Re: สำนวนคดีที่ดีนรัชดา
Postby mebeam on Tue Mar 03, 2009 1:12 pm
การติดคุก ของคุณทักษิณ ไม่ได้อยู่ที่การกระทำ
มันอยู่ที่การแพ้โหวต
ของคุณพจมาน ไม่ติดคุก เพราะชนะโหวต
การทำผิดกฎหมายคือ อะไร
การโหวต ในทางกฏหมาย ควรเป็นแค่
โหวต ว่าเชื่อ ได้ว่าผู้ต้องหาได้กระทำ หรือไม่ได้กระทำ
ถ้าเชื่อว่าผู้ต้องหากระทำ ก็แสดงว่ากระทำผิดจริง โทษคือ ก็ว่ากันไป
ถ้ายังไม่เชื่อว่าผู้ต้องหากระทำ ก็ยกฟ้อง
แต่กรณีเป็น การโหวต ว่า สิ่งที่จำเลยที่ 1 กระทำไปผิดกฏหมายหรือไม่
ก็ไม่น่าเกลียด ถ้าผลโหวตเป็นเอกฉันฑ์
แต่นี่้ผลโหวต ยังไม่เป็นเอกฉันฑ์ ฉิวเฉียด แสดงว่าไง
ผู้ที่คร่ำหวอด กับกฎหมาย ยังเชื่อว่ามันไม่ผิด
แล้วเราจะรู้ได้ไงครับ ว่าการกระทำที่เราเห็นว่าถูก นี่จะไปแพ้โหวต วันไหน
Re: สำนวนคดีที่ดีนรัชดา
Postby mebeam on Wed Mar 04, 2009 6:44 pm
มีคน บอกเค้าไม่ได้โหวต กันแฮะ
การกระทำทักษิณ ปฏิบัติแบบเดียว
คณะผู้พิพากษา 9 ท่าน
บางข้อก็ เอกฉันท์
บางข้อก็ 5 -4
บางข้อ 7-2
แล้วยังไงครับ ถ้า 4 คน หรือ 2 คนยืนยัน ว่าไม่ผิด หรือผิดจริง จะได้ไหม
ทำไมเค้าต้อง ยอมฝ่าย 5 คน กับฝ่าย 7 คน
อย่างนี้ไม่เรียกโหวต แล้วเรียกอะไรครับ
แล้วไอ้ข้อ 5-4 ถ้ามีผู้พิพากษาอีกท่านเห็นต่าง ไปอยู่อีกฝ่าย กลายเป็น 4-5
เนื้อหาในคำพิพากษาจะเปลี่ยนใหม
บางคนบอกเนื้อหาในคำพิพากษานั้นชัดเจน มีที่มาที่ไป อ่านไปจะรู้
ทำไมไม่ชัดเจนล่ะ ก็มันต้องเอามาจากความเห็นของเสียงส่วนใหญ่นี่
มันก็ต้องเขียนเหตุผลของ เสียงส่วนใหญ่
เหตุผลของเสียงส่วนน้อย ถึงมันจะชัดเจนยังไง ก็คงเอามาใช้ไม่ได้ หรอก
เค้าเอาปริมาณไม่ได้เอาคุณภาพ
แล้วผู้พิพากษาเสียงส่วนน้อย นี่ผมจะเรียกว่า ผู้ที่คลำ่่่่หวอด เชี่ยวชาญ ด้านกฏหมาย ได้ไหม
ทำไมเค้ายังบอกว่าคุณทักษิณไม่ได้ทำผิด แล้วมันจะแปลกอะไร ที่คุณทักษิณเชื่อว่าตัวเองบริสุทธิ์
ส่วนผม ก็คงจะยิ่งไม่แปลก ที่จะเห็นคุณทักษิณไม่ผิดเช่นเดียวกับผู้พิพากษาอีก 4 ท่าน
-พจมานรอดคุกเพราะว่ากม ปปช ไม่ได้ระบุโทษคู่สมรส
แล้วทำไม 2 ท่านยังเห็นว่าผิดอยู่ (7-2)
ถ้ามีอีก 3 ท่านเห็นด้วย คำพิพากษา ก็เปลี่ยนอีก ไม่ได้เป็นอย่างปัจจุบัน
ก็บอกแล้ว มันเรื่องโหวตชัดๆ
อาจจะมี คนแย้งแล้วคราวซุกหุ้นล่ะ ไม่เอกฉันท์ แล้วผมรู้สึกอะไรไหม
ผมยึดหลัก บ้านเราเมืองเรา ใช้หลักกล่าวหา มีอะไรคลุมเคลือไม่ชัดเจน
ต้องยกผลประโยชน์ให้จำเลย ปล่อยคนชั่ว ดีกว่าลงโทษคนบริสุทธิ์
คลุมเครือของผม คืออะไร
- จำเลยอาจไม่ได้ทำ , การกระทำของจำเลยอาจไม่ผิดกฎหมาย
ยิ่งมีผู้พิพากษาในการพิจารณา แม้แต่คนเดียว เชื่อว่าการกระทำของจำเลยไม่ผิดกฎหมาย
นี่ยิ่งต้องรีบยกฟ้องเลย
เพราะกฏหมาย จะใช้ลงโทษได้ไง ในเมื่อผู้ตัดสินบางคนคิดว่ามันไม่ได้ผิด หรือ ถ้าใครมาขอ
ความเห็น ของผู้พิพากษาท่านนั้นก็จะแนะนำไปว่าทำได้ ไม่ขัดกฏหมาย
การกระทำเดียวกัน ถ้าไปให้ผู้พิพากษา ท่านนี้ดู ท่านว่าผิด กฎหมาย
ถ้าไปถามคนนั้น ท่านว่าทำได้ ถ้าใช้ 9 ท่านนี้ผลจะออกมาผิด ถ้าไม่ใช่ชุดนี้ อาจจะไม่ผิด
สิ่งเหล่านี้เรียกว่าคลุมเครือ ต้องยกผลประโยชน์ให้ จำเลยไป
เนื้อหาและน้ำหนัก ที่ชอบอ้างมันจริงไหม
ผมว่า ถ้าเนื้อหาและน้ำหนัก มันมีจริง ทันทีที่ผู้พิพากษาเสียงส่วนน้อย ได้อ่านคำวินิจฉัยของเสียงส่วนใหญ่
ท่านต้องเห็นด้วยและรีบเปลี่ยนคำตัดสินแน่ คงไม่ยืนเป็นเสียงส่วนน้อยพร้อมยืน คำวินิจฉัยส่วนตน
บอกว่าคุณทักษิณไม่ได้ผิดอย่างนี้หรอก
ปุถุชน wrote:โดย : ประชาไท วันที่ : 24/4/2552
http://www.prachatai.com/05web/th/home/16596
หลังจากอ่านเหตุผล จากบทวิเคราะห์เชิงวิชาการข้างต้น
ทำให้ผมรู้สึกว่า ทักษิณ ไม่น่าจะต้องรับโทษ จำคุกสองปี
ท่านสมาชิกคิดเห็นเช่นไร ครับ
หรือว่า บทวิเคราะห์นี้ บิดเบือนบางประเด็น
หรือว่าผู้เขียนบทวิเคราะห์ เข้าใจอะไรผิด
ผมบอกก่อนว่าไม่ได้อ่านเนื้อหากระทู้....
ผมคิดว่าทักษิณต้องถูกลงโทษเพราะกฎหมายระบุไว้อย่างนั้น
เช่นเดียวกับสมัคร"ชิมไปบ่นไป"ต้องถูกลงโทษเพราะกฏหมายระบุไว้อย่างนั้น....
เช่นเดียวกับนักเล่นการพนันต้องถูกลงโทษเพราะกฏหมายไทยระบุไว้อย่างนั้น
ในขณะที่ลาสเวกัส สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ เขมร
บางเมืองในสหภาพยุโรปเล่นการพนันไม่ต้องถูกลงโทษ
ถ้าเล่นใน"บ่อน"ที่ได้รับอนุญาตเพราะกฏหมายระบุไว้อย่างนั้น....
ผมเชื่อว่าสองผัวเมียไม่สุจริตในการซื้อขาย
ใช้ตำแหน่งหน้าที่ของผัวในกรณีนี้...
1. เปลี่ยนวันหยุดสิ้นปีใหม่ทำให้สามารถโอนที่ดินทันวันที่ 31 ธันวาคม
มิฉนั้นจะต้องเสียภาษีใหม่ในปีใหม่...
มั่ว... เขาโอนที่เสร็จสิ้นในวันที่ 30 ธ.ค. แล้วไปดูที่ ตลก ตัดสินซิ มีประเด็นเรื่องเลี่ยงภาษีไหม ?
2. สุจริตชนมีสัมมาทิฐิเข้าใจดีว่า"บัตรประจำตัวนายกรัฐมนตรี"
นำไปแสดงเจ้าหน้าที่ฯมีความหมายอย่างไร...
หมายความว่า ขั้นตอนการประมูลเสร็จสิ้นไปแล้ว สามีมีหน้าที่ต้องอนุญาตให้ภรรยาทำนิติกรรม ขั้นตอนจึงจะสมบูรณ์
3. การเปลี่ยนแปลงประโยชน์การใช้สอยของที่ดินก่อน-หลังการซื้อ-ขาย...
เขาก็บอกไว้ว่า ทำเป็นที่อยู่อาศัย หรือถ้าจะไม่ทำเป็นที่อยู่อาศัยจริงๆ ไปใช้ประโยชน์ทางธุรกิจ จะห้ามอะไรเขาได้ เพราะทั้งแลนด์ ทั้งโนเบิ้ล ที่มาเข้าประมูลพร้อมกันก็คงนำไปทำธุรกิจแน่นอนอยู่แล้ว
4.การสมคบคิด"ราคา"นั้นเป็นที่"รู้กัน"
แม้แต่เจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ 2 รายที่
กระสันต์อยากได้ที่ดิน"ราคานั้น"
ต้องถอยฉากเพราะเห็นแก่หน้า"ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ"อสังหาริมทรัพย์.....
อันนี้ต้องบอกว่า โคตรอภิมหามั่ว ถ้าจะเป็นไปตามนิทานที่เขียนเล่ามานี้ แสดงว่าทั้ง แลนด์ และ โนเบิ้ล จะต้องรู้ราคาที่คุณหญิงคิดจะประมูล และการกระทำนี้จะเข้าข่ายผิดกฎหมายฮั้วไม่ใช่จริยธรรม ซึ่งทั้ง แลนด์ และ โนเบิ้ล จะต้องถูกดำเนินคดีด้วยทั้งสองบริษัท ไปดูคำตัดสินของคณะ ตลก ซิ มีเรื่องประเด็นนี้มั้ย ( เอาแค่ว่าให้ แลนด์ กับ โนเบิ้ล ให้การ มันยังไม่มีเลย)
ปล.คุณ"นีโอฯ"คิดว่าเจ้าของบทความ"ตะแบง"ไหม.....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
== ข้อความถูกระงับโดยผู้ดูแล ==
ridkun wrote:คุณเชื่อว่าอเมริกาของแท้จริงเปล่าครับคุณ mebeam
![]()
![]()
Kamo wrote:ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา เป็นแผนกที่จัดตั้งขึ้นใหม่ในศาลฎีกา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เพื่อพิจารณาพิพากษาคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้แก่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือข้าราชการการเมืองอื่นซึ่งถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น รวมทั้งกรณีบุคคลอื่นที่เป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุนด้วย
องค์คณะผู้พิพากษาในแผนกนี้ประกอบด้วย ผู้พิพากษาศาลฎีกาจำนวน 9 คน ที่คัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ขึ้นนั่งพิจารณาคดีเช่นเดียวกับศาลชั้นต้น แต่การพิจารณาคดีจะเป็นระบบไต่สวน ซึ่งแตกต่างจากวิธีพิจารณาที่ใช้ในคดีทั่วไป ศาลมีอำนาจไต่สวนหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ตามที่เห็นสมควร ตามวิธีพิจารณาคดีที่บัญญัติไว้ใน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542
ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา คนปัจจุบัน คือ นายประพันธ์ ทรัพย์แสง
mebeam wrote:ridkun wrote:คุณเชื่อว่าอเมริกาของแท้จริงเปล่าครับคุณ mebeam
![]()
![]()
อันนี้ไม่getครับ![]()
เอา แบบภาษาไทย มาฝาก เขียนได้ดี
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หลักเรื่องการวินิจฉัยข้อเท็จจริงในระบบลูกขุน(Jury System) เปรียบเทียบกับการวินิจฉัยข้อเท็จจริงโดยศาลตามกฎหมายไทย
-
-
-
การ พิจารณาของลูกขุนเป็นการประชุมลับ เริ่มต้นจะเลือกประธานลูกขุน แล้วมีการพูดจากัน สิ่งที่ลูกขุนพูดเป็นเอกสิทธิ์ แม้แต่ผู้พิพากษาก็ก้าวล่วงไม่ได้ ในศาลรัฐบาลกลางจะลงโทษจำเลยได้เมื่อลูกขุนมีมติเป็นเอกฉันท์และเมื่อ พิจารณาเสร็จแล้วให้แจ้งให้ผู้พิพากษาทราบ ผู้พิพากษาจะนั่งพิจารณาแล้วถามลูกขุนว่าพิจารณาว่าอย่างไรหากประธานลูกขุน ตอบว่าจำเลยมีความผิดศาลก็จะพิพากษากำหนดโทษ
-
-
http://learners.in.th/blog/wanchai-law/237736
blueday wrote:เมื่อก่อนสมัยประท้วงใหม่ๆ เวลาคุยเรื่องทักษิณโกงจริงหรือ สนธิโม้รึเปล่า ???
พวกหางแดงมักจะพูดว่า " ถ้าทักษิณผิดจริงทำไมไม่ติดคุก" พวกมันมักใช้คำนี้เป็นประโยคเด็ด เอาไว้เถึยงตลอด
ต่อมามันพูดว่า "ศาลไม่ยุติธรรม เชื่อถือไม่ได้" เวลาศาลสั่งจำคุกไปแล้ว พวกนี้มันแถได้ตลอดจริงๆ![]()
![]()
== ข้อความถูกระงับโดยผู้ดูแล ==
ที่ดินพิพาทในคดีนี้ กองทุนฟื้นฟูฯซื้อมาจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เอราวัณ ทรัสต์ จำนวน 13 โฉนด เนื้อที่ 35 ไร่เศษ มูลค่า 2,140 ล้านบาทเศษ และอีกหนึ่งแปลงซึ่งอยู่บริเวณศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย มูลค่า 2,749 ล้านบาทเศษ เนื่องจากเกิดวิกฤติสถาบันการเงินปี 2538 ต่อมาปี 2544 กองทุนฟื้นฟูฯ ได้มีการปรับปรุงบัญชีเพื่อปรับมูลค่าหนี้ให้ลดน้อยลง เพื่อให้เกิดสภาพคล่อง โดยปรับลดราคาที่ดินเหลือ 700 กว่าล้านบาท แต่การที่กองทุนฟื้นฟูฯ มีทรัพย์สินจำนวนมาก หากขายได้ราคาสูงมากเท่าใด กองทุนก็ย่อมขาดทุนน้อยลง รัฐเสียหายน้อยลง
ต่อมากองทุนฯ ได้นำที่ดินออกประมูลทางอินเทอร์เน็ต ตั้งราคาขั้นต่ำ 870 ล้านบาท กำหนดวางมัดจำ 10 ล้านบาท มีผู้เสนอตัวร่วมประมูล แต่ถึงเวลาไม่มีการเสนอราคาจึงยกเลิกประมูล แล้วเปิดประมูลใหม่โดยไม่กำหนดราคาขั้นต่ำ และเพิ่มการวางมัดจำเป็น 100 ล้านบาท อันถือได้ว่าเป็นการกีดกันทำให้มีผู้เข้าประมูลน้อยลง ในครั้งนี้จำเลยที่ 2 เข้าร่วมประมูลด้วย แม้ว่าจะมีอีก 2 บริษัท คือบริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ และบริษัทโนเบิล ดีเวลลอปเมนต์ ร่วมเสนอราคา แต่รู้ว่าต้องแข่งขันกับภริยานายกรัฐมนตรี จึงไม่กล้าสู้ราคา
แม้กองทุนฟื้นฟูฯ จะเห็นว่าราคาที่จำเลยที่ 2 เสนอ 772 ล้านบาทเ ป็นราคาสูงสุด แต่ก็ยังต่ำกว่าราคาขั้นต่ำในการประมูลครั้งแรกซึ่งอาจจะขายได้ราคาที่สูงและเหมาะสมกว่า อีกทั้งขณะนั้นจำเลยที่ 1 เป็นนายกรัฐมนตรี มีอำนาจบารมีเหนือรัฐมนตรีและมีอำนาจทางการเมืองสูง อีกทั้งฐานะการเงินมั่งคั่ง ตามหลักธรรมาภิบาลแล้ว นายกรัฐมนตรี ภริยา หรือบุตรไม่สมควรเข้าไปประมูลซื้อ เพราะการซื้อได้ราคาต่ำก็เป็นผลทำให้กองทุนฯ มีรายได้น้อยลง ขณะที่จำเลยที่ 2 มีผู้รู้จักจำนวนมาก ประกอบกับข้าราชการมีค่านิยมจำนนต่อผู้มีบารมีสูง นอกจากนั้นยังอาจให้คุณให้โทษทางราชการได้
เมื่อปรากฏว่า จำเลยที่ 1 ได้ให้บัตรประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีลงนามยินยอมให้จำเลยที่ 2 ทำสัญญาซื้อขายที่ดิน ย่อมถือได้ว่าเป็นการเข้าทำสัญญาด้วยตัวเอง ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา 100 (1) วรรคสาม ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าการลงชื่อยินยอมเป็นเพียงการทำตามระเบียบราชการ แต่จำเลยที่ 1 ก็ไม่มีหลักฐานมาแสดงให้เห็นได้ว่าไม่มีส่วนรู้เห็นต่อการซื้อขาย องค์คณะจึงมีมติ 5 ต่อ 4 เห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา 100 (1) วรรคสาม และต้องรับโทษตามมาตรา 122
55555 wrote:
ที่ดินพิพาทในคดีนี้ กองทุนฟื้นฟูฯซื้อมาจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เอราวัณ ทรัสต์ จำนวน 13 โฉนด เนื้อที่ 35 ไร่เศษ มูลค่า 2,140 ล้านบาทเศษ และอีกหนึ่งแปลงซึ่งอยู่บริเวณศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย มูลค่า 2,749 ล้านบาทเศษ เนื่องจากเกิดวิกฤติสถาบันการเงินปี 2538 ต่อมาปี 2544 กองทุนฟื้นฟูฯ ได้มีการปรับปรุงบัญชีเพื่อปรับมูลค่าหนี้ให้ลดน้อยลง เพื่อให้เกิดสภาพคล่อง โดยปรับลดราคาที่ดินเหลือ 700 กว่าล้านบาท แต่การที่กองทุนฟื้นฟูฯ มีทรัพย์สินจำนวนมาก หากขายได้ราคาสูงมากเท่าใด กองทุนก็ย่อมขาดทุนน้อยลง รัฐเสียหายน้อยลง
ต่อมากองทุนฯ ได้นำที่ดินออกประมูลทางอินเทอร์เน็ต ตั้งราคาขั้นต่ำ 870 ล้านบาท กำหนดวางมัดจำ 10 ล้านบาท มีผู้เสนอตัวร่วมประมูล แต่ถึงเวลาไม่มีการเสนอราคาจึงยกเลิกประมูล แล้วเปิดประมูลใหม่โดยไม่กำหนดราคาขั้นต่ำ และเพิ่มการวางมัดจำเป็น 100 ล้านบาท อันถือได้ว่าเป็นการกีดกันทำให้มีผู้เข้าประมูลน้อยลง ในครั้งนี้จำเลยที่ 2 เข้าร่วมประมูลด้วย แม้ว่าจะมีอีก 2 บริษัท คือบริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ และบริษัทโนเบิล ดีเวลลอปเมนต์ ร่วมเสนอราคา แต่รู้ว่าต้องแข่งขันกับภริยานายกรัฐมนตรี จึงไม่กล้าสู้ราคา
แม้กองทุนฟื้นฟูฯ จะเห็นว่าราคาที่จำเลยที่ 2 เสนอ 772 ล้านบาทเ ป็นราคาสูงสุด แต่ก็ยังต่ำกว่าราคาขั้นต่ำในการประมูลครั้งแรกซึ่งอาจจะขายได้ราคาที่สูงและเหมาะสมกว่า อีกทั้งขณะนั้นจำเลยที่ 1 เป็นนายกรัฐมนตรี มีอำนาจบารมีเหนือรัฐมนตรีและมีอำนาจทางการเมืองสูง อีกทั้งฐานะการเงินมั่งคั่ง ตามหลักธรรมาภิบาลแล้ว นายกรัฐมนตรี ภริยา หรือบุตรไม่สมควรเข้าไปประมูลซื้อ เพราะการซื้อได้ราคาต่ำก็เป็นผลทำให้กองทุนฯ มีรายได้น้อยลง ขณะที่จำเลยที่ 2 มีผู้รู้จักจำนวนมาก ประกอบกับข้าราชการมีค่านิยมจำนนต่อผู้มีบารมีสูง นอกจากนั้นยังอาจให้คุณให้โทษทางราชการได้
เมื่อปรากฏว่า จำเลยที่ 1 ได้ให้บัตรประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีลงนามยินยอมให้จำเลยที่ 2 ทำสัญญาซื้อขายที่ดิน ย่อมถือได้ว่าเป็นการเข้าทำสัญญาด้วยตัวเอง ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา 100 (1) วรรคสาม ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าการลงชื่อยินยอมเป็นเพียงการทำตามระเบียบราชการ แต่จำเลยที่ 1 ก็ไม่มีหลักฐานมาแสดงให้เห็นได้ว่าไม่มีส่วนรู้เห็นต่อการซื้อขาย องค์คณะจึงมีมติ 5 ต่อ 4 เห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา 100 (1) วรรคสาม และต้องรับโทษตามมาตรา 122
http://www.suthichaiyoon.com/WS01_A001_ ... ewsid=5839
นักการเมืองและนักกฏหมายบ้านเรา มักจะเป็นศรีธนนชัย ....ตีความกฏหมายตามตัวอักษร
โดย มิได้คำนึงถึงเจตนารมย์ตามกฏหมาย.....
ผมถามจริง ๆ เถอะครับ.....ว่า มีใครเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจมั่งครับ ว่า การประมูลครั้งนี้ ไม่มีการใช้บารมีนายก
ไม่มีการฮั้วประมูล....
ผมถามจริง ๆ เถอะครับ.....ว่า มีใครเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจมั่งครับ ว่า การประมูลครั้งนี้ ไม่มีการใช้บารมีนายก
irq5 wrote:มันเป็นระเบียบ บังคับครับ
ไม่จำเป็นต้องเกิดความเสียหายก็มีความผิด
เหมือนกับห้ามขับรถขณะมึนเมา
เจตนารมย์ คือ เพื่อกันอุบัติเหตุในท้องถนน
ผู้ร้ายจะไปแถว่า กรูขับมา ยังไม่เป็นไรกรูเมาแล้วขับด๊าย
ยังไงก็ผิดครับ
------------------------------------------
ridkun wrote:แค่นี้ำทำเป็นไม่เข้าใจ
ศาลสูงของอเมริกา เทียบเท่าศาลฎีกาบ้านเรา ก็ใช้วิธีให้ผู้พิพากษาโหวตเหมือนกัน
อเมริกาไม่ได้ใช้ลูกขุนทุกศาลนะจ๊ะ แล้วอีกอย่างมันก็คนละระบบกันด้วย
มาตรา 100 อยู่ในหมวด 9 เรื่องการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม
ระบุว่า ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดดำเนินกิจการดังต่อไปนี้
(1) เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดี
(2) เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่เข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดี
(3) รับสัมปทานหรือคงถือไว้ซึ่งสัมปทานจากรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นอันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน
ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม หรือเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว
(4) เข้าไปมีส่วนได้เสียในฐานะเป็นกรรมการ ที่ปรึกษา ตัวแทน พนักงานหรือลูกจ้างในธุรกิจของเอกชน ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับ ดูแล ควบคุม หรือตรวจสอบของหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้นั้นสังกัดอยู่หรือปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งโดยสภาพของผลประโยชน์ของธุรกิจของเอกชนนั้นอาจขัดหรือแย้งต่อประโยชน์ส่วนรวม หรือประโยชน์ทางราชการ หรือกระทบต่อความมีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้น
เจ้าหน้าที่ของรัฐตำแหน่งใดที่ต้องห้ามมิให้ดำเนินกิจการตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการป.ป.ช. กำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ให้นำบทบัญญัติในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับกับคู่สมรสของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามวรรคสอง โดยให้ถือว่าการดำเนินกิจการของคู่สมรสดังกล่าว เป็นการดำเนินกิจการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
savor wrote:กฎหมาย ปปช. มาตรา 100 มีไว้ว่า...มาตรา 100 อยู่ในหมวด 9 เรื่องการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม
ระบุว่า ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดดำเนินกิจการดังต่อไปนี้
(1) เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดี
(2) เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่เข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดี
(3) รับสัมปทานหรือคงถือไว้ซึ่งสัมปทานจากรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นอันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน
ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม หรือเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว
(4) เข้าไปมีส่วนได้เสียในฐานะเป็นกรรมการ ที่ปรึกษา ตัวแทน พนักงานหรือลูกจ้างในธุรกิจของเอกชน ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับ ดูแล ควบคุม หรือตรวจสอบของหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้นั้นสังกัดอยู่หรือปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งโดยสภาพของผลประโยชน์ของธุรกิจของเอกชนนั้นอาจขัดหรือแย้งต่อประโยชน์ส่วนรวม หรือประโยชน์ทางราชการ หรือกระทบต่อความมีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้น
เจ้าหน้าที่ของรัฐตำแหน่งใดที่ต้องห้ามมิให้ดำเนินกิจการตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการป.ป.ช. กำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ให้นำบทบัญญัติในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับกับคู่สมรสของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามวรรคสอง โดยให้ถือว่าการดำเนินกิจการของคู่สมรสดังกล่าว เป็นการดำเนินกิจการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ตรงนี้ฝ่ายจำเลยเขาก็มีข้อแก้ต่างทั้งจากอดีตนายก ทั้งจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายว่า นายกไม่ได้มีสิทธิ์ควบคุมกองทุนฟื้นฟูโดยตรง การกระทำจะต้องผ่านทั้ง ธปท. , รมต. คลัง และคณะ รมต. ซึ่งหมายความว่า ไม่ได้มีอำนาจควบคุมโดยตรง และก็แน่นอนว่านายกไม่มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาในการประมูล
แต่ทางคณะ ตลก. ก็ออกยืนยันนอนยันว่า กองทุนฟื้นฟูอยู่ในการควบคุมของนายกแน่นอน แบบนี้เรียกว่า สันนิษฐาน ได้หรือไม่ ???
puggi wrote:เคย ชิงโชค พวก คูปองมั้ยครับ
ลองอ่านดูว่า เค้า ห้าม พนักงาน และคนในครอบครัว ของบริษัทที่ร่วมโปรโมชั่นนั้น ชิงโชค
หากว่า เจอ ก็สรุป ให้ริบรางวัลคืน นั่น แค่คูปองชิงโชคนะครับ
แต่ไอ้เหลี่ยม นี่ มันเป็นคนบริหารประเทศ กฎระเบียบต้องแรงกว่า ขนาดพระยังถือศีล มากกว่าคนธรรมดาเลย
จริง มันต้องยึดที่คืน ซะด้วยซ้ำ ศาลยังปราณี ให้
หาก ยังมีสมอง คง ใช้ตรรกะเป็นนะ แค่นี้แหละ
loginofu wrote:
จริงๆก็มีคนอธิบายไปแล้วนะ จะถามซ้ำซากอีกกี่รอบ
น่าเบื่อพวกตะแบงไม่ยอมอ่านจริงๆเลยpuggi wrote:เคย ชิงโชค พวก คูปองมั้ยครับ
ลองอ่านดูว่า เค้า ห้าม พนักงาน และคนในครอบครัว ของบริษัทที่ร่วมโปรโมชั่นนั้น ชิงโชค
หากว่า เจอ ก็สรุป ให้ริบรางวัลคืน นั่น แค่คูปองชิงโชคนะครับ
แต่ไอ้เหลี่ยม นี่ มันเป็นคนบริหารประเทศ กฎระเบียบต้องแรงกว่า ขนาดพระยังถือศีล มากกว่าคนธรรมดาเลย
จริง มันต้องยึดที่คืน ซะด้วยซ้ำ ศาลยังปราณี ให้
หาก ยังมีสมอง คง ใช้ตรรกะเป็นนะ แค่นี้แหละ
"ขนาดบ.จัดจับรางวัลชิงโชค ผู้เกี่ยวข้องกับบริษัท ลูกจ้าง ไม่มีสิทธิ"
ลูกจ้างใน 7/11 เปลี่ยนแปลงผลรางวัลได้หรือเปล่า/ก็ไม่ เขายังกำหนดไว้เพื่อความบริสุทธิ์ โปร่งใส
นี่เป็นถึงนายก จริยธรรมน้อยกว่าพนักงาน 7/11 หรือไง
(1) เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดี
แต่ไอ้เหลี่ยม นี่ มันเป็นคนบริหารประเทศ กฎระเบียบต้องแรงกว่า ขนาดพระยังถือศีล มากกว่าคนธรรมดาเลย
จริง มันต้องยึดที่คืน ซะด้วยซ้ำ ศาลยังปราณี ให้