มุมมองที่เรามีต่อชีวิต (Attitude)

คุยกันสบายๆ ไม่ซีเรียส

มุมมองที่เรามีต่อชีวิต (Attitude)

Postby Jseventh » Mon Apr 06, 2009 4:03 pm

Image

มุมมองที่เรามีต่อชีวิต (Attitude)

หากถามว่า อะไรมีผลกระทบต่อชีวิตของคนเรา คำตอบอาจแตกต่างกันไป ลองดูว่า ชายคนนี้มีมุมมองต่อความสำเร็จอย่างไร...

ยิ่งผมมีชีวิตยืนยาวมากแค่ไหน ผมยิ่งรู้ว่ามุมมองที่ผมมีต่อโลกนั้นมีผลกระทบต่อชีวิตผมมากแค่ไหน..
ทัศนคติที่เรามีต่อโลกนั้นสำคัญยิ่งกว่าความจริงที่เราเผชิญอยู่ด้วยซ้ำ
ทัศนคตินั้นสำคัญมากกว่าอดีต การศึกษา เงินตรา สถานการณ์ต่างๆ ความล้มเหลว ความสำเร็จ มันสำคัญมากกว่าสิ่งที่คนอื่นๆ
คิด พูด หรือทำซะอีก มันสำคัญกว่ารูปลักษณ์ พรสวรรค์ หรือความเชี่ยวชาญใดๆ
ทัศนคตินี้เองจะเป็นสิ่งที่ทำลายล้างหรือสร้างสรรค์
ทำให้บ้านขาดความอบอุ่น หรือทำให้บ้านอบอวลไปด้วยความรัก
ทำให้บริษัทนั้นขาดทุน หรือทำให้บริษัทนั้นเจริญรุดหน้า
สร้างความศรัทธาให้ผู้ที่เข้ามาสวดมนต์ หรือทำให้คนเดินหนีจากไปจากศาสนา
สิ่งที่น่าทึ่งก็คือ เรามีทางเลือกในทุกวันของชีวิต หากเรามีมุมมองที่ดีในแต่ละวัน
เราไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
มีเพียงสิ่งเดียวที่เราสามารถทำได้ด้วยพลังที่เรามี นั่นคือ มุมมองที่เรามีต่อโลก

ผมมั่นใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตคนเรานั้นมีเพียง 10 ส่วนเท่านั้น และอีก 90 ส่วนนั้น
เป็นผลที่เกิดจากเรามีปฏิกิริยาต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร
เราทุกคนสามารถเปลี่ยนมุมมองของเราที่มีต่อโลก เราจะสุขหรือทุกข์นั้น ไม่ใช่เพราะสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเราทำให้เราเป็นเช่นนั้น
แต่ทัศนคติที่เรามีต่อสิ่งต่างๆ เหล่านั้นต่างหากที่ทำให้ชีวิตเราเป็นเช่นที่เป็นอยู่

ไมเคิล เป็นคนที่คุณเกลียดไม่ลง เขาเป็นคนอารมณ์ดี และมักจะพูดถึงแต่สิ่งดีๆ เสมอ
หากมีใครถามเขาว่า เขาสบายดีหรือ เขาก็มักจะตอบว่า "ถ้าผมสบายกว่านี้ ผมก็จะมีฝาแฝด"
เขาเป็นผู้ที่คอยให้กำลังใจผู้คนอย่างเป็นธรรมชาติมาก
หากมีคนงานคนใดรู้สึกแย่กับชีวิตในวันนั้น ไมเคิลก็มักจะบอกให้คนๆ นั้นมองโลกในแง่ดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น

เมื่อเห็นไมเคิลทำแบบนี้ก็ทำให้ผมอยากรู้นักว่า เขาคิดอย่างนี้ได้ยังไง และวันหนึ่งผมจึงเดินไปหาเขาและถามเขาว่า
ผมไม่เข้าใจ คุณไม่มีทางที่จะเป็นคนมองโลกในแง่ดีได้ตลอดเวลาหรอก คุณทำได้ยังไง?...
ไมเคิลตอบว่า "ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา ผมจะบอกกับตัวเองว่า นี่ วันนี้ตัวผมมีทางเลือกอยู่สองทาง ทางแรกก็คือ จะเป็นคนอารมณ์ดี
หรือจะเป็นคนอารมณ์เสีย แล้วผมก็จะเลือกที่จะเป็นคนอารมณ์ดี"

"ในแต่ละครั้งที่มีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้น ผมมีทางเลือกอยู่สองทาง นั่นคือ นั่งจมอยู่กับความทุกข์หรือเลือกที่จะเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น
และทุกครั้งที่มีใครเดินเข้ามาหาผมแล้วบ่นโวยวาย ผมก็มีทางเลือกสองทาง นั่นคือ เลือกที่จะยอมรับฟังคำบ่นของเขา หรือชี้ให้
เขาเห็นถึงข้อดีของการมองโลกในแง่ดี และผมก็เลือกที่จะชี้ให้เขาเห็นถึงสิ่งที่ดีๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต"

"ใช่ ถูกต้อง..แต่มันไม่ง่ายเลยนะ" ผมแย้ง

"คุณพูดถูก...มันไม่ง่าย" ไมเคิลตอบแล้วพูดต่อ "แต่ชีวิตเรานั้นมีทางเลือกเสมอนะ เมื่อเราตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นในชีวิตออกไป
ในทุกสถานการณ์คือทางเลือกเสมอ คุณเลือกที่จะตอบโต้กับสถานการณ์นั้นๆ อย่างไร คุณเลือกที่จะให้คนเหล่านั้นมามีผลกระทบ
ต่อชีวิตคุณอย่างไร คุณเลือกที่จะเป็นคนอารมณ์ดี หรืออารมณ์เสีย สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ คุณมีสิทธิที่จะเลือกดำเนินชีวิตของคุณเอง"

จากวันนั้นมา ผมก็นั่งใคร่ครวญสิ่งที่ไมเคิลพูด ผมลาออกจากบริษัทมาทำธุรกิจของผมเอง เราไม่ได้ติดต่อกันเลย แต่ผมก็คิดถึงเขาเสมอเมื่อใดก็ตามที่ผมต้องตัดสินใจเกี่ยวกับชีวิตแทนที่จะงุ่นง่านมีปฏิกิริยาตอบโต้กับสิ่งที่เกิดขึ้น

หลายปีต่อมา ผมได้ข่าวว่า ไมเคิลประสบอุบัติเหตุร้ายแรง เขาหล่นจากหอสื่อสารที่สูงระดับ 600 ฟุต หลังจากการผ่าตัดอันยาวนานถึง 18 ชั่วโมง และอยู่ในความดูแลในห้อง ICU นานหลายสัปดาห์ ไมเคิลก็ออกจากโรงพยาบาลโดยมีเส้นลวดฝังอยู่ที่หลัง

ผมเห็นไมเคิลอีกครั้งหกเดือนหลังจากที่เขาประสบอุบัติเหตุ พอผมถามเขาว่า เขาเป็นอย่างไรบ้าง เขาตอบผมว่า
"ถ้าผมดีกว่านี้ ผมก็จะมีฝาแฝดล่ะซิ" แล้วไมเคิลก็ถามผมว่า "อยากเห็นรอยแผลเป็นของผมไหมล่ะ"
ผมปฏิเสธที่จะดูบาดแผล แต่ก็ถามว่าเขาคิดยังไงตอนที่เกิดอุบัติเหตุ

ไมเคิลบอกผมว่า..."สิ่งแรกที่เข้ามาในความคิดผม คือ ผมมีทางเลือก 2 ทาง คือเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ หรือเลือกที่จะตาย ผมเลือกที่จะมีชีวิตอยู่"
"ไมเคิล คุณไม่กลัวหรือ คุณหมดสติใช่ไหมตอนนั้น"
"บุคลากรการแพทย์นั้นเก่งมาก พวกเขาบอกกับผมว่า ผมไม่เป็นอะไรหรอก แต่พอผมถูกเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ผมเห็นสีหน้าของหมอและพยาบาล ผมรู้สึกกลัวมากเลย จากสายตาของพวกเขา ผมรู้เลยว่า ผมนั้นเป็นคนที่ตายแล้ว ผมรู้ว่าผมจะต้องทำอะไรสักอย่าง"

"แล้วคุณทำอะไรล่ะ ไมเคิล"
"มีพยาบาลคนหนึ่ง ยิงคำถามใส่ผมเยอะแยะไปหมด เธอถามว่า ผมแพ้ยาอะไรไหม ผมก็ตอบไปว่า ...แพ้ครับ..."
หมอและพยาบาลหยุดครู่หนึ่งขณะรอฟังคำตอบจากผม ผมหายใจลึกและยาวก่อนจะตะโกนออกไปว่า..
"ผมแพ้แรงโน้มถ่วงของโลกครับ เพราะแรงโน้มถ่วงมันดึงผมลงมาจากตึกครับ"
ทั้งหมอ และพยาบาลหัวเราะ ผมบอกเขาว่า ผมเลือกจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ผ่าตัดผมเหมือนกับผมมีชีวิตอยู่
ไม่ใช่แบบที่ผมตายแล้วนะครับ

ไมเคิลมีชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่เพราะความเก่งของหมอเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะทัศนคติที่น่าทึ่งของเขาด้วย
ผมได้เรียนรู้จากเขาว่าทุกวันที่ผ่านไป เรามีทางเลือกที่จะใช้ชีวตอย่างเต็มที่เสมอ

เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ทัศนคตินั้นคือทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งความรู้สึกทุกข์หรือสุข เป็นในสิ่งที่เราอยากเป็น หรือแม้กระทั่ง
อยากจะอยู่หรืออยากจะตาย

ทัศนคตินั้นเป็นตัวกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเรา หากเราไม่ยอมแพ้ ถึงแม้เราจะพบอุปสรรคมากมาย จิตใจส่วนลึกของเราก็จะกระซิบบอกกับตัวเราว่า เราจะพยายามต่อไปอีกในวันต่อไป

หากเรานำพยัญชนะแต่ละตัวของคำว่า "ATTITUDE" มาให้คะแนนตามลำดับตัวอักษร คือ a = 1, b = 2 ฯลฯ แล้ว
ผลจะออกมาดังนี้

A = 1
T = 20
T = 20
I = 9
T = 20
U = 21
D = 4
E = 5

รวมแล้ว = 100 คะแนนเต็มพอดี
นั่นหมายถึง ทัศนคติที่เรามีนั้นเป็นตัวกำหนดความสำเร็จ ความล้มเหลว สุขทุกข์ และทัศนคติซึ่งหมายถึง ทุกสิ่งของชีวิต

จากหนังสือ เรื่องเล่าของชีวิต
โดย เศรษฐวิทย์



Attitude

If we ask what has a tremendous impact on one's life. the answers will vary indefinitely. Let's see how this guy view his accomplishment.

The longer I live, the more I realize the impact of attitude on life.

Attitude, to me, is more important than facts.

It is more important than the past, than education, than money, than circumstances, than failures, than successes, than what other people think or say or do. It is more important than appearance, giftedness or skill.

It will make or break a company a church a home.
The remarkable thing is, we have a choice every day, regarding the attitude we will embrace for that day.

We cannot change the inevitable.

The only thing we can do is play on the one string we have, and that is our attitude.
I am convinced that life is 10% what happens to me and 90% how I react to it.
And so it is with you we are in charge of our attitudes.

Michael is the kind of guy you love to hate. He is always in a good mood and always has something positive to say.
When someone would ask him how he was doing, he would reply,
"If I were any better, I would be twins!"

He was a natural motivator. If an employee was having a bad day, Michael was there telling the employee how to look on the positive side of the situation.

Seeing this style really made me curious, so one day I went up to Michael and asked him,
"I don't get it! You can't be a positive person all of the time. How do you do it?

Michael replied, "Each morning I wake up and say to myself, Mike, you have two choices today.
You can choose to be in a good mood or you can choose to be in a bad mood. I choose to be in a good mood."

"Each time something bad happens, I can choose to be a victim or I can choose to learn from it. I choose to learn from it. Every time someone comes to me complaining, I can choose to accept their complaining or I can point out the positive side of life. I choose the positive side of life."

"Yeah, right, it's not that easy, " I protested.

"Yes, it is," Michael said. "Life is all about choices. When you cut away all the junk, every situation is a choice. You choose how you react to situations. You choose how people will affect your mood. You choose to be in a good mood or bad mood The bottom line : It's your choice how you live life."

I reflected on what Michael said. Soon thereafter, I left the company to start my own business. We lost touch, but I often thought about him when I made a choice about life instead of reacting to it.

Several years later, I heard that Michael was involved in a serious accident, falling some 60 feet from a communications tower. After 18 hours of surgery and weeks of intensive care, Michael was released from the hospital with rods placed in his back

I saw Michael about six months after the accident. When I asked him how he was, he replied. "If I were any better, I'd be twins. Wanna see my scars?"

I declined to see his wounds, but did ask him what had gone through his mind as the accident took place. "The first thing that went through my mind was that I had two choices : I could choose to live or I could choose to die. I chose to live."

Weren't you scared? Did you lose consciousness?" I asked.

Michael continued, "...the paramedics were great. They kept telling me I was going to be fine, But when they wheeled me into the ER and I saw the expressions on the faces of the doctors and nurses, I got really scared. In their eyes, I read he's a dead man. I knew I needed to take action."

"What did you do?" I asked.
"Well, there was a big burly nurse shouting questions at me," said Michael. "She asked if I was allergic to anything." "Yes, I replied." The doctors and nurses stopped working as they waited for my reply. I took a deep breath and yelled, Gravity!"

Over their laughter, I told them, I am choosing to live. Operate on me as if I am alive, not dead.

Michael lived, thanks to the skill of his doctors, but also because of his amazing attitude. I learned from him that every day we have the choice to live fully.

Attitude, after all, is everything.
Attitude is everything. You simply cannot be beaten if, at the end of the day, some tiny part of you can still whisper, "I will try again tomorrow."

Give each letter of the alphabet a number, a=1, b=2, etc. If you add up the letters of the alphabet in the word "Attitude" this is the result :

A = 1
T = 20
T = 20
I = 9
T = 20
U = 21
D = 4
E = 5

Attitude is 100%


:)
Last edited by Jseventh on Fri Apr 10, 2009 3:02 pm, edited 1 time in total.
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเทวาหรือซาตาน มนุษย์เท่านั้นที่เป็นผู้กำหนด
User avatar
Jseventh
 
Posts: 1741
Joined: Wed Nov 19, 2008 11:19 am

Re: มุมมองที่เรามีต่อชีวิต (Attitude)

Postby amalit1990 » Mon Apr 06, 2009 6:48 pm

ผมเคยอ่านหนังสือ เล่มหนึ่งของ ท่านหลวงปู่ ติช นัท ฮันท์

ท่านกล่าวถึงความเบิกบาน ความเบิกบานในการทำงานหลายๆสิ่ง

และมีสติอยู่กับสิ่งนั้น
ø¤º°¨„ø¤º°¨°º¤ø„¸¨°º¤ø„¸¸„ º¤ø„¸
¨°º¤ø„ ¸THE BEATLES FOREVER!! º¤ø„¸
¸„ø¤º°¨¸„ø¤º „¸¨°º¤ø„¸¸„ ¸„ø¤º
User avatar
amalit1990
 
Posts: 1026
Joined: Mon Oct 13, 2008 1:22 am

Re: มุมมองที่เรามีต่อชีวิต (Attitude)

Postby Jseventh » Fri Apr 10, 2009 3:00 pm

สวัสดีปีใหม่ไทย (สงกรานต์) ค่ะ คุณ amalit 1990 :)

ดิฉันเรียนตามตรง..ดิฉันยังไม่เคยอ่่านหนังสือของท่านหลวงปู่ ติช นัท ฮันท์ เลยสักเล่ม! :oops:

เคยได้ยินครั้งแรกจากคุณ Cryfreedom ที่เขียนตอบในกระทู้ของดิฉัน
หลังจากนั้น ดิฉันจึงเริ่มหาข้อมูลเล็กๆน้อยๆ เกี่ยวกับท่าน ด้วยความอยากรู้
ที่น่าอิ่มเอมใจ..ก็คือ..มีบางความคิด ความรู้สึกของดิฉัน ที่มีลักษณะคล้ายกับท่าน

"สวรรค์ในอก นรกในใจ จิตเรานั้นไซร้กำหนดให้ทุกสิ่งอัน"

ดิฉันเชื่อว่า เราทุกคนสามารถรับรู้ เข้าใจ และเบิกบานได้
เราสามารถรู้สึก รับรู้ และเข้าใจ ได้เหมือนกับที่ท่านติช นัท ฮันท์ รู้สึก รับรู้ และเข้าใจ
เพราะอวัยวะแห่งการรับรู้นั้น มีอยู่ในตัวเราทุกคน แต่ต้องมองหาจากภายในจิตของเรา
ประสบการณ์จากการพิจารณาทุกข์สุขของชีวิตตามความเป็นจริง จะทำให้เราพบสัจธรรมที่เป็นสากล

:)
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเทวาหรือซาตาน มนุษย์เท่านั้นที่เป็นผู้กำหนด
User avatar
Jseventh
 
Posts: 1741
Joined: Wed Nov 19, 2008 11:19 am

good

Postby Gossioii6 » Sat Apr 18, 2009 12:14 am

I feel good that there are people like you too. Thanks for this great weblog of yours. Its surely going to get me to go to higher places!
User avatar
Gossioii6
 
Posts: 5
Joined: Mon Mar 09, 2009 3:36 pm


Return to ชายคาพักใจ