ถ้าคุณทักษิณโกหกง่ายๆ ว่าใช้หนี้ล่วงหน้าตามบทความนี้ มีหวังถูกฝ่ายตรงข้าม-
ถล่มแหลกไปตั้งแต่เมื่อปี 2546 ไม่เหลือมาให้เราคุยกันตอนนี้หรอกครับ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
ความลวงเรื่องทักษิณใช้หนี้ไอเอ็มเอฟ (กวนน้ำให้ใส)http://www.naewna.com/news.asp?ID=152462 เรื่องลวงโลกในทำนองว่า "ทักษิณ ชินวัตร" เป็นวีรบุรุษกู้ชาติไทยผู้ปลดหนี้ไอเอ็มเอฟได้ก่อนกำหนด
เป็นเรื่องที่คนไทยถูกหลอกลวงมากที่สุด ฝังหัวที่สุด และทำให้ถูกมอมเมาต่อไปอีกว่า "ทักษิณ ชินวัตร"
เป็นนายกฯ ที่บริหารเศรษฐกิจเก่ง มีบุญคุณต่อประเทศไทย ฯลฯ
นปก. ก็ขึ้นป้าย บอกว่า "เป็นความสามารถของทักษิณที่ทำให้ใช้หนี้ไอเอ็มเอฟได้หมด"
อันธพาลที่ช่วยตำรวจของระบอบทักษิณทำร้ายคนแก่ที่ออกมาขับไล่ทักษิณ บริเวณห้างสรรพสินค้า
เซ็นทรัลเวิลด์ ก็ให้การว่า "นายกฯทักษิณ เป็นคนใช้หนี้ไอเอ็มเอฟหมด เป็นคนสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ
ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้ราคายางสูงขึ้น แล้วมาตะโกนขับไล่นายกฯ ทักษิณทำไม"
ทั้งหมด ถูกฝังหัว มอมเมา ลวงหลอก โดยการปั้นแต่งข้อมูลข่าวสารของระบอบทักษิณ เริ่มตั้งแต่ค่ำ
วันที่ 31 ก.ค. 2546 ทักษิณออกโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ประกาศว่า วันนี้ ได้ชำระหนี้ก้อนสุดท้าย
ให้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) เรียบร้อยแล้ว
"เราใช้หนี้ก่อนเวลา 2 ปี" ทักษิณโอ้อวดว่าเป็นความสำเร็จของตัวเองในวันนั้น...
เมื่อวานนี้ ได้ชี้ชัดไปให้เห็นแล้วว่า หนี้ไอเอ็มเอฟเกิดขึ้นในยุครัฐบาลชวลิต สมัยรัฐมนตรีคลังชื่อ "ทนง พิทยะ"
ที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีโดยการสนับสนุนของ "ทักษิณ ชินวัตร"
เดือน มี.ค. 2540 สถาบันการเงินในประเทศจำนวนมากอ่อนแอ แต่รัฐบาลในขณะนั้นกลบเกลื่อน เลือกปิด
เพียง 16 แห่ง พยายามอุ้มสถาบันการเงินที่มีสายสัมพันธ์กับพรรคพวกตนเอง ต่อมาภายหลัง เดือน มิ.ย.
จึงปิดสถาบันการเงินเพิ่มอีก 42 แห่ง เกิดความปั่นป่วน ไม่เชื่อถือไปทั่ว
ในที่สุด เมื่อลดค่าเงินบาท 2 ก.ค. 2540 เงินทุนสำรองร่อยหรอ (แทบไม่เหลือหรอ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทย
ไปเก็งกำไรต่อสู้ค่าเงินบาทจนหมดหน้าตัก) รัฐบาลชวลิตก็ไปขอกู้เงินจากไอเอ็มเอฟ ลงนามในหนังสือแสดง
เจตจำนงฉบับที่ 1 (Letter of Intent : LOI) เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2540
1) เงินกู้ไอเอ็มเอฟ ทางผู้ให้กู้เขาประเมินและตกลงให้กรอบประเทศไทยเป็นหนี้ได้ทั้งหมด ประมาณ 16,000 ล้าน
เหรียญสหรัฐ ซึ่งเมื่อหักลบหนี้ที่รัฐบาลไทยกู้จากต่างประเทศและสถาบันการเงินระหว่างประเทศอื่นๆ แล้ว ปรากฏว่า
ประเทศไทยได้กู้จากไอเอ็มเอฟจริงๆ ประมาณ 14,200 ล้านเหรียญสหรัฐ
2) เงื่อนไขและวิธีการรับเงินกู้ไอเอ็มเอฟ คือ ไอเอ็มเอฟจะทยอยส่งเงินให้เป็นงวดๆ 3 เดือนต่อหนึ่งงวด
โดยแต่ละงวด รัฐบาลไทยก็จะต้องลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง หรือ Letter of Intent : LOI เป็น
เงื่อนไขพันธะผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตาม
พูดง่ายๆ ว่า ยื่นหมู ยื่นแมว จะเอาเงินจากเขา ก็ต้องทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้กับเขา
3) หนังสือแสดงเจตจำนง หรือ Letter of Intent : LOI ฉบับที่หนึ่ง ลงนามสมัยรัฐบาลชวลิต เมื่อวันที่ 14 ส.ค.2540
ตกลงผูกมัดไว้หมดแล้วว่า รัฐบาลไทยจะต้องรัดเข็มขัดอย่างไร ควบคุมนโยบายการเงินอย่างไร ควบคุมนโยบายการคลัง
อย่างไร ห้ามขึ้นเงินเดือนราชการอย่างไร ต้องมีนโยบายรัฐวิสาหกิจอย่างไร ฯลฯ
และเมื่อจะเอาเงินกู้งวดที่สอง (3 เดือนต่อมา) ก็ต้องยื่นเงื่อนไข LOI ฉบับที่สอง รัฐบาลชวลิตก็ไปตกลงไว้กับ
ไอเอ็มเอฟแล้ว เซ็นต์กันเมื่อวันที่ 14 พ.ย.40
4) เงื่อนไขและวิธีการจ่ายคืนเงินกู้ไอเอ็มเอฟ คือ เงินกู้แต่ละงวดแต่ละก้อน จะต้องจ่ายคืนเมื่อครบกำหนด 3 ปี
ยกตัวอย่าง ก้อนที่ได้มา 14 พ.ย. 40 ก็มีกำหนดจ่ายคืน 14 พ.ย. 43 (นับไปอีก 3 ปี) เป็นต้น
ดังนั้น ตามแผนการที่เจรจากรอบการกู้ไอเอ็มเอฟไว้เดิม วางแผนกันว่า ประเทศไทยจะรับเงินกู้จากไอเอ็มเอฟไปอย่างนี้
ทุกๆ 3 เดือน จนครบยอดเงินกู้ทั้งหมด ซึ่งตามแผนเดิม เงินกู้งวดสุดท้ายจะได้รับประมาณกลางปี 2544 ซึ่งทำให้กำหนด
ชำระหนี้ไอเอ็มเอฟก้อนสุดท้าย ก็ต้องชำระกลางปี 2547 (นับไปอีก 3 ปี)
เมื่อรัฐบาลชวลิตออกไป รัฐบาลชวนก็เข้ามา (หลัง 14 พ.ย. 2540) หลังจากนี้ คือ ช่วงที่ประเทศไทยจะต้องทำตามเงื่อนไข
พันธะที่ไปตกลงไว้กับไอเอ็มเอฟ และเริ่มทยอยใช้หนี้ไอเอ็มเอฟตามกำหนด ระหว่างนี้ ประชาชนคนไทยในประเทศต้อง
เดือดร้อนกับ "ยาขมหม้อใหญ่" ที่ต้องรัดเข็มขัดทางเศรษฐกิจกันถ้วนหน้า แต่ในที่สุด เมื่อค่าเงินบาทต่ำลง การส่งออกดีขึ้น
ภาคธุรกิจเอกชนในประเทศปรับตัวได้ กลับมาแข่งขันได้ ภาคการเงินในประเทศดีขึ้น ดอกเบี้ยต่ำ การลงทุนเพิ่มขึ้น
เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้น ทุนสำรองของประเทศดีขึ้นเป็นลำดับ ฯลฯ
เมื่อสถานการณ์ประเทศไทยดีขึ้น จนถึงช่วงกลางปี 2543 (รัฐบาลชวน) จึงได้ตกลงเลิกกู้จากไอเอ็มเอฟก่อนกำหนด
1 ปี จากเดิมที่เคยกำหนดว่าจะทยอยรับเงินกู้เรื่อยๆ ไปจนถึงงวดสุดท้าย ณ กลางปี 2544 ที่จะทำให้มีกำหนดชำระหนี้
งวดสุดท้าย ณ กลางปี 2547 (กำหนดชำระ 3 ปี)
แต่เมื่อกู้เงินน้อยลง โดยเลิกรับเงินกู้เร็วขึ้น 1 ปี กำหนดการชำระเงินกู้งวดสุดท้ายย่อมเร็วขึ้น 1 ปี ตามไปด้วย
เพราะฉะนั้น กำหนดชำระหนี้ไอเอ็มเอฟ งวดสุดท้าย จึงเร็วขึ้น จากกลางปี 2547 เหลือเพียงกลางปี 2546
ประเทศไทยก็จะหมดหนี้ไอเอ็มเอฟ (ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล)
5) กลางปี 2546 เมื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" คุยโอ่ออกโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ว่าตนเองเป็นผู้ช่วยให้ประเทศไทย
ปลดหนี้ไอเอ็มเอฟก่อนกำหนดถึง 2 ปี และมีการนำไปขยายผลว่าถ้าไม่ใช่ทักษิณประเทศไทยจะไม่มีทางใช้หนี้
ไอเอ็มเอฟได้เช่นนี้ จึงเป็นเพียงลูกไม้ เล่ห์เหลี่ยม ปลุกระดม หาเสียงทางการเมือง เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง
ของตนเอง อย่างน่าเวทนา
ประชาชนคนไทยที่ทนทุกข์ตลอดช่วงเวลาวิกฤติต่างหาก คือ วีรบุรุษ ช่วยกันกอบกู้วิกฤติของชาติ ในขณะที่
"ทักษิณ" ซึ่งมีสัมพันธ์เชิงลึกกับรัฐมนตรีในรัฐบาลที่ประกาศลดค่าเงินบาทนั้น กลับไม่ได้รับผลกระทบเหมือน
คนอื่นๆ เพราะได้ล่วงรู้ข้อมูลสำคัญล่วงหน้า
6) ที่ไม่รู้จักอายก็คือ จนถึงบัดนี้ ก็ยังมีการพยายามลวงหลอกประชาชนคนไทยด้วยเรื่องลวงๆ พรรค์อย่างนี้ต่อไปอีก
เพียงหวังจะสร้างภาพลวงว่า ทักษิณเก่งกาจ เลอเลิศ ต่างๆ นานา เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองส่วนตัวของคนที่
หลบหนีคดีทุจริตโกงกินบ้านเมือง
เลิกคิด เลิกคุย เลิกโกหก เพื่อสร้างความสับสนวุ่นวายในประเทศได้แล้ว
ความจริง คือ ไม่มีทักษิณ ประเทศไทยก็รอดพ้นวิกฤติเศรษฐกิจ 2540 ! และไม่มีทักษิณ ประเทศไทย
ก็สามารถใช้หนี้ไอเอ็มเอฟได้ !
ตรงกันข้าม หากไม่มีทักษิณ ประเทศชาติอาจจะไม่ต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายแบบนี้เสียด้วยซ้ำ !
สารส้ม
วันที่ 13/3/2009