กาแฟดำ : พรรคการเมืองไม่อาจทดแทนขบวนการภาคประชาชนไม่ว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะตัดสินใจในช่วงวันที่ 24-25 พฤษภาคม นี้ ที่จะแปรสภาพเป็นพรรคการเมือง (มีคนเสนอชื่อ "ประชาภิวัฒน์" ให้แล้วด้วยซ้ำ) หรือไม่ ผมเห็นว่าประเทศไทยจำเป็นต้องมี "ความเคลื่อนไหวภาคประชาชน" ที่ให้ข่าวสารข้อมูลและความรู้ทางการเมืองกับสาธารณชนอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีสถานภาพของพรรคการเมือง
หลายกิจกรรมที่แกนนำ "คนเสื้อเหลือง" ได้ทำในช่วงเวลาที่ผ่านมาในแง่ของการกระตุ้นให้ประชาชนมีความตื่นตัวและสนใจความเป็นไปในบ้านเมือง เป็นปรากฏการณ์ที่น่าเลื่อมใสและสนับสนุน
ต้องกล่าวพร้อมกันไปด้วยว่าบางส่วนของ "คนเสื้อแดง" ที่เรียกร้องให้มีการตรวจสอบผลงานของคณะปฏิวัติ และความน่าสงสัยในการใช้มาตรฐานทางสังคม กฎหมายและการเมืองก็ต้องถือว่าเป็นกระบวนการของ "การเมืองภาคประชาชน" ที่ควรแก่การส่งเสริมเช่นกัน
การเปิดโปงความเลวร้ายของการโกงกิน และผลประโยชน์ทับซ้อนของระบอบทักษิณ ที่พันธมิตรได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องย่อมเป็นการทำหน้าที่ของ "ขบวนการการเมืองภาคประชาชน" ที่ควรจะได้รับการหนุนเนื่องต่อไป
และไม่จำกัดเฉพาะความไม่ชอบมาพากลของทักษิณ และพรรคพวกเท่านั้น ภาระหน้าที่ของขบวนการประชาชนเช่นนี้ จะต้องสร้างความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องด้วยการเปิดโปงพฤติกรรมทำนองเดียวกันนี้ในแวดวงการเมืองและผู้มีอำนาจทั้งหลาย
บทเรียนความผิดพลาดของคนเสื้อเหลืองในบางเรื่องอาทิเช่น กรณียึดสนามบิน หรือแม้การยึดทำเนียบรัฐบาล อย่างยืดเยื้อยาวนานนั้น จะต้องเป็นประเด็นการวิเคราะห์ของพันธมิตรในการวางบทบาทของตนต่อไปวันข้างหน้า
เช่นเดียวกับที่ นปช. หรือกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ของ "คนเสื้อแดง" ก็ได้รับบทเรียนอันแสนสาหัสว่าด้วยการปล่อยให้เกิดความรุนแรง ปิดถนน บุกทลายโรงแรมจนการประชุมสุดยอดอาเซียนต้องล่มสลายไปต่อหน้าต่อตานั้น เป็นผลงานชิ้นโบดำที่ประชาชนคนไทยให้อภัยได้ยาก
ยิ่งมีภาพว่าการกระทำเกือบทุกอย่างไปเกี่ยวกับการสนับสนุนทักษิณ ชินวัตร คนเดียวด้วยแล้ว ความศักดิ์สิทธิ์แห่งการเป็นขบวนการภาคประชาชนก็หดหายลงไปทันที
แต่หากการทำหน้าที่เป็น "หูตาของประชาชน" และ "ตรวจสอบการทำงาน" ของรัฐบาล และกลุ่มผลประโยชน์ของสังคมเป็นไปอย่างตรงไปตรงมาและโปร่งใส การก่อตั้งคนกลุ่มต่างๆ เพื่อทำหน้าที่เช่นนี้ย่อมเป็นสิ่งที่สมควรจะเกิดขึ้น
โดยมีเงื่อนไขสำคัญว่าคนกลุ่มต่างๆ เหล่านี้ ไม่ว่าจะใช้เรียกตัวเองด้วยสีอะไรก็ตามที จะต้องยอมให้คนอื่นตรวจสอบการทำงานของตัวเองอย่างเข้มข้น เท่ากับที่ตัวเองต้องการสิทธิที่จะตรวจสอบคนอื่นเช่นกัน
เพราะทันทีที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่อ้างว่าทำงานเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน มิใช่เพื่อใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง สร้างข่าวเท็จ บิดเบือนข้อมูลให้เพียงแค่สอดคล้องกับเป้าหมายของตน ไม่ยอมรับฟังเสียงวิจารณ์คนอื่น เมื่อนั้นพวกเขาย่อมไม่อาจจะเรียกตัวเองว่าเป็น "ขบวนการภาคประชาชน" ได้อีกต่อไป
เป็นได้ก็แค่ "กระบอกเสียง" ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ และไม่สมควรที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นปากเป็นเสียงของสาธารณชนแต่อย่างใด
เมื่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขอความเห็นจากสมาชิกทั่วประเทศเพื่อตัดสินว่าจะเดินหน้าตั้งเป็นพรรคการเมืองหรือไม่ จึงเป็นหัวข้อที่น่าสนใจยิ่ง เพราะแม้ในหมู่แกนนำเองก็ย่อมมีมุมมองที่แตกต่างกันได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร
เพราะความเป็น "ขบวนการการเมืองภาคประชาชน" กับ "พรรคการเมือง" นั้น ย่อมมีพันธกรณีและเป้าประสงค์ที่แตกต่างกัน
มองในแง่หนึ่ง อาจกล่าวได้ว่าคน "เสื้อแดง" ที่มีบทบาทและลีลาละม้ายกับ "ขบวนการการเมืองภาคประชาชน" นั้น แตกหน่อมาจากพรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็นไทยรักไทย หรือพลังประชาชนในอดีต หรือพรรคเพื่อไทยในวันนี้
เป็นไปได้ไหมว่าคนเสื้อเหลืองมองย้อนกลับไปแล้วเห็นว่าหากจะต่อสู้ในเวทีการเมืองกันอย่างยืดเยื้อยาวนานแล้วไซร้ ก็จำเป็นที่จะต้องมีโครงการเป็นพรรคการเมืองเพื่อเข้าไปยึดฐานอำนาจรัฐได้เฉกเช่นกลุ่มที่ยืนอยู่อีกฝ่ายหนึ่ง
แน่นอนว่าฐานความคิด แนวร่วม และทิศทางการเมืองของสองกลุ่มนี้มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญไม่น้อย ดังนั้น สูตรสำเร็จของฝ่ายหนึ่งจึงไม่จำเป็นต้องเป็นเครื่องรับประกันความสำเร็จของอีกฝ่ายหนึ่งเสมอไป
แม้มองรอบๆ ด้านแล้วจะเห็นว่า ต่างฝ่ายต่างลอกเลียนรายละเอียดของกันและกันในเรื่องของรูปแบบ และกลยุทธ์การดำเนินการทางการเมืองอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
การเป็นพรรคการเมืองหมายถึงการเข้าแข่งขันเพื่ออำนาจรัฐ เพื่อตำแหน่ง เพื่อผลประโยชน์ซึ่งมีพื้นฐานที่แปลกแยกไปจากความเป็น "ขบวนการประชาชน" อยู่หลายด้าน
แน่นอนว่าบางคนในแกนนำพันธมิตร เห็นว่าการต่อสู้ของประชาชนจะบรรลุเป้าหมายได้จริงๆ นั้นไม่อาจจะทำเพียงแค่การสร้างกระแสแห่งความตื่นตัวของประชาชนเท่านั้น แต่ยังจะต้องพร้อมที่จะแสดงความรับผิดชอบในการเข้าเสนอตัวบริหารประเทศชาติในรูปแบบของพรรคการเมืองด้วย
ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดตั้งพรรค หรือการคงไว้ซึ่งบทบาทเดิมของพันธมิตร หรือการผสมผสานบทบาทสองอย่าง (ซึ่งอาจจะยากกว่าทางเลือกสองทางแรก) ล้วนแล้วแต่ถือได้ว่าอยู่ในครรลองแห่งประชาธิปไตยทั้งสิ้น
แต่ในฐานะหนึ่งในสมาชิกของสังคม ผมเห็นว่าการได้มาหรือเสียไปของพรรคการเมืองหนึ่งนั้น มิอาจจะทดแทนการสร้างและดำรงอยู่ของ "ขบวนการการเมืองภาคประชาชน" ที่ทำหน้าที่ให้ความรู้ กระตุ้นความสนใจ และกล้าหาญที่จะตรวจสอบกลุ่มอำนาจทั้งหลายอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่องเป็นอันขาด
http://www.bangkokbiznews.com/2009/05/1 ... d=28747033