ก็แค่สีสันงาน event เพื่อโปรโมทแบรนด์ต้องห้าม
ฟังคุณทักษิณ ชินวัตร ในรายการ "โฟนอิน" เมื่อค่ำวันเสาร์ที่ผ่านมาแล้ว ก็สรุปได้สั้นๆ ว่าเป็นรายการอ้อนผสมกร้าวปนกับการโยนหินถามทาง...
กรุงเทพ ธุรกิจ ออนไลน์ : ภาษาการตลาดเรียกว่า "reminder promotion" อันหมายถึงการทุ่มออกแคมเปญเพื่อเตือนผู้บริโภคว่า "อย่าลืมยี่ห้อ" นี้นะครับ ถึงแม้ว่าสินค้าตัวนี้จะถูกห้ามขายเพราะมี "สารปนเปื้อน" ไม่ต่างอะไรกับสารเมลามีน ที่ทำเอาคนกินเข้าไปต้องตายและล้มป่วยอย่างน่ากลัว
คุณทักษิณ กลัวว่าแบรนด์นี้จะเลือนหายไปจากความทรงจำ หรือกลายเป็นยี่ห้อ "ต้องห้าม" ตลอดไปเพราะโดนจับได้ว่ามีส่วนประกอบที่เป็นอันตราย ทำผิดกฎหมาย และมีการลักลอบซื้อขายกันตรงชายแดนและต่างประเทศ ทั้งๆ ที่เสี่ยงต่อสุขภาพของผู้คนเหลือเกิน
ทุกอย่างเป็นเพียงแค่แผนการตลาดพื้นๆ ...ก่อนหน้าจะมีการ "เปิดแผนรณรงค์" ก็มีการปูพื้นด้วยการปล่อยข่าวล่วงหน้าหลายวัน ว่าเจ้าของแบรนด์จะมาปรากฏด้วยเสียงของเจ้าของยี่ห้อ (และเผื่อความผิดพลาด ก็ได้อัดเป็นวีทีอาร์เอาไว้ล่วงหน้า เพื่อว่าถ้า "สด" ด้วย audio ไม่ได้ ก็จะมี video แห้ง)
ภาษาโฆษณาเขาเรียกว่า teaser ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญคือการ "ล่อ" ให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจใคร่รู้เสียก่อน เพื่อจะได้ดึงให้คนเข้ามาร่วมในงานให้มาก ตอกย้ำว่าเป็นแบรนด์ที่ยังอยู่ในความสนใจ
แม้ผู้บริโภคทั่วไปจะรู้ว่าสินค้าตัว นี้ถูกห้ามขึ้นห้างในอีก 10 ปีข้างหน้า หรืออาจจะยาวกว่านั้น เพราะยังมีคดีกล่าวหาคุณภาพของแบรนด์นี้อีกหลายเรื่องที่รออยู่ แต่การตีฆ้องร้องป่าวผ่านการจัด event เช่นนี้ ไม่ได้มีเป้าหมายเฉพาะที่ตัวแบรนด์หลักอย่างเดียว แต่ต้องการจะส่งผลทางด้านประชาสัมพันธ์ไปช่วยแบรนด์ย่อยที่ตั้งขึ้นมา เพื่อสู้กับคู่แข่งหรือผู้บริโภคที่เข็ดขยาดกับยี่ห้อนี้
ยี่ห้อสำรองที่ส่งออกไปสู้ในตลาดระดับกลางและล่าง เพื่อแข่งขันทางด้านราคาและภาพพจน์นั้น เขาเรียกในภาษาการตลาดว่า fighting brand
ถ้าไทยรักไทย คือยี่ห้อหลักภายใต้การนำของทักษิณ พรรคพลังประชาชนก็คือ fighting brand ภายใต้สมัคร สุนทรเวช ที่เมื่อทำตลาดไม่ขึ้น ก็ส่งต่อให้กับสมชาย วงศ์สวัสดิ์
แต่เนื่องจากได้เชื้อจากแบรนด์หลัก เหมือนกัน เจ้า fighting brand ก็อาจจะเจอปัญหาสารปนเปื้อนเมลามีนอีกเหมือนกัน...อาจจะโดนห้ามขายในตลาดอีก ก็ได้
การจัด event "สีแดงเดือด" ที่สนามกีฬาฯ กลางกรุงนั้นเจ้าของยี่ห้อไม่ได้ตอบคำถามเลยว่าที่เขากล่าวหาว่ามีสารเมลา มีนทำให้ผู้คนบริโภคแล้วตายและป่วยนั้นจริงหรือไม่ ทำไมจึงใช้วิธีไม่ซื่อและน่ารังเกียจประชาชนผู้บริโภคเช่นนั้น
วิธีการลดแลกแจกแถมของยี่ห้อนี้อาจจะ หลอกล่อให้ผู้คนฮือฮาได้ระยะหนึ่ง แต่หากเนื้อแท้ของสินค้านั้นๆ เหม็นเน่าเพราะความฉ้อฉลกลโกง แบรนด์ดังแค่ไหนก็ถูกสั่งห้ามทั้งนั้น
เพราะไม่ว่าเจ้าของสินค้าจะทุ่มงบประชาสัมพันธ์มากเพียงใด ท้ายที่สุดแล้วสุขภาพของประชาชนส่วนรวมจะต้องมาก่อน
แต่วันจัด event นั้น เจ้าของยี่ห้อกลับส่งเสียงดังฟังชัดมาบอกว่าตัวเองทำทุกอย่างถูกต้อง คนอื่นต่างหากที่กลั่นแกล้งตนเอง และยังใส่ร้ายป้ายสีกระบวนการที่มีหน้าที่ตรวจสอบ และลงโทษการจงใจใส่สารอันตรายเข้าไปในสินค้าดังตัวนี้อีกด้วย
นี่คือความรู้สึกของผมที่นั่งติดตาม การจัดงานของ "ความจริงวันนี้สัญจร" เพราะไม่เห็นมีอะไรใหม่ที่จะทำให้เห็นว่าคุณทักษิณ ต้องการจะเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา
ตรงกันข้าม แสงเสียงและกิจกรรม "ส่งเสริมการขาย" ครั้งนี้ยังตอกย้ำว่าคุณทักษิณ ยังทำตัวเป็นปัจจัยหลักของปัญหาที่บ้านเมืองกำลังเผชิญอยู่
สังเกตให้ดี ทุกประโยคที่คุณทักษิณ พูดนั้นล้วนแล้วแต่เกี่ยวกับ "ตัวกูและของกู" ทั้งสิ้น
แม้แต่ถ้อยคำบางถ้อยคำที่ฟังเหมือนจะ พูดเพื่อแสดงความเป็นห่วงของคุณทักษิณ ต่อปัญหาของประเทศไทย แต่ก็ยังหนีไม่พ้นว่าเป็นการพูดถึงบ้านเมืองเพื่อยืนยันว่าตัวเองมีความ สำคัญมากกว่า
เช่นบอกว่าตัวเองลำบาก ตัวเองโดนกลั่นแกล้ง ตัวเองเป็นคนบ้างาน ตัวเองไม่มีอะไรทำกลัวสมองฝ่อ กลัวเหงา กรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อ หลายประเทศชวนให้ตัวเองไปเป็นราษฎรกิตติมศักดิ์...
แต่ไม่เอ่ยแม้แต่คำเดียวว่าคำพิพากษา ของศาลให้จำคุกสองปีกรณีที่ดินรัชดานั้น มาจากมาตรา 100 ของกฎหมาย ป.ป.ช. ที่ต้องการจะกำจัดนักการเมืองที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน
เพราะนั่นคือหัวใจของปัญหา...นั่นคือตัว "เมลามีน" ที่ทำให้สิ่งที่ระบอบทักษิณปรุงให้คนไทยบริโภคมาหลายปีนั้นได้รับอันตรายถึงตายได้
แม้ประโยคที่ฟังดูเหมือนจะอ่อนน้อมถ่อมตนและยอมรับสถานภาพของตนว่า
"ไม่มีใครที่จะเอาผมกลับประเทศไทยได้หรอกนอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา หรือไม่ก็พลังของพี่น้องประชาชนทุกท่าน..."
ฟังแล้วก็ยังอดคิดไม่ได้ว่ามีความหมายแฝงเร้นว่า
ถ้าเขายังกลับเมืองไทยไม่ได้...ก็แปลว่า.....
คนนี้พิษร้ายรอบตัวจริงๆ ครับ
(เพราะจริงๆ แล้ว ใครไม่ให้เขากลับประเทศไทยหรือ? ทุกคนบอกว่าเขาจะต้องกลับมาด้วยซ้ำ...เพราะมีคำพิพากษาเรื่องเขาออกมาชัด แจ้งแล้ว...และกฎหมายสำหรับนักการเมืองที่ทำผิดนั้นจะต้องศักดิ์สิทธิ์...มิ ใช่หรือ?)
ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com/2008/11/03/news_308254.php
หลักการตลาด การสร้างภาพ(ลวง) ก็ยังคงเป็นไม้เด็ดของทักษิณเหมือนเดิม...