วัฒนธรรม..การเลี้ยงลูก..เป็นของผู้หญิง..ฝ่ายเดียวจริงหรือ..?

คุยกันสบายๆ ไม่ซีเรียส

วัฒนธรรม..การเลี้ยงลูก..เป็นของผู้หญิง..ฝ่ายเดียวจริงหรือ..?

Postby Anchunta » Sat Feb 14, 2009 8:35 pm

ในยุคโบราณนั้น
เด็ก ๆ ทุกคน ต้องเติบโต ท่ามกลาง ภัยอันตราย รอบด้าน
เป็นภาวะที่บีบบังคับ ให้ทุกคนต้องเรียนรู้ ตั้งแต่เด็ก
ต้องเข้มแข็ง ต้องเรียนรู้การแก้ปัญหา ต้องตัดสินใจ

ต้องเรียนรู้ ธรรมชาติ ที่อยู่รอบตัว
ต้องเรียนรู้ ปัญหาในการดำรงชีวิต
ต้องเรียนรู้ การตัดสินใจ ในชีวิตประจำวัน

หลายพันปีผ่านไป ทุกสิ่งยังคงเป็นมาเช่นเดิม เหมือนในอดีต

จนเมื่อเรามี ความเจริญทางเทคโนโลยี่ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

สังคมมีความปลอดภัยมากขึ้น การดำรงชีวิตมีความสะดวกสบาย
ภาวะที่เคยบีบคั้น ให้เด็กต้องเรียนรู้ ขาดหายไป
วัฒนะธรรม การเลี้ยงลูก ของเรา ก็เปลี่ยนไป

เด็ก ๆ ไม่ต้องเรียนรู้ ที่จะเข้มแข็ง แก้ปัญหา และการตัดสินใจด้วยตัวเอง

เป็นจุดเริ่มต้น ของปัญหา หรือเปล่า..?


ในพระไตรปิฏก กล่าวไว้ว่า

2 ใน 5 คุณสมบัติ ของคนที่จะเป็น พระพุทธเจ้า ได้นั้น

"ต้องเป็นผู้ชาย และต้องเป็นคนที่ ไม่มีแม่" ทำไม..ต้องไม่มีแม่..?

พระคุณแม่ อันประเสริฐ สามารถทำร้าย สมองของลูกชายได้ ใช่หรือไม่..?



เราลองนึกถึงภาพ ตาชั่ง ที่มีถาดใส่น้ำหนัก 2 ด้าน (สัญญลักขณ์ของกระทรวงยุติธรรม)
ถ้าถาด 2 ข้าง มีน้ำหนักไม่เท่ากัน ก็จะทำให้ ตาชั่งเอียง ด้านใดด้านหนึ่ง

วิธีแก้ปัญหา จะมีอยู่ 2 วิธี คือ
1. เพิ่มน้ำหนักเข้าไปถาดที่น้อยกว่า = Input
2. เอาน้ำหนักส่วนเกินในถาดที่มากกว่าออก = Output


นั่นคือ 2 วิธี ของการเข้าสู่สมดุลย์

ธรรมชาติของร่างกายมนูษย์นั้น ก็จะเหมือนกัน
จิตของผู้หญิงจะเพ่ง ที่ลมหายใจขาเข้า = Input
จิตของผู้ชาย(แท้ ๆ) จะเพ่งที่ลมหายใจขาออก = Output


นั่นคือที่มาของ จริต 6 อย่าง ในศาสนาพุทธ

จริตของแม่ ที่ตรงกันข้าม กับ จริตของลูกชาย จะมีผลอย่างไร.?

1. แม่จะชอบตัดสินใจ แทนลูก เป็นการทำลายสมองลูก
เพราะพัฒนาการ ของสมองคน อยู่ที่่การตัดสินใจ

2. แม่ที่ชอบเอาอกเอาใจ ลูกชายเกินกว่าเหตุ จะทำให้ลูกชายอ่อนแอ
ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และจะพัฒนาเป็น Negative Thinking

3. แม่ที่ชอบแสดงอารมณ์ทางเพศ ด้วยการหยอกล้อ กับลูกชายตั้งแต่เช้า
จะไปกระตุ้น ราคะจริต ทำให้เด็กโตขึ้นจะมี พฤติกรรม หมกมุ่นทางเพศ

4. แม่ที่ตามอกตามใจลูกชาย มีพฤติกรรมใช้ลูกชาย สนองอาการทางจิต ของตนเอง
จะทำให้เด็กเติบโตขึ้น มีพฤติกรรม เป็นอันธพาล

5. ความรัก ความอบอุ่นที่แม่ มีให้ลูกชายนั้น จะทำลาย พุทธจริต ในตัวลูกชาย
จะทำให้เด็กผู้ชาย คิดว่าตัวเองโง่ไม่เป็น
การคิดว่าตัวโง่ และยอมรับว่าตัวเองโง่ได้ เป็น จุดเริ่มต้น ของความเพียร

ในวงจรชีวิต ของคนเรานั้น คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย

การเริ่มต้น อยู่ที่การเกิด เป็นจุดที่สำคัญที่สุด ของพัฒนาการของมนุษย์

การคิดว่า ภาระการเลี้ยงลูกนั้น เป็นหน้าที่ของผู้หญิงฝ่ายเดียว

อาจเป็นพฤติกรรม ที่ขาดความรับผิดชอบ อย่างร้ายแรง

จนเราไม่อาจ ให้อภัยตัวเองได้ ถ้าเรารู้ความจริงว่า


ในรายงาน ทางจิตแพทย์ คนที่มีอาการทางจิต มีสาเหตุจากช่วงชีวิตที่เป็นเด็ก

นี่เป็นเพียงเหตุผล บางส่วนเท่านั้น

เราคงต้องย้อนกลับ มาถามตัวเองว่า


วัฒนธรรม..การเลี้ยงลูก..เป็นของผู้หญิง..ฝ่ายเดียวจริงหรือ..?


อัญชัญต้า
พันธมิตร ภูแลนคา
Tai Knowledge Base Foundation
Last edited by Anchunta on Mon Feb 16, 2009 9:10 am, edited 2 times in total.

บทความ..ความรู้..จาก
http://www.padnet.net/forum/

ในพระไตรปิฏก กล่าวไว้ว่า
คนดี..เพ่งโทษตนเอง..เป็นกำลัง....คนพาล..เพ่งโทษคนอื่น..เป็นกำลัง
User avatar
Anchunta
 
Posts: 46
Joined: Tue Jan 27, 2009 4:36 pm
Location: Bangkok

Re: วัฒนธรรม..การเลี้ยงลูก..เป็นของผู้หญิง..ฝ่ายเดียวจริงหรือ..?

Postby Anakinta » Sun Feb 15, 2009 12:03 am

ยังไม่เคยมีลูก

แต่ก็อยากมีนะคะ

ที่อ่านมา เหมือนคนเขียนบทความจะเข้าใจธรรมชาติของเพศชายพอสมควรเหมือนกันแหละ ถึงเน้นภาระผู้หญิง ที่รักลูกจน"เกินไป"

เด็กผู้ชาย พ่อก็ควรเลี้ยงเป็นหลักแหล่ะค่ะ แต่แม่ก็ต้องคอยดูแลคุณสามีเป็นพิเศษ ต้องขยัน และเหนื่อยกว่าเลี้ยงลูกผู้หญิง อะไรมากเกินไปสำหรับเด็กผู้ชาย ก็ต้องควรระวัง จดจำคุณสามีมาสอนลูกในแบบที่ผู้ชายสอน :lol:

อย่างดิชั้นบอกสามีแล้ว ว่าถ้าได้ลูกผู้ชาย you เลี้ยงนะ I จะแค่คอยเป็นกองกำลังเสริม ใจอยากได้ลูกแฝดชาย คู่ชายก็ได้ หญิงก็ดี หรือสลับกันก็ไม่ว่า แต่ขอ 2 จะได้มีเพื่อนเล่น เหนื่อยหน่อยไม่เป็นไร :P
แนวร่วมตรวจสอบ NGO ลายด่างภาคประชาชี
User avatar
Anakinta
 
Posts: 1620
Joined: Mon Oct 13, 2008 1:07 am

Re: วัฒนธรรม..การเลี้ยงลูก..เป็นของผู้หญิง..ฝ่ายเดียวจริงหรือ..?

Postby Anchunta » Mon Feb 16, 2009 4:32 pm

ตอนเป็นเด็ก เคยคิดว่า คนทุกคน มีความตั้งใจ ที่จะเป็นคนดี

พอโตขึ้นมา ถึงรู้ว่า ความจริง ไม่ได้เป็นอย่างนั้น

ตอนที่ได้ไปทำงาน อยู่ในประเทศ ที่มี 4 ฤดู

เขาต้องต่อสู้กับ ความโหดร้าย ในธรรมชาติ มากกว่าเรา

ต้องผจญกับ ฤดูหนาวอันโหดร้าย

ทำให้ สมอง ของพวกเขา ถูกกระตุ้น ให้ทำงานมากกว่าเรา

ผู้ชายต้องมีความรับผิดชอบสูงกว่าเรา

ทำให้ผมย้อนมามอง ปัญหาในสังคมของเรา

พบว่า เด็กผู้ชาย ไม่ได้รับ ถูกฝึก อย่างเป็นระบบ

ทำให้เกิดปัญหา ความรับผิดชอบ

แม้ในระบบการศึกษา ก็จะมุ่งไปที่การสอนครับ การฝึกจะตรงข้ามกับการสอน

ความคิดของผมก็คือ เด็กผู้ชาย ต้องถูกฝึกครับ แต่เด็กผู้หญิงสอนได้ครับ

ในพระไตรปิฏก กล่าวไว้ว่า "บัณฑิต คือผู้ฝึกตน" ครับ..!

บทความ..ความรู้..จาก
http://www.padnet.net/forum/

ในพระไตรปิฏก กล่าวไว้ว่า
คนดี..เพ่งโทษตนเอง..เป็นกำลัง....คนพาล..เพ่งโทษคนอื่น..เป็นกำลัง
User avatar
Anchunta
 
Posts: 46
Joined: Tue Jan 27, 2009 4:36 pm
Location: Bangkok

Re: วัฒนธรรม..การเลี้ยงลูก..เป็นของผู้หญิง..ฝ่ายเดียวจริงหรือ..?

Postby พรรณชมพู » Mon Feb 16, 2009 6:42 pm

เคยมีคนเปรียบเทียบเอาไว้ว่า

เด็กนั้นเปรียบเสมือนผ้าขาว

ดังนั้นเมื่อโตขึ้นจะมีนิสัยพฤติกรรมไปทางใด ก็อยู่ที่การเลี้ยงดูและอบรม ซึ่งเหมือนสีที่นำไปป้ายไว้บนผ้าผืนนั้น

แต่มีความเข้าใจผิดกันว่า สีขาวหมายความว่าดี และเข้าใจเลยเถิดกันต่อไปว่า เด็กนั้นเติบโตมาเพื่อจะเป็นคนดี แต่หากมีโคลนตมหรือสีดำกระเด็นไปเปื้อนบนผ้าขาวนั้น ก็จะทำให้เด็กนั้นเลวลงไป

แต่ที่จริงแล้ว เด็กทุกคนเกิดมาพร้อมด้วยสัญชาติญาน และปราศจากประสบการณ์ เด็กที่ถูกอบรมสั่งสอนให้ไปในทางที่ดี มีแนวโน้มที่จะเป็นคนดี และเด็กที่ถูกอบรมสั่งสอนให้เป็นคนเลว ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นคนเลว

ที่ต้องใช้คำว่าแนวโน้มนั้น ก็เพราะว่าเด็กทุกคนก็มีพัฒนาการทางความคิด ไม่ว่าจะถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างไร แต่ประสบการณ์ในวันเวลาที่ผ่านไป เด็กก็จะมีพัฒนาการการเรียนรู้จากสังคม และจากแหล่งต่างๆ ดังนั้น แนวทางที่อบรมเด็กจึงไม่อาจจะทำให้เด็กไปตามแนวทางนั้นได้เสมอไป

ลูกโจรอยู่ในดงโจร หลุดรอดออกมาเป็นคนดีได้
ลูกคนดีอยู่ในสังคมที่ดี กระโจนลงไปเป็นโจรก็เยอะ

ตรงนี้แหละคือบุญกรรมที่สั่งสมมาในชาติปางก่อน หากเชื่อเรื่องวัฎฎะการเวียนว่ายตายเกิด

เด็กที่จะดี อบรมอย่างไรในที่สุดก็จะเป็นคนดี เด็กที่จะเลวสั่งสอนเพียงไรสุดท้ายก็จะเลว

จึงมีคำพูดที่ว่า คนนั้นเลี้ยงได้แต่ตัว ใจเลี้ยงไม่ได้

สุนทรภู่เคยเขียนบทกลอนไว้บทหนึ่ง น่าสนใจมาก

เมื่อรักวัวกลัวทำไมท่านให้ผูก
ถ้ารักลูกก็อย่าปล่อยคอยว่าขาน
หากพ่อแม่พะนอลูกไม่ถูกกาล
ก็เหมือนหว่านพืชฉิบหายในสกุล


ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้เลี้ยงลูก หากทำตามบทกลอนที่ว่านั้น โบราณเชื่อกันว่าชี้เป็นชี้ตายให้ลูกได้เชียว

:D
"silent key 16/06/2009"
User avatar
พรรณชมพู
 
Posts: 1774
Joined: Mon Oct 13, 2008 1:17 pm



Return to ชายคาพักใจ



cron