต่โบราณกาลแล้ว 

            เมื่อคนชั่วมีอำนาจในบ้านเมือง ก็จะข่มเหงยำเยงทั้งบ้านเมืองและราษฎรจนเดือดร้อนยับเยินทุกหย่อมหญ้า ดาวเดือนบนฟากฟ้าก็จะพากันวิปริตผันแปรไป ครั้นดาวเดือนเคลื่อนคล้อยวิปริตวิปลาส การอากาศฤดูกาลก็วิปริตผันแปรตามไปด้วย ฝนฟ้าจึงไม่ตกต้องตามฤดูกาล 

            เมื่อฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาลก็เกิดความเดือดร้อนแก่อาณาประชาราษฎรทุกแห่งหน พื้นที่ที่ไม่ต้องการน้ำก็มีน้ำไหลหลากจนทำลายทรัพย์สิน ข้าวของ บ้านเรือนราษฎร พื้นที่ที่ต้องการน้ำก็เกิดความแห้งแล้ง เป็นทุพภิกขภัยที่ได้ความเดือดร้อนกันทั่วถ้วน 

            เรื่องเคยมีมาแล้วแต่อดีตที่ปีศาจจำแลงแฝงกายเป็นมานพหนุ่มแล้วได้สมสู่กับสตรีที่มีอำนาจวาสนา จึงพากันก้าวสู่อำนาจด้วยกัน แต่วิสัยปิศาจจำแลงก็ย่อมเป็นปิศาจอยู่วันยังค่ำ เพราะมีน้ำใจเป็นพาล เบียดเบียนชีวิตและผู้คนทั้งปวงให้ได้รับความเดือดร้อนโดยไม่เลือกหน้า 

            เมื่อเป็นเช่นนี้เทพยดาที่รักษาแผ่นดินก็ต้องทำสัญญาณเป็นอาเพศต่าง ๆ ให้ปรากฏแก่คนทั้งปวงว่าปิศาจเข้าสิงเมือง จนผู้มีบุญญาธิการอดสงสารฝูงชนผู้ทนทุกข์ทรมานไม่ได้ ในที่สุดก็จำต้องสำแดงกฤดาภินิหารกำจัดมารให้สิ้นสูญ ดังนั้นแล้วเดือนดาวดินฟ้าก็จะหายอาเพศ ทุกเขตแคว้นก็จะกลับสู่ความสงบสุขดังแต่ก่อน 

            รอยเท้าโคย่อมตามตัวโค รอยเกวียนย่อมตามเกวียนไป ไม่มีทางที่จะสิ้นสูญฉันใด ทุกข์สุขยุคเข็ญและรุ่งเรืองก็สลับหมุนเวียนเปลี่ยนไปติดตามกันไปไม่มีที่สิ้นสุดดุจเดียวกัน 

            ทว่าโชคร้ายของชาวฮวนนั้งก๊กในวันนี้ที่กลียุคบังเกิดขึ้น อสูรจำแลงแฝงตนเข้ามามีอำนาจวาสนาในบ้านเมือง ความวิปริตวิปลาสและอาเพศทุกเขตแคว้นและความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าจึงปรากฏขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า จนกระทั่งอาณาประชาราษฎร์ต่างพากันท้อแท้สิ้นอาลัยตายอยาก 

            ทุกแห่งหนมีแต่เสียงบ่นครวญคร่ำว่าฟ้าไฉนจึงไม่ยุติธรรมแก่อาณาประชาราษฎร์ คนชั่วช้าสารเลวกลับมีอำนาจ แต่คนดีมีคุณต่อแผ่นดินกลับสูญสิ้นอำนาจวาสนา เงินตรากลายเป็นพระเจ้าที่โหมโรมเร้าเข้าครองน้ำใจคน จนผิดชอบชั่วดีใกล้สิ้นสูญ พืชพันธุ์ธัญญาหารกำลังสิ้นสลายคลายรสแทบหมดสิ้น 

            ฟ้าเอย! อธรรมย่ำยีอาณาประชาราษฎร์แสนสาหัสนักหนาแล้ว วิบากกรรมอันใดที่คนชั่วช้าสารเลวได้กระทำแล้วแก่บ้านเมือง วิบากกรรมนั้นเป็นอนันตริยกรรมนักหนา สมควรจะถึงแก่เวลาที่ฟ้าท่านจะได้พิทักษ์ความยุติธรรมให้ประจักษ์ในสามโลก 

            หลังจากพ่ายศึกสิบทัพ ข่าวคราวของ “โจสิน” ในแผ่นดินฮวนนั้งก๊กได้ค่อย ๆ มลายคลายจางไปโดยลำดับ ประดุจดั่งแพน้อยที่ไม่อาจลอยเข้าสู่ฝั่ง มิหนำซ้ำยังถูกคลื่นแห่งกาลเวลาชะพาให้ถอยห่างจากฝั่งไปวันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า เดือนแล้วปีเล่า ยิ่งนานวันแพน้อยก็ค่อยๆ ห่างไกลออกจากฝั่งจนลิบลับ ไม่อาจกลับเข้าสู่ฝั่งได้อีกแล้ว 

            ผู้มีปัญญาที่มองเห็นสัจธรรมของคลื่นแห่งกรรมก็ย่อมเห็นความจริงได้กระจ่าง แต่ฮวนนั้งก๊กยามนี้ทุกแห่งที่เต็มไปด้วยมายา ดังนั้นแม้ในความเป็นจริง “โจสิน” ซึ่งเปรียบประดุจเรือน้อยลอยไกลออกจากฝั่งไปโดยลำดับแล้ว กลับถูกมนต์มายาอันสามานย์เสกม่านบังตาให้ประชาราษฎร์เห็นเป็นเรือน้อยลอยใกล้เข้าสู่ฝั่งอีกครั้งหนึ่ง 

            เพลงกรรมจังหวะนี้เร่าร้อนและโหมโรมเร้าจากทุกทิศทาง อา! มันช่างเป็นเวรกรรมของ “โจสิน” เสียจริง ๆ 

            เนื่องเพราะยามนี้ “โจสิน” ก็ยังมีสินทรัพย์นับอนันต์อยู่ จึงตกเป็นเป้าของเหล่าพญาแร้งทั้งหลายที่หมายจะกินตับไตไส้พุง “โจสิน” ไปจนกว่าจะสิ้นชีพิตักษัย ดังนั้นแม้เหล่ามันจะรู้เช่นเห็นชาติว่าเรือน้อยลอยไกลจากฝั่งไปปานไหนแล้ว มันก็ยังเสกเป่าพร่ำเพ้อทุกวี่วันว่าบัดนี้เรือน้อยใกล้ลอยเข้าสู่ฝั่งแล้ว 

            ทั้งพวกอั้งตั่ง พวกอั้งนั้ง ต่างพากันโหมประโคมม่านมายานี้จนกลายเป็นม่านมหึมาขึงบังตาชาวฮวนนั้งก๊ก จนเกิดความประหวั่นพรั่นพรึงตรึงจิตใจขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง 

            พวกมันโหมคลื่นกรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเหล่าประดาเราจะจัดชุมนุมเหล่าอั้งนั้ง เหล่าโอ่วนั้ง เพื่อเผาบ้านเผาเมืองครั้งมโหฬารพันลึกอีกครั้งหนึ่งเพื่อลงโทษพวก “ปี้เซ็ก” และพวก “ซุนลิ้ม” ให้สาแก่ใจ 

            แต่ที่พวกมันคิดแต่ไม่กล้าพูดก็คือความต้องการความสะใจในความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าของชาวฮวนนั้ง ที่ทำเป็นเพิกเฉยมิได้สนใจไยดีต่อชะตากรรมที่ “โจสิน” เผชิญหน้าอยู่ ดังนั้นเหล่าจัญไรชนจึงหวังผลความเดือดร้อนให้บังเกิดแก่ชาวฮวนนั้ง 

            ประดามันสำนึกอยู่แต่ว่าเมื่อ “โจสิน” เดือดร้อน พวกฮวนนั้งทั้งหมดก็ต้องเดือดร้อนเช่นเดียวกัน ดังนั้นการใดที่จะทำให้ชาวฮวนนั้งเดือดร้อนฉิบหายวายวอดได้ การนั้นพวกมันก็เห็นว่าจะเป็นสิ่งที่พึงใจ “โจสิน” เป็นยิ่งนัก และเมื่อพึงใจแล้วประโยชน์โภคผลก็จะไหลหลั่งมายังอุ้งมือของคนประดานั้นเป็นอันมาก 

            พวกมันคิดและทำเรื่องนี้มาอย่างไร? แม้เหตุการณ์ศึกสิบทัพผ่านไปแล้ว มันก็ยังคิดและทำอยู่เช่นนั้น จึงกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญอันดียิ่งให้กับกลไกอำนาจของ “ปี้เซ็ก” โดยเฉพาะวงอำนาจ “ตั๋ง-ลิ” ที่จะหยิบฉวยใช้เป็นมนต์มายาเพื่อคุ้มครองป้องกันตนตาม “1 ยุทธศาสตร์ 2 แนวทาง” ที่ได้กำหนดไว้อย่างเลือดเย็น 

            ดังนั้นในขณะที่นักวิชาการเต้าหู้ยี้และนักวิชากลวงทั้งหลายที่กำลังเมามันอยู่ด้วยสุราพิษยี่ห้อปรองดองและปฏิกูล พร่ำเพ้อร่ำร้องหาสิทธิเสรีภาพที่จะทำลายบ้านเมืองต่อไปตามใจชอบ โดยกดดันให้ “ปี้เซ็ก” ยกเลิกประกาศวิกฤตเพื่อพวกมันจะได้เต้นแร้งเต้นกากันตามประสาผีบ้าต่อไป พวกอั้งนั้งและพวกอั้งตั่งก็ขยับขับเคลื่อนมนต์มายาเรือน้อยลอยใกล้ฝั่งกันอย่างคึกคัก 

            บ้างก็ผูกผ้าแดง บ้างก็ผูกผ้าดำ แต่พิกลพิการนัก เพราะประดามันหาได้ผูกเข้ากับคอตัวเองไม่ แต่ไปผูกตามเสาไฟฟ้าและศาลพระภูมิและที่ต่าง ๆ แต่คงไม่หวังให้ชาวฮวนนั้งไปกราบไหว้บูชาเหมือนกับการผูกผ้าตามต้นกล้วยหรือรูปปั้นหมูหมาแต่ประการใด 

            กระบอกเสียงสารพัดกระบอกก็เป่าหูป่าวประกาศถึงการฟื้นคืนชีพของพวกอั้งนั้งและโอ่วนั้ง ข่มขู่คุกคามอาณาประชาราษฎร์ชาวฮวนนั้งว่าการเผาบ้านเผาเมืองและการนองเลือดครั้งใหม่จะต้องเกิดขึ้น ตราบใดที่ยังมีการกระทำเผด็จการสองมาตรฐาน 

            พวกมันพร่ำเพ้อเรื่องสองมาตรฐาน เหมือนกับความต้องการให้เอาหมาบ้าขึ้นมานอนบนเตียง เช่นเดียวกับหมาดี ข้อเรียกร้องอย่างนี้ถ้าไม่ใช่ข้อเรียกร้องที่บ้าบอคอแตก คนเรียกร้องนั่นแหละคือคนที่บ้าบอคอแตกเสียเอง 

            เหล่าประดาผู้นำของก๊กฟ้า ซึ่งล้วนช่ำชองเชิงยุทธ์ เชี่ยวชาญจัดจ้านเล่ห์กล พวกมันมองเห็นเกมกลมายาของพวกอั้งตั่งและอั้งนั้งดังนี้แล้วก็พากันหัวร่อครื้นเครง เสพสุรา เคล้านารีกันอย่างสนุกสนาน จนที่รโหฐาน “พลอยพิสมัย” ในวิมานวิษณุแทบจะกลายเป็นโรงแรมม่านรูดไปแล้ว 

            พวกมันอ่านไต๋ซึ่งกลบไว้ได้กระจ่าง ดังนั้นจึงแทนที่จะห้ามปรามหรือหยุดยั้งการสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงในฮวนนั้งก๊ก เหล่าประดาก๊กฟ้าจึงพากันสรวลเสเฮฮาตีฆ้องร้องป่าวไขข่าวแพร่หลายให้กลายเป็นจริงเป็นจังขึ้น 

            ดังนั้นในวันนี้จึงมีแต่ข่าวพวกอั้งนั้ง พวกอั้งตั่ง พวกโอ่วนั้ง จะเปิดศึกสิบทัพ สิบสองทัพ เพื่อเผาบ้านเผาเมืองครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ก่อให้เกิดความประหวั่นพรั่นพรึงและหวาดผวาแก่อาณาราษฎรฮวนนั้งตั้งแต่เหนือจรดใต้ ตั้งแต่ซ้ายจรดขวา 

            ส่วนพวกอ้วงนั้ง เหล่าประดามันก็เป็นพวกขวัญอ่อน ในสมองมีแต่เสียงก้องอยู่ด้วยเรื่อง “โจสิน” จนผี “โจสิน” ขึ้นสมอง ดังนั้นแทนที่พวกมันจะป่าวประกาศให้อาณาประชาราษฎร์ฮวนนั้งได้รับรู้ว่าไผเป็นไผ ความจริงเป็นเช่นไร พวกมันกลับโหมประโคมคำเล่าข่าวลือเรื่องพวกอั้งนั้ง อั้งตั่ง โอ่วนั้ง จะเปิดศึกหลายสิบทัพเพื่อขยับเผาบ้านเผาเมืองกันอย่างครึกโครม 

            แท้จริงการโหมประโคมข่าวเช่นนี้ก็เป็นผลประโยชน์อย่างหนึ่งของพวกอ้วงนั้ง เพราะเมื่อชาวฮวนนั้งอกสั่นขวัญแขวนแล้ว ก็จะแห่แหนเข้ามาผนึกกำลังกัน ลงขัน ลงไห ลงหม้อเพื่อเตรียมทำศึกกับ “โจสิน” อีกครั้งหนึ่ง 

            ก็ไม่ต่างกับกลุ่มอำนาจ “ตั๋ง-ลิ” ที่การโหมประโคมข่าวศึกหลายสิบทัพครั้งใหม่จะเป็นอาณาประโยชน์ยิ่งแก่อำนาจของ “ปี้เซ็ก” เพราะเมื่อผู้คนหันไปสนใจในเรื่องศึกครั้งใหม่ ก็ย่อมไม่มีใครมาสนใจไยดีในสิ่งที่ประดามันกำลังก่อกรรมทำเข็ญโกงบ้านผลาญเมืองกันอยู่อย่างครึกโครมและคึกคัก 

            เฉพาะ “ลิห้อย” นั้นมันรู้ดีแก่ใจว่าด้วยสารรูป รูปชั่ว ตัวดำ คะมำขะแมร์ เช่นมันนั้น หาได้รับความเลื่อมใสศรัทธาแก่เหล่าประชาฮวนนั้งไม่ แต่ถ้าเมื่อใดที่ชาวฮวนนั้งพากันอกสั่นขวัญหายเพราะกลัวภัย “โจสิน” แล้ว ก็ย่อมยินยอมให้เหล่าประดามันกอดคอซุกรักแร้กับ “ปี้เซ็ก” กันอย่างสำราญบานใจต่อไปได้ โดยจะไม่มีใครมาข้องแวะให้เคืองหูรำคาญตาอีกต่อไป 

            ดังนั้นทั้งกระบอกเสียงของก๊กฟ้า ก๊กน้ำเงิน และก๊กเหลืองจึงโหมประโคมเรื่องเรือน้อยลอยใกล้ฝั่งด้วยเสียงดังจังหวะเพลงเดียวกันกับพวกอั้งนั้ง อั้งตั่งและโอ่วนั้ง 

            น่าสมเพชนัก ชาวฮวนนั้งเอย! พวกท่านช่างมีเวรกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อนหนักหนาสาหัสนัก ซ้ายก็หลอก ขวาก็ลวง หน้าก็ต้ม หลังก็ตุ๋น จนใกล้จะเป็นแมงกะพรุนที่ไม่มีกระดูกอีกต่อไป ในขณะที่เนื้อตัวก็เหลือแต่หนังแห้ง ๆ เกรียม ๆ เท่านั้น 

            ทว่าแผ่นดินที่มากด้วยคนชั่วก็ใช่ว่าจะไร้เสียซึ่งคนดี แผ่นดินมากมีด้วยคนโง่บัดซบงมงาย แต่แผ่นดินก็มิวายยังมีผู้มีสายตาหลักแหลม เห็นมนต์มายาที่เหล่าประดาสารเลวทั้งหลายโหมกระหน่ำย่ำโมงยามแทนนาฬิกาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็รู้สึกคันรำคาญในใจเป็นยิ่งนัก 

            ราตรีกาลในคืนเพ็ญกลับมืดมิดด้วยม่านเมฆฝนดำทะมึนบนฟากฟ้าฮวนนั้งก๊ก สายฝนยังคงโปรยปรอยมาเป็นระยะ ๆ หลังจากฝนห่าใหญ่ผ่านพ้นไป ชายวัยชรายังคงยืนหันหน้าออกนอกคฤหาสน์ทอดสายตาไปยังสนามหญ้า พลางทอดถอนใจใหญ่ 

            อืมม์! แผ่นดินฮวนนั้งก๊กยามกลียุคเป็นทุกข์นักหนา น่าสงสารอาณาประชาราษฎร์ยิ่งนัก แต่จะทำฉันใดได้ ราตรีในยามข้างขึ้นแต่เมฆฝนบนฟ้าหนาแน่นนัก แสงแห่งจันทร์ไหนเลยจะทอทาบทั่วพิภพได้ ความมืดมิดและความวิตกทุกข์ร้อนจึงต้องเป็นวิสัยอันพึงเป็น 

            ชายชราผมขาวราวสีเงินยวงรำพึงในใจต่อไปว่า ราตรีกาลผ่านไปแล้ว อรุโณทัยย่อมไขแสงสู่แหล่งหล้า มายาภาพย่อมสิ้นสลาย รำพึงดังนั้นแล้วจึงได้แต่ยืนสงบนิ่งประหนึ่งหลวงจีนกำลังเข้าฌานสมาธิ 

            ทันใดนั้นชายชราพลันอุทานขึ้นด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาว่า ท่านมาแล้วหรือ ไยไม่รีบปรากฏตัว กล่าวแล้วชายชราก็หันไปทางด้านซ้ายมือ เห็นบุรุษในร่างผอมแห้งแรงน้อยในวัยใกล้เคียงกันแต่คงอ่อนปีเกือบสิบปี พลิ้วร่างเข้ามาอย่างแผ่วเบาไร้ร่องรอย ใบหน้าปกปิดด้วยผ้าคลุมสีดำบาง ๆ จึงคล้ายกับเงาร่างจาง ๆ สายหนึ่งที่พลิ้วเข้ามาอย่างรวดเร็ว 

            เสียงเบา ๆ จากอาคันตุกะผู้มาเยือนดังขึ้นว่า ข้าพเจ้าย่อมต้องมาตามที่ผู้เฒ่านัดหมาย ไม่อาจช้าเร็วได้แม้แต่น้อยนิด และต้องขอขอบคุณผู้เฒ่าที่ได้ให้โอกาสข้าพเจ้ามาเข้าพบในยามวิกาล 

            เสียงดังตอบกลับมาว่า ข่าวคราวอันโหมกึกก้องทั่วทั้งฮวนนั้งก๊กยามนี้มีมาทั่วด้าน ประหนึ่งฟ้าถล่ม ดินจะทะลาย สร้างความประหวั่นพรั่นใจให้กับชาวฮวนนั้งเป็นยิ่งนัก แม้ตัวเราเองบางครั้งก็ยังประหวัดว่า หรือว่ามันจะเป็นเรื่องจริง? 

            บุรุษผู้เป็นอาคันตุกะค้อมหัวลงหน่อยหนึ่ง แล้วจ้องใบหน้าของเจ้าของคฤหาสน์ ฝ่าความมืดมิดประดุจประกายมีดอันคมกล้า พลางกล่าวว่าผู้เฒ่าจะมากล่าวเล่นฉะนี้กับข้าพเจ้าไปไย? การเล่นกลของเหล่าประดาหมูหมาเหล่านี้มันจะหลอกจะลวงได้ก็แต่เฉพาะคนทั้งปวงดอก ไหนเลยจะพ้นจากสายตาอันคมกล้าของผู้เฒ่าได้เล่า 

            เสียงตอบอย่างแผ่วเบาและหนักแน่นกล่าวว่า เราไม่ต้องกล่าวเรื่องนี้กันอีกแล้ว ท่านก็รู้เช่นเรารู้ว่าข่าวคราวอันครึกโครมนั้นเป็นแค่ผลประโยชน์ร่วมของพวกลูกเต่าหลานเต่า จระเข้ แย้ และอีแร้ง ที่แม้พวกมันต่างเผ่าต่างพันธุ์ แต่เพราะผลประโยชน์ร่วมกัน มันจึงสามารถเสกสรรปั้นแต่งให้เป็นเรื่องเดียวกัน จนผู้คนหวาดหวั่นพรั่นพรึงไปทั่ว 

            อาคันตุกะผู้มาเยือนกล่าวว่า คำผู้เฒ่าต้องด้วยใจข้าพเจ้านัก จากการตรวจสอบข่าวสารทุกกระแสยืนยันตรงกันว่าขณะนี้ “โจสิน” มันอยู่ในสภาพผีก็ไม่ใช่ผี คนก็ไม่ใช่คน จะว่าเป็นแค่ครึ่งผีครึ่งคนก็ย่อมได้ แต่แท้จริงมันกำลังกลายเป็นเหยื่อของฝูงสารพัดแร้ง สารพัดแย้ และสารพัดสัตว์ ที่จะรุมกัดกิน แม้กระทั่ง “เล่าจิ๋ว” ที่แก่เฒ่าใกล้เข้าโลงก็ยังไม่วายร่วมสังฆเวร หวังล้วงกระเป๋าเจ้า “โจสิน” อีกด้วย 

            เจ้าของคฤหาสน์ผงกหน้าแต่เบา ๆ แล้วกล่าวว่า “เล่าจิ๋ว” มันคงเป็น “เล่าจิ๋ว” ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง หาหลัก หาเกณฑ์ หาทิศ หาทาง หาถูก หาผิดใด ๆ ในตัวมันมิได้เลย ยิ่งนับวันยิ่งเลอะเทอะจนกลายพันธุ์เป็นพวกผีโม่แป้งไปอย่างน่าเสียดายนัก 

            เสียงตอบกลับมาว่า ผู้เฒ่ากล่าวก็ไม่ผิด “เล่าจิ๋ว” มันประดุจดั่งน้ำ ยามอยู่ในโถส้วมมันก็เป็นน้ำในโถส้วม ยามอยู่ในขันน้ำมนต์มันก็เป็นน้ำมนต์ แต่มันหาได้รู้จักตัวเองไม่ ที่เคยทำการใหญ่ได้เป็นคุณแก่แผ่นดินบ้างก็เพราะยามนั้นมันเป็นน้ำในขันน้ำมนต์ของผู้เฒ่าต่างหากเล่า 

            เสียงหัวร่อในลำคอดังเฮอะ เฮอะ แม้แผ่วเบานัก แต่อาคันตุกะผู้มาเยือนก็ได้ยินอย่างลึกซึ้ง และรู้อากัปกิริยาของผู้เฒ่าเจ้าของคฤหาสน์เป็นอย่างดีว่าสุ้มเสียงหัวเราะชนิดนี้ไม่ต่างกับน้ำเสียงของนักฆ่าในอดีต ที่เคยเปล่งเสียงหัวร่ออย่างเดียวกันนี้ในคืนวันลอยกระทง จึงเปลี่ยนเรื่องที่กล่าวไปเป็นว่า มายาก็คือมายา ของจริงก็คือของจริง 

            ชายชราเจ้าของคฤหาสน์ได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้า พร้อมกับเสียงอืมม์ในลำคออีกครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า ท่านลองว่าของจริงมาเถิด เวลานี้ก็ดึกมากแล้ว 

            อาคันตุกะผู้มาเยือนจึงกล่าวว่า ต่อหน้าเทพเจ้าองค์จริง ข้าพเจ้ามิอาจจุดธูปปลอม เรื่องจริงมีอยู่เรื่องเดียว คือการสถาปนาอำนาจใหม่ของพวกตระกูล “อ้วน” ที่กำลังตะกละตะกลามมูมมามอยู่ในขณะนี้ จะเป็นสิ่งชี้ขาดอนาคตของฮวนนั้งก๊ก และท่านอ๋องของพวกเรา 

            เสียงของอาคันตุกะลดต่ำลงจนแทบคล้ายกับเสียงยุงร้อง พลางกล่าวว่าพวกมันคิดการใหญ่หลวงนัก หวังลงหลักปักฐานเถลิงอำนาจบาตรใหญ่ไปไม่มีที่สิ้นสุด คาดไม่ถึงว่าความกำเริบใจของเหล่ามารจะยิ่งกว่า “โจสิน” มากมายหลายเท่านัก แต่มันหาได้นึกไม่ว่ายิ่งบังอาจฮึกเหิมมากเท่าใด แผลใหญ่ก็จะปรากฏมากเท่านั้น 

            เสียงยังดังอย่างราบเรียบต่อมาว่า พวกมันคิดว่ายามนี้มันมีอำนาจบาตรใหญ่ในบ้านเมือง เชอะ! ช่างเป็นสำนึกเดียวกับ “โจสิน” เมื่อครั้งเรืองอำนาจไม่มีผิด แต่ทว่ามันยิ่งบังอาจคิดคว่ำฟ้า พลิกดิน ฟ้าและดินก็จะพลิกคว่ำมันอย่างมิต้องสงสัย พลางลดเสียงลงอีกแล้วกล่าวว่า ในบู๊เฮี้ยบหลายสิบปีมานี้ ถึงใครจะวางกลวิธีลี้ลับประการใด ก็ไม่มีทางผ่านสายตาผู้เฒ่าไปได้ มีหรือฝีมือที่หยาบช้ากระด้างดุจอ้วนเสี้ยวจะรอดพ้นสายตาและเงื้อมมือท่าน 

            เจ้าของคฤหาสน์ผงกศีรษะเล็กน้อย พลางกล่าวว่าพฤติกรรมและโอกาสที่พวกมันจะทำแต่ละยุคแห่งอำนาจไม่อาจมีมากครั้ง ดังนั้นเหล่าประดามันย่อมมองไม่เห็นตัวหมากทั้งกระดาน จึงทำการสิ่งใดก็เป็นไปอย่างหยาบ ๆ ลวก ๆ จนเกิดแรงกระเพื่อมขึ้นในวงการบู๊เฮี้ยบ การครั้งนี้หาได้หนักหนาสาหัสเสมอเหมือนครั้ง “โจสิน” เรืองอำนาจไม่ 

            กล่าวแล้วก็หยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง อาคันตุกะผู้มาเยือนจึงกล่าวแทรกขึ้นว่าฝีมือนักฆ่าอย่างผู้เฒ่า คราคราวนี้เห็นทีจะมิต้องลงมือเองแล้วกระมัง 

            เจ้าของบ้านจ้องหน้าผู้มาเยือนเพียงเล็กน้อย แต่ประกายตาคมกล้าดุจคมกระบี่ พลางกล่าวว่า ลงมือกับไม่ลงมือ จะมีอันใดต่างกันเล่า ลงมือก็คือลงมือ ไม่ลงมือก็คือลงมือ หรืออยู่เฉย ๆ ก็ลงมือได้ เจ้าไม่เห็นหรือว่าสายลมที่พลิ้วไปในอากาศนั้นมีใครไปจัดการลงมือเล่า 

            เสียงของผู้มาเยือนดังขึ้นเล็กน้อยว่า ผู้เฒ่าท่านยอดคนโดยแท้ วิชาสิบตำลึงผลักพันชั่งครั้งนี้คงสำแดงอานุภาพให้ปรากฏเป็นแน่แท้ ชาวฮวนนั้งแม้กระทั่งขุมข่ายทั้งปวงมันยังคงมองและเข้าใจว่าผู้เฒ่าท่านยืนนิ่งอยู่เฉย ๆ แต่พวกมันหารู้ไม่ว่านี่คือสุดยอดวิชาสิบตำลึงผลักพันชั่ง ซึ่งน้อยครั้งนักที่ผู้เฒ่าจะใช้สุดยอดวิชานี้ 

            เสียงอืมม์ในลำคอเจ้าของคฤหาสน์ดังขึ้นอย่างแผ่วเบาอีกครั้งหนึ่ง พลางกล่าวว่าสรรพสิ่งมีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน ดาวเดือนเคลื่อนไปในจักรราศีก็ย่อมมีวิถีที่พึงเป็น ฤดูกาลทั้งหลายผันแปรเปลี่ยนแปลงไปตามวัฏจักรก็เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่พึงเป็น 

            น้ำเสียงลดต่ำลงเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อไปว่าสายลมเย็นพลิ้วแผ่วเบาหนักประการใดก็หามีน้ำมือใดไปจัดการไม่ แห่งหนึ่งร้อน แห่งหนึ่งเย็น แห่งหนึ่งดึง แห่งหนึ่งดัน แห่งหนึ่งผลัก แห่งหนึ่งไส แห่งหนึ่งรุก แห่งหนึ่งรับ ย่อมขยับกลายเป็นสายลมที่พลิ้วแผ่วตั้งแต่อ่อนหยุ่นไปจนแข็งกล้าที่สามารถทำลายล้างสรรพสิ่งได้ อานุภาพแห่งลมนั้นใหญ่หลวงนัก 

            อาคันตุกะผู้มาเยือนได้ยินดังนั้นก็ค้อมศีรษะลงคำนับ พลางกล่าวว่าในที่สุดจุดอ่อนของพลังดัน พลังผลัก ของพวกประดา “อ้วน” ก็ไม่สามารถลอดจากสายตาอันคมกล้าของท่านผู้เฒ่าได้ ดังนั้นผู้เฒ่าท่านแค่ยืนนิ่งอยู่เฉย ๆ สิ่งที่ถูกดัน สิ่งที่ถูกผลัก ก็จักไหลเทมาที่ผู้เฒ่า โดยมิต้องลงแรงแต่ประการใด โอ้! สุดยอดวิชาสิบตำลึงผลักพันชั่งช่างล้ำเลิศนัก 

            บุรุษผู้มาเยือนลดเสียงลงจนแทบไม่ได้ยิน แล้วกล่าวว่าอันธรรมดานั้นก่อนวันสารทตงชิว เง็กเซียนฮ่องเต้จะประทานอนุญาตให้บรรดาเหล่าเทวาที่ทำคุณแก่สามโลกเข้าไปเฝ้า เทศกาลตงชิวปีนี้มีเรื่องราวอันใดที่ข้าพเจ้าจะแบ่งเบาภารกิจของผู้เฒ่าได้บ้างเล่า 

            เจ้าของคฤหาสน์ซึ่งยืนนิ่งประดุจเสาหลักค้ำฟ้าได้ยินดังนั้นแล้วจึงกล่าวว่า โบราณว่ามาแต่กาลก่อนว่าไม่พึงฟังเสียงฟ้า ไม่พึงแปลเสียงฟ้า จะเกิดอัปมงคล แต่ว่าในยามนี้เหตุการณ์บ้านเมืองก็สำคัญยิ่งนัก ตัวเราเล่าก็แก่เฒ่าแล้ว ความจำเริ่มเลอะเลือนสับสน จึงจำไม่ถนัดว่าเมื่อครั้งปลายชีวิตของมหาอุปราชจูกัดเหลียงนั้น ได้คิดอ่านทำการสิ่งใดที่สำคัญบ้าง แล้วกล่าวทิ้งท้ายว่าสายลมยามนี้เย็นสบาย แต่ไฉนเล่าเราจึงมองไม่เห็นลม 

            บุรุษผู้มาเยือนได้ฟังดังนั้นก็ค้อมหัวคำนับแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้ากล่าวถามความเรื่องเทศกาลตงชิว หาใช่ปรารถนาฟังเสียงฟ้าแต่ประการใดไม่ แต่ด้วยน้ำใจใคร่แบ่งเบาธุระของผู้เฒ่าท่านเป็นสำคัญ 

            อาคันตุกะมองหน้าเจ้าของคฤหาสน์เขม็งนิ่ง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งราวกับว่าทบทวนความทรงจำ แล้วกล่าวว่าผู้เฒ่าท่านช่างเลิศล้ำ ให้สติแก่ข้าพเจ้า อันสายลมที่ต้องกายให้เป็นที่สบายนั้น มิอาจเห็นได้ด้วยตาเปล่าฉันใดก็ฉันนั้น ขอคารวะท่านผู้เฒ่าด้วยใจ 

            เสียงของอาคันตุกะกลับคืนสู่ระดับปกติอีกครั้งหนึ่งแล้วกล่าวว่า ในบั้นปลายชีวิตของเสิงเซี่ยงจูกัดเหลียงขงเบ้งนั้น ได้กำหนดภารกิจสำคัญหลายประการ 

            แล้วว่าประการหนึ่งนั้น คือการกำจัดคนชั่วรอบตัวพระเจ้าเล่าเสี้ยนที่จะเป็นอันตรายใหญ่หลวงแก่แผ่นดิน ประการหนึ่งนั้น คือการจัดวางกำลังทหารจุกช่องอิมเป๋งซึ่งเป็นหนทางลับลัดที่จะเข้าสู่เสฉวน ประการหนึ่งนั้น คือการวางแผนสังหารอุยเอี๋ยนที่จะก่อการกบฏ ประการหนึ่งนั้น คือการวางแผนถอยทัพกลับฮันต๋ง โดยไม่ให้เกิดอันตรายแก่เหล่าทหาร ในประการเหล่านี้ท่านผู้เฒ่าเห็นว่าภารกิจใดสำคัญที่สุด 

            เจ้าของคฤหาสน์กล่าวว่า ไยเจ้าต้องมาถามเราด้วยเล่า เจ้ากล่าวความทั้งนี้ก็ดีแล้ว ทำให้เราสามารถทบทวนความทรงจำได้อีกครั้งหนึ่ง ท่านลองว่ามาดูว่าในประดาเรื่องเหล่านี้ประการใดสำคัญที่สุด 

            อาคันตุกะยืนนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบาอย่างยิ่งว่า การกำจัดคนชั่วรอบตัวพระเจ้าเล่าเสี้ยนสำคัญที่สุดเป็นลำดับที่หนึ่ง การจัดวางกำลังจุกช่องอิมเป๋งซึ่งเป็นทางลับลัดที่ข้าศึกจะบุกเข้าเสฉวนได้โดยง่ายเป็นลำดับที่สอง การล่าถอยจากแดนเว่ยกลับคืนเสฉวนเป็นลำดับที่สาม และการสังหารอุยเอี๋ยนจอมกบฏเป็นลำดับที่สี่ 

            เสียงฮือฮือแต่แผ่วเบายิ่งนักดังขึ้น 2-3 ครั้ง จากปากเจ้าของคฤหาสน์ พลางกล่าวว่า ทุกประการนั่นแหละสำคัญที่สุด เพราะหากพลาดพลั้งเสียหายไปแม้ประการเดียวก็เสียหายทั้งหมด และทั้งหมดนั้นหัวใจก็คือบู๊เฮี๊ยบที่จะประมาทพลาดพลั้งมิได้เป็นอันขาด 

            กล่าวขาดคำลง เจ้าของคฤหาสน์ก็พยักหน้าเป็นทีบอกสัญญาณให้อาคันตุกะลากลับได้แล้ว สายลมแผ่วโผยโชยมาอีกครั้งหนึ่ง ความเงียบสงบในยามราตรียังคงแผ่ปกคลุมไปทั่วฮวนนั้งก๊ก.

Re: ขอหนึ่งกระทู้บันทึกถ้อยความ

PostPosted: Tue Oct 04, 2011 5:58 pm
by ผ่าวารี
สามก๊กการเมืองไทย ตอน ลางวิบัติปรากฏ!

.
.


            เจิ้งหยางศกปีที่ 164 แรม 13 ค่ำ เดือน 9 วสันตฤดู ฝนฟ้ายังคงตกหนักแทบทั่วทุกพื้นที่แผ่นดินฮวน ฟ้าร้องฟ้าลั่นกัมปนาทกึกก้องประหนึ่งฟ้าทนเห็นอาณาประชาราษฎร์ถูกอสูรครอบงำย่ำยีเบียดเบียนข่มเหงชนิดไม่เกรงฟ้า ไม่กลัวดินไม่ได้ จึงร้องไห้ หลั่งน้ำตารินไหลท่วมแผ่นดินฮวนหลายพื้นที่ 

            บางพื้นที่ฝนตกหนัก น้ำไหลบ่าทะลัก ดินทะลาย ถล่มทับเรือกสวนไร่นาและสัตว์เลี้ยง บ้านเรือนของชาวฮวนจนพังพินาศ บ้างถูกน้ำพัดพาสูญหายไปกับสายน้ำ บางพื้นที่น้ำเอ่อล้นฝั่งท่วมบ้านเรือนและทรัพย์สินเสียหายสุดคณานับ 

            เสียงฟ้าร้องฟ้าลั่นดังสนั่นกึกก้องกว่าทุกระยะที่ผ่านมา ประกอบเข้าเป็นฟ้าคำรนฝนคำราม ประหนึ่งว่าเป็นอาเพศบอกเหตุร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นในแผ่นดินฮวน 

            ดาวเทพแห่งสงครามเคลื่อนคล้อยโคจรผ่านจักรราศีแม่ธาตุไฟสู่ราศีธาตุดิน และบัดนี้ก็ได้เคลื่อนคล้อยเข้าสู่ราศีธาตุลมอันเป็นธาตุประจำองค์เทพแห่งสงคราม องศาการโคจรเคลื่อนเข้าใกล้กำลังประจำองค์เทวะแห่งสงครามเต็มทีแล้ว การในฟากฟ้านภากาศกำลังบ่งบอกเหตุอาเพศของแผ่นดินฮวนกระจ่างชัด 

            การในภาคพื้นดินนั้นเล่า ก็มีลางบอกเหตุปรากฏขึ้นมากหลาย จนบรรดาโหราจารย์ หมอดู หมอเดาต้องพากันสุมหัวซุบซิบกันว่าจะเกิดเรื่องราวใดขึ้นในบ้านเมือง 

            นักการเมืองฮวนกำเริบลำพองในอำนาจยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ พวกหนึ่งจาบจ้วงล่วงเกินฮ่องเต้ อีกพวกหนึ่งมีอำนาจกำราบปราบปรามแต่หรี่ตาให้ปล่อยให้เคลื่อนไหวตามอำเภอใจ หวังบั่นทอนความศรัทธาในองค์ฮ่องเต้เพื่อพวกตนจะได้เข้มแข็งแกร่งกล้ามากขึ้น มันช่างเป็นแผนสุดอุบาทว์ยิ่งนัก! 

            นักการเมืองฮวนลำพองในอำนาจ ฉ้อราษฎร์บังหลวงชนิดเย้ยฟ้าท้าดิน โกงกินอย่างมูมมามตะกละตะกลามจนแผ่นดินสิ้นเลือดเนื้อเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก หนี้สินพะรุงพะรัง จะตกค้างไปถึงวันข้างหน้าจนไม่มีวันชำระหนี้ได้หมดสิ้น 

            นักการเมืองฮวนหยาบช้าสามานย์ วางแผนการทำลายความสามัคคีภายในแผ่นดิน ยุให้แยกแตกสลายในทุกหัวระแหง ไม่ว่าในส่วนกลไกรัฐหรือกลไกราษฎร์ล้วนถูกอำนาจนักการเมืองเข้าไปยุยงส่งเสริมให้ทะเลาะเบาะแว้งแก่งแย่งแข่งดีกัน จนวิวาทบาดหมางกันทั่วทั้งแผ่นดิน เมื่อแผ่นดินสิ้นสามัคคีก็มีแต่จะต้องล่มสลายในที่สุด 

            นักการเมืองฮวนใจดำอำมหิต แทนที่จะคิดทำมาค้าขายให้แผ่นดินเจริญรุ่งเรือง กลับนำเอาตำแหน่งแหล่งที่ในวงราชการออกมาประมูลขายกันอย่างโจ่งแจ้งครึกโครม แม้ไม่ถึงกับประมูลขายตำแหน่งข้างเขียงหมูในตลาดเหมือนยุคก่อนรัฐบาลชิงล่มสลาย ก็คล้ายคลึงเต็มที ทุกตำแหน่งแหล่งที่คนดีไม่มีโอกาสได้ขึ้นสู่อำนาจ มีแต่พวกโกงชาติ โกงราษฎร จึงสามารถก้าวสู่อำนาจด้วยการประมูลซื้อตำแหน่งได้ 

            และเมื่อซื้อตำแหน่งได้มาแล้วก็ต้องขายตามลักษณะการพาณิชย์ ขายผิดให้เป็นถูก ขายถูกให้เป็นผิด ขายผลประโยชน์แผ่นดิน ขายผลประโยชน์ท้องถิ่น ขายผลประโยชน์แห่งรัฐ รีดนาทาเร้น ข่มเหงขุนนางข้าราชการและราษฎรโดยไม่เลือกหน้า แผ่นดินฮวนจึงร้อนลุกเป็นไฟทั่วไปในทุกวงการ 

            นักการเมืองฮวนทรยศชาติ ขายชาติ ยอมให้ขะแมร์เข้ามายึดครองแผ่นดินและขับไล่ราษฎรฮวนออกจากพื้นที่อย่างไม่หยุดยั้ง ขะแมร์ได้เข้ายึดครองแผ่นดินรอบปราสาทเก่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ไปแล้ว เอาพื้นที่ในอ่าวฮวนถึง 1 ใน 3 ไปให้สัมปทานแก่พวกอั้งม้อและพวกหัวแดงต่าง ๆ ถึง 6 เผ่า เอาผลประโยชน์ของแผ่นดินฮวนไปประเคนเพื่อดึงพวกตาสีน้ำข้าวเข้ามาย่ำยีชาวฮวน และเอาผลประโยชน์ไปแบ่งปันกันกับนักการเมืองฮวน 

            มิหนำซ้ำยังรู้เห็นยินยอมพร้อมใจให้ขะแมร์ส่งราษฎรและทหารเข้ามาขับไล่ราษฎรฮวนตามแนวชายแดนด้านอีสานและตะวันออกเป็นพื้นที่ถึง 1,800,000 ไร่ ราษฎรฮวนต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ และอพยพกันจ้าละหวั่น 

            นักการเมืองฮวนสมคบกับนักค้ายาเปลี่ยนวิญญาณให้เข้ามาขายแพร่หลายในแผ่นดินฮวน จนลูกเล็กเด็กน้อยและผู้คนจำนวนมากเสพยาเปลี่ยนวิญญาณกันงอมแงม กลายเป็นผลิตผลที่เพิ่มปริมาณมากที่สุดจากปีละ 80 ล้านเม็ด เป็น 300 ล้านเม็ดไปแล้ว 

            การอันเป็นไปในภาคพื้นดินทำให้ขื่อแปบ้านเมืองล่มสลาย แผ่นดินฮวนจึงคล้ายเจดีย์ทรายที่กำลังสลายตัวถล่มลงมา ใครเล่าจักเอาสองมือขึ้นค้ำยัน เพื่อกอบกู้ฟื้นฟูแผ่นดิน อา! ช่างน่าอนาถนัก มันเป็นชะตากรรมของชาวฮวนที่เกิดมาในยุคสมัยเป็นกลียุค ที่ต้องเผชิญหน้าชะตากรรมอันเลวร้ายนี้ 

            ทว่าแผ่นดินฮวนนั้นศักดิ์สิทธิ์ มีเทพเทวารักษาแผ่นดิน ที่ทรงมีพระเมตตา พระกรุณาต่ออาณาประชาราษฎร์ และทรงมีพระปัญญาคุณอันบริสุทธิ์ที่จะปกปักรักษาแผ่นดินและคุ้มครองผองภัยให้แก่แผ่นดินฮวน ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่าคนคิดสู้ลิขิตสวรรค์ไม่ได้ จึงเป็นสิ่งที่ชาวฮวนทั้งปวงล้วนพึ่งหวัง และสวดมนต์บ่นภาวนาวิงวอนสวรรค์ได้กำจัดเภทภัยในแผ่นดินให้สิ้นสูญ 

            นักการเมืองฮวนก่อกรรมทำชั่วถึงปานนี้ก็หามีความสำนึกที่จะรู้สึกอิ่ม รู้จักพอแต่ประการใดไม่ ยังคงคิดอ่านวางแผนที่จะครองอำนาจในแผ่นดินไปตลอดกัลปาวสาน 

            ประดามันเห็นว่าฐานกำลังค้ำยันอำนาจในแผ่นดินนี้คือกำลังทหาร ดังนั้นจึงคิดการวางแผนสืบทอดเสาค้ำยันบัลลังก์แห่งอำนาจให้มั่นคงไม่คลอนแคลน เร่งรัดจัดแจงเสนอหวังให้การวางคนสืบทอดอำนาจทางทหารเป็นไปอย่างต่อเนื่องแนบเนียน 

            ทว่าความคิดของคนไม่อาจพ้นสายตาแห่งฟ้า ใครใดก็ตามครองตนสอดคล้องกับวิถีแห่งฟ้าย่อมได้รับมงคล ครองตนฝืนต่อวิถีแห่งฟ้าย่อมได้รับอัปมงคล คัมภีร์วิถีแห่งฟ้าจึงแจงว่าการได้รับมงคลหรืออัปมงคลก็เพราะการครองตนของตน อย่าโทษกล่าวหาว่าฟ้าบันดาลเลย 

            บนฟากฟ้านภากาศ ฟ้าคำรนฝนคำรามดังเปรี้ยงปร้างสนั่นไปทั้งบ้านทั้งเมือง บนผืนแผ่นดินเล่าฟ้าก็คำรน ฝนก็คำรามดุจเดียวกัน แผนสืบทอดอำนาจถูกอสุนีบาตฟาดเปรี้ยงปร้างกระจุยกระจาย และต้องว่ากันใหม่ 

            โอ! ลางร้ายเริ่มปรากฏแก่เหล่าผู้กบฎทรยศชาติ โกงบ้านผลาญแผ่นดินแล้วหรือไฉน? 

            คนดีต้องมีอำนาจในแผ่นดิน กองทัพต้องเป็นเอกภาพ และค้ำจุนชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ย่อมเป็นสัจธรรมแห่งแผ่นดินนี้ ไม่มีวันผันแปรเป็นอื่นไปได้ ดังนั้นในพลันที่คำประกาศิตปรากฏ อาณาประชาราษฎรฮวนจึงพากันแซ่ซ้องสาธุการ สัมผัสได้ถึงความเมตตาปรานีแห่งสวรรค์ที่จะบันดาลดลให้ผองชนในแผ่นดินได้ผ่านพ้นทุกข์เข็ญ 

            ประดาเจ้ากี้เจ้าการคิดอ่านครองแผ่นดินไปตลอดกาลนานหวั่นผวา คิดอ่านประการใดก็ไม่ตก จึงหวังพึ่งพ่อมดหมอผีที่มีชื่อแดนเหนือ จึงส่งลิ่วล้อบริวารขึ้นไปปรึกษาหารือว่าจะคิดอ่านทำการกอบกู้รักษาอำนาจไว้ให้ยืนยงสืบไป จักเป็นฉันใดเล่า 

            วิสัยพ่อมดหมอผีมีหรือจะขัดอกขัดใจใครไหนที่มาพึ่งพาบริการ ย่อมเข้าด้วยช่วยกระพือยุยงส่งเสริมเป็นทำนองว่านายท่านบุญญาธิการสูงลิ่ว เกิดมาเพื่อเป็นนายคน เป็นจอมคน โอกาสอันงามมาถึงแล้ว มหาเทพแห่งสงครามกำลังเคลื่อนคล้อยเข้าสู่เรือนธาตุประจำองค์ จะส่งเสริมนายท่านให้เป็นใหญ่กว่าใครในแผ่นดินนี้ 

            คำทำนายทายทักสร้างความปลื้มอกบานใจให้กับประดาผู้กระหายอำนาจจนไม่อาจข่มไว้ได้ จัดการชุมนุมสุมหัวเลี้ยงดูปูกับแกล้มกันอย่างเพลิดเพลิน จนกระจิบกระจอกได้กลิ่นไอแล้วนำไปขยายความให้ตื่นตระหนกกันทั่วทั้งแผ่นดิน 

            ความเบิกบานสำราญใจก็ยังคงเป็นความเบิกบานสำราญใจ แต่จะใกล้ไกลความจริงสักเพียงไหนใครเล่าจักรู้ 

            อันธรรมดานักหมากรุกนั้นย่อมสำราญบานใจในทุกหมากทุกตาที่ก้าวเดิน หากว่าหยั่งไม่ถึงซึ่งความเป็นไปทั้งปวง รู้เท่าที่รู้ เห็นเท่าที่เห็นก็ย่อมเป็นเช่นนั้น 

            ทว่าผู้ชำนาญการศึกแห่งอำนาจที่มีความชาญฉลาดและมีประสบการณ์นานเนิ่น ไหนเลยจะคิดอ่านแบบเหล่าประดานักบ้าอำนาจเล่า ความสูงสุดแบบสามัญ ความสามัญแต่สูงสุด ไร้รูป ไร้รส ไร้กลิ่น ไร้เสียง ปราศจากสรรพสำเนียงร่องรอยใด ๆ แต่ทรงไว้ซึ่งความลึกล้ำและอานุภาพ ยามนิ่งก็ประดุจซ่อนอยู่ใต้บาดาลชั้น 9 ยามเคลื่อนก็ประดุจศิลาใหญ่เคลื่อนไหวกลิ้งลงมาจากฟ้า หามีสิ่งใดต้านทานได้ไม่ 

            “เล่าจิ๋ว” เสือเฒ่าแม้แก่เฒ่าเหลาเหย่และเป๋ไปเป๋มา แต่มันนั้นจมูกไวยิ่งกว่าจมูกสุนัข และด้วยประสบการณ์อันยาวนาน เห็นปรากฏการณ์อาเพศทั้งปวงแล้วก็รู้แก่ใจว่ากฎแห่งสวรรค์ย่อมลงทัณฑ์แก่ผู้ทำชั่วเสมอ ดังนั้นมันจึงรีบพลิกพลิ้วท่าทีกลายเป็นผู้ประกาศความจงรักภักดีและผลักดันเกมสมานฉันท์ปรองดองอย่างทันทีทันใด 

            แน่นอนว่าการออกมาเต้นแร้งเต้นกานั้นย่อมไม่อาจทำได้โดยลำพังตน และเป็นที่แน่นอนว่ากระบวนท่าทั้งหลายย่อมได้รับความเห็นชอบจาก “โจสิน” 

            แท้จริงการปรองดองนั้นหาได้มีแต่อย่างเดียว และหาได้หมดจดงดงามในกระบวนเพลงเดียวไม่ 

            ผู้ชำนาญการปรองดองย่อมกระจ่างว่าสิ่งที่จะปรองดองได้ง่ายที่สุดคือผลประโยชน์ร่วมกันแบบมึงมั่ง กูมั่ง ใครจะฉิบหายก็ช่างมัน ดังนั้นในท่ามกลางความไม่เป็นปึกแผ่นของทุกฝ่าย กระบวนการปรองดองเรื่องผลประโยชน์ในบางซีกของแต่ละฝ่ายจึงเกิดขึ้นและขับเคลื่อนไปอย่างเงียบเชียบ 

            ส่วนการที่จะปรองดองกันด้วยเรื่องแบ่งอำนาจหรือการเมืองนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะเป็นวิสัยแห่งอำนาจที่ใครได้ครองแล้วย่อมรักห่วงหวงแหนยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจ ยากที่จะแบ่งให้ใครเข้ามาครอง เพราะอำนาจนั้นมิได้เข้าใครออกใคร แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่เริ่มต้นไม่ได้โดยเฉพาะกับนักการเมืองฮวน 

            ดังนั้นการเดินแผนปรองดองด้านผลประโยชน์จึงเป็นด้านหนึ่งที่บางซีกของแต่ละฝ่ายขยับขับเคลื่อนอย่างเป็นมรรคผล แต่การปรองดองด้านอำนาจทางการเมืองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องขับเคี่ยวขับเคลื่อนกันต่อไป 

            แท้จริงแล้วการปรองดองเรื่องผลประโยชน์ได้ลงตัวในเชิงหลักการมาตั้งแต่ครั้งศึกสิบทัพ แต่ต่างฝ่ายต่างก็ปกปิดซ่อนงำไว้ไม่ให้อาณาประชาราษฎร์ชาวฮวนได้รับรู้ เพราะความจริงในเรื่องนี้หากถูกเปิดเผยไปจะสร้างความบรรลัยให้แก่ประดาพวกมันอย่างยับเยิน 

            ในช่วงศึกสิบทัพ “ซู่ขุม” และ “ปี้กร” มิตรร่วมหอร่วมสำนักกับ “ปี้เซ็ก” ได้ลอบเดินทางลงใต้ นัดหมายเจรจากับ “โจสิน” อย่างเงียบกริบ ประดามันอาศัยสถานการณ์ที่ผู้คนทั้งแผ่นดินสนใจจับจ้องอยู่แต่ศึกสิบทัพในเมืองหลวง แต่พวกมันกลับทะลวงลงใต้แอบไปเจรจากันอย่างเพลิดเพลิน 

            เหล่ามันจะซุบซิบนินทาว่ากล่าวประการใด มีแต่พระพายและสายลมเท่านั้นที่จะรู้ได้ แต่เป็นธรรมดาที่แม้ตาคนจะมองไม่เห็นลม ส่วนผู้มีปัญญาก็ย่อมรู้ว่ามีลมพัดหรือไม่ และพัดจากทิศไหนไปทางไหนฉันใด สิ่งที่พวกมันแอบเจรจาปรองดองกันก็ย่อมรู้ได้ด้วยอาการอย่างเดียวกันฉันนั้น 

            หลังแอบเจรจากันคราวนั้นแล้ว สายลมพัดพาผ่านฮวนนั้งไปทางใดบ้าง แม้ยามแรกที่เกิดเหตุย่อมไร้คนสังเกตเห็น แต่ครั้นบัดนี้ “โจสิน” อดรนทนปกปิดเรื่องไว้ไม่ได้ จึงเดินเกมเปิดที่ปิด หงายที่คว่ำ ด้วยการสั่งการให้ฮูหยินใหญ่ต่อสายทายทักกับกระบอกเสียงรายใหญ่ให้เอาสิ่งที่ปิดออกมาเปิด 

            ทันทีที่ข่าวฮั้วเรื่องผลประโยชน์แพร่หลายไปยังชาวฮวน “ปี้เซ็ก” รู้สึกตระหนกตกใจแต่ทำเป็นเก๋ไก๋ไม่รู้ไม่ชี้ และยิ้มหล่อ ๆ แย้มน้อย ๆ ค่อย ๆ ถามว่าข่าวที่ไหน เมื่อใด ฮิ ฮิ ช่างละม้ายคล้ายกับผู้พันประจักษ์ในละครน้ำเน่าที่กำลังหลอกหลอนต้มตุ๋นแม่ยกชาวฮวนกันงอมแงมในยุคนี้ 

            แต่ในที่สุด “ปี้เซ็ก” ก็รู้ดีว่าความประการนี้จะปิดไว้ต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะนักสอดแนมชาวฮวนทั้งขุด ทั้งเจาะ ทั้งไช ทั้งชอนกันจ้าละหวั่น ทั้งประดามันเหล่าอั้งนั้ง อั้งตั่งก็โหมประโคมตีฆ้องร้องป่าวเปิดเผยเรื่องราวจนล่อนจ้อน 

            กลการเมืองของ “โจสิน” สัมฤทธิ์ผลกดดันจน “ปี้เซ็ก” ไม่อาจปกปิดเรื่องราวเอาไว้ต่อไปได้ ต้องออกมายอมรับต่อชาวฮวนทั้งปวงว่าจะมีการเจรจาปรองดองกันเพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองฮวน แต่จะต้องไม่ยกโทษภัยทั้งปวงที่ “โจสิน” ทำผิดคิดร้ายต่อแผ่นดินเป็นอันขาด 

            ท่วงทำนองวิญญูชนของ “ปี้เซ็ก” ที่หมายเอาดีปกป้องคุ้มครองตัว หมายเอาชั่วโยนให้กับ “โจสิน” และเหล่าอั้งนั้ง อั้งตั่ง ประดุจดังฆ้อนใหญ่ที่ทุบลงกลางตัวจงอาง จึงเกิดอาการดิ้นพรวดพราดด้วยแรงโทสะ เพราะเป้าใหญ่ใจกลางของการปรองดองจากฝ่าย “โจสิน” นั้นหาได้มีเรื่องใดสำคัญเท่ากับไปการยกโทษภัยทั้งปวงให้มีความบริสุทธิ์ผุดผ่องยองใย เดินกรายนิ้วจีบปากเข้ามาจูบแผ่นดินไม่ 

            “โจสิน” ให้โกรธแค้น “ปี้เซ็ก” เด็กน้อยที่พูดจาเอาดีใส่ตัวและปฏิเสธไมตรีในที่แจ้งเป็นยิ่งนัก ดังนั้นไม่ทันข้ามวันทั้ง “หม่าตู๋” “หม่าตี๋” และหม่าขี้ข้าทั้งหลายก็ออกมาร่ายกระบี่ตีกระบองโพนทะนาด่าว่า “ปี้เซ็ก” เป็นการใหญ่ กล่าวหาว่าไม่เห็นแก่ความสงบสุขของแผ่นดิน 

            เนื่องเพราะพวกมันนั้นถือเอา “โจสิน” คือแผ่นดิน “โจสิน” ไม่สงบสุข แผ่นดินก็ไม่สงบสุข “โจสิน” เป็นสุข แผ่นดินก็เป็นสุข “โจสิน” เดือด แผ่นดินก็ต้องร้อน มิได้ถือผิดชอบชั่วดีเหมือนที่คนทั้งปวงนับถือเลย 

            หลังจากการแอบเจรจานอกแคว้นแดนใต้ของแผ่นดินฮวนคราวนั้นแล้ว ปรากฏการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้นชนิดที่ผู้คนไม่นึกฝัน ที่สำคัญได้แก่ 

            ข้อแรก จู่ ๆ “โจสิน” ก็หายเงียบไปจากยุทธจักร ภาพที่เคยเห็น เสียงที่เคยได้ยิน สารที่เคยส่งมาถึงลิ่วล้อบริวารและชาวฮวนเป็นประจำก็หายลับ จนเกิดข่าวลือต่าง ๆ นานาว่า “โจสิน” ป่วยหนัก ใกล้ถึงกาลอำลาโลก บ้างก็ว่าถูกบางแคว้นกำหนดเงื่อนไขให้สงบปากสงบคำ เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งกับแผ่นดินฮวน ซึ่งเป็นการผิดวิสัยของคนแบบ “โจสิน” ที่ใจเร็วด่วนได้ ใจร้อนดุจดั่งไฟและอยู่ไม่สุข 

            ข้อสอง จู่ ๆ อำนาจรัฐของ “ปี้เซ็ก” ก็ประกาศตั้งคณะกรรมการปรองดอง ปรองแดกและกรรมการปฏิกูลอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยและโดยไม่ได้หวังผลใด ๆ ที่จะเกิดขึ้น เพราะต้องรอชาติหน้าของอำนาจรัฐปัจจุบันจึงจะรู้ผลการทำงานของคณะกรรมการต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่ต้องปรนเปรอด้วยเงินทองของหลวงถึง 600 ล้านอีแปะ 

            ข้อสาม จู่ ๆ ตีนมือของ “ปี้เซ็ก” ก็เปิดเผยท่าทีจะซื้อกิจการในท้องฟ้าซึ่งอยู่ในเครือข่ายของ “โจสิน” อ้างว่าเพื่อประโยชน์แผ่นดินฮวน ทั้ง ๆ ที่ศาลไคฟงเมืองฮวนได้ชี้ขาดว่ามีการทำผิดเงื่อนไขกติกาและต้องยึดเอาคืน แต่กลับไม่ยอมทำหน้าที่ กระหายใคร่ที่จะจ่ายเงินเป็นค่าซื้อ จนชาวฮวนทั้งแผ่นดินพากันก่นด่าประณามคัดค้าน จนต้องระงับแผนการนี้ไว้ชั่วคราว 

            ที่สำคัญคือ มือตีนที่เคลื่อนไหวในเรื่องนี้กลับกลายเป็นคนใกล้ชิดติดตัว “ปี้เซ็ก” ทั้งสิ้น คนเหล่านี้โดยปกติก็หาใช่คนโง่เขลาเบาปัญญา หรือมิได้รู้เรื่องราวความเป็นไปในคำตัดสินของศาลไคฟงเมืองฮวนไม่ จึงสะท้อนเบื้องหลังที่ชาวฮวนต้องตั้งข้อสงสัยและตรวจสอบกันจ้าละหวั่น 

            ข้อสี่ จู่ ๆ เครือข่ายมือไม้ของ “ปี้เซ็ก” ก็ประกาศผลการจัดซื้อกิจการเรือบินของ “หม่าก๊ก” ทับซ้อนกับกิจการที่มีอยู่แต่ดั้งเดิม และยังไม่มีผลกำไรแต่ประการใด อาการที่ซื้อขายก็เงียบงันประดุจการเคลื่อนไหวของโหงพรายที่แม้กระทั่ง “โซ่ผล” ลิ่วล้อของ “ลิห้อย” ที่เป็นผู้มีอำนาจกำกับดูแลเรื่องนี้ต้องตะลึงจนตกเก้าอี้มาแล้ว 

            ทว่าหน้าต่างมีหู ประตูมีตา ความลับอันใดในแผ่นดินฮวนนั้นยากจะปกปิด จึงเกิดข่าวลือหนาหูแก่ผู้คนว่า การซื้อขายครั้งนี้มีเงินหลวงตกหล่นหลายพันล้านอีแปะ โดยรับภาระหนี้สินมหาศาลของกิจการที่ซื้อมา โดยเครือข่ายของ “ปี้เซ็ก” และ “โจสิน” ร่วมกันจัดหาทุนรอนมาสนับสนุนการซื้อขายรายนี้ จึงเป็นที่จับตาและค้นคว้าขุดคุ้ยของบรรดาชาวฮวนผู้รักชาติอย่างไม่หยุดยั้งอยู่ในขณะนี้ 

            ข้อห้า จู่ ๆ ตลาดลมในเมืองฮวนซึ่งปั่นกระดาษเป็นเงินเป็นทองซื้อขายกันอย่างอึกทึกครึกโครมก็มียอดซื้อขายพุ่งสูงลิ่วถึงวันละ 30,000-40,000 ล้านอีแปะ ทั้ง ๆ ที่การทำมาหากินของชาวฮวนสุดแสนจะยากแค้นแสนเข็ญ และบรรดาชาวค้าชาวขายจากต่างแคว้นต่างพากันระอา พากันถอนทุนถอยหนีออกจากแผ่นดินฮวนไปเป็นจำนวนมาก 

            ทว่ากิจการปั่นกระดาษเป็นเงินเป็นทองที่ซื้อขายกันนั้นไม่ใช่กิจอันทำได้แต่คนเดียว หากต้องทำกันเป็นกระบวนการ ดังนั้นผู้คนในวงการจึงเล่าขานกันก้องกระหึ่มว่านี่คือกระบวนท่าสามัคคีสมานฉันท์ระหว่างเครือข่ายของ “ปี้เซ็ก” กับ “โจสิน” ที่สร้างรายได้และผลประโยชน์จำนวนมหาศาลให้กับทั้งสองฝ่าย โดยความฉิบหายสุดท้ายจะตกแก่ชาวฮวนและบรรดากองเงินกองทองต่าง ๆ ทั้งที่เป็นของแผ่นดินและที่เป็นของเอกชน 

            ข้อหก ควบคู่ไปกับการเสกปั่นกระดาษเป็นเงินวันละ 30,000-40,000 ล้านอีแปะ ก็มีเงินหลั่งไหลเข้าแดนฮวนมากมายมาร่วมวงการปลุกปั่นเป็นจำนวนมาก ทำให้ค่าเงินฮวนแข็งค่าขึ้นเป็นประวัติการณ์ แล้วเกิดขบวนการที่แอบอ้างความรักต่อชาวฮวนเข้าต่อสู้ปกป้องค่าเงิน จนทำให้แผ่นดินฮวนต้องขาดทุนไปแล้วถึงกว่า 80,000 ล้านอีแปะ และที่ยังขาดทุนเพิ่มอีกจำนวนหนึ่งซึ่งยังไม่รู้จำนวนแน่ชัด 

            ในวงการค้าเงินค้าทองจึงเลื่องลือเล่าขานถึงสมการวิน วิน ที่ต่างฝ่ายต่างก็ได้ผลกำไรจากค่าเงินฮวน เพราะเมื่อใดที่ข่าวสารแน่ชัดว่าค่าเงินฮวนจะสูงขึ้น และทางการฮวนจะกดดันไว้ไม่ให้สูงก็จะเป็นช่องทางสร้างกำไรมหาศาลแก่นักการพนัน จึงเป็นที่หวั่นวิตกว่าความพินาศฉิบหายวายวอดในแผ่นดินฮวนจะติดตามมาเหมือนเมื่อครั้งเหตุการณ์ต้มยำกั้งเมื่อ 13 ปีก่อน 

            ข้อเจ็ด จู่ ๆ ในขณะที่ชาวฮวนลงสู่ท้องถนนก่นด่าอำนาจรัฐของ “ปี้เซ็ก” ว่าสยบยอมจำนนให้ “ฮวยเซ็ง” ส่งชาวขะแมร์มายึดครองแผ่นดินฮวนมากมายหลายพื้นที่และกดดันต่อ “ฮวยเซ็ง” นายใหญ่ของชาวขะแมร์ที่จะต้องปกปักรักษาดินแดนที่ยึดครองได้ใหม่ๆ และ “ฮวยเซ็ง” เองก็แสดงท่าทีเป็นปรปักษ์กับ “ปี้เซ็ก” ก่นด่ากล่าวหากันตลอดมา ก็ปรับเปลี่ยนท่าทีอย่างฉับพลันดุจดั่งหลังตีนเป็นหน้ามือเพียงชั่วไม่ข้ามคืน กลับมามีไมตรีสุดรักสุดสวาทหวานซึ้งจนตกตะลึงกันทั้งสองแคว้น
และยังติดตามมาด้วยการส่งทูตสันทวะไมตรีฟื้นไมตรีขึ้นมาอย่างฉับพลันทันด่วน เป็นการลดแรงกดดันทั้งอำนาจรัฐของ “ปี้เซ็ก” และอำนาจของ “ฮวยเซ็ง” ไปพร้อมกัน หรือว่านี่มันคือผลิตผลจากการแอบเจรจาปรองดองเรื่องผลประโยชน์กันด้วย 

            การปลุกกระแสไมตรีจิตมิตรภาพแต่ยอมให้ “ฮวยเซ็ง” ส่งชาวขะแมร์มายึดครองแผ่นดินฮวนตลอดแนวพรมแดนนั้นจะกลบลบกระแสรักชาติของชาวฮวนเพื่อความอยู่รอดของผู้มีอำนาจทั้งสองฝ่ายได้หรือไม่ ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามจับตากันต่อไป เพราะยามนี้ชาวฮวนล้วนไม่เชื่อถือความจริงใจในการปกปักรักษาแผ่นดินแม้แต่น้อย 

            จึงเกิดเป็นขบวนการปกป้องทวงเอาแผ่นดินฮวนคืนจากขะแมร์ ระดมประชาชนจากทุกหมู่เหล่ายกพวกไปแย่งยึดแผ่นดินฮวนที่ถูกชาวขะแมร์เข้ามายึดครองกลับคืนมาหลายพื้นที่ โดยมีกำลังทหารที่หวงแหนแผ่นดินจำใจต้องฝ่าฝืนคำสั่งเบื้องบนเข้าไปปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยให้กับราษฎรฮวนเหล่านั้น 

            ทั้งเจ็ดประการนี้ประดุจดั่งยอดไม้ใบหญ้าที่ไหวพริ้ว อันแสดงให้เห็นว่ามีแรงลมพัดผ่านไปมาฉันใด ก็สะท้อนว่าผลของการแอบเจรจาปรองดองในเรื่องผลประโยชน์นั้นก้าวหน้าและปฏิบัติประการใดไปฉันนั้น 

            การแอบเจรจาปรองดองในเรื่องผลประโยชน์ของอำนาจเก่า อำนาจใหม่ จึงลงตัวและก้าวรุดหน้าไปอย่างเงียบ ๆ ต่างฝ่ายต่างใช้ผลประโยชน์ของแผ่นดินและอาณาประชาราษฎรมาปรนเปรอบำเรอให้แก่กันอย่างเหี้ยมอำมหิต หาได้คิดถึงแผ่นดินและอาณาประชาราษฎรแต่ประการใดไม่ 

            การปรองดองผลประโยชน์เช่นนี้ใช่ว่าจะหลุดรอดสายตาของชาวฮวนไปเสียทั้งหมดเพราะพวกอ้วงนั้งและพวกอั้งนั้งเองบางส่วนก็จับทิศทางการแบ่งปันผลประโยชน์ได้กระจ่างชัด ดังนั้นประดามันจึงพากันก่นด่าทั้ง “โจสิน” และ “ปี้เซ็ก” กันจ้าละหวั่น จนเกิดความแตกแยกแตกตัวขึ้นภายในแต่ละฝ่ายอีกหลายหมู่หลายเหล่า แผ่นดินฮวนซึ่งแตกแยกเป็นเสี่ยง ๆ อยู่แล้วก็ยิ่งแตกแยกแหลกกระจุยอีกขั้นหนึ่ง 

            แม้ว่าการปรองดองผลประโยชน์จะลงตัวก้าวรุดหน้าไป แต่ในเรื่องการปรองดองอำนาจนั้นยังคงยักตื้นติดกึกยักลึกติดกัก 

            เนื่องเพราะภายในก๊กฟ้าเองก็มียอดกุนซือและยอดเสนาธิการที่จัดจ้านการศึก ตระหนักลึกถึงแผนการปรองดองแห่งอำนาจนี้ดีว่าอาจมีมหันตภัยใหญ่หลวงบังเกิดแก่ก๊กฟ้า เพราะกระบวนท่าเช่นนี้แท้จริงแล้วก็เป็นสุดยอดวิชาหนึ่งของก๊กฟ้าที่ได้ฝึกฝนมากว่า 60 ปี 

            เมื่อครั้งที่พรรคทานตะวันครองอำนาจในแผ่นดิน แต่สิ้นคิดลาออกจากอำนาจโดยปราศจากเหตุผล กลุ่มคนที่เสวนาอยู่ในอำนาจต่างคิดอ่านผลักดันให้ “ชาดไจ๋” ได้ขึ้นครองตำแหน่งแทน “เล่าจิ๋ว” โดยยึดเอากลุ่มแห่งอำนาจเดิมเป็นฐานอำนาจใหม่ 

            ยามนั้น “ซ่าเหนาะ” เดินเกมพิลึกพิลั่น แอบหันไปจับมือก้อล่อก้อติกกับ “ซ่าหนั่น” ซึ่งเป็นเสาหลักสำคัญที่กุมบังเหียนก๊กฟ้า หมายจะจับมือสองพรรคใหญ่เฉดหัวพวกพรรคเก่า ๆ ไปให้พ้นทาง หวังจะสร้างอำนาจรัฐที่มั่นคง ยืนยงไปชั่วนิรันดร แต่พลันที่บรรดาพวกร่วมอำนาจรู้ความก็พากันตราหน้าพรรคทานตะวันว่าทรยศพวก จึงยกพวกถอนตนออกไปจับมือกับก๊กฟ้า ตั้งเป็นรัฐบาล “หลบไป๋” 

            ดังนั้นลูกไม้เก่าของก๊กฟ้า เมื่อกลับมาปรากฏขึ้นในยุทธภพอีกครั้งหนึ่งจึงถูกคัดค้านจากบรรดาเจี้ยงเล่าเหล่าก๊กฟ้า ว่าก๊กฟ้าจะถึงอันตรายย่อยยับดับสูญเป็นแน่แท้ 

            เพราะเหตุนี้การซ่อนดาบในรอยยิ้มและชักดาบออกมาทิ่มแทงใส่กันและกันจึงเกิดขึ้นดังลั่นสนั่นเมือง และมีทีท่าว่าแผนปรองดองอำนาจอันอุบาทว์ชาติชั่วจะต้องติดหล่มไปอีกระยะหนึ่ง.

Re: ขอหนึ่งกระทู้บันทึกถ้อยความ

PostPosted: Tue Oct 04, 2011 6:04 pm
by ผ่าวารี
สามก๊กการเมืองไทย ตอน สุดยอดพลังห้อย

.
.


            เจิ้งหยางศกปีที่ 164 ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 10 ได้ผ่านพ้นเทศกาลสารทตงชิวมาแล้ว และเป็นวันเทศกาลไหว้พระจันทร์ เทวีผู้เลอโฉมจากสรวงสวรรค์ที่ถูกสาปจากเง็กเซียนฮ่องเต้ให้เป็นพระจันทร์ลอยคว้างอยู่กลางเวหา มีวันเวลาสดใสและมืดมนปะปนสลับกันในแต่ละเดือนไปจนกว่าฟ้าดินจะสลาย 

            เทศกาลไหว้พระจันทร์ในปีนี้ ถึงแม้การทำมาค้าขายในแผ่นดินฮวนนั้งก๊กจะไม่คึกคักครึกโครมเพราะถูกพิษร้ายของบรรดามหาโจรผู้มีอำนาจทำลายจนยับเยิน แต่กระนั้นชาวฮวนนั้งก๊กก็ยังซื้อหาขนมไหว้พระจันทร์กันอย่างคึกคัก จนบรรดาโรงเตี๊ยมและโรงทำขนมต่าง ๆ ทำขนมไหว้พระจันทร์ออกขายกันแทบไม่ทัน และนับว่าเป็นปีประหลาดที่ยอดจำหน่ายขนมไหว้พระจันทร์สามารถจำหน่ายได้เป็นจำนวนมาก 

            การที่เป็นไปเช่นนั้นหาใช่ว่าชาวฮวนนั้งก๊กจะมีความศรัทธาในพระจันทราเพิ่มขึ้นแต่ประการใดไม่ เพราะประดาชาวฮวนนั้งก๊กนั้นแม้จะโง่งมงายสักปานใด แต่ก็ได้รับรู้แล้วว่าดวงจันทร์นั้นคนก็เหยียบแล้ว แม้ว่าดวงแก้วแห่งสวรรค์จะสูงลอยอยู่ไกลสักเพียงไหนก็ตามที 

            การที่ซื้อหาขนมไหว้พระจันทร์กันเป็นจำนวนมาก มีมาแต่เหตุที่ 6-7 ปีมานี้ชาวฮวนนั้งก๊กเป็นโรคขาดความหวาน เพราะทั่วทั้งแผ่นดินฮวนนั้งก๊กบังเกิดมีแต่คำผรุสวาท ก่นด่าว่ากล่าวหยาบคายและโสโครก น้อยนักที่คำหวานจักปรากฏให้ชาวฮวนนั้งก๊กได้ยิน ดังนั้นเมื่อเป็นโรคขาดความหวาน จึงจำเป็นต้องอาศัยความหวานของขนมไหว้พระจันทร์มาทดแทนตามหลักการธรรมชาตินั่นเอง 

            ยามนี้เป็นเทศกาลปลายฝนต้นหนาว ฤดูฝนค่อย ๆ เคลื่อนคล้อยจากภาคเหนือ ภาคอีสาน ลงสู่ภาคกลางและเยื้องย่างลงสู่ภาคใต้ตามฤดูกาล ทว่ายามปลายฝนต้นหนาวในปีนี้ให้ประหลาดนัก เนื่องจากฟ้าดินสำแดงอาเพศให้ปรากฏ ฝนเทกระหน่ำหนักในทุกพื้นที่ เกิดน้ำหลาก น้ำท่วม ไร่นาสาโท บ้านเรือนราษฎรเสียหายยับเยิน บางพื้นที่ดินยังถล่มจนผู้คนล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมาก 

            เทพยดาหาได้สำแดงอาเพศแต่เพียงแค่ฤดูกาลไม่ ในท้องทะเลฮวนอันกว้างใหญ่ สิ่งที่ไม่เคยปรากฏก็ปรากฏ ปลาวาฬสีน้ำเงินขนาดใหญ่ฝูงใหญ่ได้ปรากฏกายขึ้นให้ชาวฮวนได้เห็นกับตาตนเป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงอาจเป็นสัญญาณหมายสะกิดเตือนชาวฮวนให้ได้รู้ว่าเมื่อลางวิบัติได้ปรากฏแล้ว สิ่งที่ชาวฮวนไม่เคยพบเห็นก็อาจจะได้พบเห็นกันก็ได้ 

            สิ่งที่ชาวฮวนไม่เคยพบเห็นหลังจากซือหม่าป๋าวางมือจากอำนาจทางการเมืองเมื่อ 20 กว่าปีมาแล้วคือความซื่อสัตย์สุจริต ความเอื้ออาทรต่ออาณาประชาราษฎรของผู้มีอำนาจรัฐ เพราะประดาคนเหล่านี้ล้วนเป็นพวกโจรใจพาล สันดานหยาบ มีอำนาจแล้วก็คิดแต่ฉ้อฉลปล้นชาติปล้นแผ่นดิน ข่มเหงยำเยงขุนนางข้าราชการและปล้นชิงวิ่งราวราษฎรจนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า 

            ประดามหาโจรเหล่านั้นผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาปล้นบ้านปล้นเมือง และสร้างยุคเข็ญแก่แผ่นดินชุดแล้วชุดเล่าหมุนเวียนเปลี่ยนผันกันเข้ามา ทำราวกับว่าเป็นฤดูกาลที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปไม่มีที่สิ้นสุด แต่ก็ยังคงจำเจอยู่ในเรื่องโกง เรื่องกิน เรื่องข่มเหงรังแกทั้งสิ้น 

            ชาวฮวนนั้งก๊กสวดมนต์ภาวนาอ้อนวอนต่อฟ้าและเทพยดาทั้งปวงให้ส่งวีรชนมากอบกู้บ้านเมือง ฟื้นฟูบ้านเมืองให้รุ่งเรืองเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของอาณาประชาราษฎรและสมณะชีพราหมณ์ทั้งปวงวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า แต่ยังมิได้สมหวัง จนกระทั่งหลายคนต้องบ่นท้อแท้ คร่ำครวญต่อว่าสวรรค์ว่าช่างไร้ความยุติธรรม ประทานแต่คนชั่วโฉดชาติชั่วมาข่มเหงยำเยงบ้านเมืองและราษฎร เมื่อใดหนออาณาประชาราษฎรจะได้พ้นจากยุคเข็ญ วีรชนของแผ่นดินจักปรากฏขึ้นเพื่อกอบกู้ฟื้นฟูชาติให้เกิดความฉ่ำเย็นเป็นสุขแก่ราษฎรสักครั้งหนึ่ง 

            “ปี้เซ็ก” และประดาเงาร่างทั้งหลายที่รอบข้างทนตะขอสับช้างที่ “ลิห้อย” และบริวารโขกสับนานนับสองปีไม่ไหว ประกาศยุทธการเกมกลปรองดอง ปรองแดก หมายถีบส่งกลุ่มอำนาจ “ลิห้อย” ให้กลับไปนอนเลียเท้าอยู่ที่บ้าน แต่ไม่ทันนานก็เกิดกระแสโต้กลับอย่างหนักหน่วงรุนแรง 

            เป็นวิสัยของ “ลิห้อย” ที่แต่ไหนแต่ไรมาจะไม่ยอมให้ใครผู้ใดมารุกไล่กดดันเป็นอันขาด เมื่อหลายปีก่อนสู้เลียนแบบอย่างของฮั่นสิน ยอมลอดใต้หว่างขาของอันธพาล เพื่อรอคอยอำนาจที่จะมาถึงในวันข้างหน้า จนกระทั่งได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่คู่บุญของพระเจ้าเล่าปังปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่น 

            ฮั่นสินทำได้อย่างไร “ลิห้อย” ก็ทำได้อย่างนั้น มันสู้ยอมอยู่ในคำสั่งและโอวาทของ “โจสิน” ตลอดจนลูกเมียและลิ่วล้อบริวาร “โจสิน” ยอมตนประหนึ่งเป็นบ่าวไพร่ แม้ขนาดยอมเป็นคนเฝ้าเท้าช้างให้ “โจสิน” ตั้งการพิธีเสริมส่งบารมีเพื่อจะได้ครองอำนาจเป็นใหญ่กว่าใครในแผ่นดินฮวนนั้งก๊ก 

            แต่ในที่สุดคนที่ทำให้ “โจสิน” ต้องกระอักเลือดหลายสิบทะนานหลายครั้งหลายหนก็หาใช่ใครอื่นไม่ แต่ด้วยน้ำมือและด้วยลีลาสุดยอดวิชายุทธ์ของ “ลิห้อย” นั่นเอง นับถึงวันนี้ “โจสิน” กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนจรจัดไกลออกไปจากมาตุภูมิ 4 ปีเศษแล้ว และไม่มีวี่แววว่าจะหวนคืนสู่อำนาจได้ หนึ่งในปัจจัยที่เป็นเหตุให้เป็นไปเช่นนี้ก็คือ “ลิห้อย” นั่นเอง 

            มันถือคติ “ยอมหนึ่ง กวาดสิบ” แทนที่จะใช้วิชาสิบตำลึงผลักพันชั่งอันเป็นสุดยอดของวิชาไท้เก๊ก ดังนั้นคราใด “ลิห้อย” ยอม ย่อมหมายความว่ากระบวนการกวาดสิบจากการยอมหนึ่งกำลังจะเกิดขึ้นเสมอไป 

            แต่ “ลิห้อย” นั้นเป็นมนุษย์สุดเจ้าปัญญา เมื่อบรรลุสุดยอดวิชายอมหนึ่ง กวาดสิบแล้ว ก็ได้พัฒนาวิชายุทธ์จนรุดหน้าไปอีกก้าวใหญ่ นั่นคือหลังจากประกาศเตะตัดคอ “เติ้งหาน” เมื่อหลายปีก่อน สนองพระเดชพระคุณที่ชุบเลี้ยงให้ที่พักที่อาศัยมาแรมปีแล้ว “ลิห้อย” ก็ได้พัฒนาวิชายุทธ์อย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ต่างอันใดกับอุปนิสัยของอาวเอี้ยงฮง ผู้มีฉายาพิษร้ายตะวันตก คู่ปรปักษ์ของประมุขพรรคกระยาจก เทพยดาขอทาน 9 นิ้ว อั้งชิดกง  

            “ลิห้อย” มันได้พัฒนาสุดยอดวิชายอมหนึ่ง กวาดสิบ ไปสู่ขั้นใหม่ คือวิชามายาบังฟ้า ที่สามารถทำให้คนทั้งปวงหลงใหลในสิ่งที่เสกสร้างขึ้น ที่ประหนึ่งว่าจะกดดันบังคับและเป็นอันตรายหรือทำให้เสียหายแก่ “ลิห้อย” เมื่อสถานการณ์เสกสร้างลับ ลวง พราง ด้วยวิชามายาบังฟ้าแล้ว ก็จะติดตามมาด้วยการยอมหนึ่งเพื่อจะได้ใช้เพลงยุทธ์กวาดสิบ สวาปามอย่างมันปากต่อไป 

            ทว่าสุดยอดวิชาลี้ลับที่ไม่มีผู้ใดในแผ่นดินรู้เท่าทันหรือรับมือได้นี้ กลับหาได้รอดพ้นจากสายตาของ “ซือหม่าป๋า” และ “ปังสง” ไม่ เป็นแต่ทว่าสองผู้เฒ่าผู้เยี่ยมยอดวิชายุทธ์ของยุทธภพมิได้อยู่ในวงการยุทธ์เท่านั้น เหตุนี้วิชามายาบังฟ้าและสุดยอดวิชายอมหนึ่ง กวาดสิบ จึงยังมีผู้จับได้ไล่ทัน 

            “ลิห้อย” ได้ใช้สุดยอดวิชามายาบังฟ้าและยอมหนึ่ง กวาดสิบ มาตลอดระยะเวลา 2 ปี ที่ได้ตั้งตนเป็นผู้ว่าราชการหลังม่านของภูมิขะแมร์ตั่ง จนสามารถกวาดเอาทรัพย์สินแผ่นดินเข้าพกเข้าห่อได้มากกว่าแสนล้านอีแปะ มิหนำซ้ำ ยังได้สร้างเครือข่ายไหมฟ้าที่คอยดักเงินดักทองและผลประโยชน์ทั้งปวงเป็นมังสาหาร ภักษาหารอย่างกว้างขวาง ยิ่งกว่าเมื่อครั้ง “โจสิน” เถลิงอำนาจหลายเท่านัก 

            ดังนั้นในพลันที่ “ปี้เซ็ก” และเหล่าประดาจอมยุทธ์ก๊กฟ้าขับเคลื่อนกลยุทธ์ปรองดอง ปรองแดก กระแทบเข้าใส่ก๊กน้ำเงิน หมายถีบส่ง “ลิห้อย” ออกจากวงอำนาจ ก็ได้สร้างความคับแค้นเคืองใจให้แก่ “ลิห้อย” เป็นอันมาก 

            ทุกเช้า เที่ยง ค่ำ หลังอาหาร มันจะฮึดฮัดหัวฟัดหัวเหวี่ยง พึมพำตลอดมาว่า “ไม่มีกู ก็ไม่มีคุณ” แต่ “เมื่อมีกู ไม่มีมึงก็ยังได้” 

            “ลิห้อย” ยามนี้ดุจดั่งพญามังกรที่แค่เป็นหวัดก็ส่งผลสะเทือนสะท้านฮวนนั้งก๊ก เหล่าประดาลิ่วล้อบริวารก็พากันขานรับเสียงกึกก้อง “ท่านประมุขลิ วิเศษสุดในใต้หล้า เป็นยอดคนเหนือแผ่นฟ้า เหนือแผ่นดิน ภูเขาและแม่น้ำ คนทั้งปวงล้วนสวามิภักดิ์ประมุขลิด้วยน้ำใจยินดี มีความสุข” 

            ดังนั้นจึงเพิ่มพูนพลังจิตกำลังใจให้กับ “ลิห้อย” ในการรับมือกับกลยุทธ์ปรองดอง ปรองแดก ของ “ปี้เซ็ก” และแล้วกระบวนการตอบโต้ตีกลับชิงการกระทำเป็นฝ่ายรุกต่อการรุกของ “ปี้เซ็ก” จึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหนักหน่วงดุจดั่งระลอกคลื่นในพระมหาสมุทร 

            กระบวนท่าแรก สัญญาณถูกส่งตรงไปยังเครือข่ายทุกขุมแข้งให้รีบแสวงประโยชน์ตักตวงจากเงินหลวง เงินแผ่นดิน ทั้งสิ้นทั้งปวง อย่าให้โครงการใด ๆ รอดพ้นสายตาหรือผ่านไปเปล่าเป็นสวะลอยน้ำเป็นอันขาด กระบวนยุทธ์ยอมหนึ่ง กวาดสิบ ให้ถือเป็นกลยุทธ์ทั่วไปที่เหล่ามารทั้งปวงจะต้องเร่งปฏิบัติ ซ่องสุมกำลังกระสุนเพื่อเตรียมการศึกใหญ่ในทุกโอกาส 

            กระบวนท่าที่สอง รวบรวมขุนโจร มหาโจร และจุลโจรทั้งหลายในทุกหน่วยงานที่มีน้ำใจจงรักภักดีต่อประมุขลิ ทำความตกลงกับประดามันให้ยอมเป็นข้าสวามิภักดิ์ ยอมเป็น ยอมตายภายใต้ประกาศิตประมุขลิแต่ผู้เดียว แล้วเสริมส่งให้มีอำนาจบาทใหญ่ในบ้านเมือง ทวนกระแสประกาศิตสวรรค์ที่ให้ส่งเสริมคนดีมีอำนาจในบ้านเมือง โดยไม่ต้องเกรงใจ 

            กระบวนท่าที่สาม สามัคคีเหล่าขุนโจรทั้งหลายในวงอำนาจของ “ปี้เซ็ก” จากก๊กก๊วนต่างๆ เข้ามาเป็นพวก ถือคติรวมกันได้กินเป็นหมู่ แยกหมู่จะเสียหมูให้ “ปี้เซ็ก” เป็นทำนองเดียวกับเหล่าขุนโจรที่นัดหมายกันเข้าปล้น ก็ไม่ต้องปิด ไม่ต้องบัง ประกาศก้องไอ้เสือเอาละวา แล้วเข้าปล้นอย่างพร้อมเพรียงกัน “ปี้เซ็ก” เด็กน้อย ไหนเลยจะทานทนได้ แม้ “ตั๋งเทือก” จะแอบคิดการใหญ่ แต่มันนั้นยังพยายามรักษาหน้าตาว่าเป็นวิญญูชน ก็จะทนรับมือเหล่าประดามหาโจรไม่ได้ ชะดีชะร้ายก็จะหงายหลังหงายท้องยอมเป็นพวกเป็นกำลังเขกสับ “ปี้เซ็ก” ได้สักแรงสองแรง 

            กระบวนท่าที่สี่ ล่อหลอกดึงพวกอ้วงนั้งและพวกอั้งนั้งเข้ามาเป็นพวก บวกด้วยกลุ่มผีดิบ 111 และ 109 ที่ถูกฝังไว้ในหลุม รอคอยให้เวลา 5 ปี จึงจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ เพื่อให้หลุดพ้นจากคำสาปและโทษภัยทั้งปวง ทอดสะพานโยงไปถึงพวกอั้งตั่ง และพวกอั้งนั้งบางส่วนที่มีชนักขื่อคาติดหลังให้ยอมเข้าเป็นพวก โดดเดี่ยวก๊กฟ้าและประดาพวก “ไช่วัด” และพวก “ปั้นวิด” ที่กำลังรวบรวมผู้กล้าทั้งแผ่นดินเตรียมเข้าต่อสู้กับขบวนการปล้นชาติทั้งหลายให้ถึงที่สุด 

            กระบวนท่าที่ห้า เตรียมการฉกฉวยช่วงชิงอำนาจแผ่นดินฮวนนั้งก๊กทันทีที่ก๊กฟ้าถูกยุบพรรค ประสานกับการระดมพลังทุกส่วนสัดขับเคลื่อนกำลังภายในทุกรูปแบบ ให้มีการยุบพรรคให้จงได้ ทันทีที่มีการยุบพรรค “ปี้เซ็ก” ก็ต้องตกจากเก้าอี้ และจุดสถานการณ์นี้ต้องสามัคคี “ตั๋งเทือก” จึงจะประกันให้ได้อำนาจรัฐอย่างเบ็ดเสร็จ 

            กระบวนท่าที่หก ปรับกระบวนยุทธ์จระเข้ฟาดหางที่เคยฟาดใส่ “โจสิน” และอั้งตั่งของเก่าจนต้องเสียอำนาจ แล้วยก “ปี้เซ็ก” ขึ้นเป็นหัวหน้าขบวนการเสียใหม่ ให้หัวโจกก๊กเขียวทำท่าทีขึงขังและแปลงสารว่าถ้าเมื่อใดที่เหล่าประดามหาโจรรวมจิตร่วมใจปรองดองสมานฉันท์กันมั่นคงแล้ว ก็อาจใช้กำลังถีบ “ปี้เซ็ก” ออกจากถังข้าวสาร เพื่อเข้าสู่อำนาจแผ่นดินฮวนนั้งก๊กทันที 

            “ลิห้อย” จอมปัญญากำหนดกระบวนท่ารุกรบพร้อมสรรพแล้วก็ยังมิวางใจ ในราตรีหนึ่งจึงชะแวบชะวาบไปกราบกรานบิดาผู้มากเหลี่ยมแสนเล่ห์ แล้วแจ้งความทั้งปวงให้ทราบ 

            “ลิไจ๋” ฟังความจากผู้บุตรแล้วให้มีความชื่นชมโสมนัสเป็นยิ่งนัก แล้วกล่าวว่าชะตาฟ้ากำหนดให้เจ้าเป็นยอดคนแห่งแผ่นดิน วันเวลา 2 ปี ที่เจ้าจะเป็นใหญ่กว่าใครในฮวนนั้งก๊กนี้จะมาถึงแล้วในปีหน้า การทั้งปวงที่เจ้าเตรียมการไว้แม้รอบด้านรอบคอบ แต่ต้องจัดวางจังหวะก้าวให้แนบเนียนไร้ร่องรอย เพราะเวลาบัดนี้ขบวนการปากเสียที่เป็นเสี้ยนหนามคอยทิ่มแทงเหมือนที่ “โจสิน” เคยเผชิญมาแล้วหาได้มีแต่พวก “ซุนลิ้ม” พวกเดียวไม่ 

            “ลิไจ๋” กล่าวสืบไปว่าสถานการณ์ผันแปรเปลี่ยนแปลงไป บ้างก็ไร้ร่องรอย บ้างก็มีร่องรอยให้ปรากฏ ในวันนี้เจ้าไม่สะกิดใจบ้างหรือว่าการเคลื่อนไหวของพรรคฟ้าดินของหลวงจีนโป๋ลักนั้นคึกคักหนักหน่วง แต่กลับไร้ร่องรอย ลีลาที่ปรากฏภายนอกเหมือนอ่อนพลัง แต่โดยประสบการณ์ของชีวิตเราเข้าใจได้ว่านั่นแค่ปรากฏการณ์ยอดภูเขาน้ำแข็ง 

            เนื่องเพราะหลวงจีนโป๋ลักบำเพ็ญพรตมานานกว่า 30 ปีแล้ว พลังภายในแก่กล้า วิชายุทธ์บรรลุขั้นสูงสุด โดยเฉพาะวิชาตัวเบาไร้ร่องรอย จึงประสานผู้คนได้ทั่วทั้งสิบทิศ หากสำแดงฤทธิ์ขึ้นมาวันใด พลังมหาชนใหญ่ก็จะผนึกกัน จะต้องเตรียมรับมือกับพวกพรรคฟ้าดินให้จงดี 

            “ลิไจ๋” กล่าวสืบไปว่านอกจากหลวงจีนโป๋ลักแล้ว ยังมีอีก 2-3 ขบวน ซึ่งเคลื่อนไหวดุจภูตผีปีศาจ พวกมันนึกจะปรากฏก็ปรากฏ นึกจะหายลับไปก็ไร้ร่องรอย แต่หลายเหตุการณ์ในแผ่นดินนี้กลับปรากฏว่ามีร่องรอยการเคลื่อนไหวของพวกมัน แม้ถึงวันนี้ตัวเราเองก็ยังคาดคิดไม่ถึงว่าขบวนภูตผีปีศาจเหล่านี้มันจะเชื่อมโยงประสานกับชาวยุทธ์ทั้งบุ๋นบู๊มากน้อยประการใด สิ่งที่เราไม่รู้หรือรู้ไม่กระจ่างเป็นสิ่งที่พึงระวังให้จงหนัก 

            “ลิห้อย” ได้ฟังคำบิดาดังนั้นจึงกล่าวว่า บิดาท่านสุขุมรอบคอบรอบด้าน ประสบการณ์สูงล้ำ จึงอาจระแวดระวังมากเกินไป ได้ยินเสียงสายลมกระทบใบตองแห้งก็อาจสำคัญผิดคิดว่าเป็นกองทัพใหญ่ 

            แล้ว “ลิห้อย” จึงกล่าวสืบต่อไปว่า ในเวลาบัดนี้ทั้ง “อ้วนป้อม” “อ้วนพ้ง” ล้วนยอมตนเป็นจ้งก้วงและจ้งเผ่าให้แก่ข้าพเจ้าอย่างเต็มกำลัง พวกมันได้ร่วมกันบั่นทอนทหารหลวงจนอ่อนเปลี้ยเสียขาและเสื่อมทรุดยิ่งกว่ายุคใดในประวัติศาสตร์ของฮวนนั้งก๊ก บิดาท่านไม่เห็นหรือว่าแม้ “ฮวยเซ็ง” โจรป่ากำลังน้อยจะตบหัวกระทืบหางข่มขู่ตะคอกใส่หูประการใด ประดามันก็ไม่รู้สึกอับอายขายหน้า 

            “ลิห้อย” กล่าวสืบไปว่าแม้ว่าพวกมันจะบ่มิไก๊ ไร้หลักการ แต่ทว่าด้วยการสั่งการวางแผนของข้าพเจ้า พวกมันก็สามารถควบคุมไพร่พลให้อยู่ในโอวาทได้เป็นอย่างดี จะชี้ซ้ายก็ไปซ้าย จะชี้ขวาก็ไปขวา บิดาท่านอย่าห่วงใยเลย 

            “ลิไจ๋” ได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวว่าเราได้ฟังคำเจ้าแล้ว แม้ด้านหนึ่งจะเชื่อมั่นและสบายใจ แต่ในน้ำคำเจ้านี้ก็มีความประมาทแฝงปนอยู่เป็นอันมาก เจ้าเห็นแต่ “อ้วนป้อม” “อ้วนพ้ง” แต่เรากลับเห็นว่ายังมีอีกอ้วนหนึ่งซึ่งแม้จะมีเทือกเถาเหล่ากอมาจากตระกูลอ้วน แต่ก็หาใช่คนแบบอ้วนเสี้ยว อ้วนสุด “อ้วนป้อม” “อ้วนพ้ง” แต่ประการใดไม่ 

            “ลิไจ๋” กล่าวสืบไปว่ามันคือ “ปั๋งยุทธ์” ที่แม้เดิมทีกำเนิดจากตระกูลอ้วน แต่ด้วยการทำนุบำรุงของเทพเกียซิ้ง ปรับเปลี่ยนลิขิตชีวิตเสียใหม่จนกลายเป็นคนแซ่ปั๋ง และบัดนี้มันก็ได้ถืออาญาสิทธิ์สวรรค์รวมไพร่พลเป็นอันมาก เราจึงระแวงว่ามันนี่แล้วที่จะดูดพลังของ “อ้วนป้อม” “อ้วนพ้ง” จนหมดสิ้น 

            “ลิห้อย” ได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวว่าบิดาท่านโปรดวางใจ ไม่ว่ามันจะแซ่ใดแต่ “อ้วนพ้ง” ได้ให้คำมั่นสัญญากับข้าพเจ้าว่า มันสองคนเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายกันมา จะว่ากล่าวสิ่งใดก็จะได้ดังประสงค์ทุกประการ พวกเราทำการใหญ่ไม่วางใจอย่าใช้คน เมื่อใช้คนแล้วก็ต้องวางใจ 

            กล่าวแล้ว “ลิห้อย” ก็เคลื่อนคล้อยอำลาจากเคหาของผู้บิดา ณ ราตรีนั้น มันได้ครุ่นคิดอย่างหนักหน่วงในเรื่องจังหวะก้าวและความแนบเนียนตามที่ผู้เป็นบิดาได้ท้วงติง และในค่อนดึกนั้นเองก็สามารถคิดแผนการอันเลอเลิศล้ำลึกขึ้นได้ 2 แผน ทำให้รู้สึกปลาบปลื้มลืมตัวดีใจ รำพึงแต่คนเดียวว่าสวรรค์ท่านสายตาคมกล้านัก ประทานโอกาสให้ข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าก็จะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปเป็นอันขาด 

            ใกล้สางวันนั้น “ลิห้อย” จึงเรียกระดมขุนพลใกล้ชิดแต่ละชุดเข้ามาถึงสองชุด เข้ามาดื่มน้ำชาแต่เช้าตรู่ ออกคำสั่งเดินหน้าสองแผนการใหญ่ ประสานหกกระบวนรบ หวังชิงอำนาจขึ้นเป็นใหญ่ในระยะเวลาใกล้ที่สุด 

            ชุดแรก เป็นขุนพลผีปอบที่ถูกกลบฝังไว้ตามคำสั่งของศาลไคฟงเป็นเวลา 5 ปี มีรายละเอียดในป้ายคำสั่ง 9 ป้าย ให้เคลื่อนไหวปลุกผี 9 สาก แจกตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีแผ่นดินฮวน 

            ป้ายหนึ่ง ให้ดึง “สากเกียด” มาเป็นพวก ทำหน้าที่ประสานเบื้องบน ตลอดจนเชื้อพระวงศ์ทั้งปวง เพื่อเปิดทางโล่งในการครองอำนาจ และให้แจ้ง “สากเกียด” ว่า “ปี้เซ็ก” ตกเก้าอี้วันไหน ก็ให้ “สากเกียด” นั่งเก้าอี้แทน 

            ป้ายสอง ให้ดึง “สากหนั่น” หรือ “ซ่าหนั่น” มาเป็นตัวประสานอั้งนั้ง อ้วงนั้ง โดยเฉพาะ “ซุนลิ้ม” ให้ยอมเป็นพวก แล้วให้เกลี้ยกล่อม “เติ้งหาน” ให้ขับขานท่วงทำนองเพลงหฤโหดเขย่าขวัญ “ปี้เซ็ก” โดยจะมอบตำแหน่งของ “ปี้เซ็ก” ให้เป็นรางวัล 

            ป้ายสาม ให้ดึง “สากซ่ง” หรือฉายาซ่งฉี อดีตขุนคลังของ “โจสิน” และมีภาพลักษณ์หน้าตาดี แต่มีหัวใจเท่ากับมด ให้ประสานเหล่าพ่อค้าวานิชและมิตรต่างแคว้น โดยจะมอบตำแหน่งของ “ปี้เซ็ก” ให้เป็นรางวัล 

            ป้ายสี่ ให้ดึง “สากเสียว” หรือนามเดิม “ซู่รัด” สตรีผู้มากบารมี อดีตคนใกล้ชิดของ “โจสิน” ที่ชอบซ่านเสียววันละ 3 เวลาหลังอาหาร ให้ช่วยประสานฐานผู้คนเก่า ๆ ของ “โจสิน” เอามาเป็นพวก ทอนกำลังอั้งตั่ง และเครือข่ายของ “โจสิน” โดยจะมอบตำแหน่งดูแลการสัญจรไปมาทั่วฮวนนั้งให้ 

            ป้ายห้า ให้ดึง “สากย่า” อดีตจ้งก้วงและจ้งเผ่าของ “โจสิน” ให้ตัดทอนท่อน้ำเลี้ยงพวกอั้งตั่ง อั้งนั้งให้หมดสิ้น โดยปล่อยโครงการทำมาหากินให้เป็นรางวัลเบื้องต้น และเมื่อการใหญ่สำเร็จแล้วก็จะคืนอำนาจทั้งปวงที่เคยมีแต่ก่อน 

            ป้ายหก ให้ดึง “สากวัด” หรือ “ซู่วัด” เข้ามาเป็นพวก ให้ประสานไพร่พลพรรคพวกในสภาเช็งเหม็ง และเครือข่ายน้ำมูกน้ำมันต่าง ๆ รวมทั้งให้ประสาน “ย่งดิด” ซึ่งกำลังสนุกเพลิดเพลินจำเริญใจอยู่กับกิจการโรงตึ๊งหงึงงั้งและโรงหวยให้มาเข้าร่วมการใหญ่ของแผ่นดิน 

            ป้ายเจ็ด ให้ดึง “สากสัก” เข้าประสานกับ “สากย่า” ตามประสาคู่ขาเก่า วัวเคยขา ม้าเคยขี่ รวบรวมพวกขี้ฉ้อตอแหลและเหล่าอันธพาลนักตัดช่องย่องเบาทั้งแผ่นดินเข้ามาเป็นพวก โดยรับรองจะให้ทำมาหากินอย่างสะดวกสบาย ไร้ข้อทักท้วงกังวลใด ๆ 

            ป้ายแปด ให้ลากเอา “สากกร่าง” แห่งตำหนักริมน้ำเข้าร่วมขบวนการ ประสานกลุ่มจับลักเกี่ยวกุ๊ย ระดมพลังในภาคตะวันออกและภาคอีสานสนับสนุนการใหญ่ 

            ป้ายเก้า “ลิห้อย” เก็บป้ายอันนี้ไว้ปฏิบัติด้วยตนเอง เนื้อหาในป้ายคำสั่งสำคัญนี้คือ สามัคคี “ตั๋งเทือก” ให้เข้าร่วมขบวนการ 9 สาก เป็นหลักประกันความผิดพลาดทั้งปวง 

            หลังจากแจกป้ายคำสั่ง 9 สากเพื่อให้เหล่าขุนพลใกล้ชิดชุดแรกออกไปปฏิบัติการแล้ว ไม่ทันนานการเคลื่อนไหว 9 สากก็คึกคักทั่วแผ่นดินฮวนนั้ง สร้างความประหลาดใจฮือฮาแก่ชาวฮวนนั้ง แต่ทว่าหาได้หลุดรอดไปจากสายตาและสายข่าวอันคมกริบของ “เล่าจิ๋ว” ไม่ เพราะจู่ ๆ “เล่าจิ๋ว” ก็เกิดทะลุกลางปล้อง พูดจารู้เรื่องขึ้นมาอย่างฉับพลัน แฉแผน 9 สากว่าเนื้อแท้ก็คือแผนเปลี่ยนช้างจาก “ปี้เซ็ก” เป็น “สากซ่ง” ให้ “ลิห้อย” ขี่คอแทน “ปี้เซ็ก” เท่านั้น 

            ฮา ฮา แผน 9 สากนี้กลายเป็นแผนกระทบใจ “เล่าจิ๋ว” ยิ่งกว่าผู้ใด เพราะน้ำใจลึกของ “เล่าจิ๋ว” นั้น แม้แก่เฒ่าเหลาเหย่แล้วแต่ก็หมายปองจ้องเก้าอี้ “ปี้เซ็ก” ตาเป็นมันอยู่เช่นเดียวกัน ในพลันที่เก้าอี้ที่หมายปองถูกคนจ้องช่วงชิง จึงต้องตบกะโหลกสั่งสอนให้รู้กันซะบ้าง 

            ขุนพลชุดแรกเพิ่งทยอยกลับออกไป ขุนพลชุดที่สองที่มี “ปู่จิ้น” และ “บั้นจ้ง” เดินนำหน้าก็เดินทางมาถึงอย่างรีบร้อน “ลิห้อย” ไม่ยอมปล่อยให้เวลาให้ทอดนานไป มอบป้ายคำสั่งป้ายใหญ่เพียงป้ายเดียว แล้วกำชับว่าขอให้พวกท่านเร่งทำการตามป้ายคำสั่งนี้ การทั้งปวงก็จักสำเร็จ แต่ต้องแนบเนียนนุ่มนวล ทั้งนี้ตัวเราได้เขียนคัมภีร์มายาไร้มลทินเสร็จเรียบร้อยแล้วถึง 3 แสนชุด ให้พวกเจ้านำไปเผยแพร่ ระดมผู้คนให้มาก เข้าร่วมขบวนการไร้มลทิน ปล่อยคนบริสุทธิ์ออกจากโทษทั้งหลาย 

            “ปู่จิ้น” รับป้ายคำสั่งมาอ่านดูก็พยักหน้าผงึก ๆ เพราะแม้ว่าตัวป้ายจะใหญ่โต แต่เนื้อความกลับสั้นกระจิ๋วหลิว มีความแต่เพียงว่าเคลื่อนไหวไร้มลทิน ทั่วแผ่นดินสามัคคี แยกขี้ออกจากไส้ 

            “ปู่จิ้น” อ่านเนื้อความแล้วก็งุนงงสงสัย เอ่ยถามว่า “ลิห้อย” ท่าน อะไรคือขี้ อะไรคือไส้ 

            “ลิห้อย” ได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะหึ หึ พลางกล่าวว่า “ปู่จิ้น” ท่านช่างยอดเยี่ยมเลอยุทธ์ สนใจแม้กระทั่งเรื่องขี้ เรื่องไส้ แต่ความจริงมันยิ่งกว่าเรื่องขี้ เรื่องไส้มากมายนัก โบราณว่าต้องถอนฟืนออกจากไฟ กลยุทธ์ใหญ่ของเราก็เช่นเดียวกันต้องแยกขี้ออกจากไส้ 

            ไส้ก็คือมวลมหาประชาชน ทั้งที่บริสุทธิ์ผุดผ่องและหมองคล้ำดำทึบ พวกประดานี้โง่เง่างมงาย สมัยหนึ่งเมื่อ “โจสิน” เรืองอำนาจ มันเคยตีค่ามวลมหาประชาชนว่าเป็นแค่คนตาบอดที่ไม่กลัวเสือ เพราะมองไม่เห็นว่ามันเป็นเสือ 

            “ลิห้อย” กล่าวต่อไปว่าส่วนขี้ก็คือพวกจอมยุทธ์ จอมมาร และพวกที่เป็นแกนนำพวกอั้งตั่ง พวกโอ่วนั้ง พวกอั้งนั้ง พวกนี้คือเสี้ยนหนามแผ่นดินโดยแท้ ที่ไม่เพียงแต่จะตำเท้าใครต่อใครที่ไม่ใช่คนให้ข้าวให้น้ำแก่พวกมัน ดังนั้นจึงต้องกำจัดขี้เหล่านี้ออกจากไส้ให้จงได้ 

            แล้ว “ลิห้อย” ก็กล่าวด้วยเสียงอันหนักแน่นว่าคัมภีร์มายาไร้มลทินของข้าพเจ้านี้แท้จริงมันเป็นกระบวนการในการแยกขี้ออกจากไส้ โดดเดี่ยวพวกขี้ทั้งหลาย แล้วแสวงหาเอาไส้ที่ล้วนโง่เง่างมงาตาบอดมาเป็นรากฐาน แล้วกล่าวย้ำว่า “ปู่จิ้น” ท่านจงจำคำโบราณที่ว่า เรือจะลอยได้ต้องอาศัยน้ำ พวกเราจะมีอำนาจวาสนาได้ก็ต้องอาศัยคนโง่งมงายตาบอดเหล่านี้ 

            “ลิห้อย” กล่าวแล้วก็หัวร่อดังลั่นฮา ฮา ฮา แล้วรีบเดินลับเข้าไปข้างใน.

Re: ขอหนึ่งกระทู้บันทึกถ้อยความ

PostPosted: Tue Oct 04, 2011 6:12 pm
by ผ่าวารี
สามก๊กการเมืองไทย ตอน มังกรเตี้ยพลิกตัว

.
.


            เจิ้งหยางศกปีที่ 164 แรม 15 ค่ำ เดือน 10 เป็นเทศกาลสารทของชาวฮวน และถือว่าเป็นวันสุดท้ายที่บรรดาวิญญาณของบรรพบุรุษผู้ล่วงลับซึ่งได้รับอนุญาตให้มาเยี่ยมลูกหลานต้องถึงกาลเดินทางกลับ จึงเป็นเทศกาลทำบุญใหญ่ของชาวฮวน เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้บรรดาวิญญาณเหล่านั้นไม่อดอยากยากไร้ในสัมปรายภพ 

            ยามนี้เป็นปลายเทศกาลฤดูฝน ซึ่งเป็นธรรมดาที่ฝนจะกระหน่ำหนักและจะกระหน่ำอีกห่าใหญ่ในลักษณะฝนสั่งฟ้าเพื่ออำลาฤดูฝน ตั้งแต่ภาคเหนือ ภาคอีสาน เลื่อนลำดับถัดมาถึงภาคกลาง 

            ดังนั้นยามนี้ฝนฟ้าในภาคเหนือและภาคอีสานจึงซาลง แต่ยังคงกระหน่ำในภาคกลางและเริ่มตกหนักในภาคใต้ 

            แต่เพราะแผ่นดินฮวนนี้ไร้ผู้แก้ไขปัญหา หรือดูแลความเป็นไปในบ้านเมือง ดังนั้นปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง จึงซ้ำซาก และเกิดขึ้นทุกปี ยามเทศกาลฝนก็กลายเป็นเทศกาลอุทกภัย ยามหน้าแล้งก็เป็นเทศกาลภัยแล้ง ที่อาณาประชาราษฎร์พากันเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าสลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาหลายปีเต็มทีแล้ว 

            การสัประยุทธ์ช่วงชิงอำนาจในแผ่นดินฮวนระหว่างเหล่าบู๊เฮี้ยบวายร้ายทั้งหลายได้เกิดขึ้นอย่างคึกคัก แต่ละฝ่ายหมายแย่งชิงอำนาจเพื่อเข้ามาสูบเลือดแล่เนื้อเถือหนังแผ่นดินฮวนแทนคณะเก่า บรรดากลเม็ดเด็ดพรายและเล่ห์ร้ายต่าง ๆ จึงถูกสรรสร้างและสรรหามาใช้อย่างไม่บันยะบันยัง 

            ประดาบู๊เฮี้ยบปิศาจที่กำลังช่วงชิงอำนาจกันหาได้สนใจไยดีในภาวะล่มสลายของแผ่นดินฮวนแต่ประการใดไม่ ถึงแม้อาณาประชาราษฎรและสมณะชีพราหมณ์ทั้งหลายจะเดือดร้อนร่ำร้องระงมทั่วทั้งแผ่นดิน ประดามันก็ทำเป็นไม่ได้ยิน ยังคงมุ่งมั่นตั้งหน้าตั้งตาสรรหาสารพัดวิธีเพื่อช่วงชิงอำนาจกันและกัน 

            ในขณะที่เบื้องหน้าเหล่าประดามันพากันจัดงานสังสรรค์กลุ่มนั้นกลุ่มนี้ แล้วบริโภคหูฉลามกันอย่างครื้นเครง แต่ลับหลังแล้วประดามันล้วนฟาดฟันมุ่งร้ายหมายทำลายฝ่ายอื่น ๆ ให้พินาศย่อยยับ นี่แล้วจึงเรียกว่ามิตรภาพในหมู่โจร 

            แต่เพราะมิใช่เป็นโจรประเภทลักวัวลักควาย แต่เป็นโจรร้ายหมายปล้นบ้านชิงเมือง ดังนั้นอุบายซ่อนดาบในรอยยิ้มก็ดี การหักหลังดัดหลังและแอบแทงกันข้างหลัง ตลอดจนวิธีทำลายกันและกันสารพัดแบบจึงปรากฏขึ้นทั่วทั้งยุทธภพ 

            โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ “อ้วนพ้ง” จะต้องลาลับจากอำนาจหน้าที่ตามจักรราศีที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปในวันที่ 1 ของเดือน 10 และต้องถอดหัวโขนส่งต่อให้แก่ “ปั๋งยุทธ์” รับช่วงอำนาจทหารหลวงต่อไป อันหมายถึงการเคลื่อนคล้อยแห่งอำนาจที่หมุนเวียนเปลี่ยนจรไปเช่นดาวเดือนในจักรราศี 

            ก๊กน้ำเงินซึ่งมั่นใจในอำนาจการคุมกำลังทหารหลวง โดยมี “อ้วนป้อม” ทำหน้าที่เป็นพี่ใหญ่ ยังคงมั่นใจว่าพวกมันได้ชุบเลี้ยงบรรดาเหล่าทหารหลวงจนอยู่ดีมีสุขและติดกับการเสพสุขจนงอมแงม จะดลบันดาลให้เหล่ามันสามารถคุมกำลังบังคับบัญชาประดาทหารหลวงต่อไปได้ 

            เหตุนั้นยามที่เหล่าก๊กฟ้าเริ่มตระหนักว่าการโกงบ้านผลาญเมืองและการใช้อำนาจบาตรใหญ่ที่ผ่านมาสะท้านฟ้าสะเทือนดิน จน “ปี้เซ็ก” ก็ไม่อาจปกป้องคุ้มครองหรือสมยอม ทำตัวเป็นฤาษีเลี้ยงเหี้ยต่อไปได้ จนกระทั่งปรากฏแผนถีบไสไล่ส่งก๊กน้ำเงินออกจากวังวนแห่งอำนาจ บรรดาหัวโจกก๊กน้ำเงินจึงจำต้องหาทางพลิกเกมสถานการณ์ตีโต้กลับ 

            กลยุทธ์หลักที่ก๊กน้ำเงินนำออกมาใช้คือเปิดหน้าต่างยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นทีพร้อมสามัคคีกับอั้งตั่งของ “โจสิน” และเดินกลเกมอภัยโทษให้กับผู้บริสุทธิ์ทั้งปวงที่เหล่ามันได้กลั่นแกล้งเหวี่ยงแหยัดเยียดข้อหาสารพัด หวังโชคช่วย แล้วจะได้เป็นหลักในการช่วงชิงอำนาจต่อไป 

            นอกจากกลยุทธ์ประสานการเมืองแล้ว กลับซุ่มซ่อนเตรียมการกวาดอำนาจทั้งหมดมาไว้ในกลุ่มตน โดยมอบหมายให้ “อ้วนป้อม” ทำหน้าที่ก่อตั้งหุ้นส่วนกับอดีตคู่เกลอหัวหน้าใหญ่ของบู๊เฮี้ยบที่ล้มอำนาจ “โจสิน” เพื่อเชื่อมโยงกับกลุ่มเนติบริกร เตรียมการทั้งปวงให้พรั่งพร้อม เมื่อวันเวลาสำคัญมาถึง 

            นักรบชุดดำขบวนใหญ่เร่งฝึกระดมพลทั้งในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสานและภาคกลาง โดยเฉพาะรอบปริมณฑลของเมืองหลวง เพื่อเตรียมการเข้าประสานกับเหล่าบู๊เฮี้ยบบางกลุ่มในปฏิบัติการอันเฉียบขาดนั้น 

            การสลับสับเปลี่ยนอำนาจของทหารหลวงและการขยับตัวของเหล่าก๊กน้ำเงิน ย่อมอยู่ในความติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดของ “โจสิน” และภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มีหรือที่คนระดับ “โจสิน” จะปล่อยให้ฝ่ายอื่น ๆ ขยับขับเคลื่อนตามอำเภอใจ 

            ดังนั้น “โจสิน” จึงผันตัวเองจากแดนไกลเข้ามาตั้งหลักปักมั่นอยู่นอกแดนฮวนนั้งก๊กในระยะที่สามารถขยับตัวเข้ามาได้ทันทีที่เหตุการณ์อำนวย ทั้งเพื่อความสะดวกในการบัญชาการกับไพร่พลให้ขยับขับเคลื่อนไปตามแผนการที่กำหนด 

            ทว่าอำนาจของ “โจสิน” ในวันนี้หาได้เหมือนแต่ก่อนไม่ เหล่ามวลมิตรที่มีพละกำลังกลับต้องหันหลังให้วงอำนาจตามกาลเวลาที่ผันแปรเปลี่ยนแปลงไป บรรดาผู้คนที่เคยจัดวางไว้ แม้ถูกสลับย้ายไกลออกไปจากวังวนแห่งอำนาจแล้ว ก็ยังต้องถอดหัวโขนกลับไปนอนเลี้ยงหลานอยู่บ้าน 

            แต่ประดามันก็ยังพอมีสายสนกลในที่เชื่อใจว่าเมื่อใช้กระบวนท่าผีโม่แป้งเข้าจัดการแล้ว ก็จะสามารถระดมกำลังเข้าปฏิบัติการช่วงชิงชัยได้ 

            ดังนั้นขบวนรบของฝ่ายอั้งตั่งจึงถูกปรับเป็นสามขบวน 

            ขบวนแรก คือขบวนเตรียมการเข้าสู่สมรภูมิชิงชัยในการประลองยุทธ์ใหญ่เพื่อเข้าสู่สภาเช็งเหม็ง อันเป็นหนทางหนึ่งในการได้อำนาจ 

            ขบวนที่สอง คือขบวนเตรียมการปฏิบัติการสายฟ้าแลบเข้ารุกรบช่วงชิงชัยในสถานการณ์ชุลมุนสับสน โดยตั้งกองบัญชาการใหญ่ในที่สูงตระหง่านฟ้า แทนกองบัญชาการเดิมของ “เล่าจิ๋ว” ที่ไม่ไกลจากสมรภูมิเผาเมืองครั้งที่ผ่านมา เพราะว่าบัดนี้มันถูกเผยตัวออกไปให้เหล่าบริวารของ “ปี้เซ็ก” จับได้ไล่ทันเสียแล้ว 

            กองบัญชาการใหญ่แห่งใหม่จึงเป็นที่ซ่องสุมมันสมองระดับเสนาธิการ เพื่อเตรียมการปฏิบัติการชิงชัยในสถานการณ์ที่อำนวยและชุลมุน โดยเตรียมขบวนการอั้งนั้งเข้าหนุนช่วย เพื่อจะได้อ้างว่าเป็นเสียงสวรรค์ 

            เพราะเหตุนี้บรรดาหัวโจกอั้งตั่งที่หลบลี้หนีภัยในแดนไกลก็ค่อย ๆ ผายผันเคลื่อนย้ายตัวเองเข้าสู่แดนฮวนนั้งก๊กอย่างเงียบงัน แต่ประดามันล้วนเป็นคนจำพวกเปิดหน้าปากสว่าง จึงไม่อาจปกปิดร่องรอยตามแผนการที่กำหนดได้ 

            พากันผุดหัวโผล่หางจนเปิดเผยเส้นทางความเคลื่อนไหวให้กับกลไกอำนาจของ “ปี้เซ็ก” ขยับขับเคลื่อนเข้าประกบตัวติดตามอย่างใกล้ชิด 

            ขบวนที่สาม คือขบวนการซักเนื้อฟอกตัวให้ขาวสะอาดบริสุทธิ์ผุดผ่องด้วยกลยุทธ์ปรองดอง ปรองแดก ที่ประสานเสียงเข้ากับบางซีกบางปีกในก๊กฟ้า หลังจากได้ร่วมกันแสวงหาผลประโยชน์จากการปลุกปั่นเล่นการพนันหุ้น จนมีกำไรเป็นกอบเป็นกำ และทำให้อำนาจของ “โจสิน” ค่อย ๆ แทรกสอดเข้ามาในบางปีกของแกนนำก๊กฟ้า 

            เมื่อแผนการสามขบวนรบถูกจัดวางอย่างแยบยล การขยับขับเคลื่อนของ “โจสิน” และอั้งตั่งจึงก่อเกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาดขึ้นในแดนฮวนนั้งก๊ก 

            ฉากหน้าที่โพนทะนาให้ชาวประชาฮวนนั้งต้องตะลึงพรึงเพริดก็คือการชูธงแห่งความสามัคคี ความจงรักภักดี และเรียกหาสันติภาพ สันติสุข เพื่อยุติยุคเข็ญในแผ่นดินฮวน 

            เหล่าประดากระบอกเสียงและสุนัขในสังกัดพากันเห่าหอนขานรับขับเคลื่อนเป็นทอด ๆ ดุจดั่งมโหรีปี่พาทย์มอญที่บรรเลงเพลงโศกในงานศพก็มิปาน 

            ท่ามกลางการขยับขับเคลื่อนของก๊กฟ้า ก๊กน้ำเงิน และอั้งตั่งของ “โจสิน” หาได้รอดพ้นไปจากสายตาอันคมกล้าของมังกรเตี้ย ตาต่ำ “เติ้งหาน” แต่ประการใด ด้วยอาศัยประสบการณ์อันคร่ำหวอดในยุทธภพ “เติ้งหาน” จึงเห็นโอกาสทองอันสำคัญที่จะกลับคืนสู่ประมุขแห่งยุทธจักรอีกครั้งหนึ่ง 

            แต่คนระดับมังกรเตี้ย ตาต่ำนั้น ไหนเลยจะเดินแผนการตื้น ๆ หรือชั้นเดียวได้ เมื่อแต่ละฝ่ายต่างเตรียมขบวนรบทั้งบุ๋นบู๊ “เติ้งหาน” มันก็ใช่ย่อย ฉวยสถานการณ์ที่ชุลมุนวุ่นวายนี้หมายแย่งยึดช่วงชิงอำนาจมาสู่มือตนเช่นเดียวกัน 

            ขบวนรบและกลยุทธ์ของ “เติ้งหาน” ออกจะพิสดารกว่าก๊กก๊วนอื่น ประหนึ่งเป็นกระบวนท่าหมัดเมาของยาจกซูก็มิปาน 

            ขบวนหนึ่งเป็นขบวนหลอก ออกปากประหนึ่งเป็นประมุขยุทธจักร เรียกร้องสันติภาพและสามัคคีในแผ่นดินฮวน หยามหยันสถานการณ์ทั้งปวงที่เกิดขึ้นว่าความรุนแรงทั้งปวงหาได้เป็นคุณแก่ใครไหนไม่ มีแต่จะทำลายฮวนนั้งก๊กและเหล่าชาวฮวนนั้งจนพินาศย่อยยับ 

            มันจึงเสนอกระบวนการหมุนกลับ 180 องศา ให้ทุกคน ทุกฝ่ายหันหน้ามาปรองดอง ปรองแดก ทว่าลัทธิปรองดอง ปรองแดก ที่ต่างคนต่างฝ่ายพากันพร่ำเพ้อเสนอนั้นหาได้มีเนื้อหาที่เหมือนกันแต่ประการใดไม่ 

            ประดามันใช้ข้อความถ้อยคำอย่างเดียวกันว่าปรองดอง ปรองแดก แต่เนื้อแท้เป็นคนละเรื่องคนละราว เพราะต่างคนต่างฝ่ายล้วนมุ่งหมายอำนาจและประโยชน์ของกลุ่มตัวพวกตนเท่านั้น 

            เพื่อขับเคลื่อนกลยุทธ์ปรองดอง ปรองแดก ในลักษณะรุกรับอย่างแยบยล มังกรเตี้ย ตาต่ำ จึงมอบหมายให้ “ซ่าหนั่น” จอมยุทธ์ขี้เมา อดีตเสาหลักหนึ่งของก๊กฟ้าผู้ชำนาญคร่ำหวอดในยุทธภพออกหน้าเดินแผนการประสานสิบทิศ 

            อีกขบวนหนึ่ง ตัวมันกลับเดินเกมกลอันลี้ลับ เตรียมกลับเข้าสู่ตำแหน่งประมุขยุทธภพอีกครั้งหนึ่ง แอบประสานกับ “โจสิน” เพื่อร่วมมือกันในการบริหารอำนาจรัฐหลังศึกในสมรภูมิใหญ่ที่จะช่วงชิงชัยกันเข้าสู่สภาเช็งเหม็ง 

            มังกรเตี้ย ตาต่ำ จึงอ้างความสามารถลีลาประสานสิบทิศที่จะประสานบนล่างเพื่อสร้างสันติในแผ่นดินฮวน โดยต้องมอบหมายให้ตัวมันได้ครองตำแหน่งประมุขยุทธภพตอบแทนกับการเปิดโอกาสสร้างฐานและจัดการให้ “โจสิน” ได้มีโอกาสอันเลิศในการกลับสู่ตำแหน่งประมุขยุทธภพสืบต่อจากมันอีกครั้งหนึ่ง 

            ทว่าเหตุผลที่ว่า อั๊วะแก่แล้ว ขอเป็นประมุขยุทธภพแค่ 2 ปี แล้วจะผลักดันให้ “โจสิน” สืบทอดอำนาจแทน จะมีใครเชื่อถือเหมือนเหตุผลที่ว่า “ผมรวยแล้ว ไม่คิดจะคดโกงใด ๆ จะตั้งใจรับใช้แผ่นดินอย่างเดียว” หรือไม่ก็ยังไม่มีใครรู้ 

            เพราะทั้งมังกรเตี้ย ตาต่ำ และ “โจสิน” นั้นมันต่างรู้เช่นเห็นชาติกันดี ประหนึ่งไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ฉะนั้น 

            อันมังกรเตี้ย ตาต่ำ นั้น ทั่วทั้งยุทธภพทราบความจริงแต่เพียงว่ามวลมิตรส่วนใหญ่ของมันล้วนเป็นประดาพ่อค้าวานิช แต่ในความเป็นจริงนั้นมันกลับมีสหายสนิทที่เคยทรงพลังอำนาจในฝ่ายบู๊มาตั้งแต่ก่อนยุค “ซู่จิ๋น” ทำการยึดอำนาจเสียอีก 

            มืองานสำคัญฝ่ายบู๊ที่ร่วมทำมาหากินกันกับมังกรเตี้ย ตาต่ำ อย่างสนิทแน่นแฟ้นแต่เงียบงันคือ “อุ๋ยโลด” ซึ่งยังคงมีบทบาทจากเครือข่ายเดิม และวงการพ่อค้าวาณิชรายใหญ่ ๆ ในแผ่นดินฮวน 

            นอกจากนั้นมังกรเตี้ย ตาต่ำ มันยังมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับจอมเนติ บริกรที่เคยเอื้อเฟื้อช่วยเหลือกันตลอดมา และความสนิทสนมแน่นแฟ้นถึงขนาดเรียกได้ว่าวัวเคยขา ม้าเคยขี่ กันทีเดียว 

            แต่ทว่ามังกรเตี้ย ตาต่ำ มันสำนึกดีว่าพละกำลังทุกด้านของมันนั้นไม่อาจทำการได้สำเร็จลุล่วง มีแต่ต้องใช้กลยุทธ์ตาอยู่และการช่วงชิงอย่างสายฟ้าแลบเท่านั้น จึงจะมีความเป็นไปได้ 

            ดังนั้นแผนการและการเตรียมการทั้งปวงของมังกรเตี้ย ตาต่ำ จึงเป็นกลยุทธ์ผู้ถือดุลที่มุ่งหมายเป็นกำลังชี้ขาดในสถานการณ์ทั้งด้านบุ๋น ด้านบู๊ 

            ในด้านบุ๋น มันได้แต่หวังให้กำลังทางบุ๋นของมันเป็นตัวคุมดุลชี้ขาดความเป็นไปในสภาเช็งเหม็งตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงหลังศึกใหญ่ในการช่วงชิงชัยในสมรภูมิเข้าสู่สภาเช็งเหม็ง 

            ในด้านบู๊ มันก็ได้แต่หวังว่าเมื่อใดที่สถานการณ์ของแต่ละฝ่ายอยู่ในขั้นยัน กำลังอันน้อยของมันก็จะมีส่วนในการชี้ขาดสถานการณ์ได้ และเมื่อนั้นอำนาจต่อรองที่จะทำให้ฝ่ายใดชนะหรือปราชัยก็ย่อมอยู่ในมือของตัวมันผู้เดียว 

            เพราะเหตุนี้การเตรียมการตามแผนอันลึกลับของมังกรเตี้ย ตาต่ำ จึงมีความสลับซับซ้อนและพิสดารยิ่งกว่ากลุ่มฝ่ายอื่น ๆ และเพื่อประกันความสำเร็จอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก็ไม่อาจมองข้ามจอมเนติบริกรไปได้ 

            เพราะการพูดการจาไหนเลยจะหาความสำคัญและคุณค่าเท่ากับตัวหนังสือได้ไม่ แต่การจะทำการเช่นนี้ในแดนฮวนนั้นยากที่จะหลุดรอดจากสายตาผู้คน เพราะในแผ่นดินฮวนนั้นก็เป็นที่รู้กันอย่างดีว่าหน้าต่างก็มีหู ประตูก็มีตา แม้สายลมก็สามารถพัดพาซุ่มเสียงไปถึงไหนต่อไหนได้ 

            ดังนั้นเพื่อปกปิดร่องรอยให้ลี้ลับ มังกรเตี้ย ตาต่ำ จึงจำต้องนัดหมายบรรดายอดขุนพลของตนและจอมเนติบริกรไปขึ้นเหลา ถองสุรายาดองกันถึงแดนเซียงกั้งก๊ก 

            แต่ทว่าความคิดเป็นของคน ความสำเร็จเป็นของฟ้า สถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างเตรียมทำลายล้างช่วงชิงและประหัตประหารกันเพื่ออำนาจและผลประโยชน์หาใช่เหมือนกับการปรุงอาหารแต่ประการใดไม่ ดังนั้นสถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างขยับขับเคลื่อน จึงผันแปรติดกุกติดกักกันทั่วหน้า ประหนึ่งว่าสวรรค์ไม่เป็นใจ 

            ในส่วนกระบวนการของมังกรเตี้ย ตาต่ำนั้น ความพลิกผันกลับปรากฏโดยที่มันแทบคิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นได้ 

            เรื่องหนึ่ง “ซ่าหนั่น” ซึ่งได้รับมอบหมายให้ประสานสิบทิศ กลับมีเถยจิตคิดเป็นประมุขยุทธภพเสียเอง และ “ซ่าหนั่น” ก็ถือว่าสถานการณ์และโอกาสเช่นนี้ก็คือโอกาสทองของตนเองที่มีแต่คนโง่งมงายเท่านั้นจึงจะปล่อยให้โอกาสทองนี้ผ่านไปโดยไร้ประโยชน์ 

            ดังนั้นในขณะขยับขับเคลื่อนเดินเกมกลลึกตามคำสั่งของมังกรเตี้ย แต่ “ซ่าหนั่น” กลับแอบประสานเชิงลึกอย่างลับกับ “โจสิน” เพื่อให้ “โจสิน” สนับสนุนมันขึ้นครองตำแหน่งประมุขยุทธภพ และจะทำการทั้งปวงสนองพระคุณ “โจสิน” ตามแบบอย่างของ “ซ่าหมัก” และ “ซ่งไฉ” 

            แต่คนแบบ “โจสิน” นั้น ไหนเลยจะยอมให้ใครมาขี่คอได้โดยง่าย ดังนั้นแผนลึก ความลับ จึงถูกปล่อยล่องลอยไปตามสายลม จนล่ำลือเล่าขานกันทั่วทั้งยุทธภพ ทำให้มังกรเตี้ยต้องขุ่นแค้นเคืองใจเป็นอันมาก 

            และในที่สุดเมื่อบวกกับกระแสสังคมที่ก่นด่าประณาม “ซ่าหนั่น” ว่าเป็นถึงรองอัครมหาเสนาบดี แต่ริอ่านจะไปเสพสันทวะกับนักโทษหนีคุกย่อมเป็นความผิดตามกบิลเมืองแล้ว “ซ่าหนั่น” จึงจำต้องออกอาการแบ่งรับแบ่งสู้ 

            แต่ลีลามังกรการเมืองระดับ “ซ่าหนั่น” นั้น ไหนเลยจะแบ่งรับแบ่งสู้และแบ่งเสียแต่ฝ่ายเดียว ดังนั้นจึงฉวยโอกาสเช่นนี้ฟาดฝ่ามือกระแทกใส่ “ลิห้อย” ฉาดใหญ่ โดยที่ “ลิห้อย” เองมันก็หารู้ไม่ว่าฝ่ามือฉาดนี้กรีดกรายมาได้อย่างไรกัน 

            “ซ่าหนั่น” เรียกบรรดากระบอกเสียงเรียงสำนักมาเปิดถ้อยแถลงความในใจว่า ตัวมันนั้นหาได้มักใหญ่ใฝ่สูงแต่ประการใดไม่ แต่ต้องการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กอบกู้แผ่นดิน การทั้งนี้มีมาแต่เหตุที่ “ลิห้อย” มอบหมายภารกิจให้มันทำการประสานสิบทิศ หวังยังแผ่นดินฮวนให้สงบร่มเย็น 

            “ซ่าหนั่น” ฟาดพลังฝ่ามือชุดใหญ่เข้าใส่ “ลิห้อย” ว่าคิดไม่ถึงว่าความซื่อแห่งตนที่ทำการโดยหวังดีต่อแผ่นดินฮวน กลับถูก “ลิห้อย” ตลบหลัง เหยียบหาง แทงหลังอย่างไม่ยั้งมือ โพนทะนากล่าวหาว่าตัวมันจะหมายมั่นปั้นมือเป็นประมุขยุทธภพเสียเอง 

            ถ้อยแถลงของ “ซ่าหนั่น” ทำให้ทั่วทั้งยุทธภพงุนงงสงสัย แม้กระทั่ง “ลิห้อย” เองก็ยังงุนงงในพลังฝ่ามือกระบวนท่านี้ไม่หาย แม้ “ซ่าหนั่น” ถล่มฝ่ามือมาแล้วหลายวัน แต่ “ลิห้อย” มันก็ไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร เพราะได้แต่งงงงวย งวยงงสงสัยว่ากระบวนท่านี้มีความหมายประการใด 

            อีกเรื่องหนึ่ง แม้มังกรเตี้ยจะมั่นใจว่าการนัดหมายจอมเนติบริกรไปคิดอ่านทำการกันยังแดนไกลจะไร้ผู้คนรู้เห็น แต่ฟ้ากลับไม่เป็นใจ เพราะลิ่วล้อบริวารของ “โจสิน” ซึ่งชอบกินชอบเที่ยว ได้ไปพบเห็นการสุมหัวของประดามัน จนแทบจะเดินชนกัน 

            ดังนั้นเรื่องลึกการลับที่หมายจะปิดหูปิดตาประชาชาวฮวนจึงถูกนำมาโพนทะนาป่าวร้องก้องไปทั้งเมืองโดยลิ่วล้อบริวารของ “โจสิน” 

            กลายเป็นพลังขุมใหญ่ที่กระแทกใส่ทรวงอกมังกรเตี้ยชนิดคาดคิดไม่ถึง จนตัวมันก็งุนงงและคิดไม่ออกบอกไม่ถูกว่าเรื่องลึกความลับระดับนี้จะถูกแพร่งพรายขยายผลอย่างกว้างขวางได้อย่างไร 

            มิตรภาพในหมู่โจรขยับขับเคลื่อนกันอย่างคึกคัก ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส สรวลเสเฮฮา ดื่มสุรายาดอง ถองกับแกล้มไม่เว้นแต่ละวัน แต่เสียงกระบี่และเงาดาบยังคงดังโครมครามตึงตังไม่ขาดระยะ 

            เหตุการณ์ที่คาดคิดไม่ถึงหาได้เกิดแก่การเคลื่อนไหวของมังกรเตี้ยแต่ฝ่ายเดียวไม่ แต่มันกลับเกิดขึ้นแก่ทุกฝ่ายอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ราวกับว่าสวรรค์บันดาลให้เป็นไป 

            ปฏิบัติการตามคำสั่งที่มาจากที่สูงระฟ้าเกิดเหตุพลิกผันคาดฝันไม่ถึง นั่นคือแผนการจุดชนวน 14 จุด เพื่อถล่มเมืองหลวงให้แหลก หลังจากศึกสิบทัพยับเยินไปแล้ว กลับถูกเปิดเผยร่องรอยอย่างไร้ร่องรอยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร 

            จู่ ๆ ในค่ำคืนวันแรม 12 ค่ำ ในขณะที่หน่วยปฏิบัติการลับหน่วยหนึ่งกำลังประกอบเครื่องระเบิดขนาดใหญ่ หมายจะเอาไปวางที่เป้าหมายสำคัญที่จะทำให้คนฮวนนั้งก๊กล้มตายกันเป็นเบือ เกิดระเบิดขึ้นมาเอง จนทำให้ตึกถล่ม ดินทะลาย ผู้คนตายเจ็บเป็นจำนวนมาก 

            อา! ร่องรอยแผนร้ายปรากฏขึ้นแล้วโดยไม่คาดฝัน ทีใครก็ทีมัน และเหตุการณ์เช่นนี้ย่อมมันมือของผู้มีอำนาจอย่าง “ปี้เซ็ก” เครือข่ายกลไกทั้งปวงจึงขยับขับเคลื่อนปรับเชิงรับเป็นเชิงรุกอย่างฉับพลัน 

            ข่าวสารสารพันพุ่งเป้าไปที่พวกอั้งนั้ง และอั้งตั่งของ “โจสิน” พยานหลักฐานมากหลายถูกประมวลให้ปรากฏสู่ชาวฮวนนั้งทั้งมวลว่านี่คือแผนการสุดโหดอำมหิตหมายคิดสังหารชาวฮวนนั้งผู้บริสุทธิ์นับร้อยพัน เพียงเพื่อเซ่นสังเวยให้กับผู้กระหายอำนาจ กระหายเลือดเท่านั้น 

            เหตุการณ์ซวยไล้ เฮงขื่อ เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับเหล่าพวกอั้งนั้งและอั้งตั่ง สารพัดเหตุร้ายแรงถูกบ่งชี้ไปที่เหล่าประดานี้อย่างต่อเนื่อง กระทั่งการปรากฏขึ้นของอาวุธมหาประลัยที่ถูกระบุว่าขบวนการอั้งนั้งเตรียมการไว้หมายถล่มเข้าใส่ที่ชุมนุมรำลึกเหตุการณ์ 7 ตุลา ของพวกอ้วงนั้ง หมายสังหารทั้ง “ซุนลิ้ม”“จ่ำหลอง” และเหล่าประดาอ้วงนั้งทั้งหมดในคราวเดียว 

            ในขณะเดียวกัน ในส่วนของก๊กฟ้าก็เกิดการระส่ำระสาย เพราะใกล้เวลาตัดสินของศาลไคฟงว่าจะให้ดำรงก๊กฟ้าไว้ต่อไปหรือไม่ จึงเกิดการหวั่นไหวขึ้นทั่วทั้งก๊ก 

            ความหวั่นไหวจึงทำให้ผู้ปรารถนาเป็นประมุขยุทธภพเปิดเผยร่องรอยปรากฏตน “1 เด็ก 1 ชรา” สร้างความอกสั่นขวัญผวาให้แก่ประดาชาวก๊กฟ้าเป็นอันมาก 

            1 เด็กนั้นกำลังเติบใหญ่ในยุทธจักร เข้าควบคุมตลาดการซื้อขายและเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ของแผ่นดิน จนอิทธิพลเติบใหญ่ปีกกล้าขาแข็งขึ้นทุกวี่วัน และด้วยความกล้าฟาดกล้าฟัน ไม่แทงกึ๊กแทงกั๊กเหมือนกับ “ปี้เซ็ก” จึงได้รับการสนับสนุนจากเหล่าประดาพ่อค้าวาณิชเป็นอันมาก 

            ส่วนอีก 1 ชรานั้นย่อมแน่นอนว่าเป็น “ตั๋งเทือก” ยามสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายที่ก๊กฟ้าจะถูกยุบหรือไม่ และใครจะมาสืบทอดตำแหน่งประมุขยุทธภพแทนนั้น ตัวมันก็ช่ำชองเชิงยุทธ์และกว้างขวางในยุทธภพ มีลี้พลสนับสนุนอยู่เป็นอันมาก    คงขาดก็แต่มิได้เป็นสมาชิกของสภาเช็งเหม็งเท่านั้น หากมีคุณสมบัติข้อนี้พร้อมเมื่อใด “ตั๋งเทือก” มันก็ย่อมฉายแววประมุขยุทธภพไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าคนอื่นเลย 

            ดังนั้นมันจึงแสดงความปรารถนาลงสู่สมรภูมิขับเคี่ยวกับผีโม่แป้งแห่งอั้งตั่ง หมายมั่นปั้นมือว่าจะได้รับชัยชนะกลับเข้าสภาเช็งเหม็งอีกครั้งหนึ่ง 

            แต่ทว่าสิ่งที่มันคาดคิดไม่ถึงก็คือกระบวนท่าขัดแข้งเตะขาผ่าหมากในหมู่บรรดาเจี้ยงเล่าเหล่าก๊กฟ้า ซึ่งหมายมั่นปั้นมืออย่างเงียบๆ ที่จะกำจัดอิทธิพลของ “ตั๋งเทือก” ที่บดบังก๊กฟ้ามาระยะหนึ่งแล้ว 

            ดังนั้นจึงก่อเกิดเป็นพลังบังคับให้ “ตั๋งเทือก” จำต้องสละตำแหน่งรองอัครมหาเสนาบดี ภายใต้ข้ออ้างว่าเพื่อความสง่างามและเพื่อความยุติธรรมในการสัประยุทธ์ชิงชัย ซึ่ง “ตั๋งเทือก” ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ 

            ดังนั้นเหตุการณ์พิลึกพิลั่นในแผ่นดินฮวนนั้งก๊กจึงเลื่องชื่อลือกระฉ่อนไปทั่วแคว้นแดนต่าง ๆ ว่าคนระดับรองอัครมหาเสนาบดียอมสละตำแหน่งเพื่อไปขับเคี่ยวเข้าสู่สภาเช็งเหม็ง และจะกลับมาเป็นรองอัครมหาเสนาบดีอีกครั้งหนึ่ง 

            สารพัดสารพันปัญหาเข้ามา แต่แทนที่พวกก๊กฟ้าจะตระหนักสำนึกว่าเป็นชะตากรรมที่วิบากกรรมย่อมเป็นรอยตามกรรม ประดุจดั่งรอยเกวียนตามล้อเกวียน กลับประกอบด้วยมิจฉาทิฐิหลงผิดคิดว่าความสับสนวุ่นวายระส่ำระสายเกิดจากต้นไม้ 10 กว่าต้น 

            ดังนั้นเพื่อแก้ไขปัญหาความระส่ำระสายภายในก๊กฟ้า จึงต้องพิพากษาลงโทษต้นไม้ย้ายออกจากที่เดิม จนเป็นข่าวคราวดังกระฉ่อนทั่วสากลพิภพจบแดนอยู่ในวันนี้ 

            ช่างไม่ต่างอันใดกับเมื่อครั้งเกิดเหตุระส่ำระสายขึ้นในแผ่นดินจีนตอนต้นสมัยสามก๊ก ที่เกิดเหตุอาเพศมากหลาย จนกระทั่งพระเจ้าเลนเต้ต้องตรัสถามเหล่าข้าราชการขุนนางทั้งปวงว่า อาเพศทั้งปวงนั้นมีมาแต่เหตุใด 

            ก็ได้คำตอบจากขุนนางกังฉินที่ดีแต่กินกับโกงว่า เหตุอาเพศทั้งปวงที่เกิดขึ้นจนบ้านเมืองระส่ำระสายและได้ความเดือดร้อนกันถ้วนหน้านั้น เกิดจากพระเจ้าเลนเต้ทรงฉลองพระองค์เก่าเกินไป จะต้องเปลี่ยนฉลองพระองค์ จึงจะโชคดีมีชัยแก่แผ่นดิน ฮา ฮา.

Re: ขอหนึ่งกระทู้บันทึกถ้อยความ

PostPosted: Tue Oct 04, 2011 6:18 pm
by ผ่าวารี
สามก๊กการเมืองไทย ตอน อุบายหลอกฟ้าเหยียบดิน

.
.


            เจิ้งหยางศกปีที่ 164 แรม 1 ค่ำ เดือน 11 เป็นเทศกาลออกพรรษาตามที่พระสมณะโคดมได้บัญญัติพระวินัยไว้ ฝนก็สั่งฟ้าตามฤดูกาล สายลมหนาวอันพัดมาแต่บูรพาทิศเริ่มปะทะกับสายลมตะวันตก ก่อให้เกิดความผันผวนปรวนแปรในการอากาศ จนทำให้ราษฎรจำนวนมากต้องเจ็บป่วยด้วยโรคภัยต่าง ๆ 

            ทว่าก่อนฝนจะสั่งฟ้า เหตุเภทภัยอันเกิดจากคนชั่วครองอำนาจในบ้านเมืองยังคงคุกคามแผ่นดินฮวนนั้งก๊กอย่างหนักหน่วง เพราะก่อนยามที่ฝนจะสั่งฟ้านั้นการอากาศกลับวิปริตแปรปรวน พายุฝนได้พาฝนหลายห่าใหญ่ตกทั่วฟ้าฮวนนั้งก๊ก 

            ฝนห่าใหญ่กระหน่ำหนักทั่วภาคเหนือและภาคอีสาน ก่อเกิดเป็นทะเลโคลนและกระแสน้ำหลากไหลเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรและไร่นาสาโท จนผืนป่าและหุบเขากลายเป็นสายธาร ถนนหนทางกลายเป็นแม่น้ำ บ้านเมืองหลายแห่งกลายเป็นทะเล 

            กระแสน้ำหลากมาอย่างรวดเร็วจนราษฎรตั้งตัวไม่ทัน ดังนั้นชาวฮวนนั้งก๊กจำนวนมากจึงต้องลอยคออยู่ในน้ำนานนับวัน ในขณะข้าวกล้าที่กำลังจะออกรวงถูกน้ำท่วมเสียหายร่วม 2 ล้านไร่ ส่วนสัตว์เลี้ยงและสัตว์พาหนะต่าง ๆ ถูกกระแสน้ำพัดพาสูญหายล้มตายไปจนหมดสิ้น 

            ยามนั้นแม้บ้านเมืองและชาวฮวนนั้งท้อแท้สิ้นหวัง แต่บรรดาเหล่าผู้มีอำนาจหาได้ใส่ใจไยดีในความเป็นไปในบ้านเมืองแต่ประการใดไม่ ประดามันยังคงสาละวนอยู่กับการส่งเสริมคนชั่วให้มีอำนาจในบ้านเมือง และฉ้อฉลปล้นแผ่นดินฮวนอย่างไม่หยุดยั้งต่อไป 

            ในแต่ละวันมีแต่ข่าวมีแต่เรื่องการโกง โกง โกง และกิน กิน กิน จนกลบความเป็นไปทั้งหลายทั้งปวงในฮวนนั้งก๊กจนหมดสิ้น 

            โชคดีที่แผ่นดินฮวนนั้งก๊กมีฮ่องเต้ผู้ทรงธรรม ทรงมีน้ำใจเอื้ออาทรต่ออาณาประชาราษฎรทุกหย่อมหญ้าโดยไม่จำแนกว่าจะเป็นเผ่าใด มีความนับถือวัฒนธรรมประเพณีอย่างไรก็ทรงแผ่พระทัยเมตตาพระราชทานความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง 

            ทำให้ราษฎรที่ไม่มีแม้แต่ข้าวจะกินได้มีข้าวกิน ทำให้ราษฎรที่ป่วยไข้ไร้หยูกยารักษาพอมียาบรรเทาความป่วยไข้ได้เฉพาะหน้า ทำให้พอมีอาหารพอประทังชีวิตในระยะเฉพาะหน้าได้ 

            ทันทีที่ฮ่องเต้แห่งฮวนได้พระราชทานความช่วยเหลือแก่อาณาประชาราษฎรก็ได้ปลุกจิตใจชาวฮวนทั้งหลายทั้งปวงให้ตื่นขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน หันออกจากเวทีข่าวสารข้อมูลน้ำเน่าที่เหล่าประดาผู้มีอำนาจเสกสรรปั้นเป่ากรอกหูอยู่ทุกวี่วัน พากันหันหน้าไปมองเพื่อนร่วมชาติที่กำลังลอยคอเท้งเต้งอยู่ในน้ำ บ้างก็นอนอยู่บนหลังคาเรือนที่น้ำกำลังไหลเชี่ยวบ่า ใกล้จะถึงหลังคาบ้านเต็มทีแล้ว 

            ชาวฮวนพร้อมเพรียงน้ำใจกันระดมช่วยกันบริจาค ช่วยกันมอบความช่วยเหลือจากทั่วสารทิศเพื่อส่งไปช่วยเหลือให้กับพี่น้องร่วมชาติของตน ทำให้ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวในแผ่นดินฮวนกลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง ด้วยความตื่นตัว และความสามัคคีพร้อมเพรียงกัน เดินตามรอยพระบาทของฮ่องเต้ 

            เมื่อชาวฮวนทั้งแผ่นดินพากันตื่นตัวลุกฮือขึ้นช่วยเหลือพี่น้องร่วมชาติ เหล่าประดาผู้มีอำนาจก็ไม่อาจเล่นลิเกละครอยู่ต่อไปได้ จึงจำใจต้องออกไปเยี่ยมเยียนราษฎร แต่ก็มิวายที่จะเล่นลิเกเร่ละครตามอัธยาศัย เพียงแค่หวังจะหาเสียงเอาจากเหล่าชาวฮวนผู้กำลังลอยคออยู่ในน้ำและกำลังร้องไห้ระงมเพราะได้สูญเสียทรัพย์สินไร่นาสาโทและวัวควายจนหมดสิ้น 

            ขบวนการลิ่วล้อหน้าม่านแทนที่จะเห็นใจในความเดือดร้อนของราษฎรผู้ยาก กลับสั่งการให้บรรดานักการต่างๆ ตามหัวเมืองกะเกณฑ์ลิ่วล้อมาเอาใจผู้มีอำนาจด้วยการจัดหาดอกไม้มามอบให้กำลังใจแก่ผู้ไม่เดือดร้อน แต่กำลังเล่นละครหาเสียง ในขณะที่หาได้ใส่ใจเหลียวแลพี่น้องร่วมชาติที่กำลังสิ้นเนื้อประดาตัวแต่ประการใดไม่ 

            อุทกภัยก่อเหตุเภทภัยให้กับอาณาประชาราษฎร แต่กลับสร้างความหฤหันต์ให้เหล่าประดาผู้มีอำนาจเพราะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้หาทางล้วงเอาเงินก้อนใหญ่ของแผ่นดินไปถลุงกันจนมันปาก 

            เพราะยามนี้ภายใต้ข้ออ้างเร่งช่วยเหลือราษฎรผู้ประสบภัยก็สามารถผันงบประมาณจำนวนมากมายลงไปในพื้นที่ต่าง ๆ โดยมีนักการเมืองและเหล่าลิ่วล้อบริวารของผู้มีอำนาจเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบกำกับในการดูแลใช้สอย 

            ดังนั้นขบวนการงาบงบที่แทนที่จะช่วยเหลือราษฎรผู้ลำเค็ญ ได้กลับกลายเป็นลาภอันมันปากของเหล่าประดาผู้มีอำนาจไปอย่างน่าใจหาย ในขณะที่อาณาประชาราษฎรก็ต้องก้มหน้ารับความเดือดร้อนทุกข์เข็ญและช่วยเหลือกันเองตามประดามีกันต่อไป 

             อุทกภัยครั้งใหญ่ได้กลายเป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมให้กับอำนาจรัฐของ “ปี้เซ็ก” เพราะจะหาช่วงเวลาไหนที่จิตใจผู้คนว้าวุ่นสาละวนอยู่กับภยันตรายที่ใกล้ตัว แล้วไม่มีโอกาสจะสนใจไยดีในเรื่องชาติบ้านเมืองเสมอเหมือนโอกาสเช่นนี้อีกแล้ว 

            ดังนั้นในยามนี้ในขณะที่ขบวนการของ “ปี้เซ็ก” และเหล่าลิ่วล้อบริวารพากันออกไปเดินเฉิดฉายถ่ายโทรทัศน์ลุยน้ำเพื่อโอ้อวดไปยังชาวฮวนทั่วประเทศว่าใส่ใจห่วงใยราษฎร แต่กลับขับเคลื่อนงานสำคัญใหญ่หลวงอย่างฉับไว 

            งานใหญ่เรื่องหนึ่งก็คือการสนองตอบต่อคำสั่งของ “ฮวยเซ็ง” ซึ่งบัดนี้ได้กรีฑาทัพเหล่าขะแมร์เข้ามายึดครองดินแดนฮวนทั้งทางบกและทางทะเลอย่างเอิกเกริกคึกคัก จนสามารถยึดครองดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทโบราณอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว และกำลังยึดครองดินแดนฮวน 7 จังหวัดชายแดนเนื้อที่ร่วม 1.8 ล้านไร่ อยู่อย่างขะมักเขม้น พร้อมทั้งได้นำเอาดินแดนในอ่าวฮวนถึง 1 ใน 3 ซึ่งครอบคลุมทรัพย์สมบัติมหาศาลไปให้สัมปทานแก่ต่างแคว้นไปเรียบร้อยแล้ว 

            สิ่งที่ “ฮวยเซ็ง” ปรารถนาสูงสุดและพยายามผลักดันมาตลอดเวลาก็คือการทำให้ข้อตกลงได้ดินแดนฮวนเป็นการชอบด้วยกฎหมายเมืองฮวน ซึ่งจะต้องผ่านการเห็นชอบจากสภาเช็งเหม็ง 

            ก่อนที่จะเกิดอุทกภัยใหญ่นั้น สองเฮียตี๋เชื้อสายอันนัมก๊กโดยตั้วเฮียนั้นเป็นเผ่าขะแมร์กรอม แต่เสี่ยวตี๋นั้นเป็นชนเผ่าฮัว ได้พบปะกันในการประชุมมหาสันนิบาตแคว้นต่างๆ ได้วางแผนเบนความสนใจโดยเชิญผู้ยิ่งใหญ่แห่งสันนิบาตนั้นมาเมืองฮวนเพื่อเบนความสนใจของผู้คน แล้วฉวยเอาโอกาสนั้นผลักดันให้สภาเช็งเหม็งอนุมัติข้อตกลงยกแผ่นดินฮวนให้แก่ขะแมร์ 

            โชคเข้าข้างเหล่าผู้ขายชาติ จึงไม่เพียงแต่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสันนิบาตแคว้นต่างๆ จะเดินทางมาตามกำหนด เคราะห์กรรมกลับซ้ำหนักแผ่นดินฮวนที่เกิดอุทกภัยใหญ่ จึงกลายเป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมที่อำนาจรัฐของ “ปี้เซ็ก” จะได้ปฏิบัติตามการสั่งการของ “ฮวยเซ็ง” ให้สำเร็จลุล่วงด้วยดี ด้วยการผลักดันให้สภาเช็งเหม็งอนุมัติการสูญเสียดินแดนครั้งมโหฬารนี้ 

            และย่อมเป็นที่แน่นอนว่าทุกสิ่งจะเสร็จสมอารมณ์หมาย เพราะการยกดินแดนฮวนให้กับขะแมร์นั้นเป็นเป้าหมายร่วมกันของอำนาจรัฐ “ปี้เซ็ก” รวมทั้ง “โจสิน” ด้วย ดังนั้นการกลืนกินแผ่นดินและการขายชาติครั้งนี้จึงลุล่วงทะลุทะลวงอย่างง่ายดาย 

            ชาวฮวนก็ได้แต่คอยหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์ใดมาช่วยรักษาแผ่นดินฮวนผืนนี้ไว้ให้ลูกหลานชาวฮวนในวันข้างหน้า หรือว่าจะถึงกาลเสียแผ่นดินให้เป็นที่อัปยศแก่ชาวฮวนรุ่นหลังไปตลอดกาล 

            งานใหญ่อีกเรื่องหนึ่งคือการสนองพระเดชพระคุณเหล่าประดาหุ้นส่วนแห่งอำนาจของ “ปี้เซ็ก” ที่มีความเรียกร้องต้องการให้มีการแก้ไขกฎสูงสุดของแผ่นดินฮวนใน 2 เรื่อง คือ เปลี่ยนระบบการเลือกตั้งของสภาเช็งเหม็งให้เป็นเขตเดียว คนเดียว เพื่อให้สะดวกดายต่อการปล้นอธิปไตยจากปวงชน เพราะสามารถซื้อเสียงได้อย่างง่ายดาย และตลอดเวลาที่ผ่านมาเหล่าประดาหุ้นส่วนอำนาจของ “ปี้เซ็ก” พยายามผลักดันอย่างขันแข็ง ด้วยหวังใจว่าจะเป็นช่องทางที่จะฝ่าด่านของพวกอั้งตั่งในภาคเหนือและภาคอีสานได้ 

            ส่วนอีกเรื่องหนึ่งก็คือการป้องกันเภทภัยทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นจากการโกงเลือกตั้งและการซื้อเสียง เพราะตามกฎที่เป็นอยู่นั้นหากถูกจับได้ไล่ทันก็จะถูกยุบพรรค และจะถูกเหมาเข่งห้ามใช้สิทธิ์เลือกตั้งอีกต่อไปเป็นเวลาถึง 5 ปี จำเป็นจะต้องแก้ไขกฎสูงสุดนี้เพื่อให้สามารถโกงการเลือกตั้งและซื้อเสียงได้อย่างเพลิดเพลินเจริญใจ เพราะแม้จะถูกจับได้ไล่ทันก็เอาผิดได้แต่เฉพาะผู้โง่เขลาที่โกงแล้วให้เขาจับได้เพียงคนเดียวเท่านั้น 

            เหล่าประดามันยังหวังไปไกลยิ่งกว่านี้เพราะในทันทีที่มีการพิจารณาเรื่องแก้กฎสูงสุดในเรื่องการยุบพรรค ประดามันก็จะใช้เล่ห์กลเชิงชั้นในสภาเช็งเหม็งทำการเพิ่มเติมแก้ไขข้อความเป็นว่า เมื่อผู้ไม่ได้กระทำผิดไม่ต้องถูกลงโทษตามกฎใหม่แล้ว บรรดาผู้ที่เคยถูกต้องโทษตัดสิทธิ์มาแต่ก่อนก็ให้เป็นอันพ้นโทษ สามารถเข้าสู่สมรภูมิในการชิงชัยเข้าสู่สภาเช็งเหม็งได้ ซึ่งจะทำให้เหล่าฝูงผีดิบได้ฟื้นคืนชีพตาม ๆ กัน 

            ประดามันมั่นใจว่าพวกอ้วงก๊กจะยอมสยบและไม่เคลื่อนไหวในการคัดค้านการทำการใหญ่ 2 เรื่องนี้ แต่พวกมันกลับคาดคิดไม่ถึงว่ายังมีพวก “ปั้นวิด” “ไช่วัด” “เหว่ยระ” “ก้าหรุน” และพวกอีกจำนวนมากที่ไม่ยินยอมพร้อมใจทั้ง 2 เรื่องนี้ 

            พวกมันจึงยังคงเคลื่อนไหวต่อต้านคัดค้านแผนการใหญ่ของ “ปี้เซ็ก” ชนิดไม่ยอมหยุดไม่ยอมหย่อน ทำให้อาณาประชาราษฎรโดยเฉพาะพวกอ้วงก๊กที่เคยเข้าร่วมต่อต้านคัดค้านการแก้ไขกฎสูงสุดในสมัย “ซ่าหมัก” และ “ซ่งไฉ” เป็นเวลายาวนานถึง 193 วันจนกระทั่งสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของบรรดาผู้รักชาติเป็นจำนวนมาก ได้เข้าร่วมสนับสนุนการเคลื่อนไหวคัดค้านนี้ 

            ดังนั้นจึงทำให้การขับเคลื่อนขายชาติและปล้นชาติของเหล่าประดาผู้มีอำนาจจึงไม่อาจขับเคลื่อนไปได้อย่างรื่นหูสบายตาเท่าใดนัก เพราะเสี้ยนอันน้อยนั้น เมื่อยามตำเข้าที่เท้าแล้ว ก็เดินเหินไม่สะดวกฉันใด การจะขายชาติและปล้นชาติให้สะดวกดายก็ไม่อาจราบรื่นได้ฉันนั้น 

            ในท่ามกลางฤดูกาลที่กำลังผันแปรเปลี่ยนแปลงไป อำนาจใหม่ในวงการยุทธจักรที่เคยกำเริบเสิบสานจองหองพองขนได้ถูกตีโต้จากทั่วทุกทิศานุทิศ 

            มันเป็นธรรมดาของสรรพสิ่งที่ไม่อาจจีรังยั่งยืน ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ เมื่อมีเกิดขึ้นแล้วก็ย่อมมีเสื่อมไปและย่อมดับสูญไปเป็นธรรมดา ซึ่งความจริงก็เป็นสิ่งที่เห็นตำตากันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน 

            เมื่อไม่กี่ปีก่อนพลังอำนาจของ “โจสิน” ยิ่งใหญ่คับฟ้าแดนฮวนนั้ง ครองอำนาจยุทธภพไว้ในอุ้งมือและอุ้งตีนจนสิ้นเชิง ไม่ว่าเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร และเครือข่ายข้าราชการขุนนางทั้งปวงก็ตกอยู่ในอำนาจของ “โจสิน” สิ้น ประหนึ่งว่าแผ่นดินนี้ไร้ผู้เทียมทานอีกแล้ว 

            ความกำเริบและมักใหญ่ใฝ่สูงจึงละเมิดต่อหลักโลกนิติ ธรรมนิติ และราชนิติ ทำการใดก็ถือเอาแต่อำเภอใจตนเป็นใหญ่ ไม่คำนึงถึงความถูกผิดและไม่ว่าจะทำผิดประการใดก็หามีใครท้วงติงไม่ มีแต่เสียงสรรเสริญเยินยอ สอพลอปอปั้น จนนานวัน “โจสิน” ก็ยิ่งกำเริบใจ ถือตนเป็นใหญ่ในแผ่นดินฮวน ไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดินอีกต่อไป 

            แม้ปานนั้นแล้วเพียงแค่พริบตาเดียวอำนาจอันยิ่งใหญ่ของ “โจสิน” ก็สิ้นลง ประดุจต้นไม้ใหญ่ที่ไร้รากแก้ว เพียงแค่ลมโชยมาแต่แผ่วเบาก็ล้มครืนลงมา นับถึงเวลานี้ 4 ปีกว่าแล้ว “โจสิน” ก็ยังต้องร่อนเร่พเนจรอย่างว้าเหว่เอกาในแดนไกล แม้จะต่อสู้ดิ้นรนเพื่อหวนคืนอำนาจเท่าใด ก็คงเหมือนกระทงที่ห่างไกลออกไปจากฝั่ง 

            กระทั่งแม้คิดจะกลับมาตายในแผ่นดินเกิดก็ยากเย็นแสนยาก และเห็นทีว่าชีวิตนี้จะต้องทอดร่างไว้ในต่างแดน หากจะกลับมาตุภูมิได้ก็คงแต่เถ้ากระดูกเท่านั้น 

            ถึงกระนั้นพวกอำนาจใหม่ก็หาได้ใส่ใจและถือเอากรณีทั้งหลายทั้งปวง รวมทั้งกรณีของ “โจสิน” มาเป็นบทเรียนเพื่อเตือนใจแต่ประการใดไม่ สิ่งใดที่ “โจสิน” เคยประพฤติ เคยปฏิบัติ และเคยทำมา กลุ่มอำนาจใหม่ก็เดินตามรอยแทบทุกย่างก้าว รวมทั้งได้ต่อยอดกระบวนท่าวิชายุทธที่สุดอำมหิตและสามานย์จนถึงขั้นสุดยอด 

            อำนาจบู๊เฮี้ยบในยุทธภพหลุดจากมือไป แต่ประดามันก็หาได้สำนึกตัวไม่ สาเหตุย่อมมีมาแต่ 2 ประการ คือ ความเป็นไปในยุทธภพนั้นลี้ลับซับซ้อน สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริง สิ่งที่เป็นจริงอาจเป็นสิ่งที่พวกมันไม่เคยเห็น 

            ดังนั้นความกำเริบเสิบสานจองหองพองขนยังคงเดินหน้าเย้ยฟ้าท้าดินสืบไป ปากพร่ำเพ้อคำว่า จงรักภักดี สามัคคี ปรองดอง แต่เนื้อในนั้นคือการล้มล้างสถาบันสำคัญต่าง ๆ ในแผ่นดินฮวนจนหมดสิ้น 

            กำลังมุ่งสู่เป้าหมายอย่างเดียวกันกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 8 ปีก่อน 

            อีกประการหนึ่งเล่า อาจเนื่องเพราะเป็นวิถีทำงานของกฎแห่งกรรมที่มีความเที่ยงตรง เที่ยงธรรม ประณีตละมุนละไมยิ่งนัก ไหนเลยที่จะเปิดโอกาสให้พวกลูกเต่า หลานเต่าและขี้กะโล้โท้ทั้งหลายจับทิศกุมทางได้ว่าความแปรผันจะพลิกพลิ้วไปในทิศทางใด 

            ดังนั้นประดามันแม้มีหูก็เหมือนหูหนวก มีตาก็เหมือนตาบอด มีเครือข่ายอันกว้างขวางก็เกาะกุมอันใดไม่ได้ 

            แต่ทว่าประดามันนั้นยังคงมีจมูกอันไวต่อกลิ่น ยังมีหูที่ไวต่อเสียง ดังนั้นการขยับตัวพลิกกายของมังกรเตี้ยและการขับเคลื่อนกระบวนพลของ “ปี้เซ็ก” หลังจากได้ยินเสียงฟ้าคำรนฝนคำรามดังกึกก้องว่าเหตุไฉนการโกงบ้านผลาญเมืองจึงเติบโตถึงปานนี้ จึงไม่หลุดรอดสายตาของทั้ง “ลิห้อย” และ “ตั๋งเทือก” ไปได้ 

            พวกมันอ่านแผนกระจ่างว่า “ปี้เซ็ก” เด็กน้อยหูเบาหน้าบาง เพียงได้ฟังเสียงฟ้าคำรนฝนคำรามก็เกิดอาการประหวั่นพรั่นพรึงหมายกำจัดกลุ่มอำนาจใหม่ ซึ่งเป็นต้นเหตุเภทภัยและเป็นต้นเค้าที่ทำให้เกิดฟ้าคำรนฝนคำรามนั้น 

            พวกมันติดตามความเคลื่อนไหวของมังกรเตี้ยตาต่ำ และกลุ่มสามผี อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ “ปี้กร” ที่แม้ทำทีเป็นระแวงแคลงใจกับ “ปี้เซ็ก” แต่แท้จริงแล้วพวกมันล้วนเป็นเหล่าตระกูลปี้ ที่ทุกวี่วันเสพสันถวะไมตรีปี้สุรานารีและหนุ่มรูปงามกันเป็นอาจิณ ประดาเหล่าพันธุ์ไม้เดียวกันนั้นไหนเลยจะแตกแยกกันง่าย ๆ 

            ดังนั้นกระบวนการเคลื่อนไหว 9ส 3 ผี จึงตกอยู่ในสายตาการเฝ้ามองระวังของทั้ง “ลิห้อย” และ “ตั๋งเทือก” อย่างมิคลาดสายตา 

            ปิศาจอีสานและยมทูตใต้ สองมันนั้นล้วนเข้ากันยิ่งกว่าผีกับโลง อำนาจรัฐ “ปี้เซ็ก” พวกมันก่อขึ้นมาด้วยหยาดเหงื่อและความร้อยเล่ห์แสนกล ไหนเลยจะยอมให้ค่ายกลสำคัญนี้ถูกเหล่าพวกขวัญอ่อนหัวนอกตีแตกได้ง่าย ๆ เล่า 

            ดังนั้นเมื่อสถานการณ์มาถึงกาลคับขันที่บังเกิดห่ากระสุนตกทั้งหมู่บ้าน “ตั๋งเทือก” และหมู่บ้าน “ลิห้อย” สองมันก็รู้สัญญาณภัยที่ใกล้เข้ามาถึงตัวเต็มที ดังนั้นสัญญาณนัดหมาย ณ โรงเตี๊ยมลี้ลับกลางเมืองหลวงแผ่นดินฮวนจึงเกิดขึ้นในยามดึกสงัดของราตรีหนึ่ง 

            เป็นการนัดหมายพบปะอย่างลับสุดลึก และห้ามบุคคลไม่เกี่ยวข้องเข้าไปในระยะใกล้ 3 ลี้เป็นอันขาด คงมีแต่ “ลิห้อย” เจ้าถิ่น “ตั๋งเทือก” “เสี่ยวหนู” และ “หนีพ้ง” อดีตหลงจู๊เก่าของ “ปี้เซ็ก” รวม 4 คนเท่านั้น 

            การนัดหมายครานี้ประดามันคงไม่มีอารมณ์กินโต๊ะ ดังนั้นจึงได้แต่สั่งน้ำชาและกาแฟมาดื่มพอเป็นพิธีเพียงไม่ให้ขวยเขินเท่านั้น 

            “ตั๋งเทือก” ถามขึ้นก่อนว่า “ลิห้อย” น้องเรานัดพบปะกันในวันนี้ คงจะมีเรื่องขุ่นข้องอยู่ในใจ น้องเรากับตัวเรานั้นฝ่าฟันศึกเหนือเสือใต้เป็นอันมาก ย่อมรู้ใจแก่กันเป็นอันดี ตามวิสัยใจโจรย่อมแจ้งใจโจร และต้องด้วยน้ำใจเรายิ่งนัก 

            “ลิห้อย” กล่าวสอดขึ้นว่า “ปี้เซ็ก” เด็กดื้อ ยิ่งมีอำนาจนานวันก็ยิ่งรู้สึกสนุกสนาน จนลืมการครั้งก่อนที่เราสองอุ้มชูก้าวขึ้นสู่เก้าอี้แห่งอำนาจ มาบัดนี้ “ตั๋งเทือก” ท่านคงไม่คิดแต่เพียงว่าเป้าหมายการจัดการของ “ปี้เซ็ก” นั้นหาได้อยู่ที่ตัวข้าพเจ้าแต่ฝ่ายเดียวไม่ 

            “ตั๋งเทือก” จึงว่าน้องเราย่อมจำคำกล่าวของเราแต่เก่าก่อนได้ไม่ใช่หรือว่าแผ่นดินนี้ ขอเพียงสองเราร่วมมือกันให้มั่นคงก็จะไม่มีอำนาจใดในแผ่นดินมาต้านทานรับมือได้เป็นอันขาด อัน “ปี้เซ็ก” เด็กน้อยนั้น ข้าพเจ้าทำนุบำรุงอุ้มชูมาแต่น้อยด้วยสองมือนี้ มันจึงมีวันนี้ 

            “ตั๋งเทือก” กล่าวพลางยกมือขึ้นกำด้วยความขุ่นแค้นแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้ากระจ่างแจ้งแก่ใจดีว่าการทั้งนี้มันหาได้คิดแค่กำจัดแต่น้องเราไม่ หากหมายกำจัดถึงตัวเราด้วย มันจึงสนับสนุนให้เราพ้นจากตำแหน่งรองอัครมหาเสนาบดี หวังจะตัดแข้งเตะขาให้เราไปเลี้ยงหลานอยู่กับบ้าน เชอะ! ฝันไปเถิดเจ้าเด็กน้อย “ตั๋งเทือก” กล่าวแล้วก็กัดฟันเสียงดังกรอด กรอด 

            “ตั๋งเทือก” เอ่ยคำถามแต่แผ่วเบาว่า “ลิห้อย” น้องเรา ในการคิดคำนวณของท่านมีความเห็นอย่างไรว่า ถ้า “ปี้เซ็ก” มันจะเอากลุ่ม 3ผี และกลุ่ม “ซ่าเหนาะ” เข้ามาร่วมหุ้นส่วนแห่งอำนาจ แล้วกวดล้างภูมิขะแมร์ของท่านออกไป มันจะไปเป็นไปได้และจะอยู่ได้ฉันใด 

            “ลิห้อย” จึงกล่าวว่า “ตั๋งเทือก” ท่านก็รู้ในสิ่งที่ข้าพเจ้ารู้เป็นอันดี ว่ากลุ่ม “ซ่าเหนาะ” นั้นมันเป็นเนื้อในเดียวกับภูมิขะแมร์ตั่งของข้าพเจ้า และมีความโกรธแค้นไม่เผาผีกับ “ปี้เซ็ก” และ “หลบไป๋” มาช้านานแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีทางที่พวกมันจะดึงกลุ่ม “ซ่าเหนาะ” เข้าไปเป็นหุ้นส่วนได้อย่างเด็ดขาด 

            “ลิห้อย” จิบกาแฟอึกหนึ่งแล้วกล่าวว่า คงเหลือแต่กลุ่ม 3ผี ซึ่งทำทีภายนอกราวกับว่ามีไพร่พลคับคั่งพร้อมสรรพ แต่แท้จริงแล้วกลุ่ม 3ผี ดีแต่เปลือก เหล่าเนื้อในทั้งหลายล้วนมาสวามิภักดิ์กับข้าพเจ้าสิ้นแล้ว อย่างมากที่สุดมันมีกำลังได้มากไม่เกิน 12 คนเท่านั้น 

            “ตั๋งเทือก” ได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวว่า สิ่งที่ “ลิห้อย” ท่านกล่าวมาตรงกับสิ่งที่ข้าพเจ้ารับรู้อยู่ “ปี้เซ็ก” เด็กน้อย แม้จะคิดอ่านฝันสูงเทียมฟ้า แต่หาสอดคล้องกับความเป็นไปในแผ่นดินไม่ 

            “ตั๋งเทือก” กล่าวสืบไปว่าพวกมันไม่มีทางดึงกลุ่ม “ซ่าเหนาะ” ไปเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนได้เป็นแน่แท้ กลุ่ม 3ผี ก็มีกำลังแค่ 12 คนดังท่านว่า ดังนั้นจึงไม่มีกำลังเพียงพอที่จะมาทดแทนกำลังท่าน นี่คือไต๋สำคัญที่วางหราอยู่เบื้องหน้าเราสองแล้ว ดังนั้นไม่ว่าประดามันจะคิดคดในข้องอในกระดูกปานใด แต่จะไม่มีทางทำการได้สำเร็จ 

            “ลิห้อย” ได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวสอดขึ้นว่า “ตั๋งเทือก” พี่ท่าน การคำนวณความคิดของ “ปี้เซ็ก” นั้นจะคำนวณแต่ความคิดมันนั้นไม่ได้ เพราะในวันนี้สองเสือเฒ่า “หลบไป๋” และ “ปั้นยัด” กำลังจ้องยุทธภพชนิดตาไม่กะพริบ หวังอาศัยช่องว่างนี้คืนเข้าสู่ยุทธภพอีกครั้งหนึ่ง “ตั๋งเทือก” ท่านอย่าได้ประมาทสองเสือเฒ่านี้เป็นอันขาด 

            “ลิห้อย” จ้องหน้า “ตั๋งเทือก” ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นช้า ๆ ว่าซึ่ง “ตั๋งเทือก” ท่านหลุดออกจากตำแหน่งรองอัครมหาเสนาบดีนั้น หากข้าพเจ้าคำนวณไม่ผิดพลาด ย่อมมีฝ่ามือฝ่าตีนอุบาทว์ของสองเสือเฒ่านี้ร่วมผสมโรงเป็นกำลังหลักเป็นแม่นมั่น 

            “ตั๋งเทือก” จึงว่า “ลิห้อย” น้องเราสายตาคมกล้านัก ข้าพเจ้ารู้การอันเป็นเบื้องลึกแผนลับของสองเสือเฒ่านี้เป็นอันดี แต่ข้าพเจ้าก็รู้ใจ “ปี้เซ็ก” นั้นกระจ่าง ว่ามันก็เหมือนเด็กน้อย กำลังสนุกสนานกับตุ๊กตาแห่งอำนาจ ที่ไม่มีวันละวางหรือยอมสูญเสียไปเป็นอันขาด ดังนั้นต่อให้สองเสือเฒ่าหนุนหลังสั่งสอนประการใด แต่ถ้าหากทำให้มันเสี่ยงต่อการสูญเสียอำนาจแล้ว “ปี้เซ็ก” มันย่อมไม่มีวันยินยอมเป็นอันขาด 

            “ลิห้อย” ได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวว่าเมื่อ “ตั๋งเทือก” ท่านมั่นใจปานนี้ ข้าพเจ้าก็ค่อยคลายใจ ดังนั้นเรามากล่าวเรื่องใหญ่สำคัญอันเผชิญหน้าและเป็นสาเหตุให้ “ปี้เซ็ก” เด็กน้อยเกิดฮึดฮัดกล้าคิดฟาดฟันเหล่าเรากันดีกว่า 

            “ตั๋งเทือก” ได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้า เป็นทีให้ “ลิห้อย” ออกความเห็นก่อน 

            “ลิห้อย” เห็นดังนั้นก็รู้ท่าจึงกล่าวว่า ซึ่งฟ้าคำรนฝนคำรามถามไถ่ว่าไฉนจึงมีการโกงบ้านผลาญเมืองกันหนักหนาสาหัสนั้น “ตั๋งเทือก” ท่านก็น่าจะรู้ดีว่านอกจากการฉ้อฉลปล้นแผ่นดินที่เกิดขึ้นเป็นปกติดุจดอกเห็ดแล้ว เป้าหมายใหญ่ก็อยู่ที่สองเรานี่เอง และนี่คือแรงกดดันอันมหันต์ที่มาจากสองทิศทางทั้งข้างฟ้าและข้างดิน 

            “ลิห้อย” กล่าวสืบไปว่าซึ่งจะรับมือกับ “ปี้เซ็ก” นั้น “ตั๋งเทือก” ท่านก็รู้ว่าไม่พอครณามือของสองเราดอก แต่การที่จะยันฟ้าเหยียบดินให้หายคลายแรงกดดันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย 

            “ตั๋งเทือก” ได้ฟังดังนั้นก็กล่าวว่าข้าพเจ้าขอตำหนิท่านเรื่องหนึ่งว่าใจเร็ว ใจร้อนนักหนา จนอาจพาเสียการใหญ่ได้ ที่ท่านทำมาแต่ก่อน ปักป้าย ตีฆ้องร้องประกาศ ถึงความจงรักภักดีนั้นเป็นความถูกต้องประหนึ่งเป็นเกราะคุ้มกาย แต่เพียงแค่น้อยใจที่ลิ่วล้อตัวเล็ก ๆ พลาดตำแหน่งดูแลงานภายในฮวนนั้งก๊ก ท่านถึงกับมีคำสั่งรื้อป้ายอันป่าวประกาศความจงรักภักดีนั้นทั่วทั้งแผ่นดิน เป็นการเปิดเผยร่องรอยให้ปรากฏ และทำให้พวกอ้วงก๊ก พวก “ปั้นวิด” พวก “ไช่วัด” และเหล่าผู้จงรักภักดีฮ่องเต้ฉวยเอาไปป่าวประกาศรุกไล่ต่อพวกเราจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูกตาม ๆ กัน 

            “ลิห้อย” จ้องหน้า “เสี่ยวหนู” ด้วยความขุ่นเคืองเล็กน้อย พลางกล่าวว่า ณ เวลานั้นข้าพเจ้ามัวแต่สาละวนอยู่กับเรื่องบุตรในต่างแดน “เสี่ยวหนู อารมณ์ร้อนเกินไป จึงสั่งการทั้งนี้และทำให้เกิดจุดอ่อนใหญ่หลวงขึ้น “ตั๋งเทือก” ท่านจะคิดอ่านประการใดจึงจะลดแรงกดจากสองทิศทางใหญ่นี้ได้ 

            “ตั๋งเทือก” ได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ พลางกล่าวว่าสุดยอดวิชาบู๊คือหนี สุดยอดวิชาบุ๋นก็คือหลอก ดังนั้นครั้งนี้จึงเห็นทีต้องใช้สุดยอดวิชาหลอก คือหลอกทั้งฟ้า ลวงทั้งดิน หากทำการได้ดังใจ ไม่ช้านานก็มั่นใจว่าแรงกดดันจากสองทิศทางก็จะสร่างคลายไป 

            “ตั๋งเทือก” กล่าวสืบไปว่าเป้าหมายหลักก็คือภูมิขะแมร์ตั่งของท่าน ดังนั้นจะต้องสร้างภาพหลอกคนทั้งปวงให้เชื่อว่าพวกเราทะเลาะเบาะแว้งกัน เตรียมจะขับไล่ภูมิขะแมร์ตั่งของท่านออกไป ยื้อไปย้ายมา ไม่กี่เพลาดอก พวกชาวฮวนขี้หลงขี้ลืม มันก็จะลืมเรื่องโกงบ้านผลาญเมืองไปหมดสิ้น กล่าวแล้ว “ตั๋งเทือก” ก็จ้องหน้า “ลิห้อย” 

            “ลิห้อย” เอามือลูบคาง กลอกสายตาไปมาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็หัวร่อร่ากล่าวว่า “ตั๋งเทือก” ท่านมีมันสมองเลิศล้ำยิ่งกว่าไอสไตน์หลายเท่านัก เป็นสุดยอดวิชาหลอกฟ้าเหยียบดินจริง ๆ เป็นอันพวกเราเอาตามแผนการนี้ 

            เสียงหัวร่อฮาฮาผ่านไปไม่ทันนาน 4 บุรุษที่นัดหมายกันยามวิกาลก็ผายผันตัวเองออกจากโรงเตี๊ยม และหลังจากนั้นเสียงด่าทอต่อว่าทะเลาะเบาะแว้งกันระหว่างขบวนการของก๊กฟ้ากับก๊กน้ำเงินก็ดังสนั่นลือลั่นไปทั้งฮวนนั้งก๊ก 

            คนทั้งหลายพากันยินดีว่าเห็นที “ปี้เซ็ก” จะบังเกิดดวงตาเห็นธรรม รู้จักผิดชอบชั่วดี แล้วขับไล่โจรทมิฬหินชาติออกจากอำนาจไป โดยหารู้ไม่ว่าหลังจากราตรีนั้นแล้ว “ตั๋งเทือก” ได้แอบกระซิบการทั้งปวงให้ “ปี้เซ็ก” ทราบ และเหล่ามันล้วนเห็นดีเห็นงาม ยินยอมพร้อมใจใช้สุดยอดวิชาหลอกฟ้าเหยียบดินอย่างแนบเนียนที่สุด 

            โอ้โฮ! สุดยอดวิชาหลอกฟ้าเหยียบดินช่างเลิศล้ำนักหนา แต่ไหนเลยดินและฟ้าจะไร้ตาหู ดังนั้นบรรดาความที่พวกมันแอบกระซิบกระซาบกันจึงไม่อาจหลอกคนทุกคนได้ และแน่นอนว่าฟ้าสูงส่งนัก ดินกว้างใหญ่นัก อสูรร้ายไหนเลยจะลบหลู่ได้ง่าย ๆ เล่า.

Re: ขอหนึ่งกระทู้บันทึกถ้อยความ

PostPosted: Tue Oct 04, 2011 6:22 pm
by ผ่าวารี
สามก๊กการเมืองไทย ตอน เค้าลางวิปโยค

.
.


            เจิ้งหยางศกปีที่ 164 เดือน 12 ขึ้น 2 ค่ำ ฤดูฝนได้ผ่านพ้นจากภาคเหนือและภาคอีสาน ผ่านภาคกลางและเมืองหลวงลงสู่ภาคใต้ ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นไปตามวัฏฏะปกติ แต่ทว่าในปีเจิ้งหยางนี้ ความวิปโยคโศกเศร้าได้บังเกิดขึ้นทั่วแผ่นดินฮวนนั้งก๊ก 

            ภัยพิบัติได้แผ่ปกคลุมแดนฮวนนั้งอย่างไร้ความปรานี ดินโคลนถล่ม สายน้ำทลาย ไหลบ่าท่วมไร่นาสาโทบ้านเรือน คร่าชีวิตอาณาประชาราษฎร์ผู้ไร้ความผิดชีวิตแล้วชีวิตเล่า และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้ง ล่าสุดชาวฮวนนั้งก๊กได้ถูกกระแสน้ำพัดพาหรือไม่ก็ถูกดินถล่มทับจนล้มหายตายจากไปเกือบ 200 ศพแล้ว 

            พื้นที่ต่าง ๆ กว่าครึ่งหนึ่งของฮวนนั้งก๊กประสบกับภัยพิบัติอย่างน่าอเนจอนาถยิ่งเมื่อเทศกาลฝนเลื่อนตัวลงไปทางใต้ก็ผสมผสานปานประหนึ่งได้นัดหมายกันกับพายุใหญ่ระลอกแล้วระลอกเล่าถล่มซ้ำทำร้ายราษฎรผู้ปราศจากความผิดใด ๆ จนพินาศย่อยยับแทบทั่วทั้งภาคใต้ 

            อำนาจรัฐของ “ปี้เซ็ก” มิได้ตระเตรียมการรับมือกับมหันตภัยในครั้งนี้แม้แต่น้อยนิด ทั้งที่มีคำเตือนของเหล่าบัณฑิตและผู้รู้ต่างๆ ก่อนหน้านี้อย่างไม่ขาดสาย แต่เสียงเตือนเหล่านั้นกลับไม่มีคุณค่าใด ๆ และมิได้ทำให้อำนาจรัฐของ “ปี้เซ็ก” ได้เตรียมตัวรับมือกับมหันตภัยที่กำลังคุกคามฮวนนั้งก๊กเลยแม้แต่น้อย 

            มิหนำซ้ำ ประดาเหล่าเด็กน้อยที่ห้อมล้อมหน้าหลังเป็นขบวนแห่แหน “ปี้เซ็ก” อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ในพลันที่ได้ทราบข่าวมหันตภัยในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสานและภาคกลาง แทนที่จะหาทางเยียวยาบรรเทาความทุกข์ร้อนของราษฎร กลับเห็นวิกฤตนั้นเป็นโอกาส 

            และใช้โอกาสนั้นในการสร้างภาพลักษณ์จอมเมตตาการุณและห่วงใยราษฎรให้กับ “ปี้เซ็ก” กระทำการประหนึ่งเทพยดาผู้การุณออกไปโปรดสัตว์ผู้ยาก และสิ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือการกะเกณฑ์ให้ราษฎรผู้ยากที่ลอยคอเท้งเต้งอยู่ในน้ำต้องมามอบช่อดอกไม้ให้กับ “ปี้เซ็ก” เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจและเพื่อให้เห็นว่าแม้ยามใกล้จะตายลอยคออยู่ในน้ำก็ยังเชิดชูบูชา “ปี้เซ็ก” ประหนึ่งเทพยดามาจุติบนแดนดิน 

            ภาพของ “ปี้เซ็ก” ออกไปตรวจเยี่ยมราษฎรในลักษณาการดังกล่าวถูกตีแผ่หราตามหน้าสื่อทั้งในและนอกแคว้น กลายเป็นเหตุการณ์ประหลาดมหัศจรรย์พันลึกที่ว่าแสนขบขันก็ว่าได้ ที่ว่าสุดแสนจะทุเรศก็ว่าได้ หรือหากจะว่าเป็นภาพลักษณ์ผู้มีบุญมาบังเกิดให้เหล่ามวลมนุษย์ได้ชื่นชมบารมีก็ว่าได้ 

            แต่เสียงก่นด่าก้องกระหึ่มทั่วแดนฮวนนั้งก๊กและเสียงหัวเราะขบขันจากนอกแคว้นกลับดังกลบสยบเสียงชื่นชมบารมีไปจนหมดสิ้น 

            บรรดาเหล่าเสนาบดีก็จำเริญรอยตาม แต่เป็นการจำเริญรอยในลักษณะโกงบ้านผลาญเมืองตามวิสัยสุนัข ที่ตะกละตะกรามเมื่อยามเห็นอาจม ดังนั้นในยามที่ชาวฮวนนั้งก๊กประสบชะตากรรมอันหฤโหด เหล่าเสนาบดีของ “ปี้เซ็ก” ก็กลับเห็นเป็นโอกาสอันงาม 

            ประดามันพากันออกไปตรวจเยี่ยมสภาพพื้นที่ต่าง ๆ เห็นน้ำท่วมหน่อยหนึ่งก็ประกาศว่าต้องใช้เงินหลวงเท่านั้นเท่านี้ล้านอีแปะ ตรวจดูถนนหนทางไม่กี่สาย โดยมิได้สอดส่องสายตาลงไปใต้ท้องน้ำ ก็ประกาศว่าจะต้องใช้เงินหลวงกว่า 6 พันล้านอีแปะ ในการบูรณะซ่อมแซม 

            ประกาศไปก็แลบลิ้นแพล่บพรั่บ ไม่ต่างอันใดกับตัววรนุชยามเห็นเหยื่ออันโอชะ สร้างความหมั่นไส้ให้กับชาวฮวนนั้งก๊กถึงขนาดอยากเผ่นกบาลให้กระเจิงสักตั้งหนึ่ง 

            เสนาบดีบางคนก็ทำตนเป็นพระโพธิสัตว์มาเกิดใหม่ แปรวิกฤตอันยิ่งใหญ่ของประเทศชาติให้เป็นโอกาส งาบงบหลวงเข้าพกเข้าห่อ ตั้งโครงการช่วยเหลือประชาราษฎรผู้เดือดร้อน โดยจะจัดหาข้าวของที่จำเป็นไปจำหน่ายจ่ายแจก 

            แต่เหล่าจอมแดกเหล่านั้นแค่เผยไรฟันก็เห็นลิ้นไก่ ตั้งงบหลวง 2 พันล้านอีแปะ อ้างเหตุผลอันน่าเชื่อถือว่าเพื่อบำรุงราษฎรยามยาก แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าเงินหลวงเกือบครึ่งหนึ่งจะถูกยักย้ายถ่ายเทเข้าพกเข้าห่อ 

            ยามน้ำไหลบ่าหลากท่วม อาณาประชาราษฎรได้ยาก ไร้ที่หลับ ไร้ที่นอน ไร้ที่กิน ความอดอยาก ความขาดแคลนและความมืดมนอนธการแผ่ปกคลุมไปทั่วแดนที่ถูกน้ำท่วม ชาวฮวนนั้งจำนวนมากต้องไปอาศัยวัดหรือโรงเรียน หรือบนถนนหรือบนภูเขา หรือไม่ก็บนหลังคาบ้าน ในขณะที่ท้องหิวโซและไม่มีแม้แต่ที่จะขี้เยี่ยว 

            ปานนั้นแล้ว แทนที่ประดาเหล่านักงาบในคราบเสนาบดีทั้งหลายจะมีน้ำใจเมตตาอาทรราษฎรผู้ยาก ช่วยเหลือเกื้อกูลบรรเทาเหตุการณ์เฉพาะหน้า ประดามันกลับตั้งโครงการอีก 1 เดือนบ้าง 2 เดือนบ้าง เพื่อช่วยเหลือราษฎร ในขณะที่ปากก็บอกอาทรห่วงใยชาวฮวนนั้งเป็นที่ยิ่ง 

            สิริรวมแล้วก็คือเหล่านักงาบในคราบเสนาบดีทั้งหลายล้วนแปรวิกฤตความทุกข์ยากของอาณาประชาราษฎรชาวฮวนนั้งให้เป็นโอกาสในการงาบ ในการยักย้ายถ่ายโอนเงินหลวงเข้ากระเป๋าทั้งสิ้น จะแตกต่างกันบ้างก็เฉพาะลีลาและอากัปกิริยาว่าอาการน้ำตาน้ำลายไหลและเลียลิ้นแลบแปลบปลาบหรือไม่เท่านั้น 

            เดชะบุญแผ่นดินฮวนนั้นมีอ๋องที่สุดแสนประเสริฐ ที่ห่วงหาอาทรราษฎรเป็นยิ่งนัก และทรงเข้าพระทัยถ่องแท้ถึงความเดือดร้อนทุกข์ยากของอาณาประชาราษฎรที่เดือดร้อนนั้น ดังนั้นจึงทรงแผ่พระเมตตาคุณและพระมหากรุณาธิคุณสู่อาณาประชาราษฎร์ถ้วนหน้า 

            ทรงพระราชทานอาหารการกินเฉพาะหน้า เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มและยารักษาโรคด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่าจนนับครั้งไม่ถ้วน น้ำพระทัยที่เมตตาอาทรได้ดับหนาวดับร้อนในหัวใจประชาราษฎร์ ด้วยความซาบซึ้งและตื้นตันในพระคุณเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม 

            ยิ่งไปกว่านั้น ทรงใช้ภูมิธรรมอันเลิศที่มีอยู่ในพระองค์ปัดเป่าทุกข์เข็ญและ มหันตภัยอันยิ่งใหญ่ที่กำลังคุกคามใกล้เมืองหลวงเต็มทีให้ผ่านพ้นไปอย่างหวุดหวิด 

            ทันทีที่น้ำพระทัยแผ่ไพศาลไปยังอาณาประชาราษฎร์ บรรดาชาวฮวนที่พอมีทุนรอนและมีน้ำจิตน้ำใจได้พากันประพฤติปฏิบัติตามอย่างพร้อมเพรียง ก่อเกิดเป็นกระแสความสามัคคีที่ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินฮวน 

            ชาวฮวนไม่ว่าศาสนา อาชีพ และฐานะใด พากันร่วมใจร่วมจิตสมานฉันท์ ช่วยกันบริจาคทรัพย์สิน ข้าวของเงินทอง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าให้แก่พี่น้องสายเลือดเดียวกันทั่วแว่นแคว้นแดนฮวน 

            ขบวนความช่วยเหลือที่ชาวฮวนประพฤติปฏิบัติตามแบบอย่างพระสมมติเทพได้ขยายตัวไปอย่างกว้างขวางและอึกทึกครึกโครมประดุจอุ้งหัตถ์อันใหญ่ที่ตบใส่หน้าอำนาจรัฐของ “ปี้เซ็ก” ตลอดจนเหล่าเสนาบดีทั้งหลายจนหน้าหัน 

            พวกมันด้านหนึ่งก็หมั่นไส้บรรดาผู้นำที่ก่อตั้งขบวนการช่วยเหลือพี่น้องสายเลือดเดียวกัน ด้วยความอิจฉาริษยา หาทางกล่าวร้ายป้ายสีและกลั่นแกล้งทุกรูปแบบ แม้กระทั่งสั่งให้หยุดทำการช่วยเหลือเพื่อมิให้เกินหน้าค่าตาของประดานักงาบในคราบเสนาบดีทั้งหลาย 

            แต่ก็มิวายที่เหล่าผู้มีอำนาจวาสนาเหล่านั้นจะฉกฉวยโอกาสจากน้ำใจอาทรราษฎรผู้ยากของชาวฮวน โดยมิต้องลงน้ำพักน้ำแรงแต่ประการใด 

            ประดามันบ้างก็มาขอแบ่งสิ่งของช่วยเหลือ อ้างว่าเพื่อนำไปแจกจ่ายแทน ครั้นได้ข้าวของไปก็ไปใส่ถุงใส่ห่อตีตราว่าตัวเองเป็นผู้บริจาคเสียเอง 

            บ้างก็ได้รับเงินช่วยเหลือไป แต่แทนที่จะนำไปช่วยเหลือราษฎร กลับยักย้อนใส่กระเป๋าตัวเองเสียส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือก็ไปแบ่งใส่ซองที่ระบุชื่อตัวเองว่าเป็นเจ้าของเงิน แล้วนำไปแจกจ่ายราษฎร 

            จะหาความชั่วช้าสารเลวไหนเปรียบปานกับเหล่าผู้มีอำนาจวาสนาในวงของแผ่นดินฮวนไม่ได้อีกแล้ว เยาวชนคนชาติใดที่มีน้ำใจเลวทรามชั่วช้า หากประสงค์จะร่ำเรียนสรรพวิชาชั่วช้าเลวทรามแล้ว ก็เห็นทีว่ามาเรียนได้จากฮวนนั้งก๊กก็จะบรรลุจบครบทุกวิชาตั้งแต่ขั้นต่ำไปจนถึงขั้นสูงสุด คือโกงบ้านผลาญเมืองนั่นแล 

            ยามที่แผ่นดินฮวนตกอยู่ในทุกข์เข็ญเช่นนี้แล้ว แต่แทนที่เหล่าผู้มีอำนาจวาสนาและเหล่านักงาบในคราบเสนาบดีทั้งหลายจะคิดอ่านโครงการใหญ่ตามแบบอย่างอ๋องแห่งฮวนให้เป็นที่ชื่นใจแก่ราษฎร และแทนที่จะคิดแปรวิกฤตของประเทศชาติและราษฎรให้เป็นโอกาสในการเอาเงินหลวงเข้ากระเป๋าเหล่าประดามันแล้ว เหล่าประดานี้ยังย่ำยีจิตใจราษฎรฮวนให้ย่ำแย่ยับเยินลงไปอีก 

            อำนาจรัฐของ “ปี้เซ็ก” และบรรดาหุ้นส่วนทั้งหลายทั้งปวงเห็นเป็นโอกาสอันงามที่บรรดาชาวฮวนล้วนสาละวนอยู่กับการเผชิญหน้ามหันตภัยครั้งยิ่งใหญ่ คิดอ่านแผนการสุดเลิศบรรเจิดหรูขึ้นมาถึงสองแผนการ แล้วฉวยโอกาสนี้ขับเคลื่อนแผนการร้ายนั้นอย่างคึกคักมีชีวิตชีวายิ่ง 

            แผนการแรก ซึ่งคาราคาซังมาช้านาน ด้วยราษฎรฮวนพากันรุมประณามคัดค้านอย่างต่อเนื่อง นั่นคือการยกดินแดนฮวนให้กับขะแมร์ที่ดำเนินการต่อเนื่องมาถึงสิบปีแล้ว และมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังคงปกปิดซ่อนเร้นเพื่อไม่ให้ชาวฮวนได้รับรู้ 

            ประดานักขายชาติในอำนาจแห่งฮวนได้ฉวยเอาโอกาสนี้ขับเคลื่อนแผนใหญ่หมายผลักดันให้สภาเช็งเหม็งแห่งฮวนให้การยอมรับและรับรองบรรดาข้อตกลงทั้งหลายทั้งปวง ที่จะยกแผ่นดินฮวนให้กับขะแมร์ ตลอดแนวชายแดนล้ำลึกลงไปในอ่าวฮวน 

            แผนการที่สอง เป็นแผนการเอื้อประโยชน์แห่งหุ้นส่วนอำนาจแห่ง “ปี้เซ็ก” ที่จะขับเคี่ยวกับ “โจสิน” ในวันข้างหน้า นั่นคือการแก้กฎสูงสุดที่จะทำศึกกันในสมรภูมิเพื่อช่วงชิงกันเข้าสู่สภาเช็งเหม็ง ที่จะเปิดโอกาสให้เหล่าบรรดาผู้มีอำนาจได้ใช้อำนาจและเงินทองในการซื้อเสียงจากราษฎรฮวนได้อย่างถนัดมือ แม้ใครทำผิดคิดร้ายต่อแผ่นดินและถูกจับได้ บรรดาผู้ร่วมรับผลประโยชน์ทั้งหลายก็ไม่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่คาราคาซังมาตั้งแต่ครั้งอำนาจรัฐ “ซ่าหมัก” “ซ่งไฉ” ซึ่งแม้ “ปี้เซ็ก” เองก็เคยคัดค้านหัวชนฝามาแต่ก่อน แต่มาบัดนี้มันกลับเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนผลักดันในเรื่องนี้โดยไม่ต้องฟังเสียงราษฎรฮวน 

            เพียงแค่ให้เหล่าประดาบัณฑิตเต้าหู้ยี้จำนวนหนึ่งออกหน้าสร้างละครฉากใหญ่เรื่องการศึกษายกร่างกฎสูงสุดแล้วอ้างว่าราษฎรฮวนทั้งปวงได้ยินยอมพร้อมใจแล้ว เพื่อให้บรรดาชาวฮวนต้องยอมรับในสิ่งที่ประดามันเคยคัดค้านหัวชนฝามาแต่ก่อน 

            แต่ประดาเหล่าร้ายทั้งหลายคาดคิดไม่ถึงว่าชาวฮวนในวันนี้แตกต่างจากชาวฮวนก่อนหน้านี้มากมายนัก ความรู้สึกตื่นรู้รับผิดชอบต่อชาติบ้านเมืองและความรังเกียจเดียดฉันท์บรรดานักโกงบ้านผลาญเมืองทั้งหลายได้ยกระดับขึ้นสู่กระแสสูงซึมเข้าไปสู่สายเลือด 

            ดังนั้นในพลันที่แผนผลักดันนวัตกรรมใหม่อันบรรเจิดเลิศหรูที่สู้ปกปิดซ่อนเร้นเป็นเงื่อนงำมาช้านานตลอดสองปีที่ “ปี้เซ็ก” เถลิงอำนาจเกิดขึ้น บรรดาชาวฮวนผู้รักชาติรักแผ่นดินที่ถึงแม้กำลังเผชิญกับมหันตภัย กลับพร้อมใจกันออกมาชุมนุมประท้วงคัดค้านพฤติการณ์ขายชาติปล้นแผ่นดินกันอย่างคึกคักครึกโครม 

            ราษฎรทั่วแผ่นดินฮวนได้รับความเดือดร้อนทุกข์เข็ญ เหล่าประดาหุ้นส่วนแห่งอำนาจและบรรดาวรนุชในสภาเช็งเหม็งทั้งหลายหาได้สนใจแต่ประการใดไม่ พวกมันกลับสุมหัวกันผลักและไสแผนการอันลึกล้ำ หมายใช้โอกาสนี้สร้างความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงขึ้น แต่ในพลันที่เห็นชาวฮวนยอมฝ่าความยากลำเค็ญออกมาต่อต้านกันอย่างคึกคัก ก็สร้างความตื่นตระหนกตกใจอย่างใหญ่หลวงให้กับประดามัน 

            จนในที่สุดแผนการที่จะผลักดันให้สภาเช็งเหม็งรับรองเห็นชอบการยกแผ่นดินฮวนให้กับขะแมร์จึงต้องพักยกไว้ชั่วคราว ในขณะที่แผนการแก้ไขกฎสูงสุดก็ยังคงละล้าละลัง 

            ละครฉากใหญ่สองฉากนี้ได้เปิดหน้ากากให้เห็นภาพมหาโจรของบรรดาวงศ์อำนาจและเหล่าวรนุชในสภาเช็งเหม็งอย่างล่อนจ้อน เพราะทำให้ชาวฮวนได้รู้เช่นเห็นชาติประดามันว่าเนื้อแท้ไม่ว่าหน้าไหนก็ล้วนเป็นวรนุชทั้งสิ้น ดังนั้นความเรียกร้องต้องการที่จะกวาดล้างวรนุชให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินฮวนจึงขยายวงไปอย่างคึกคักครึกโครมว่าวรนุชเหล่านี้คือสิ่งที่ไม่ปรารถนาในแผ่นดินฮวน อย่างน้อยก็ชั่วระยะเวลา 10 หรือ 20 ปี 

            ในยามที่วงอำนาจของ “ปี้เซ็ก” กำลังขยับขับเคลื่อน หวังสืบทอดอำนาจต่อไป ขบวนการของ “โจสิน” ก็หาได้อยู่นิ่งเฉยไม่ ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนเพื่อกลับคืนสู่อำนาจอยู่อย่างขะมักเขม้นเช่นเดียวกัน 

            ด้านหนึ่ง การขับเคลื่อนขบวนการล้มเจ้า ล้มทุน ล้มปืน ได้เคลื่อนไหวไปอย่างคึกคักและโหมลามกระหน่ำขยายวงไปถึงการล้มศาล โดยเฉพาะศาลไคฟง 

            เนื่องเพราะศาลไคฟงเป็นศาลที่ประหัตประหารพรรคของ “โจสิน” มาแล้วถึงสองระลอก ดังนั้นในวันนี้ยามที่พรรคของก๊กฟ้ากำลังตกอยู่ในชะตาและอุ้งมือของศาลไคฟง จึงทำให้ศาลไคฟงต้องตกเป็นเป้าหมายที่จะถูกทำลายล้างหรือไม่ก็ต้องยอมจำนนขายตนเป็นเครื่องมือเพื่ออาศัยน้ำมือศาลไคฟงกำจัดพรรคก๊กฟ้าของ “ปี้เซ็ก” ให้วายวอดตามไปด้วย 

            ดังนั้นขบวนการเผาศาลไคฟงจึงได้ขับเคลื่อนวางสินบาทคาดสินบนเป็นวงเงินก้อนใหญ่ และขับเคลื่อนไปในสองทิศทาง 

            ทิศทางหนึ่ง คือการเผาศาลไคฟงให้วอดวายมลายสูญด้วยการเสกสรรปั้นแต่งเรื่องราวหลากหลาย โดยการใช้คนภายในของศาลไคฟงเองเป็นนกต่อ เพราะเป็นธรรมดาของการวางเพลิงหากได้อาศัยคนในเป็นตัวการจัดการแล้ว ก็จะสามารถรู้จุดอ่อนและช่องทางทั้งปวงที่จะทำลายให้วายวอดได้ในพริบตา และยิ่งเป็นคนระดับมี่ซูของประมุขศาลไคฟงด้วยแล้ว การทำลายล้างก็ยิ่งมีมหิทธานุภาพยิ่งนัก ดังนั้นวงเงินในการจ้างผีให้โม่แป้งครั้งนี้จึงเป็นวงเงินที่สูงลิ่ว นับได้ถึงพันล้านอีแปะ 

            และผลพลอยได้จากการเผาศาลไคฟงก็เท่ากับเป็นการฟื้นคืนเกียรติภูมิให้กับบรรดาพรรคทั้งหลายของ “โจสิน” ที่ถูกศาลไคฟงวินิจฉัยชี้ขาดว่าเป็นพรรคที่ตั้งขึ้นเพื่อการทำลายชาติบ้านเมือง เนื่องจากหากตัวศาลสิ้นความขลัง หมดความศักดิ์สิทธิ์ลงเมื่อใด ก็เท่ากับสิ่งที่ศาลได้กระทำไปไม่น่าเชื่อถือเมื่อนั้น 

            ทิศทางที่สอง คือการข่มขู่บรรดาตุลาการในศาลไคฟงให้ยอมจำนนทำการวินิจฉัยตัดสินยุบพรรคก๊กฟ้า เพื่อทำให้เกิดช่องว่างแห่งอำนาจขึ้น เนื่องจากในทันทีที่ศาลไคฟงตัดสินยุบพรรคก๊กฟ้า ประดาหุ้นส่วนอำนาจในพรรคก๊กฟ้า รวมทั้ง “ปี้เซ็ก” ก็จะพ้นไปจากอำนาจหน้าที่ในทันที และเมื่อนั้นก็ต้องจัดสรรวงอำนาจกันใหม่ โอกาสเช่นนี้ย่อมเป็นทีให้ “โจสิน” ขยับขับเคลื่อนช่วงชิงอำนาจได้อีกครั้งหนึ่ง 

            การขับเคลื่อนกระบวนการเผาศาลไคฟง การล้มเจ้า ล้มปืน ล้มทุน ดำเนินไปอย่างคึกคักกว้างขวางครึกโครม โดยที่อำนาจรัฐของ “ปี้เซ็ก” มิได้สนใจไยดีแต่ประการใด เพราะเหล่าบรรดานักงาบในคราบเสนาบดีมิได้ถือเป็นเรื่องสาระสำคัญเท่ากับการโกงบ้านผลาญเมือง ซึ่งถือว่าเป็นภารกิจเร่งด่วน และเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ในยามวิกฤตที่บังเกิดขึ้นในฮวนนั้งก๊ก 

            นอกจากขบวนการขับเคลื่อนเพื่อช่วงชิงอำนาจก่อนวาระสมัยของสภาเช็งเหม็งจะสิ้นสุดลงแล้ว “โจสิน” ยังคิดแผนการใหญ่ในวันข้างหน้า หวังจะกลับมามีอำนาจอย่างถาวร 

            นั่นคือในระยะเวลาที่สภาเช็งเหม็งยังมีอายุขัยอีกปีเศษ ย่อมเป็นโอกาสอันเหมาะสมยิ่งในการขยายรากฐานทั้งปวงเพื่อการจัดตั้งอำนาจใหม่ ภายหลังศึกใหญ่ในสมรภูมิที่ช่วงชิงกันเข้าสู่สภาเช็งเหม็ง 

            ด้านหนึ่ง จึงเป็นการเตรียมการเพื่อวางเหล่านักบู๊นักบุ๋นทั้งปวงของอั้งตั่ง หวังช่วงชิงชัยในสมรภูมิใหญ่ และพยายามเข้าสู่สภาเช็งเหม็งให้ได้มากที่สุด อย่างน้อย 180 คน และถ้าเป็นไปได้ก็หมายปองที่จะได้เข้าสู่สภาเช็งเหม็งเกินครึ่งหนึ่ง เพื่อให้มีความสามารถที่จะก่อตั้งอำนาจใหม่ได้แต่เพียงพรรคเดียว 

            การวางเหล่านักบู๊นักบุ๋นจึงถูกจัดสรรปันแบ่งทั้งในระดับภาค ระดับพื้นที่ และระดับกลุ่มก๊กก๊วนต่าง ๆ ทำให้ระยะเวลาที่เหลืออยู่อีกราว 1 ปี มากพอแก่ขบวนทัพของ “โจสิน” ที่จะเคลื่อนทัพใหญ่เข้าสู่สมรภูมิช่วงชิงชัย และดูเหมือนว่ายามนี้กองทัพของอั้งตั่งมีความสมบูรณ์พร้อมมากกว่าขบวนการอื่น ๆ ในฟากหุ้นส่วนอำนาจของ “ปี้เซ็ก” มากมายหลายเท่านัก 

            แต่พวกมันยังคงต้องเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่ที่พวกมันก่อขึ้นเอง นั่นคือการเผาบ้านผลาญเมือง การใช้ความรุนแรงทำลายล้างชาวฮวนนั้ง การจาบจ้วงล่วงเกินสถาบันเบื้องสูงต่าง ๆ ในแผ่นดิน ตลอดจนความแตกแยกแตกสามัคคีที่ต่างก็ช่วงชิงกันเป็นใหญ่ภายในพรรคอั้งตั่ง ซึ่งยังคงพัลวันพันตูและแก้ไม่ตก 

            อีกด้านหนึ่ง คือการสร้างพันธมิตรแห่งอำนาจ เนื่องเพราะ “โจสิน” นั้นมันเป็นผู้ชาญฉลาดยอดเยี่ยมแห่งยุค ไม่มีวันที่จะคิดการใดเพียงชั้นเดียวรอบเดียว ดังนั้นจึงวางแผนเผื่อขาดเผื่อเหลือตามกลยุทธ์เก่า นั่นคือการสร้างพันธมิตรทางการเมือง 

            ครั้นทอดตาไปทั่วแผ่นดินแล้ว ก็เห็นว่า “ซ่าหนั่น” ซึ่งเป็นนักบู๊พเนจร ขณะนี้ร่อนเร่ไปอยู่ใต้ร่มไม้ชายคาของมังกรเตี้ย “เติ้งหาน” ซึ่งแต่ละวันก็ชอกช้ำระกำใจ อาเจียนเป็นโลหิต วันละสามครั้ง ครั้งละสามจอก 

            “โจสิน” รู้ดีว่า “ซ่าหนั่น” นั้นเคยเป็นซูจี้ใหญ่ของก๊กฟ้ามาแต่ก่อน มีบารมีในวงการนักบู๊นักบุ๋นเป็นอันมาก และมีเชิงชั้นอันเหนือกว่า “เล่าจิ๋ว” มากมายหลายเท่านัก จึงเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะเป็นผีโม่แป้งตัวใหม่ในการสร้างพันธมิตรทางการเมืองหลังศึกใหญ่ของสภาเช็งเหม็ง 

            ผีกับโลงย่อมเข้ากันเป็นอันดีฉันใด “โจสิน” กับ “ซ่าหนั่น” ก็เข้ากันเป็นอันดีฉันนั้น เพียงมองตาก็รู้ใจ ดังนั้นขบวนการขับเคลื่อนเพื่อก่อตั้งพันธมิตรทางการเมืองเพื่อเป็นหลักประกันอันมั่นคงในการจัดตั้งอำนาจใหม่ของ “โจสิน” จึงตกอยูในมือของ “ซ่าหนั่น” อย่างง่ายดาย 

            และด้วยลีลาอันคร่ำหวอดกอดเข่าของ “ซ่าหนั่น” มันย่อมรู้ดีว่ายามนี้วาทะกรรมลวงโลกใดไหนจะเท่ากับวาทะกรรมลวงชาวฮวนเรื่องปรองดองปรองแดกนั้นไม่มีอีกแล้ว 

            ดังนั้น “ซ่าหนั่น” จึงถือเอาวาทะกรรมลวงโลกปรองดองปรองแดกเป็นบทออกแขกของละครฉากใหญ่ ที่ซ่อนไว้ด้วยแผนการสร้างพันธมิตรทางการเมือง เพื่อจัดตั้งอำนาจใหม่ให้กับ “โจสิน” หลังศึกใหญ่ของสภาเช็งเหม็ง 

            และย่อมเป็นที่แน่นอนว่าระดับ “ซ่าหนั่น” นั้น ไหนเลยจะยอมรับแต่เพียงค่าจ้างให้โม่แป้ง และเรื่องติดสินบาทคาดสินบนจ้างผีให้โม่แป้งเช่นนี้ มีหรือที่คนระดับ “โจสิน” จะต้องให้ “ซ่าหนั่น” ออกปากกล่าวเอง ดังนั้นนอกจากรางวัลก้อนใหญ่แล้ว ตำแหน่งใหญ่ในที่อัครมหาเสนาบดีแดนฮวน จึงถูกเสนอให้แก่ “ซ่าหนั่น” ในทันทีที่สามารถจัดตั้งอำนาจใหม่ได้สำเร็จ 

            แผนการใหญ่ครานี้อาศัยปมเงื่อนสามประการ คือ ประการแรก พรรคอั้งตั่งของ “โจสิน” จะต้องได้รับชัยชนะเข้าสู่สภาเช็งเหม็งอย่างน้อย 180 คน ประการที่สอง “ซ่าหนั่น” จะต้องถอนตัวออกมาจากร่มธงของ “เติ้งหาน” ซึ่งขืนอยู่ต่อไปก็มีแต่จะตัวเตี้ย ต่ำต้อย ถอยลงตาม “เติ้งหาน” ไปด้วย แล้วก่อตั้งขบวนการใหม่ รวบรวมเอาไพร่พลจากภาคกลาง ภาคเหนือ และเหยื่อเดนทั้งหลายที่กระหายหิวเข้ามาเป็นพวก แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องรักษาไมตรีไว้กับขบวนการของ “เติ้งหาน” เพื่อดึงขาคว้าแข้งไม่ให้ไปสามัคคีกับ “ปี้เซ็ก” และประการที่สาม ต้องสามัคคีบรรดากลุ่มก๊กก๊วนทั้งหลายเข้ามาเป็นพวก จะยกเว้นก็แต่ก๊กฟ้าของ “ปี้เซ็ก” และก๊กน้ำเงินของ “ลิห้อย” เท่านั้น 

            ความจริงแผนการสลายมิตร รวมศัตรูที่ “โจสิน” และ “ซ่าหนั่น” คิดการกันนั้น เนื้อแท้แล้วก็คือแผนล้วงตับไตไส้พุง “ปี้เซ็ก” และ “ลิห้อย” นั่นเอง เนื่องเพราะการส่งสัญญาณกันก๊กฟ้าและก๊กน้ำเงินออกเป็นศัตรู ในขณะที่ข่มขู่ว่าขบวนการใหญ่จะจัดตั้งอำนาจใหม่ ก็เท่ากับการส่งสัญญาณให้ประดาลิ่วล้อบริวารของก๊กฟ้าและก๊กน้ำเงินกระโดดหนีออกจากเรือเพื่ออาศัยเรือลำใหม่ของ “ซ่าหนั่น” นั่นเอง 

            ทว่าความคิดเป็นของคน ความสำเร็จเป็นของฟ้า ในพลันที่แผนการใหญ่ของ “โจสิน” ขยับขับเคลื่อน กลับถูกเปิดโปงต่อต้านจากขบวนการของ “ปี้เซ็ก” ตลอดไปจนถึงขบวนการอ้วงนั้งของ “ซุนลิ้ม” และขบวนการนักสู้กู้ชาติทุกหมู่เหล่า 

            จึงทำให้แผนการใหญ่ถูกเปิดโปงถลกหัวถลกหนังอยู่ทุกวี่วัน จนกลายเป็นบรรยากาศถลกหนังวรนุชทุกเผ่าพันธุ์ อันก้องกระหึ่มสวนกับเสียงร้องไห้ระงมเมืองของบรรดาชาวฮวนนั้งที่กำลังประสบมหันตภัยอยู่ในขณะนี้ 

            อนาถนักหนาแผ่นดินฮวนนั้งก๊กที่เคยร่มเย็นเป็นสุขมาช้านาน กลับเป็นศึกมิรู้สร่าง ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา แผ่นดินเดือดเข็ญ มอดไหม้เป็นจุณลงแถบแล้วแถบเล่า มิหนำซ้ำ วาตภัย อุทกภัย และธรณีพิโรธก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่ากว้างขวางหนักหน่วงยิ่งขึ้นทุกที จนเหล่าชาวฮวนนั้งก๊กมิเป็นอันทำมาหากินตามปกติ แผ่นดินเดือดร้อนทุกข์เข็ญทุกหย่อมหญ้า 

            แต่หามีประดาผู้มีอำนาจวาสนาในอำนาจหรือในสภาเช็งเหม็งคนใดใส่ใจเหลียวแลไม่ 

            ประดามันแต่ละวันล้วนคิดอ่านทำการเพื่อโกงบ้านผลาญเมือง เพื่อการช่วงชิงแย่งยึดเอาอำนาจกันและกัน เพื่อหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาโกงบ้านผลาญเมืองกันต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด 

            การทั้งนี้มีมาแต่เหตุไฉนเล่า? เค้าลางวิปโยคทั้งปวงที่เกิดขึ้นล้วนเป็นวิบากกรรมที่มหาชนชาวฮวนนั้งก๊กได้กระทำขึ้นทั้งโดยรู้ตัวและโดยไม่รู้ตัว เนื่องเพราะความเห็นแก่ได้ใคร่ดีเฉพาะหน้า เห็นเงินตรามีค่ากว่าคุณธรรม จึงสนับสนุนคนชั่วให้เข้าสู่อำนาจในสภาเช็งเหม็ง นั่นย่อมเป็นการขายตัว ขายสิทธิ์ ขายความเป็นมนุษย์ และขายความร่มเย็นเป็นสุขของแผ่นดินนั่นเอง 

            ผลจากการขายที่ทำให้คนชั่วเถลิงอำนาจในสภาเช็งเหม็ง จึงบังเกิดอำนาจรัฐที่ชั่วช้าสารเลว ที่คนชั่วย่อมส่งเสริมคนชั่วให้มีอำนาจมากขึ้นและมากขึ้น ทั้งในฝ่ายการเมืองและในฝ่ายประจำ จนทำให้แผ่นดินฮวนนั้งก๊กไม่ว่าหันหน้าไปทางไหนก็เห็นแต่คนชั่วช้าสารเลว ลอยหน้าชูคอราวกิ้งก่าได้ทองดาษดื่นไป 

            เมื่อคนชั่วได้เถลิงอำนาจแล้ว ก็ก่อความทุกข์ยากลำเค็ญให้แก่บ้านเมืองและราษฎรเพราะเมื่อบรรดาอำนาจได้มาด้วยการซื้อหา จึงเป็นการค้าชนิดหนึ่งซึ่งต้องหวังกำไรอันนับเท่ามิถ้วน ดังนั้นประดามันจึงขายทุกสิ่งอย่างที่ขวางหน้า 

            คือขายชาติ ขายแผ่นดิน ขายสินทรัพย์ของแผ่นดิน ขายอาณาประชาราษฎร ขายสิทธิประโยชน์ ขายความยุติธรรม ขายสิทธิเสรีภาพ และขายความเป็นมนุษย์ของชาวฮวนนั้ง โดยหวังผลตอบแทนที่ล้นค่าเพื่อมาเป็นทุนรอนก้อนใหญ่และกำไรอีกอักโขสำหรับใช้ในการซื้อหา ในการเข้ามาสู่สภาเช็งเหม็งและอำนาจครั้งใหม่ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด 

            เมื่อคนมีอำนาจเป็นคนชั่วช้าสารเลวไม่ตั้งอยู่ในสัตย์ธรรม ดาวเดือนก็เคลื่อนคล้อยไปในทางวิปริตผิดปกติ ฤดูกาลก็ผันแปรเปลี่ยนแปลงไป อุทกภัย วาตภัย วินาศภัย โจรภัย และสรรพภัยทั้งหลาย จึงย่างกรายเข้าเยือนแผ่นดินฮวนนั้งก๊ก ก่อเป็นเค้าลางวิปโยคให้แก่โมหะนครแห่งนี้จนเป็นที่น่าสยดสยองยิ่ง.