อย่าเชื่อเพียงเพราะเขาเป็นอาจารย์

เรื่องการเมือง เชิญที่นี่เลยครับ
Forum rules
- ห้ามใช้คำพูดหยาบคาย
- ห้ามโพสกระทู้หรือข้อความที่ดูหมิ่นเสียดสีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอันขาด

เชิญทุกท่านเข้าสู่บอร์ดใหม่ได้ที่ http://webboard.serithai.net ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ viewtopic.php?f=2&t=44976 ครับ

อย่าเชื่อเพียงเพราะเขาเป็นอาจารย์

Postby pornchokchai » Wed Oct 15, 2008 6:06 am

อย่าเชื่อเพียงเพราะเขาเป็นอาจารย์
.
ดร.โสภณ พรโชคชัย <1>
.
.
ช่วงนี้ในเมืองไทยมีอาจารย์ใหญ่ๆ ออกมาพูดอย่างนั้นอย่างนี้กันมากมายหลายทาง ทำให้งุนงงไม่รู้ว่าเราจะเชื่อใครดี แต่ก็วางใจเถอะครับ อาจารย์มหาวิทยาลัยมีตั้ง 53,971 คน <2> ที่ออกมาเย้วๆ จึงเป็นเพียงอาจารย์ส่วนน้อย
.
วันก่อนผมกระเทาะเปลือกอาจารย์มาทีหนึ่งด้วยบทความ “ว่าด้วย “ดร. ผศ. รศ. อาจม อาจารย์” <3> พร้อมบทวิพากษ์อาจารย์มหาวิทยาลัยของแดง ไบเล่ <4> วันนี้ผมจึงมองต่างมุมในด้าน “จุดอับ” หรือ “จุดดับ” ของอาจารย์บ้าง เผื่อประเทศไทยจะเกิดบรรยากาศสังคมอุดมปัญญา ต่างคนต่างคิดได้เองโดยไม่ถูกอาจารย์ครอบงำ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ฟังคำชี้แนะ ทักทายของอาจารย์เลย
.
ผมเองไม่เคยเป็นอาจารย์ประจำ ไม่เคยขโมยเวลานักศึกษาไปทำธุรกิจ แต่ไปบรรยายในสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศมาตั้งแต่ปี 2523 รวมทั้งโรงเรียนนายร้อย จปร. หรือสถาบันพระปกเกล้า (ยังขาดแต่โรงเรียนพาณิชย์เท่านั้น!)
.
ผมเคยได้ยินว่าอาจารย์บางคนบอกว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองสอน แต่ที่ต้องทนสอนเพราะทำตามหน้าที่! ผมฟังแล้วสังเวชใจ และเชื่อว่าเขาคงพูดไม่จริง ที่เขาทนอยู่เพราะเขาได้อภิสิทธิ์ทั้งเงินทั้งกล่องของการเป็นอาจารย์ต่างหาก
.
.
ชอบแสดงภูมิ
.
ผมอยากบอกว่า คนเป็นอาจารย์มักชอบแสดงภูมิ ผมจำนิทานเรื่องหนึ่งที่ยายผมซึ่งเป็นคนจีนอพยพมาจากแผ่นดินใหญ่เล่าให้ฟังว่า มีอยู่วันหนึ่งอาจารย์กับลูกศิษย์คู่หนึ่งเดินไปด้วยกันตามทาง ระหว่างทางลูกศิษย์เห็นกองอะไรดูคล้ายงูอยู่เบื้องหน้า จึงบอกอาจารย์ว่า “อาจารย์ครับ ข้างหน้ามีงู” อาจารย์รีบตอบสวนกลับมาว่า “มิน่าล่ะ อาจารย์จึงได้ยินเสียงมันเลื้อย”
.
ต่อมาลูกศิษย์เดินไปดูใกล้ๆ และใช้ไม้เขี่ยดู เห็นไม่ไหวติง จึงตะโกนมาบอกอาจารย์ว่า “อาจารย์ครับ งูมันตายแล้ว” อาจารย์ก็หลับหูหลับตาตอบกลับมาว่า “มิน่าล่ะ อาจารย์ถึงได้กลิ่นอะไรเหม็นๆ”
.
และเมื่อลูกศิษย์ได้ตรวจดูอย่างละเอียดกลับพบว่าเป็นแค่เชือกขดหนึ่ง จึงบอกความจริงแก่อาจารย์ อาจารย์กลับตอบหน้าตาเรียบเฉยว่า “อาจารย์ว่าแล้วไหมล่ะว่ามันไม่น่าจะมีเรื่องเช่นนี้ เธอ (ลูกศิษย์) เข้าใจผิดไปเอง”
.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อาจารย์หลายคนชอบทำตัว “แสนรู้” ให้สมฐานะอยู่เสมอๆ แต่ความจริงอาจารย์จำนวนมาก “กร่างแต่กลวง” ไม่รู้จริง
นอกจากนี้อาจารย์ยังชอบให้คนแสดงความนับถือ ไม่ต่างจากผู้ทรงอำนาจ เพราะสามารถชี้ชะตานักศึกษาด้วยเกรด จึงกลายเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง มีอัตตาสูง และขาดความคิดที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ฟังเสียงคนส่วนใหญ่ จนบางคนถึงขนาดก่ออาชญากรรมทางเพศ อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรืออาชญากรรมทางการเมือง เป็นต้น
.
.
มีวงจรอุบาทว์
.
ยังมีนิทานอีกเรื่องหนึ่งเป็นของนิกายเซ็น เรื่องมีอยู่ว่า มีวัดแห่งหนึ่งเจ้าอาวาสเป็นคนเฉลียวฉลาด ส่วนพระลูกวัดซึ่งเป็นพี่ชายเจ้าอาวาสไม่ฉลาดและตาบอดข้างหนึ่ง
.
ครั้งหนึ่งมีพระอาคันตุกะประสงค์จะมาค้างแรมในวัด แต่ธรรมเนียมในสมัยนั้นมีว่า ถ้าพระอาคันตุกะตอบปัญหาธรรมะไม่ได้ ก็จะไม่ได้นอน ต้องไปอยู่กลางป่า ข้อนี้ก็แปลกว่าทำไมต้องมีธรรมเนียมเช่นนี้ก็ไม่รู้
.
ปกติเจ้าอาวาสมักออกงานเอง และไม่เคยมีพระอาคันตุกะไหนชนะท่านเลย แต่คราวนี้ท่านคงจะใจดีเลยส่งพระพี่ชายตาบอดไปแทน พระพี่ชายกับพระอาคันตุกะจึงเดินเข้าไปในห้องหนึ่ง โดยพระพี่ชายนั่งติดผนังด้านใน ส่วนพระอาคันตุกะนั่งติดทางออก
.
พระอาคันตุกะก็ถามพระพี่ชายว่า “เราจะตอบปัญหาธรรมะแบบไหนดี” พระพี่ชายก็ตอบไปว่า “แบบไหนก็ได้” พระอาคันตุกะจึงบอกว่า “ถ้าเช่นนั้นเรามาใช้ภาษาท่าทางกัน”
.
พระอาคันตุกะจึงชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว พระพี่ชายเห็นเข้าจึงผายยิ้มและชูขึ้นมาสองนิ้ว พระอาคันตุกะจึงเบิกยิ้มกว้างและชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว พระพี่ชายจึงทำหน้าขึงขังและชูกำปั้น เท่านั้นแหละครับพระอาคันตุกะทำหน้าซีดเผือดแล้วโค้งคำนับลาออกจากห้องมา
.
พอออกมาพบเจ้าอาวาสในบริเวณลานวัดก็บอกว่าตนแพ้แล้ว เจ้าอาวาสงงว่าพระอาคันตุกะแพ้ได้อย่างไร ในใจเจ้าอาวาสคงคิดว่าตนส่ง “หมู” ไปให้แล้ว ไฉนท่านจึงแพ้อีก
.
พระอาคันตุกะจึงเล่าให้ฟังว่า “พออาตมาเริ่มแข่งก็ชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้วในความหมายว่าศาสนาพุทธของเรามีพระพุทธเจ้าเป็นที่หนึ่ง พระพี่ชายท่านก็ชูขึ้นมาสองนิ้ว แปลว่ามีพระพุทธก็ต้องมีพระธรรมคู่กัน อาตมาจึงชูสามนิ้ว แปลว่า ต้องมีพระสงฆ์ด้วย อาตมาเชื่อว่าชนะแน่แล้ว แต่พระพี่ชายของท่านเก่งมากเลยครับ ท่านชูกำปั้น ซึ่งตีความได้ว่า ทั้งสามสิ่งรวมกันเป็นพระรัตนตรัย อาตมาจึงจนด้วยเกล้าแล้วล่ะครับ”
.
เจ้าอาวาสฟังได้ด้งนี้จึงเข้าใจพร้อมกับรับคำลาของพระอาคันตุกะที่กำลังจากไป พร้อมกับเกาหัวแกรก ๆ ว่าทำไมวันนี้พระพี่ชายของตนจึงเก่งอย่างนี้ พอพระอาคันตุกะคล้อยหลังไปสักพักเดียว พระพี่ชายรีบวิ่งกระหืดกระหอบมาถามหาพระอาคันตุกะด้วยน้ำเสียงที่โกรธเกรี้ยว
.
เจ้าอาวาสก็ยิ่งงงใหญ่ ถามพระพี่ชายว่า “พี่ชนะแล้ว พี่มีปัญหาอะไรหรือ” พระพี่ชายรีบตอบไปว่า “ชนะกะผีอะไร พวกเรายังไม่ทันแข่งกันเลย” เจ้าอาวาสเลยยิ่งงงไปใหญ่
.
พระพี่ชายเล่าให้ฟังว่า “พอเข้าไปถึงในห้อง ยังไม่ทันไร พระนั่นก็ชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว มันดูถูกว่าพี่มีตาเดียว พี่ก็ใจเย็น ยิ้มและชูสองนิ้วยินดีกับเขาที่มีสองตา มันยังไม่หนำใจ มันชูสามนิ้วอีกล้อเลียนต่อว่า แต่เราสองคนรวมกันมีสามตา”
.
พระพี่ชายเล่าต่อด้วยความแค้นว่า “พี่เลยชูกำปั้นกะจะชกหน้ามัน แต่อารามรีบร้อนลุกเลยสะดุดจีวรหัวน็อกพื้นไปเสียก่อน พอหายมึนจึงรีบวิ่งออกมาหมายชำระแค้นมันสักหน่อย!”
.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าในวงการต่างๆ มักมีพิธีกรรมเฉพาะหรือมีคำพูดเฉพาะ (jargon) ซึ่งในแง่หนึ่งก็อาจทำให้ดูขลัง แต่ในอีกแง่หนึ่งก็ทำให้ห่างเร้นไปจากความเป็นจริง แข็งทื่อ โง่งม ดังนั้นพออาจารย์ผู้ทรงความน่าเชื่อจูงจมูกหรือชี้นิ้วไปในทางใด ลูกศิษย์ก็จะเฮตามไปโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ก่อความวิบัติ “เน่าใน” ไปในที่สุด
.
.
เราต้องกล้ากบฏ
.
เพื่อสังคมอุดมปัญญา ปัญญาชนต้องกล้ากบฏ (ทางความรู้ ความคิด) เพื่อใฝ่หาความรู้ใหม่ ไม่ย่ำอยู่กับที่ จึงจะเกิดปรากฏการณ์ “คลื่นลูกหลังไล่ทันคลื่นลูกหน้า” ไม่ใช่สักแต่ไปอยู่ใต้อิทธิพลของอาจารย์ที่นานวันจะทำตัวเป็น “เจ้ากู” มากขึ้นทุกที
.
เพื่อให้เห็นภาพชัด ผมจึงขอเล่านิทานเซ็นอีกเรื่องให้ฟังว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งพระสองรูปเดินอยู่ รูปหนึ่งเป็นพระอาจารย์ อีกรูปเป็นพระลูกศิษย์หนุ่ม พอเดินไปได้สักพัก ก็พบหญิงสาวในชุดกิโมโนสวยงามยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ นางจะข้ามถนน แต่ข้ามไม่ได้เพราะถนนเป็นโคลนไปหมด ชุดของเธออาจเปรอะเปื้อนได้
.
พระอาจารย์ก็เลยอาสาแบกนางข้ามไปส่งอีกฝั่งหนึ่ง แล้วก็เดินต่อไปอย่างหน้าตาเฉย พระลูกศิษย์อ้าปากค้าง แต่ไม่กล้าขัด (ลาภ) พระอาจารย์
ทั้งสองเดินจนเกือบถึงวัดอยู่แล้ว พระลูกศิษย์อดรนทนต่อไปไม่ไหว จึงโพล่งถามพระอาจารย์ “อาจารย์แตะต้องตัวสตรีเช่นนี้ ไม่อาบัติหรือครับ”
.
พระอาจารย์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “อาตมาวางนางลงไปตั้งนานแล้ว เจ้ายังไม่วางนางลงไปอีกหรือ” (ฮา)
.
นิทานเซ็นเรื่องนี้ตีความได้ว่า ศีลนั้นมีไว้สำหรับคนที่ใจยังไม่บรรลุธรรม (แต่ก็ต้องระวัง ซาตานก็มักอ้างเช่นนี้) ถ้าใจเที่ยงก็ไม่จำเป็นต้องยึดติดกรอบ การคิดออกนอกกรอบจะทำให้เราเกิดปัญญาและเกิดการพัฒนาในที่สุด ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราถูกกรอกหู ถูกล้างสมองโดยพวกอาจารย์นานๆ เราก็จะกลายเป็นคนคิดไม่เป็น หรือปล่อยหน้าที่การคิดให้คนอื่น
.
.
ปัญญาชนที่แท้
.
ความเป็นปัญญาชนไม่ได้อยู่ที่มีใบปริญญา แต่อยู่ที่วัตรปฏิบัติและวัดผลที่คุณภาพการคิด ปัญญาชนที่แท้ต้องเปิดใจกว้าง ยอมรับข้อมูลที่แตกต่าง นำมาวินิจฉันและวิเคราะห์ให้ดี รู้จักฉุกคิด และคิดอย่างมีกลยุทธ คิดต่อเนื่อง ค้นหาข้อมูลและปะติดปะต่อให้เห็นความจริง นี่จึงเป็นการส่งเสริมสังคมอุดมปัญญาที่ให้เกียรติทุกคน
.
อาจารย์จำนวนมาก มีแต่ฟอร์ม ยืมจมูกนักศึกษาหายใจ ขาดการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่อง ชอบทึกทักและชอบใช้อำนาจ ซึ่งกลายเป็นคนฉุดรั้งการพัฒนาไปอย่างน่าเสียดาย
.
เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจบัณฑิตหรือปัญญาชน ผมจึงขอจบด้วยกาลมสูตร 10 เพื่อให้ทุกท่านได้ฉุกคิดว่าอย่าปลงใจเชื่อ 1.ด้วยการฟังตามกันมา 2.ด้วยการถือสืบ ๆ กันมา 3.ด้วยการเล่าลือ 4.ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์ 5.ด้วยตรรก 6.ด้วยการอนุมาน 7.ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล 8.เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน 9.เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ และ 10.เพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา เราจะเชื่อก็ต่อเมื่อพิจารณาเห็นด้วยปัญญา <5>
ทุกคนทั้งนักศึกษา อาจารย์น้อย ต้องปลดแอกจากการครอบงำทางความคิดของอาจารย์ใหญ่ๆ ผมไม่ได้บอกให้เนรคุณอาจารย์นะครับ อาจารย์ที่แท้ต้องดีใจที่ลูกศิษย์ดีกว่าและสามารถส่งเสริมให้ลูกศิษย์คิดเป็น จึงเป็นครูที่แท้ ไม่ใช่สักแต่มาเสพสุขจากการมีอภิสิทธิ์ของการเป็นอาจารย์
.
นักคิดที่คนเชื่อว่ายิ่งใหญ่ เช่น อานันท์ สุลักษณ์ ประเวศ ฯลฯ ต้องสามารถสร้างศิษย์ให้เหนือกว่าตนและสร้างจำนวนมากๆ ไม่ใช่ทุกอย่างยึดติดกับตัวอาจารย์
.
.
หมายเหตุ
<1> ดร.โสภณ พรโชคชัย จบดุษฎีบัณฑิตด้านที่ดิน-ที่อยู่อาศัยจาก Asian Institute of Technology, ประกาศนียบัตรการพัฒนาที่อยู่อาศัย Katholieke Uniersiteit Leuven และประกาศนียบัตรการประเมินค่าทรัพย์สิน LRTI-Lincoln Institute ประธานกรรมการมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินไทย และเป็นกรรมการหอการค้าไทยสาขาจรรยาบรรณและอสังหาริมทรัพย์ Email: sopon@thaiappraisal.org
.
<2> สถิติจำนวนอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2550 ดูได้ที่ http://www.mua.go.th/infodata/50/teacher50.xls
.
<3> โปรดอ่าน บทความ “ว่าด้วย ‘ดร. ผศ. รศ. อาจม อาจารย์’” ได้ที่ http://www.dailynews.co.th/forums2007/d ... s&m=219464 หรือที่ http://www.prachatai.com/05web/th/home/13819
.
<4> โปรดอ่าน http://www.bloggang.com/mainblog.php?id ... 3&gblog=82
<5> ที่มาคือ http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/002684.htm
คนเราต้องเปิดใจกว้างรับฟังสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า ต้องอยู่กับปัจจุบัน อย่าไปมีอคติหรือความหลงแต่แรกว่าพวกเขา พวกเรา ไม่เช่นนั้น ก็ไม่เกิดการเรียนรู้ และที่สำคัญ เราควรมีความรัก ปรารถนาดีและเมตตาคู่สนทนาแม้จะไม่รู้จักกันมาก่อนก็ตาม นี่จึงเป็นกุศลแท้ครับ
User avatar
pornchokchai
 
Posts: 347
Joined: Wed Oct 15, 2008 6:04 am
Location: Bangkok

Re: อย่าเชื่อเพียงเพราะเขาเป็นอาจารย์

Postby พรรณชมพู » Wed Oct 15, 2008 10:36 am

หลวงตา หรือแพรเยื่อไม้ เคยเขียนเรื่องตอนหนึ่งไว้ได้ประทับใจ

หลวงตาซึ่งเป็นนักเทศน์ฝีปากกล้า กำลังเดินเพื่อจะไปธุระ โยมคนหนึ่งก็ถือขวานปราดเข้ามาหา หลวงตาชะงัก เพราะไม่ทราบว่า โยมจะมาดีหรือมาร้าย ปกติใครกันเล่าที่จะถือขวานปราดเข้ามาหาพระ

เมื่อโยมมาจนประชิดตัว ก็ก้มลงกราบ แล้วถวายขวานให้

หลวงตาจึงเอ่ยปากถามว่า นำขวานมาถวายอาตมาทำไม

โยมตอบว่า ขวานเล่มนี้มันดีหมด ถากอะไรก็ได้ทุกอย่าง แต่ถากด้ามของตัวเองไม่ได้

ว่าแล้วก็กราบลาไป :lol:

เมื่อ ผู้ที่ตั้งตนเป็นอาจารย์ ถากอาจารย์ท่านอื่นๆ ก็เหมือนขวานเล่มนั้น ที่ถากด้ามของตัวเองไม่ได้

หมายเหตุ
<1> นังพรรณชมพู จบ porsi จาก Wat link Kob Institute of Monk, ประกาศนียบัตรการพัฒนาชนิดไร้สาระ และประกาศนียบัตรการประเมินค่านักวิชาการ โดยมอบให้ตัวเอง ประธานกรรมการกองสาระแนทั่วประเทศ และเป็นกรรมการหอการค้าทำไมสาขาขาดจรรยาบรรณและจ้องจะเล่นทรัพย์ Email: ดูในบอร์ดนั่นแหละ
"silent key 16/06/2009"
User avatar
พรรณชมพู
 
Posts: 1774
Joined: Mon Oct 13, 2008 1:17 pm

Re: อย่าเชื่อเพียงเพราะเขาเป็นอาจารย์

Postby pornchokchai » Thu Oct 16, 2008 4:23 am

ขอความเห็นเพิ่มเติมครับ
คนเราต้องเปิดใจกว้างรับฟังสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า ต้องอยู่กับปัจจุบัน อย่าไปมีอคติหรือความหลงแต่แรกว่าพวกเขา พวกเรา ไม่เช่นนั้น ก็ไม่เกิดการเรียนรู้ และที่สำคัญ เราควรมีความรัก ปรารถนาดีและเมตตาคู่สนทนาแม้จะไม่รู้จักกันมาก่อนก็ตาม นี่จึงเป็นกุศลแท้ครับ
User avatar
pornchokchai
 
Posts: 347
Joined: Wed Oct 15, 2008 6:04 am
Location: Bangkok

Re: อย่าเชื่อเพียงเพราะเขาเป็นอาจารย์

Postby Prinscess » Thu Oct 16, 2008 4:51 am

Sorry, I don't know what's means ?
User avatar
Prinscess
 
Posts: 131
Joined: Wed Oct 15, 2008 4:35 am
Location: Bangkok

Re: อย่าเชื่อเพียงเพราะเขาเป็นอาจารย์

Postby kittie » Thu Oct 16, 2008 6:30 am

พรรณชมพู wrote:เมื่อ ผู้ที่ตั้งตนเป็นอาจารย์ ถากอาจารย์ท่านอื่นๆ ก็เหมือนขวานเล่มนั้น ที่ถากด้ามของตัวเองไม่ได้



ชัดเจนครบถ้วนค่ะ !!!
Vi Veri Veniversum Vivus Vici
"By the power of truth I, while living, have conquered the world"

===============================================
http://kittiepong.hi5.com
User avatar
kittie
 
Posts: 138
Joined: Mon Oct 13, 2008 8:55 pm

Re: อย่าเชื่อเพียงเพราะเขาเป็นอาจารย์

Postby pornchokchai » Fri Oct 17, 2008 3:54 am

อันนี้ไม่ได้ถากถางอาจารย์นะครับ เราต้องกล้าวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อความก้าวหน้า ไม่ใช่ปล่อยให้อาจารย์ครอบงำ

แค่เล่าเรื่องขวานกับด้ามขวานแค่นี้น่ะหรือครับคือการวิเคราะห์ประเด็นในบทความหรือครับ
คนเราต้องเปิดใจกว้างรับฟังสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า ต้องอยู่กับปัจจุบัน อย่าไปมีอคติหรือความหลงแต่แรกว่าพวกเขา พวกเรา ไม่เช่นนั้น ก็ไม่เกิดการเรียนรู้ และที่สำคัญ เราควรมีความรัก ปรารถนาดีและเมตตาคู่สนทนาแม้จะไม่รู้จักกันมาก่อนก็ตาม นี่จึงเป็นกุศลแท้ครับ
User avatar
pornchokchai
 
Posts: 347
Joined: Wed Oct 15, 2008 6:04 am
Location: Bangkok

Re: อย่าเชื่อเพียงเพราะเขาเป็นอาจารย์

Postby Red Baron » Fri Oct 17, 2008 5:51 am

ขอนอกเรื่องเกี่ยวกับคุณภาพของอาจารย์ส่วนมากของบ้านเราหน่อยครับ


คือว่าผมก็พอมีประสพการณ์กับอาจารย์ที่ไม่ใช่คนไทยมาบ้างเขาทุ่มเทให้การสอนมากกว่าเราแบบปลายเส้นผมกับหนังส้นตีนเลย

สมมุติว่าชั่วโมงสอนสองชั่วโมง พอสอนได้ชั่วโมงแรกก็ทดสอบย่อยว่าใครตามไม่ทันแล้วแยกเด็กไว้ แล้วสอนต่อ พอครบครึ่งชั่วโมงก็ทดสอบย่อยอีกทีใครไม่ทันก็แยกไว้อีก พอครบสองชั่วโมงก็บอกว่าใครต้องเรียนต่อตอนเย็น พอสอนจนทั้งห้องได้ทันกันทั้งเด็กทั้งอาจารย์ก็ไปกินเบียร์ต่อที่ยูเนี่ยนก่อนแยกย้ายกลับดอม

ตอนสอบปลายภาคเด็กตกมากอาจารย์โดนสภาสอบนะครับ ไม่เหมือนบ้านเราที่เด็กคะแนนห่วยกลับชื่นชมว่าอาจารย์มาตราฐานสูงแต่เด็กโง่

อาจารย์บ้านเราที่ทุ่มเทที่ดีก็มีไม่น้อยนะครับ อย่างเทอมนี้อาจารย์ที่ปรึกษาของเจ้าลูกชายก็โทรคุยกับผมตลอดเวลาเรื่องผลการเรียนและพฤติกรรมนอกคอกของลูกผมที่มันเอาแต่สร้างหุ่นยนต์โรบ็อตกับเล่นดนตรีไม่ค่อยสนใจทำงานในห้องเรียน จนต้องวางมาตราการการเรียนใหม่แบบยกเครื่องตลอดเทอมโดยความร่วมมือของสองฝ่าย ทั้งที่มีเด็กต้องดูแลมากมายหลายคนยังใส่ใจทุ่มเทขนาดนี้ต้องยกให้เป็นอาจารย์ดีส่วนน้อยของบ้านเรา
อย่าถามหาความเป็นกลางจากผม
User avatar
Red Baron
 
Posts: 1883
Joined: Mon Oct 13, 2008 11:19 am

Re: อย่าเชื่อเพียงเพราะเขาเป็นอาจารย์

Postby NorthStar » Fri Oct 17, 2008 7:33 am

อืม....อาจารณ์สมัยที่ผมเรียนอยู่ก็มีแบบนี้นะคือสอนนักเรียน 500-600 คน สอบผ่าน แค่ 12 คน มหาวิทยาลัย น่าจะพิจารณาคนสอนบ้างนะว่าไหม.ตัดสินแบบเผด็จการตามนั้นเลย..แต่สมัยนั้นเราเด็กก็เลยต้องลงซัมเมอร์อบอุ่นกันทีเดียว...เหมือนกับว่าไม่มีปิดเทอมเลย..55555
User avatar
NorthStar
 
Posts: 172
Joined: Fri Oct 17, 2008 2:20 am


Return to สภากาแฟ



cron