by Canthai » Tue May 19, 2009 7:44 am
แถมให้ มาเป็นซี่รี่ส์เลย
************************
ภายหลังสำเร็จการศึกษา นายสนธิ เดินทางกลับไทยเมื่อปี 2516
นายสนธิ เข้าทำงานเป็นบรรณาธิการบริหาร นสพ.ประชาธิปไตย เมื่ออายุได้เพียง 27 ปี
จากนั้นร่วมกับนายพอล สิทธิอำนวย ตั้งบริษัท Advance Media ในเครือพีเอสกรุ๊ป ออกนิตยสารดิฉัน
แต่ประสบกับการขาดทุน จึงขายให้กับนายปิย์ มาลากุล ณ อยุธยา
นายสนธิกลับมาโดดเด่นอีกครั้งด้วยการตั้งบริษัทตะวันออกแมกกาซีน ออกจำหน่ายหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายเดือน
เมื่อปี 2526 และผู้จัดการรายสัปดาห์ จากความสำเร็จในการเป็นหนังสือแนวธุรกิจชั้นนำของผู้จัดการรายเดือนและรายสัปดาห์
ทำให้นายสนธินำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อปี 2533 พร้อมกับออกหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน
ต่อมานายสนธิ สามารถเข้าเทคโอเวอร์บริษัทลูกของปูนซีเมนต์ไทยได้คือ บริษัทเอสซีทีคอมพิวเตอร์ จำกัด, บริษัทไมโครเนติก จำกัด และบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนลเอ็นจิเนียริ่ง (ไออีซี) จำกัด ซึ่งต่อมาบริษัทไออีซี ได้กลายเป็นบริษัทที่ทำกำไรให้กับนายสนธิอย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากบริษัท ไออีซี (IEC) เป็นบริษัทผูกขาดการขายโทรศัพท์มือถือยี่ห้อโนเกีย ระบบเซลลูล่า 900 แต่เพียงผู้เดียว
นายสนธิไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการทำธุรกิจสิ่งพิมพ์ในประเทศ โดยมีการขยายตัวไปลงทุนออกหนังสือพิมพ์ “เอเซียไทม์” ตั้งฐานผลิตที่ฮ่องกง พร้อมกับเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น บริษัทแมเนเจอร์มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือเอ็มกรุ๊ป เมื่อ 22 พ.ย.2537 เพื่อเป็นศูนย์กลางในการบริหารงานบริษัทในเครือจากนั้นเริ่มขยายไปสู่วงการโทรคมนาคมในต่างประเทศเข้าไปลงทุนในโครงการดาวเทียมลาวสตาร์ ชื่อบริษัท ABCN ที่เป็นบริษัทในเครือได้รับสัมปทานจากประเทศลาวพร้อมกับทำกิจการโรงแรมในลาว และร้านอาหารในจีน จากการขยายตัวอย่างรวดเร็วนี้เอง
ทำให้นายสนธิ ถูกสื่อมวลชนตะวันตกเรียกว่า “มร.โกลบอลไลเซชั่น” หมายถึงผู้ที่สร้างตัวมาจากสื่อสิ่งพิมพ์ก่อนที่จะขยายไปสู่โทรคมนาคม บรอดคาสติ้ง และมีเดีย
จากการขยายตัวอย่างไร้ทิศทาง การพยากรณ์ธุรกิจอย่างผิดพลาด และความล้มเหลวในการบริหาร
ประกอบกับสภาพธุรกิจที่ตกต่ำนับตั้งแต่ปลายปี 2539 ทำให้นายสนธิ ต้องขายธุรกิจในเครือเพื่อนำเงินมาชำระหนี้
รวมทั้งโครงการดาวเทียมลาวสตาร์ที่ขายให้กับกลุ่มยูคอม
แต่นายสนธิยังมีหนี้สินอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะเมื่อ พ.ย.2542 ธนาคารนครหลวงไทย
ได้ยื่นฟ้องนายสนธิ และบริษัท เอ็มกรุ๊ป ให้เป็นบุคคลล้มละลาย เพราะไม่สามารถชำระหนี้ให้กับธนาคารได้จำนวน 150 ล้านบาท
จนกระทั่งศาลมีคำสั่งให้นายสนธิ และบริษัท เอ็ม กร๊ป เป็นบุคคลล้มลาย
ปัจจุบันนายสนธิ ยังคงบริหารหนังสือพิมพ์ในเครือที่เหลือเพียง 3 ฉบับ คือผู้จัดการรายเดือน, รายสัปดาห์และรายวัน
ซึ่งนายสนธิ ถือว่าเป็นหัวใจหลักที่จะต้องคงไว้และดำเนินงานต่อไป
แต่นายสนธิไม่มีตำแหน่งใดๆ ใน นสพ.ผู้จัดการ เพียงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการบริหารงานเท่านั้น
นายสนธิ มีความสนิทสนมกับบุคคลในกลุ่มนักธุรกิจและข้าราชการหลายคน คือ
นายชัยยันต์ โปษยานนท์ อดีตรองอธิบดีกรมสรรพสามิต, นายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย,
นายทนง พิทยะ รมว.กค., นายศิรินทร์ นิมมานเหมินท์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย,
และนายเอกกมล คีรีวัฒน์ อดีตรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย,
ในส่วนของนักการเมือง เช่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นรม., นายบุญชู โรจนเสถียร, นายบัญญัติ บรรทัดฐาน,
นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์, นายโภคิน พลกุล ประธานรัฐสภา ซึ่งเคยใช้บ้านพักพีเควิลล่าของนายสนธิ เป็นที่เจรจาจัดตั้งรัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา, พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก, นายเนวิน ชิดชอบ, นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง
นายสนธิ มีความสนิทสนมกับนายศิรินทร์ และนายธารินทร์ มาก
โดยนายสนธิ จะได้รับความช่วยเหลือด้านเงินจากธนาคารกรุงไทย เพื่อมาพยุงฐานะธุรกิจของนายสนธิ ตลอดเวลา
ในช่วงที่นายศิรินทร์ เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ โดยเมื่อ พ.ย.2542 บริษัท Pricewaterhouse Coopers
ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาที่ธนาคารกรุงไทยว่าจ้างมาปรับปรุงโครงการตรวจสอบภายในระบุว่า
บจ.เอ็ม กรุ๊ป มีหนี้สินอยู่กับธนาคารกรุงไทย จำนวน 2,123 ล้าน เป็นหนี้เสีย (NPL) เพราะไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
เป็นการปล่อยสินเชื่อโดยความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารกรุงไทย
นายสนธิได้เขียนบทความ รวมทั้งออกหนังสือ ชื่อ “เปลือยธารินทร์” โจมตีการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและเรื่องส่วนตัวของนายธารินทร์ ตลอดมา ซึ่งน่าจะไม่พอใจที่นายธารินทร์ ไม่ยอมช่วยเหลือแก้ไขปัญหาทางธุรกิจให้นายสนธิ
นอกจากนี้นายสนธิ ยังสนิทสนมหรือสามารถ “สั่ง” นายทนง พิทยะ ในขณะดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารทหารไทย ได้เนื่องจากนายสนธิเป็นผู้มีบุญคุณกับนายทนง โดยออกเงินค่าใช้จ่ายในการจัดงานและค่าสินสอดการแต่งงานครั้งที่ 2 ของนายทนง กับนางมธุรส รัตนปรารมย์ นายทนง จึงตอบแทนนายสนธิด้วยการปล่อยสินเชื่อเพื่อมาใช้ในธุรกิจของ นสพ.ผู้จัดการ ตลอดเวลาเช่นกัน
ขณะเดียวกันนายทนง ก็เป็นตัวกลางเชื่อมให้นายสนธิไปมีความสัมพันธ์อันดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
เนื่องจากในขณะนั้นนายทนง ช่วยเหลืองานกับกลุ่มบริษัท ชินวัตร
นายสนธิ ยังมีความสนิทสนมกับนายบัญญัติ บรรทัดฐาน เนื่องจากนางจันทร์ทิพย์ เป็นญาติของนายบัญญัติ
และนายสนธิ กับนายบัญญัติ เคยลงทุนทำธุรกิจโรงแรมด้วยกันที่ประเทศลาว
ปัจจุบันการพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันเป็นประจำ
นอกจากนี้ นายสนธิ ยังเคยสนิทสนมกับ ร.ตอ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นอย่างมาก ซึ่งนายสนธิให้เงินสนับสนุน ร.ต.อ.เฉลิม ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง ส.ส.โดยเฉพาะการเลือกตั้งเมื่อ 22 มี.ค.35 ร.ต.อ.เฉลิม ได้ขอเงินสนับสนุนจากนายสนธิ จำนวน 10 ล้านบาท
แต่หลังจากการเลือกตั้งเมื่อ 17 พ.ย.39 บุคคลทั้งสองเกิดแตกแยกกัน จนถึงขั้นไม่เผาผีกัน เป็นลักษณะเดินทางใครทางมัน
จนเมื่อปี 2541 นายสนธิ เปิดคอลัมน์ของตัวเองใน น.ส.พ.ผู้จัดการรายวัน ชื่อ”แค้นสั่งฟ้า”
ซึ่งมุ่งเน้นเจอะลึกทางด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม โดยใช้นามปากกาว่า “พายัพ วณาสุวรรณ”
และเมื่อเดือน ก.ย.41 ได้เขียนโจมตี ร.ต.อ.เฉลิม เกี่ยวกับความประพฤติของบุตรชาย
ทำให้เมื่อ 19 ก.ย.41 ได้มีการลงโฆษณาใน นสพ.ไทยรัฐ และมติชนรายวัน ว่า
งานฌาปนกิจศพนายโกคั้บ แซ่ลิ้ม หรือ โกคั้บ แซ่ลิ้ม ณ เมรุวัดป่าบ้านเหนือ
(เป็นวัดที่นายสนธิ นับถือและศรัทธาเจ้าอาวาสวัดนี้) จ.อุดรธานี ในวันที่ 20 กันยายน 2541 เวลา 15.00 น.
เทศนาธรรมโดยหลวงตาเหลิม เวลา 16.30 น. สวดพระอภิธรรมถวายผ้าบังสุกุล เวลา 17.00 น. ประชุมเพลิง
พร้อมกับระบุในตอนท้ายว่า “ผู้วายชนม์ขออโหสิกรรมสิ่งที่ได้กระทำต่อเจ้าหนี้ทั้งหลายได้โปรดอโหสิกรรมต่อผู้วายชนม์ด้วย”
ผู้สันทัดกรณีกล่าวว่าเป็นฝีมือของ "เป็ดเหลิม"
ระหว่างช่วงสมัยรัฐบาลชวน 2 กับ รัฐบาลทักษิณ 1 นั้นเท่าที่มีข้อมูลเพิ่มเติม พบว่า สมัยรัฐบาลชวน 2 นายสนธิมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ มาก่อน
ตอนแรกก็ดีกัน แต่ต่อมาเกิดขัดแย้งกันอย่างรุนแรง
โดย นายสนธิอ้างว่า ขัดแย้งกันทางความคิดในการแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศ ส่วนข้อเท็จจริงไม่ทราบ เป็นเรื่องระหว่างนายธารินทร์กับนายสนธิ จากนั้นนายสนธิจึงโจมตีนายธารินทร์อย่างรุนแรงตลอดมาในช่วง 2 ปีหลังของรัฐบาลชวน 2 ผ่านทางวิทยุเครือข่ายผู้จัดการ และผ่านทาง นสพ.ผู้จัดการ โดยใช้ชื่อว่า พายัพ พนาสุวรรณ
มีการออกเทปขาย มีอยู่ตอนหนึ่ง นายสนธิกล่าวหาว่า นายธารินทร์กระทำการอันเป็นการหมิ่นพระบรมราชานุภาพ ทำให้นายธารินทร์ฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาท เรื่องยังอยู่ในศาลจนปัจจุบัน
****
เมื่อทักษิณ ขึ้นเป็น นายกสมัยแรก นั้น ได้ดึงนายสนธิมาร่วมงานด้วย
เพราะเห็นว่า นายสนธิอยู่ในฐานะและเป็นคนเดียวที่จะสู้กับนายชวน และพรรค ปชป.ได้
นายสนธิรู้จักกับคนรัฐบาลทักษิณหลายคน โดยเฉพาะนายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ เนื่องจากเคยทำ นสพ.มาด้วยกัน
ช่วงแรกงบ ปชส.ของรัฐวิสาหกิจต่างๆ ที่เคยให้เครือ เดอะ เนชั่น ของสุทธิชัย หยุ่น ซึ่งสนิทกับนายธารินทร์ และรายการต่างๆ ตลอดจน งบ ปชส.ที่เคยให้กับ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง โอนมาให้ นายสนธิทั้งหมดหลายร้อยล้านบาท ทั้งงบ ปชส.ธนาคารกรุงไทย, การบินไทย ฯลฯ
และมีข่าวว่า รัฐบาลช่วย haircut หนี้ ของนายสนธิกับธนาคารกรุงไทย เป็นจำนวนเงินประมาณ 1,200 ล้าน/บาท ไปได้
รวมทั้งสัญญาว่าจะให้ นายสนธิทำโทรทัศน์เสรีด้วยอีก 1 ช่อง
ต่อมาเกิดการขัดแย้งระหว่าง นายสนธิกับรัฐบาลอย่างรุนแรง สาเหตุที่แท้จริงไม่ทราบว่าเรื่อง อะไร
โดยนายสนธิอ้างว่า เป็นเพราะรัฐบาลผิดสัญญาที่ตกลงกันไว้ว่าจะต้องทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ
แต่ตอนหลังผิดไป ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
บางคนอ้างว่า เพราะนายสนธิลงทุนไปซื้ออุปกรณ์ในการทำโทรทัศน์เสรีมาแล้วหลายร้อยหรือเป็นพันล้านบาท
แล้วไม่ได้ช่อง เลยหันมาโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ แบบเดียวกับที่โจมตีนายธารินทร์มาแล้ว
ประวัติของสนธิ ก่อนทีจะมาเกลียดทักษิณ
นายสนธิ เป็นคนฉลาดเกมโกง พูดเก่ง ความรู้สูง เป็นลูกน้องเก่าของนายพอล สิทธิอำนวย ซึ่งโกงเงินธนาคาร ๒๐๐๐ พันล้านบาทก่อนที่จะหลบหนีมาอยู่อเมริกาเมื่อ ๓๐ ปีที่แล้วนายสนธิเลยได้ผลประโยชน์โดยรับกิจการมีเดียต่อจากนายพอล โดยไม่ต้องเสียสตางค์แม้แต่บาทเดียวเพราะ....
นายพอลโอนชื่อกิจการทั้งหมดมาให้แก่นายสนธิก่อนจะหลบหนีมาเสบสุขในอเมริกาพร้อมกับเงินที่ปล้นมาได้
หลังจากนั้นนายสนธิก้ได้สถาปนาตัวเองเป็นเจ้าแห่งมีเดียของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ก็ว่าได้ (King of Media of Southeast Asia) กิจการมีเดียของนายสนธิก็เจริญขึ้นเรี่อยๆ มีทั้งหนังสือพิมพ์ แมกกาซีนรายการวิทยุและโทรทัศน์ทในและนอกประเทศ จนเป็นที่ประทับใจของนักธุรกิจที่อยู่ในวงการมีเดียเป็นอย่างมากเมื่อขอเงินกู้จากธนาคารก็มักจะไม่มีปัญหา
นายสนธิเลยซื้อกิจการทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ว่ามีเดียมีกำไรหรือขาดทุนขอให้มีชี่อเป็นเจ้าของหรือที่ฝรั่งเรียกว่า Publisher นายสนธิซื้อหมดตัวอย่างที่ดังที่สุด ครั้งสุดท้าย คือการซื้อแมกกาซีนอเมริกันที่มีฐานในนิวยอรค์และลอส แอนเจลสีส ชื่อ "Buzz Magazine" ซี่งเป็นแมกกาซีนที่จะเจ้งอยู่แล้ว
แต่ความกระสันของนายสนธิที่อยากจะเห็นชื่อของตัวเองว่า "Publisher: Sondhi Limthongkul " เป็นเจ้าของแมกกาซีนฝร้ง ซึ่งล้อมรอบไปด้วยนักเขียนที่มีชื่อฝรั่งทั้งนั้นและการที่อยากโก้อวดฉลาดเลยซื้อด้วยราคาที่สูงลิ่ว ในราคา ๑๖๐๐ ล้านบาทหรือ ๔๐ล้านเหรียญสหรัฐ
ซึ่งคนขายก็ไม่เชื่อกับตาเพราะโฆษณาขายแมกกาซีนนี้แต่ไม่มีหน้าไหนกล้ามาซื้อแม้แต่คนเดียว
ยังจำได้ว่าตอนเปิดตัวเจ้าของใหม่มีการกินเลี้ยงกันที่โรงแรมหรูใน "Beverly Hills " นายสนธิเดินชนแก้วนบันรีไวน์กับนักหนังสือพิมพ์ไทยในแอลแอด้วยความโก้หรู นายสนธิโก้อยู่ได้แค่ หนี่งปีสองเดือน"Buzz Magazine" ต้องปิดกิจการเพราะไม่มีเงินจ่ายให้กับพนักงานฝร้งทั้งหลาย
นายสนธิพยายามจะขายต่อให้คนอื่นแต่ไม่มีใครอยากซื้อ เงิน ๑๖๐๐ล้านบาท ก็คือเงินกู้จากแบงค์ไทยนั่นเอง
นายสนธิมักจะกล่าวว่าเป็นคนสนับสนุนและช่วยให้คุณทักษินเป็นนายก
เพราะฉะนั้นเขาก็คิดว่านายกทักษิณคงจะตอบแทนบุญคุณด้วยการแต่งตั้งบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งบุคคลนี้เป็นคนสนิทของนายสนธิและคงจะมีสิทธิ์ปรุงแต่งให้เป็นหนี้ลดลงจาก๖๐๐๐ล้านบาทให้เหลือแค่๓๐๐ล้านบาท
ทักษิณตอบปฎิเสธทันทีและบอกว่านั่นเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
ถ้าเป็นนายกบางคนในอดีตที่อยากได้เงินก็ไม่แน่อาจจะมีการต่อองกับนายสนธิก็ได้
หลังจากนั้นมานายสนธิก็สัญญากับตัวเองว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้นายกทักษิณออกจากตำแหน่งให้ได้โดยหวังว่าผู้นำคนใหม่อาจจะมีส่วนช่วยให้หนี้ก้อนโตนี้ออกจากอกของนายสนธิ
ปัญหาของนายสนธิเป็นปัญหาที่เขาสร้างขั้นมาทั้งสิ้นไม่เกี่ยวกับการกู้ชาติที่เขาเอามาอ้างกับประชาชนและเขารู้อยู่แก่ใจว่าถ้านายกทักษิณได้กลับมาอีกครั้งหนึ่งนายสนธิจะไม่มีแผ่นดินอยู่ในประเทศไทยอย่างแน่นอน
และอาจจะต้องเผ่นหนีมาอยู่อเมริกา เฉกเช่นเจ้านายเก่าของเขา เมี่อ ๓๐ ปีที่แล้ว
***************
ประเด็นใหญ่ ซึ่งมีคำถามย่อยนับสิบข้อ ที่อยากให้คุณสนธิตอบเหล่านี้ จะค่อยๆปูพื้นให้ทุกคนที่มีใจเป็นกลางเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ดีขึ้น
1) คุณสนธิและผู้บริหารของกลุ่มผู้จัดการ บริหารบริษัทเมเนเจอร์ มีเดีย ซึ่งเป็นของมหาชน ด้วยความโปร่งใสหรือไม่ มีการยักยอกเงินเข้ากระเป๋าส่วนตัวของใครหรือเปล่า
กรณีที่ 1 หมู่เกาะ The British Virgin Island ที่คุณสนธิออกมาด่าทักษิณปาวๆ สนธิยังจำได้ไหมว่า ใครไปจดทะเบียนบริษัท Manager International Holding Company Limited ที่หมู่เกาะนี้ ด้วยเงินเพียงแค่ 1,000 เหรียญสหรัฐ แต่กลับนำมาขายให้ บริษัท เมเนเจอร์ มีเดีย (มหาชน) ซึ่งเป็นของผู้ถือหุ้นทุกคน ด้วยเงินถึง 7,228,000 เหรียญสหรัฐ
เงินกำไรร่วม 200 ล้านบาทนี้ หายไปอยู่กระเป๋าใคร
นอกจากนั้นเงินที่ บริษัทเมเนเจอร์ให้บริษัทนี้ยืมไปอีก 700 ล้านบาท หายไปไหน
(ข้อมูลนี้เป็นข้อมูลที่กลุ่มผู้จัดการ ทำรายงานเองและส่งให้ตลาดหลักทรัพย์เอง ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2547สามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ตลาดหลักทรัพย์)
กรณีที่ 2 เงินโฆษณากว่า 100 ล้านบาท ซึ่งควรเป็นของผู้ถือหุ้นทุกคน หายไปไหน เมื่อไหร่จะได้คืน ทำไมมีการเปิดบริษํทส่วนตัว ที่ชื่อ เวิลด์ไวด์ มีเดีย ซึ่งก็ตั้งอยู่บนถนนพระอาทิตย์ เพื่อรับเงินค่าโฆษณาแทนบริษัทมหาชน
ทำไมบริษํทนี้ถึงอมเงินเอาไว้และไม่ยอมจ่ายเงินคืนให้บริษัทซึ่งเป็นของมหาชนสักที ทั้งที่รับเงินมา 2-3 ปีแล้ว
ที่น่าสงสัยยิ่งกว่านั้น ทำไมบริษํท เมเนเจอร์ มีเดีย (มหาชน) ถึงยังให้บริษัทนี้ หาโฆษณาและรับเงินแทนอยู่ ทั้งๆที่ก็รู้ว่าบริษัทนี้เบี้ยวเงินมาเป็นปีแล้ว นอกจากนั้น
ทำไมบริษัทเมเนเจอร์ มีเดียถึงนับยอดรายได้โฆษณาที่น่าจะได้จากบริษํทเวิลด์ไวด์ มีเดียนี้เป็นหนี้สงสัยจะสูญในทันที
จนมีผลทำให้ผลประกอบรวมของบริษัทเมเนเจอร์ มีเดียเองซึ่งควรจะเป็นกำไร กลายเป็นขาดทุน
นี่เป็นสาเหตุหรือเปล่า ที่ทำให้ผู้ตรวจสอบบัญชีที่บริษํท เมเนเจอร์ มีเดียจ้างเอง
ไม่ยอมเซ็นไว้วางใจบริษัทเมเนเจอร์ มีเดียหลายไตรมาสติดต่อกันแล้ว
(จากข้อมูลที่กลุ่มผู้จัดการ ทำส่งให้ตลาดหลักทรัพย์เอง ระหว่างปี 2547 - 2549)
2) คุณสนธิและกลุ่มผู้จัดการ ใช้ความเป็นสื่อ บังคับและเบียดบังผลประโยชน์ของรัฐ เข้าตัวหรือเปล่า
หลังจากที่คุณเจิมศักดิ์ และกลุ่มเนชั่นออกมาปูดข่าวว่า รัฐบาลทักษิณช่วยลดหนี้ของกลุ่มผู้จัดการ จาก 20,000 ล้านบาท เหลือแค่ 6,000 ล้านบาท ในปี 2545 แล้ว สนธิและกลุ่มผู้จัดการได้รับการลดหนี้จากสถาบันการเงินของรัฐ อีกกี่ครั้ง
(เพื่อความเป็นธรรมในการรับรู้ข้อมูล คุณสนธิ ออกมาปฏิเสธว่ากลุ่มผู้จัดการ
มีหนี้อยู่ ในขณะนั้น 8,000 กว่าล้านบาท ไม่ใช่ 20,000 ล้านบาทตามที่คุณเจิมศักดิ์กล่าวหา)
ทำไมขณะที่คุณวิโรจน์ นวลแขทำงานที่แบงก์กรุงไทย คุณสนธิถึงได้รับการลดหนี้ที่เคยลดมาแล้วอีก จาก 1,421.73 ล้านบาท เหลือเพียงแค่ 259 ล้านบาท
แล้วยิ่งกว่านั้น ทำไมธนาคารกรุงไทย ถึงขนาดยอมให้คุณสนธิไม่ต้องจ่ายคืนเป็นเงินสด โดยยอมกระทั่งให้ใช้คืนเป็นค่าโฆษณาราคาแพง
จนเราได้เห็นโฆษณาชุดผู้ใหญ่ลี ที่มีค่าแอร์ไทม์ครั้งละหลายแสนบาท อย่างถี่ยิบ
คุณสนธิคิดว่า ธนาคารของรัฐอย่างกรุงไทยมีความจำเป็นต้องโฆษณาตัวเองกับสื่อของคุณสนธิแค่ที่เดียว เป็นร้อยๆล้านบาทเลยหรือ
(จากข้อมูลที่กลุ่มผู้จัดการ ทำส่งให้ตลาดหลักทรัพย์เอง ในปี 2547 ดูข้อมูลได้ที่ตลาดหลักทรัพย์)
นอกจากนั้นแล้ว คุณสนธิใช้วิธีไหน ถึงทำให้รัฐวิสาหกิจอื่นของรัฐอย่างเช่น การบินไทย ปตท และบริษัทเอกชนในเครือชินวัตรลงโฆษณาจำนวนมากกับสื่อของผู้จัดการ จนยอดรายได้โฆษณาของกลุ่มพุ่งขึ้นถึงกว่า 40% หลังจากที่ทักษิณ เข้ามาบริหารประเทศ
(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ "จากกรณีศึกษาของกลุ่มผู้จัดการ " ในรายงานสถานการณ์ด้านสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชนในรอบปี 2546 >>
ของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย โดย ผศ. ดร.วิลาสินี พิพิธกุล คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
3) การที่คุณสนธิออกมาปลุกระดมมวลชนแบบถอยหลังไม่ได้ เป็นเพราะกลุ่มผู้จัดการกำลังเกิดวิกฤติทางการเงิน ซึ่งถ้าไม่ได้อำนาจรัฐหรือกลุ่มทุนเข้าช่วยเหลือ อาจถึงขั้นปิดตัวเองเลยใช่หรือเปล่า
อะไรที่ทำให้คุณสนธิ อุทานว่า "ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง"
ประเด็นนี้ต้องศึกษาเงื่อนเวลาอยู่ 2 จุด
ก) ก.ล.ต. ได้ออกกฏมานานแล้วว่า จะถอดถอนบริษัทซึ่งอยู่ในหมวดฟื้นฟูของตลาดหลักทรัพย์ และมีตู๊ดส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ ออกจากตลาดหลักทรัพย์ ภายในเดือนมีนาคม 2549
ข) ศาลล้มละลายกลาง ได้ยินยอมขยายเวลาแผนฟื้นฟูของบริษัทเมเนเจอร์มีเดียออกไปจากเดิมสิ้นสุดวันที่ 26 กรกฏาคม 2548 กลายเป็นสิ้นสุดวันที่ 3 สิงหาคม 2549 เพื่อให้บริษํทเมเนเจอร์มีเดีย หาผู้ร่วมทุนใหม่มูลค่า 350 ล้านบาทให้ได้ทันตามกำหนด ซึ่งถ้านำมาเรียงดู จะอ่านได้ง่ายๆดังนี้
ถ้ากลุ่มผู้จัดการหาเงินเพิ่มทุน 350 ล้านบาทไม่ได้ภายในเดือนมีนาคม
หรือไม่มีอำนาจจากไหนมาบีบ กลต ให้เปลี่ยนแปลงหรือผ่อนผันกฏ
บริษํทเมเนเจอร์มีเดีย มีสิทธิจะโดนถอดออกจากตลาดหลักทรัพย์เดือนหน้า!
และถ้ายังไม่ได้เงินก่อนเดือนสิงหาคม และศาลไม่ยินยอมให้ขยายเวลาแผนฟื้นฟูบริษัทอีก
บริษัทเมเนเจอร์ก็อาจจะต้องปิดตัวเองลง ภายในปี 2549
คำถามก็คือ ถ้าสมมติว่า เมื่อต้นปีที่แล้ว ทักษิณยอมช่วยสนธิ สนธิจะวาดภาพให้ประชาชนมองนายกทักษิณเป็นคนชั่วร้ายที่สุด
หรือเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดของประเทศไทย
คุณสนธิจะหานักลงทุนปกติที่ไหน มาช่วยลงทุนเงิน 350 ล้านบาท กับบริษัทที่มีหนี้มากกว่าสินทรัพย์ 200 กว่าล้านบาท แถมยังขาดทุนสะสมเพิ่มตลอด และผู้ตรวจสอบบัญชียังไม่รับรองความโปร่งใสอีก
ทำไมเงินกว่าร้อยล้านบาท ที่อยู่ในบริษัทเวิลด์ไวด์มีเดีย ไม่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ หรือจ่ายคืนให้บริษํทเมเนเจอร์มีเดียซึ่งจะทำให้ฐานะการเงินของบริษัทเมเนเจอร์ดีขึ้นเยอะ และต้องการเงินเพิ่มทุนอีกเพียงแค่ร้อยกว่าล้าน
สนธิได้ขอร้องให้ใครมาช่วยบ้าง มีใครยอมช่วย และไม่ยอมช่วยบ้าง
และสนธิคิดยังไงกับคนที่ไม่ยอมช่วย ถ้าทักษิณไม่ช่วย
สนธิก็ต้องหาใครคนอื่น ที่ช่วยสนธิได้ใช่หรือเปล่า
นี่ไง ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง ใช่มั๊ย
ข้อมูลนี้ออกมาหลายปีแล้ว และยังมีอีกเยอะที่ประจานความเลวของสนธิ
ข้อมูลเปิดเผยแบบนี้คิดหรือว่าสื่ออื่น ๆ เค้าจะไม่รู้กำพืดสันดานเดิมของสนธิ
สื่อกระแสหลักเค้าถึงเฉยเมยในตอนแรก แบบที่กล่าวในต้นกระทู้
ก็มันเริ่มจากคนเลวทะเลาะกับคนเลว ในขณะที่ กลุ่มไล่ทักษิณ เกิดขึ้นมาหลังปี 2545 โน่นแล้ว
ตอนนั้นสนธิเสวยสุขจากการกระชากโครงการประชาสัมพันธ์ของรัฐไปจากคนอื่นก็เลยหุบปากไว้ไง
นี่ยังสงสัยอยู่เลยว่า อาจารย์เจิมศักดิ์ ตกกระไดพลอยโจนยังไง ถึงมาร่วมกับคนเลว ๆ แบบสนธิได้
ทั้งๆ ที่เคยด่าสนธิตีแผ่ในเนชั่น
ทั้งๆ ที่งบประชาสัมพันธ์ที่อาจารย์เจิมศักดิ์ เคยได้รับ มาตกแก่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล
แล้วอาจารย์เจิมก็ทำหนังสือชุด "รู้ทันทักษิณ"...
ตอนเค้าเล่นเรื่อง "ไอทีวี" สนธิและASTV / ผู้จัดการ ทำอะไรอยู่
ตอน กฟผ. แต่งชุดเหลืองขึ้นม้อบอยู่เป็นปี สนธิทำอะไรอยู่ตอนนั้ยังหวังว่าทักษิณจะช่วยอยู่ใช่มั๊ย
ว่าง ๆ จะเอามาให้อ่านกัน คนเลวๆ แบบนี้หรือ ที่จะมาทำการเมืองใหม่
พูดไปร้องไห้ไปเลยนะเนี่ย