ชายผู้ที่ยืนอยู่บนภูเขา

คุยกันสบายๆ ไม่ซีเรียส

ชายผู้ที่ยืนอยู่บนภูเขา

Postby Jseventh » Sat May 30, 2009 8:44 pm

ชายผู้ที่ยืนอยู่บนภูเขา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายคนหนึ่งยืนอยู่บนยอดเขาอันสูงชัน
ระหว่างนั้นเองมีนักเดินทางสามคนผ่านมาในระยะไกล พวกเขาเห็นชายคนนั้นและการถกเถียงก็เริ่มขึ้น ชายคนแรกกล่าวว่า "เขาคงทำสัตว์เลี้ยงตัวโปรดหายไปเป็นแน่" อีกคนกล่าวว่า "ไม่หรอก ดูแล้วเขาคงกำลังมองหาเพื่อนอยู่มากกว่า" แล้วชายคนที่สามก็พูดว่า "เขาขึ้นไปที่นั่นก็เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ต่างหากล่ะ"

นักเดินทางทั้งสามคนต่างก็ถกเถียงกัน และไม่อาจหาข้อสรุปได้ พวกเขาเถียงกันไปตลอดทาง จนกระทั่งไปถึงยอดเขาและได้พบกับชายคนนั้น

หนึ่งในนั้นเอ่ยปากถามว่า "เพื่อนเอ๋ย การที่ท่านมายืนอยู่ตรงนี้ เป็นเพราะว่าท่านได้ทำสัตว์เลี้ยงที่ท่านรักหายไป ใช่หรือไม่"
"เปล่า ข้าไม่ได้ทำมันหาย"
อีกคนถามต่อว่า "ท่านเพิ่งจะสูญเสียเพื่อนรักไป ใช่หรือไม่"
"เปล่า ข้าไม่ได้สูญเสียเพื่อนรักไปเช่นกัน"
นักเดินทางคนที่สามจึงถามว่า "ถ้าเช่นนั้น ท่านมาอยู่ตรงนี้ก็เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ ใช่ไหม"
"เปล่าเลย"
"ถ้าเช่นนั้นแล้ว ท่านมายืนอยู่ตรงนี้ด้วยจุดประสงค์อะไร ในเมื่อท่านปฏิเสธทุกข้อที่พวกเราถามไป" ชายผู้นั้นตอบกลับมาว่า "ข้าเพียงแค่มายืนอยู่เฉยๆ เท่านั้น"

(จากหนังสือ The Way Of Zen - OSHO)

ไว้จะมาต่อนะคะ..เอามาโพสต์ไว้ให้อ่านเล่นกันก่อน.. :)
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเทวาหรือซาตาน มนุษย์เท่านั้นที่เป็นผู้กำหนด
User avatar
Jseventh
 
Posts: 1741
Joined: Wed Nov 19, 2008 11:19 am

Re: ชายผู้ที่ยืนอยู่บนภูเขา

Postby paper punch » Sun May 31, 2009 9:57 am

ตีตั๋วแถวหน้ารอครับ :D
เคารพและศรัทธาคุณ ชวน หลีกภัย

ราตรีสวัสดิ์(official version)
http://www.youtube.com/watch?v=JFCooDPQ ... re=related
User avatar
paper punch
 
Posts: 922
Joined: Mon Oct 13, 2008 9:16 am

Re: ชายผู้ที่ยืนอยู่บนภูเขา

Postby integra » Mon Jun 01, 2009 2:38 am

นั่งรอมาสองวันแล้วครับ พยายามจะต่อเนื่องความคิดของชายหนุ่มแต่มันก็เปิดกว้างเกินไป ทำได้แค่แทนตนไปอยุ่ที่ยอดเขาผลที่ได้คือ สงบโปร่งล่องลอยครับ :| อย่างงนะ ผมคิดสิบคำพมพ์สามคำ แหะๆ ;)
โลกเสมือน#เสาะหาความยุติธรรมแม้แก่ผู้อื่นก็ยังดีอย่างน้อยจะได้รู้ว่ามันยังมีจริงในโลก
โลกจริง#กูเหนื่อยและเบื่อความพ่ายแพ้ในเกมส์ที่ถูกยัดเยียด ได้เวลาเลิกหลอกตัวเองว่าอะไรๆยังเหมือนเดิม ถึงเวลากระทืบอุปสรรคแล้วก้าวเดิน
User avatar
integra
 
Posts: 1616
Joined: Tue Apr 21, 2009 3:24 am

Re: ชายผู้ที่ยืนอยู่บนภูเขา

Postby Jseventh » Tue Jun 02, 2009 5:35 pm

paper punch wrote:ตีตั๋วแถวหน้ารอครับ :D


integra wrote:นั่งรอมาสองวันแล้วครับ พยายามจะต่อเนื่องความคิดของชายหนุ่มแต่มันก็เปิดกว้างเกินไป ทำได้แค่แทนตนไปอยุ่ที่ยอดเขาผลที่ได้คือ สงบโปร่งล่องลอยครับ :| อย่างงนะ ผมคิดสิบคำพมพ์สามคำ แหะๆ ;)


ขออภัยที่ทำให้่รอค่ะ..(ดีใจที่มีเพื่อนสมาชิกรอคุยด้วย) :)
ดิฉันไม่ได้เข้ามาสนทนาในบอร์ดเลย 2-3 วันมานี่..แต่ยังติดตามข่าวสารบ้านเมืองอยู่ (ด้วยความเป็นห่วง)

คุณ integra เคยอ่านแล้วไม่ใช่หรือคะ? แต่ประเด็นที่คุณตอบดิฉันถือว่าใกล้เคียงกับข้อสรุปของเรื่องนี้มากทีเดียว..สงบ โปร่ง แต่ล่องลอยนี่..ไม่แน่ใจ! :lol:
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเทวาหรือซาตาน มนุษย์เท่านั้นที่เป็นผู้กำหนด
User avatar
Jseventh
 
Posts: 1741
Joined: Wed Nov 19, 2008 11:19 am

Re: ชายผู้ที่ยืนอยู่บนภูเขา

Postby Jseventh » Tue Jun 02, 2009 5:37 pm

(ต่อ) (คัดมาจากบางส่วนของหนังสือ)

ใช่แล้ว มันก็เหมือนกันกับที่พวกท่านเห็นพระพุทธเจ้า เห็นพระเยซู เห็นมหาวีระ หรือเห็น Zarathuatra แล้วพวกท่านก็เริ่มถกเถียงกัน มันเป็นระยะห่างที่ช่างไกลเสียเหลือเกิน เวลาข้าพเจ้าใช้คำว่า "ระยะห่าง" ข้าพเจ้ามิได้หมายถึงระยะห่างในทางกายภาพ มันไม่ใช่ความห่างทางกายภาพเลยแม้แต่น้อย

เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเดินทางมาเข้าเฝ้าพระบิดา ทั้งๆที่ทั้งสองพระองค์ยืนอยู่ใกล้กัน แต่กลับมีระยะห่างที่มิอาจประมาณได้อยู่ที่ตรงนั้น พระพุทธเจ้ากำลังพูดอย่างหนึ่ง แต่พระบิดาของพระองค์ก็พูดอีกอย่างหนึ่ง พระบิดาไม่ได้พูดกับพระพุทธเจ้า พระองค์กำลังพูดกับโอรสผู้ซึ่งในขณะนั้นไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว พระองค์พูดกับอดีตที่ผ่านไปนานแล้ว โอรสผู้ซึ่งออกไปจากวังนั้นได้ตายไปแล้ว ตายไปอย่างหมดจด ที่หลงเหลืออยู่นั้นคือความรู้สึกตัวทั่วพร้อมของคนๆ ใหม่ที่ได้ถือกำเนิดขึ้น มันคือการฟื้นคืนชีพ แต่พระบิดามองไม่เห็น มีเมฆามาบดบังพระองค์ไว้ เมฆแห่งอดีต เมฆแห่งความโกรธได้บดบังพระองค์ไว้ โอรสผู้นี้ได้ทรยศต่อพระบิดาที่อยู่ในวัยชรา

พระพุทธเจ้าเป็นโอรสเพียงพระองค์เดียว และพระองค์ก็ประสูติมาในขณะที่พระบิดาอยู่ในวัยชราแล้ว ฉะนั้นจึงมีการยึดติดกับพระองค์มาก พระพุทธเจ้าผู้ซึ่งจะเป็นรัชทายาท ผู้ซึ่งจะได้ครอบครองอาณาจักรของพระบิดาทั้งหมด และพระบิดาก็เริ่มชราลงและพระองค์ก็เป็นกังวลมากขึ้นๆ โอรสของพระองค์ผู้ซึ่งกลายมาเป็นขอทาน พระบิดาย่อมโกรธมากเป็นธรรมดา และเมื่อโอรสเดินทางมาหา และไม่ได้เพียงแค่มาเฉยๆ หากแต่พยายามพูดเกลี้ยกล่อมหว่านล้อมให้พระบิดาเป็นอย่างที่พระองค์เป็น ท่านคงจะพอมองเห็นภาพว่าพระบิดานั้นคงจะโกรธเพียงใด พระบิดาตรัสด้วยเสียงอันดังกับพระโอรสผู้ซึ่งทรยศพระองค์

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ไม่ทราบว่าพระบิดากำลังรับสั่งกับใครอยู่ ชายผู้ที่เคยเป็นโอรสของพระองค์นั้นได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว มองที่หม่อมฉันให้ดี ใครกันแน่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าพระองค์ในขณะนี้ หม่อมฉันไม่ใช่ชายคนเดิม บางสิ่งได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นี่เป็นคนๆอื่น หาใช่โอรสของพระบิดาองค์นั้น" พระบิดาหัวเราะและกล่าวว่า "เจ้ายังคิดจะหลอกข้าอีกหรือ เจ้าพูดอะไรของเจ้าอยู่ เจ้าบ้าไปแล้ว หรือเจ้าคิดว่าข้าบ้าไปแล้ว เจ้าคือลูกชายของข้า ลูกชายผู้ซึ่งหนีออกไป ข้าจำหน้าเจ้าได้ โลหิตของข้าไหลเวียนอยู่ในกายของเจ้า ข้ารู้จักเจ้าดี ข้ารู้จักเจ้าตั้งแต่วันแรกที่เจ้าเกิด ข้าจะลืมไปได้อย่างไร ข้าจะเข้าใจผิดไปได้อย่างไร" และความเข้าใจผิดยังคงดำเนินต่อไป

พระพุทธเจ้าทรงแย้มพระสรวล หลังจากนั้นจึงตรัสว่า "พระองค์ได้โปรดฟังหม่อมฉันให้ดี ใช่ พระองค์ให้กำเนิดหม่อมฉัน ถึงแม้ว่าโลหิตอันเดียวกันก็กำลังไหลเวียนอยู่ในตัวหม่อมฉันจวบจนถึงปัจจุบัน แต่ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมนี้ต่างหากที่หม่อมฉันกำลังพูดถึง หม่อมฉันกำลังพูดถึงตัวหม่อมฉันนี่ หม่อมฉันกำลังพูดถึงศูนย์กลางในตัวหม่อมฉัน มันเป็นสิ่งที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง หม่อมฉันเคยยืนอยู่ในที่ๆมืดมิด ขณะนี้หม่อมฉันได้มายืนอยู่ในที่ที่สว่างแล้ว ได้โปรดฟังหม่อมฉันให้ดี พระองค์กำลังอยู่ในวัยชรา หม่อมฉันมองเห็นถึงสิ่งที่อยู่ตรงหน้า พระองค์กำลังสั่นเทา พระองค์มิอาจยืนอยู่นิ่งๆได้อีกต่อไป ไม่ช้าไม่นาน ความตายจะมาเยือนพระองค์ แต่ก่อนที่มันจะมาถึง จงเรียนรู้ที่จะภาวนา ก่อนที่มันจะมาเคาะประตูเรียกพระองค์ไป จงพยายามรู้ให้ได้ว่าจริงๆแล้ว พระองค์คือใคร.."

บทสนทนาเช่นนี้ยังคงดำเนินต่อไป ระยะห่างนั้นช่างยาวไกลเสียเหลือเกิน ฉะนั้นเมื่อข้าพเจ้าใช้คำว่า "ระยะห่าง" ข้าพเจ้าไม่ได้หมายถึงระยะห่างทางกายภาพ ท่านอาจจะเคยพบ พระพุทธเจ้า หรือพระเยซู หรือ Raman Maharshi หรือ พระกฤษณะราม มาอย่างใกล้ชิดแล้ว แต่ท่านยังคงถกเถียงเกี่ยวกับบุคคลเหล่านี้ พวกเขายืนอยู่ ณ ที่ไกลโพ้นบนยอดเขา และทุกสิ่งที่ท่านกำลังพูดถึงพวกเขาอยู่นั้นช่างไม่เข้าท่าเลย เพราะมันเป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น

นักเดินทางสามคนผ่านมาในระยะไกล พวกเขาเห็นชายคนนั้น และการถกเถียงก็เริ่มขึ้น..

นั่นคือสิ่งที่เราทำกันเรื่อยมาเมื่อเราเห็นพระพุทธเจ้า นั่นคือการถกเถียงเพื่อสนับสนุนหรือไม่ก็ต่อต้าน และทุกสิ่งที่เราได้พูดกันเกี่ยวกับท่านเหล่านั้นช่างไร้สาระ ไม่ว่าท่านจะยกย่องสรรเสริญหรือประนามกล่าวโทษก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรเลย คำสรรเสริญทั้งหมดนั้นไร้ความหมายเพราะท่านไม่สามารถเห็นได้จริงๆว่าอะไรเกิดขึ้นกับพระพุทธเจ้า..การที่จะมองให้เห็นได้นั้นท่านต้องเป็นผู้ที่อยู่ในสภาวะแห่งพุทธะด้วย
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเทวาหรือซาตาน มนุษย์เท่านั้นที่เป็นผู้กำหนด
User avatar
Jseventh
 
Posts: 1741
Joined: Wed Nov 19, 2008 11:19 am

Re: ชายผู้ที่ยืนอยู่บนภูเขา

Postby Jseventh » Tue Jun 02, 2009 5:53 pm

เห็นคำว่า "สภาวะแห่งพุทธะ" แล้ว นึกถึง "ไกวัลยธรรม-พุทธทาสภิกขุ" ค่ะ

ที่มา : http://www.buddhadasa.com/kaival/kaival7.html
(คัดมาบางส่วน..อ่านทั้งหมดได้จากลิงค์ด้านบน)

ไกวัลยธรรม
ในฐานะที่เป็นธรรมชาติแห่งพุทธภาวะ


ธรรมชาติแห่งพุทธภาวะ หมายถึง ธรรมชาติอันหนึ่ง ซึ่งทำสัตว์ให้เข้าถึงพุทธภาวะ และมีอยู่ในทุกหนทุกแห่ง ทุกกาลเวลา ตามความหมายของไกวัลยธรรม

การวิวัฒนาการของสิ่งที่มีชีวิต ย่อมไปถึงวาระสุดท้ายคือ "พุทธภาวะ" อันหมายถึงภาวะแห่งความรู้ ความตื่น ความเบิกบาน สิ่งที่เรียกว่า "ความรู้" ในที่นี้ หมายถึง การรู้แจ้งด้วยปัญญาอันชอบว่า ความทุกข์ได้หมดสิ้นไปแล้ว ชาติสิ้นแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ความเกิดย่อมไม่มีอีกต่อไป อย่างนี้เรียก "เบิกบานถึงที่สุด" ซึ่งจัดเป็นจุดหมายปลายทางที่แท้จริงของทุกชีวิต.

ไกวัลยธรรม กับความเป็นพุทธะ

คำว่า "ไกวัลยตา" หมายถึง "ความที่มันเป็นอย่างนั้น" ส่วนคำว่า "ไกวัลยธรรม" หมายถึง "สิ่งที่เป็นอย่างนั้น" คือเป็นสิ่งเดียวกันทั้งหมด และมีอยู่ในสิ่งทั้งปวงตลอดเวลา บุคคลจะสามารถเข้าถึง "ไกวัลยธรรม" ด้วยการทำให้ "พุทธภาวะ" เปิดเผยออกมา จากสิ่งที่ห่อหุ้มอยู่ คือ กิเลส ฉะนั้น หน้าที่สำคัญของพุทธบริษัท จึงอยู่ที่การเรียนรู้ ปฏิบัติ พัฒนาให้รู้จักธรรมชาติของตัวเองตามเป็นจริง แล้วปล่อยวางเสีย ก็จะทำให้เข้าถึง "พุทธภาวะ" โดยความหมายนี้ เป็นการแสดงว่า "ไกวัลยตา" กับ "พุทธภาวะ" ก็เป็นสิ่งเดียวกัน ต่างกันโดยสิ่งแรกเป็นพื้นฐานของธรรมชาติแห่งพุทธะ สิ่งที่สองเป็นปรากฏการณ์ของพุทธะ เรียก "ไกวัลยธรรม"

เปรียบได้กับเชื้อแห่งการเกิด และสิ่งที่เกิดขึ้น เช่น การเกิดขึ้นของคนมาจากเชื้อเริ่มแรกที่มองไม่เห็น อันเนื่องมาจากการผสมพันธุ์ของพ่อแม่ แล้วคลอดออกมาเป็นคนในภายหลัง หรือเปรียบอีกนัยหนึ่ง ความเป็นต้นมะม่วง มันย่อมรวมอยู่เสร็จแล้วในเมล็ดมะม่วง ไกวัลยตาเปรียบเมล็ดมะม่วง พุทธภาวะเปรียบต้นมะม่วง นั่นคือ สิ่งทั้งสองนี้ เป็นเหตุผลต่อกัน หรือจะกล่าวว่าเป็นอันเดียวกันก็ได้

ถ้าเปรียบด้วยการฟักไข่ จะเห็นชัดยิ่งขึ้น ในไข่ไก่ฟองหนึ่ง ย่อมมีความเป็นตัวไก่อยู่ในนั้น แต่ในฟองไก่ จะไม่ปรากฏความเป็นตัวไก่แต่ประการใด จนกระทั่ง ทำการฟักชั่วเวลาหนึ่ง จึงออกมาเป็นตัวไก่ ข้อนี้หมายความว่า ใน"ความที่จะต้องเป็นอย่างนั้น" เรามองไม่เห็นด้วยตา แต่ย่อมให้ความมั่นใจว่า "มันต้องเป็นอย่างนั้น" เป็นการแน่นอน นั่นคือ ในทุกชีวิตมีเชื้อแห่งความเป็น"พุทธะ"อยู่แล้ว รอเวลาที่จะมีการฟักออกเป็นตัว พระพุทธองค์ทรงเปรียบพระองค์เองเหมือนลูกไก่ตัวพี่ ซึ่งฟักออกมาก่อนใคร

ข้อนี้เป็นการแสดงว่า "ไกวัลยตา" เป็นเชื้อแห่ง "ไกวัลยธรรม" เมื่อฟักออกมาเป็นตัวได้ ชื่อว่าเข้าถึง"พุทธะ" นั่นคือ "ไกวัลยธรรม" กับ "พุทธะ" ก็คือสิ่งเดียวกัน

ทุกสิ่งมีเชื้อแห่งความเป็นพุทธะ

การมองเห็นว่า สิ่งทั้งปวงทุกสิ่งย่อมเต็มไปด้วยเชื้อแห่งความเป็นพุทธะ ทำให้มีความเคารพรักในสิทธิของสิ่งทั้งปวง แม้เม็ดกรวดเม็ดทราย ไม่ทำให้เกิดการดูถูกว่า เป็นของชั้นต่ำ อันเป็นเหตุให้เกิดการแบ่งชั้นวรรณะ ยึดมั่นถือมั่นเป็นเขาเป็นเรา จะมีความเห็นแจ่มแจ้งอยู่ว่า ทุกสิ่งมีสภาพแห่งความเป็นพุทธะอย่างเดียวกัน เป็นการเข้าถึงสภาวะแห่งความเป็นหนึ่ง ไม่มีการแบ่งแยกเป็น คน สัตว์ พืช หรือสิ่งของ นั่นคือ มีแต่ธรรมชาติแห่ง "ความเป็นพุทธะ"

แม้ในปรมาณูหนึ่งๆ ก็มีค่าสำหรับความเป็นพุทธะ หรือสำหรับความมีชีวิตในอนาคต ถ้าได้มีความเปลี่ยนแปลงที่ถูกต้องครบถ้วน เหมาะสมเมื่อไร มันก็แสดงรูปออกมาเป็นความมีชีวิต หรือมีความรู้สึก ซึ่งเป็นเชื้อแห่งความเป็นพุทธะโดยตรง อันจะต้องมีการพัฒนาต่อไป จนเป็นมนุษย์ ซึ่งมีความพร้อมต่อการที่จะรู้แจ้ง "อริยสัจจ์ ๔"

ความรู้สึกที่เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนา ไปสู่ความรู้แจ้ง คือรู้ผิดรู้ถูก แต่ธรรมชาติแห่งความรู้สึก กับเชื้อแห่งความรู้สึก มันอยู่ห่างไกลกันมาก ยกตัวอย่างคนๆ หนึ่ง นับตั้งแต่เกิดในท้องแม่ ย่อมมีความรู้สึกเกิดมาก่อน แล้วต่อมาจึงมีความนึกคิด และการที่ปรากฏออกมาเป็นความรู้สึกนึกคิด ย่อมแสดงว่า มันมีเชื้อแห่งความรู้สึกนึกคิดก่อตัวมาก่อนแล้ว

ดังกล่าวแล้วว่า ความรู้แจ้งได้แก่ "การรู้ผิดรู้ถูก" ความรู้นี้จะรุดหน้าต่อไปจนกระทั่ง มีความเบิกบานเต็มที่ถึงที่สุด เรียก "พุทธสภาวะ" การที่มีความรู้แจ้งได้อย่างนี้ แสดงว่า "ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ" ได้มีอยู่แล้วในธรรมชาติอันนั้น.

ความเป็นพุทธะ รุดหน้าได้ถึงจุดสมบูรณ์

ในเมื่อธรรมชาติแห่งพุทธะ เป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกคน ฉะนั้น ทุกชีวิตย่อมไหลไปสู่นิพพาน ทั้งนี้มีความแตกต่างกัน ตรงที่ธรรมชาติแห่งพุทธะจะเบิกบานได้ช้าหรือเร็ว ซึ่งขึ้นอยู่กับอำนาจของเหตุปัจจัย ดูตัวอย่างพระเทวทัต แม้จะทำผิดถึงขั้นอนันตริยกรรม ครั้นรับบาปใช้กรรมใช้เวรหมดแล้ว ในที่สุดก็ยังจะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ด้วยเหตุแห่งการสำนึกผิด และน้อมจิตถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งก่อนถูกแผ่นดินสูบ นี่เป็นการแสดงถึง ความถูกต้องที่พัฒนาขึ้นมาจากความผิด

การที่พุทธสภาวะ หรือเชื้อแห่งความเป็นพุทธะ ได้วิวัฒนาการมาถึงระดับความเป็นคน นั้นแสดงว่า มีความพร้อมในการที่จะเข้าถึงพุทธสภาวะได้โดยเร็ว ดังเช่นมีปรากฏว่า สามเณรเด็กๆ ก็สามารถบรรลุอรหันต์ได้ ข้อนี้ หมายความว่า บุคคลถ้าไม่ปิดประตูตัวเองเสียด้วยอุปาทาน ผู้นั้นจักดำเนินเข้าสู่พุทธสภาวะได้โดยเร็ว

เวลานี้มีการกล่าวกันว่า การบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เป็นสิ่งหมดสมัยแล้ว แต่ถ้าเข้าใจว่า ธรรมชาติแห่งพุทธสภาวะไม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและสถานที่ อย่างเดียวกับไกวัลยธรรม เพราะธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ ย่อมมีอยู่ในทุกสิ่งทุกส่วนของสิ่งที่เกี่ยวกับ "ไกวัลยธรรม" ดังนี้แล้ว ย่อมทำให้พบความจริงว่า ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ จักไม่ถูกจำกัดด้วยกาลเวลา และสถานที่เช่นเดียวกัน โดยนัยนี้ ถ้ากล่าวตามหลักอริยสัจจ์ ๔ แล้ว จะยืนยันได้ทันทีว่า ทุกคนสามารถบรรลุพุทธภาวะได้ที่นี่เดี๋ยวนี้

ทุกศาสนา มีธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ

เป็นที่ทราบอยู่แล้วว่า "ไกวัลยธรรม" เป็นสิ่งเดียวที่มีอยู่ และมีสภาพเป็นหนึ่งเดียว แม้จะแยกออกเป็นกี่ส่วน ก็มีความหมายอย่างเดียวกัน ดังที่กล่าวว่า "หนึ่งสิ่งในทุกสิ่งและทุกสิ่งในสิ่งหนึ่ง" เปรียบด้วยน้ำ แม้จะแยกไปอยู่ในที่ใดก็ตาม ย่อมยังสภาพแห่งความเป็นน้ำอย่างเดียวกัน โดยความหมายนี้แสดงว่า ทุกศาสนาย่อมมีจุดมุ่งหมายอย่างเดียวกันคือ "ดับทุกข์" ฉะนั้น ทุกศาสนาแม้จะต่างกันโดยชื่อหรือรูปแบบ แต่ก็ตั้งอยู่ในกฏแห่งไกวัลยธรรมอย่างเดียวกัน ในเมื่อธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ เป็นอันเดียวกับไกวัลยธรรม โดยเหตุนี้ จึงกล่าวได้ว่า ทุกศาสนาย่อมมีธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะอย่างเดียวกัน.

กล่าวให้ชัดถึงตัวบุคคล โดยเหตุที่ทุกคนมีเชื้อหรือธรรมชาติแห่งพุทธะและทุกศาสนาก็บัญญัติขึ้นเพื่อคน แล้วจุดหมายปลายทางของทุกคนจักไปสู่ความดับทุกข์ คือ "พุทธภาวะ" ฉะนั้น ทุกศาสนาย่อมบัญญัติขึ้นสอน เพื่อนำไปสู่จุดหมายอันเดียวกัน คือ "ความเป็นพุทธะ"
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเทวาหรือซาตาน มนุษย์เท่านั้นที่เป็นผู้กำหนด
User avatar
Jseventh
 
Posts: 1741
Joined: Wed Nov 19, 2008 11:19 am

Re: ชายผู้ที่ยืนอยู่บนภูเขา

Postby Jseventh » Tue Jun 02, 2009 6:13 pm

ตามที่ดิฉันอ่านและจับความเอาเอง..เรื่อง "ชายผู้ที่ยืนอยู่บนภูเขา" ของ OSHO ได้พูดถึงและอธิบายเอาไว้ใน 2 ประเด็นหลักๆ คือ..

1. อะไรคือสาเหตุของความขัดแย้งและแบ่งแยกในตัวมนุษย์ ซึ่งทำให้เราสูญเสียความเป็นเนื้อแท้ไป และเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ที่เราต่างต้องเผชิญกันอยู่

2. ความเป็นจริงนั้นกว้างใหญ่ไพศาล มันไม่ได้ถูกจำกัดไว้ว่าเป็นทางสายไหน มันไม่ได้ถูกจำกัดไว้ตามบทบัญญัติของใคร ความเป็นจริงนั้นเป็นสิ่งที่เป็นทั้งหมด มันมิอาจแยกออกมาเป็นส่วนเป็นเสี้ยว เพื่อให้ท่านเอามาอ้างอย่างเฉพาะเจาะจงได้
ยิ่งท่านกับความเป็นจริงอยู่ห่างกันมากเท่าใด การเถียงกัน หรือการถกเชิงปรัชญาจะมากขึ้นเท่านั้น แต่ยิ่งท่านอยู่ใกล้กับความเป็นจริงมากเท่าใด การถกเถียงก็จะน้อยลงไปด้วย

ส่วนตัวดิฉันเอง ดิฉันเชื่อในการแสวงหาความจริงแท้จากภายในตัวเราด้วยการทำสมาธิ
ศัพท์คำนี้ในภาษาอังกฤษ ให้ความหมายไว้ 2 ระดับ
meditation [N] ; การไตร่ตรอง
Syn. deliberation; contemplation
Relate. การครุ่นคิด, การพิจารณา, การใคร่ครวญ

meditation [N] ; การทำสมาธิ
Syn. deliberation; contemplation
Relate. การเข้าฌาน

ประเด็นที่ดิฉันอยากจะชวนคุย แลกเปลี่ยนความเห็น คือ..
คุณเคยคิดกันไหมว่า..สภาพที่แท้่จริงของเรา..
"มนุษย์" ทุกคน เป็นสิ่งที่มากกว่าร่างกาย เป็นสิ่งที่มากกว่าจิตใจหรือสมอง?
ถ้าหากเคย..คุณจินตนาการถึงลักษณะของสิ่งนั้นว่าเป็นอย่างไร?..
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเทวาหรือซาตาน มนุษย์เท่านั้นที่เป็นผู้กำหนด
User avatar
Jseventh
 
Posts: 1741
Joined: Wed Nov 19, 2008 11:19 am

Re: ชายผู้ที่ยืนอยู่บนภูเขา

Postby integra » Wed Jun 03, 2009 8:14 pm

Jseventh wrote:
paper punch wrote:ตีตั๋วแถวหน้ารอครับ :D


integra wrote:นั่งรอมาสองวันแล้วครับ พยายามจะต่อเนื่องความคิดของชายหนุ่มแต่มันก็เปิดกว้างเกินไป ทำได้แค่แทนตนไปอยุ่ที่ยอดเขาผลที่ได้คือ สงบโปร่งล่องลอยครับ :| อย่างงนะ ผมคิดสิบคำพมพ์สามคำ แหะๆ ;)


ขออภัยที่ทำให้่รอค่ะ..(ดีใจที่มีเพื่อนสมาชิกรอคุยด้วย) :)
ดิฉันไม่ได้เข้ามาสนทนาในบอร์ดเลย 2-3 วันมานี่..แต่ยังติดตามข่าวสารบ้านเมืองอยู่ (ด้วยความเป็นห่วง)

คุณ integra เคยอ่านแล้วไม่ใช่หรือคะ? แต่ประเด็นที่คุณตอบดิฉันถือว่าใกล้เคียงกับข้อสรุปของเรื่องนี้มากทีเดียว..สงบ โปร่ง แต่ล่องลอยนี่..ไม่แน่ใจ! :lol:

ผมยังไม่เคยอ่านจริงจังครับ แค่ผ่านๆที่ร้าน และหลังจากได้ฟังคุณผมก็คิดจะไปซื้อหามาก็หมด พรุ่งนี้ไป กทม คงมีไห้ผมซื้อ ปล.ล่องลอยคือจิตครับ ปล.ผมมีวิธีเลือกซื้อหนังสือที่ต้องอาศัยโชคผมจะอ่านกลางเล่มไล่มาต้นแล้วค่อยตัดสินใจซื้อ ซื้อมาแล้วเล่มไหนดีและสนุกผมจะเก็บช่วงสุดท้ายไว้อ่านตอนที่ชีวิตจริงสับสนและเครียด :mrgreen:
โลกเสมือน#เสาะหาความยุติธรรมแม้แก่ผู้อื่นก็ยังดีอย่างน้อยจะได้รู้ว่ามันยังมีจริงในโลก
โลกจริง#กูเหนื่อยและเบื่อความพ่ายแพ้ในเกมส์ที่ถูกยัดเยียด ได้เวลาเลิกหลอกตัวเองว่าอะไรๆยังเหมือนเดิม ถึงเวลากระทืบอุปสรรคแล้วก้าวเดิน
User avatar
integra
 
Posts: 1616
Joined: Tue Apr 21, 2009 3:24 am

Re: ชายผู้ที่ยืนอยู่บนภูเขา

Postby integra » Fri Jun 05, 2009 1:42 am

นั่นคือสิ่งที่เราทำกันเรื่อยมาเมื่อเราเห็นพระพุทธเจ้า นั่นคือการถกเถียงเพื่อสนับสนุนหรือไม่ก็ต่อต้าน และทุกสิ่งที่เราได้พูดกันเกี่ยวกับท่านเหล่านั้นช่างไร้สาระ ไม่ว่าท่านจะยกย่องสรรเสริญหรือประนามกล่าวโทษก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรเลย คำสรรเสริญทั้งหมดนั้นไร้ความหมายเพราะท่านไม่สามารถเห็นได้จริงๆว่าอะไรเกิดขึ้นกับพระพุทธเจ้า..การที่จะมองให้เห็นได้นั้นท่านต้องเป็นผู้ที่อยู่ในสภาวะแห่งพุทธะด้วย :mrgreen: บทความของที่คุณJseventhเอามาเผื่อแผ่แต่ละครั้งจะอ่านแล้วยากจะเข้าใจถ้าอ่านคำว่าเย็นแล้วเห็นแค่ เ ย็ น <ช่วงที่มีสมาธิ แหะๆ>
โลกเสมือน#เสาะหาความยุติธรรมแม้แก่ผู้อื่นก็ยังดีอย่างน้อยจะได้รู้ว่ามันยังมีจริงในโลก
โลกจริง#กูเหนื่อยและเบื่อความพ่ายแพ้ในเกมส์ที่ถูกยัดเยียด ได้เวลาเลิกหลอกตัวเองว่าอะไรๆยังเหมือนเดิม ถึงเวลากระทืบอุปสรรคแล้วก้าวเดิน
User avatar
integra
 
Posts: 1616
Joined: Tue Apr 21, 2009 3:24 am

Re: ชายผู้ที่ยืนอยู่บนภูเขา

Postby Jseventh » Fri Jun 05, 2009 10:00 am

integra wrote:ผมยังไม่เคยอ่านจริงจังครับ แค่ผ่านๆที่ร้าน และหลังจากได้ฟังคุณผมก็คิดจะไปซื้อหามาก็หมด พรุ่งนี้ไป กทม คงมีไห้ผมซื้อ ปล.ล่องลอยคือจิตครับ ปล.ผมมีวิธีเลือกซื้อหนังสือที่ต้องอาศัยโชคผมจะอ่านกลางเล่มไล่มาต้นแล้วค่อยตัดสินใจซื้อ ซื้อมาแล้วเล่มไหนดีและสนุกผมจะเก็บช่วงสุดท้ายไว้อ่านตอนที่ชีวิตจริงสับสนและเครียด :mrgreen:


ดิฉันอ่านหนังสือแล้วชอบมองหา.."ความเชื่อมโยงทางความคิดและมโนภาพ" ของมนุษย์เราค่ะ
มีข้อสังเกตุส่วนตัวบางประการก็คือ..เวลาที่เรามองดูด้วยความไม่แบ่งแยก ไม่ต่อต้าน เราจะเห็นความเชื่อมโยงและจุดร่วมที่เป็นเหมือนกุญแจของหลายๆสิ่ง..ตัวอย่างเช่น ศาสนา-ปรัชญากับวิทยาศาสตร์

มีคนเคยกล่าวไว้ว่า "อะไรที่เราต่อต้านมันจะคงอยู่ อะไรที่เรามองดูมันจะหายไป"

คำว่า "มองดู" นั้น ดิฉันว่า เขาคงไม่ได้บอกให้เรามองดูเฉยๆ เหมือนอาการจ้องมอง หรือเหม่อมองบางสิ่ง..แต่เป็นการมองดูแบบไม่ต่อต้าน เพื่อให้เราได้ใช้ความคิดพิจารณาในสิ่งนั้นๆอย่างเปิดกว้าง ไม่คับแคบ ถือดี หรือมุ่งเอาชนะจนเกินไป..

ส่วนคำว่า "หายไป" ดิฉันเข้าใจว่า สิ่งที่เราต่อต้านแต่แรกนั้นมันได้หายไปแล้ว เหลือไว้ซึ่งความเข้าใจที่จะทำให้เราสงบ โปร่ง และเบิกบานได้ มั๊งคะ
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเทวาหรือซาตาน มนุษย์เท่านั้นที่เป็นผู้กำหนด
User avatar
Jseventh
 
Posts: 1741
Joined: Wed Nov 19, 2008 11:19 am

Re: ชายผู้ที่ยืนอยู่บนภูเขา

Postby Jseventh » Fri Jun 05, 2009 10:20 am

integra wrote:นั่นคือสิ่งที่เราทำกันเรื่อยมาเมื่อเราเห็นพระพุทธเจ้า นั่นคือการถกเถียงเพื่อสนับสนุนหรือไม่ก็ต่อต้าน และทุกสิ่งที่เราได้พูดกันเกี่ยวกับท่านเหล่านั้นช่างไร้สาระ ไม่ว่าท่านจะยกย่องสรรเสริญหรือประนามกล่าวโทษก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรเลย คำสรรเสริญทั้งหมดนั้นไร้ความหมายเพราะท่านไม่สามารถเห็นได้จริงๆว่าอะไรเกิดขึ้นกับพระพุทธเจ้า..การที่จะมองให้เห็นได้นั้นท่านต้องเป็นผู้ที่อยู่ในสภาวะแห่งพุทธะด้วย :mrgreen: บทความของที่คุณJseventhเอามาเผื่อแผ่แต่ละครั้งจะอ่านแล้วยากจะเข้าใจถ้าอ่านคำว่าเย็นแล้วเห็นแค่ เ ย็ น <ช่วงที่มีสมาธิ แหะๆ>


ดิฉันว่า..เราทุกคนมีเมล็ดพันธ์แห่งความรู้แจ้งอยู่ในตัวกันทุกคน จะงอกงาม เติบโต และพัฒนาแค่ไหนก็ตามแต่การพัฒนาสภาวะจิตของแต่ละคน..ดิฉันเคยได้ยินมีผู้กล่าวว่า ดอกบัวสี่เหล่า สามารถโผล่พ้นน้ำและบานรับแสงได้เสมอกัน อาจช้าเร็วต่างกัน แต่ในที่สุดแล้วจะถึงปลายทางเดียวกัน

มนุษย์ทุกคน จิตวิญญาณทุกดวง มีหนทางของตนเอง
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเทวาหรือซาตาน มนุษย์เท่านั้นที่เป็นผู้กำหนด
User avatar
Jseventh
 
Posts: 1741
Joined: Wed Nov 19, 2008 11:19 am


Return to ชายคาพักใจ