== ข้อความถูกระงับโดยผู้ดูแล == viewtopic.php?f=14&t=14102 -->
อารยา wrote:เพียงแค่รอให้ผ่านวันที่คณะกรรมการ 7 ชาติจะรับมอบพื้นที่บริหารจัดการมรดกโลกด้านทิศเหนือและตะวันตกของตัวปราสาทที่ประมาณว่าอาจมีขนาดถึง 1.5 ล้านไร่ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 จากนั้นก็ถือว่าไทยเสียดินแดนโดยสมบูรณ์แบบ
[/color]!
เหอ เหอ ก็ประท้วงด้วยเหตุผลที่ว่า "มันมาเกี่ยวอะไรกับดินแดนของประเทศตู"8omuj wrote:แต่คณะกรรมการ 7 ชาติ ที่ว่าไทยเราก็ไม่ได้มีส่วนร่วมพิจรณานิครับ จริงๆการรับมอบพื้นที่บริหารจัดการมรดกโลกนั้นไม่น่าเกี่ยวกับไทยเลยด้วยซ้ำ แล้วเราจะไปประท้วงยูเนสโก้ในประเด็นไหนหว่าอารยา wrote: เพียงแค่รอให้ผ่านวันที่คณะกรรมการ 7 ชาติจะรับมอบพื้นที่บริหารจัดการมรดกโลกด้านทิศเหนือและตะวันตกของตัวปราสาทที่ประมาณว่าอาจมีขนาดถึง 1.5 ล้านไร่ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 จากนั้นก็ถือว่าไทยเสียดินแดนโดยสมบูรณ์แบบ [/color]!![]()
ดีไม่ดีอาจจะได้ไปนั่งฟังเฉยๆ อีกรอบนึงให้เสียค่าเครื่องบิน
ที่ต้องเน้นยูเนสโกเพราะพยายามจะสื่อว่าโครงการมรดกโลกนี้มีขึ้นเพื่อสงครามหรือสันติภาพกันแน่ นัยยะนี้ปรากฏใน The Nation ในปลายเดือนนั้นอารยา wrote: นายกฯอภิสิทธิ์แสดงจุดยืนไปหลายครั้ง สุดท้ายเมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่บอกว่า "เราไม่มีปัญหากับกัมพูชา แต่มีกับยูเนสโก" ...!
อารยา wrote:คำนำ
1.รัฐบาลไทยถือเป็น “วาระแห่งชาติ” ที่จะไม่ให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนแหล่งโบราณสถานบนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกต่อยูเนสโกตามลำพังมาตั้งแต่ปี 2534 เนื่องจากเป็นห่วงว่าจะมีข้อพิพาทในพื้นที่รอบตัวปราสาทพระวิหารที่ถือว่าอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทยอย่างสมบูรณ์ตามมา หลังจากที่ศาลโลกวินิจฉัยยกตัวปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาเมื่อปี 2505 แต่เมื่อถึงรัฐบาลทักษิณ (2544-2549) กำพูชากลับสามารถขอขึ้นทะเบียนดังกล่าวต่อยูเนสโก ตามรายงานการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 31/2007
2. นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี(มกราคม-กันยายน 2551) กล่าวตอบกระทู้การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2551 ว่า การขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกโดยกัมพูชาแต่ลำพังไม่ทำให้ไทยต้องเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียว อ้างแทนกัมพูชาว่าเป็นการขึ้นเฉพาะตัวปราสาท (The Temple of Preah Vihear) เท่านั้น นับเป็นวจีกรรมของผู้นำที่ทั้งเขลาและน่าอดสูยิ่ง
3. กัมพูชาวาด “แผนที่ใหม่” ที่แสดงพื้นที่อนุรักษ์เพื่อการบริหารจัดการปราสาทพระวิหารในระหว่างวันที่ 22 พฤษภาคม-8 มิถุนายน 2551เพื่อประกอบแถลงการณ์ร่วม มีการลงนาม 3 ฝ่าย (ไทย-กัมพูชา-ยูเนสโก) เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2551 ฝ่ายค้านในการอภิปรายตามข้อ 2 ได้ชี้ให้เห็นว่าพื้นที่บริหารจัดการมรดกโลกที่อยู่ทางด้านเหนือและตะวันตกของตัวปราสาทพระวิหารซึ่งประมานคร่าวๆได้ 1.5 ล้านไร่อยู่ในเขตไทย โดยจะมีผลใช้บังคับอย่างมีขั้นตอนตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551/2552/2553 ทั้งนี้มีระบุไว้ในข้อ 4 ของแถลงการณ์ร่วมนั้นว่าพื้นที่อนุรักษ์ซึ่งจะตกเป็นมรดกโลกทั้งหมดจะส่งผ่านคณะกรรมการ 7 ชาติโดยมิต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการปักปันเขตประเทศของไทยและกัมพูชา (JBC)
4. แต่จนบัดนี้รัฐบาลไทยยังไม่มีสัญญาณหรือมาตรการที่จะแก้ปัญหาที่มีผลกระทบต่อบูรณภาพและอธิปไตยของชาติ แม้ว่าศาลปกครองได้สั่งคุ้มครองเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2551 ให้แถลงการณ์ร่วมที่ถือว่าเทียบเท่าสนธิสัญญาไม่มีผลบังคับใช้ ฐานมีการลงนามในเอกสร ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงดินแดนของประเทศโดยมิได้รับการเห็นชอบจากรัฐสภา รัฐมนตรีที่ลงนามมีความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190
ประเด็น
ข้อเสนอขอขึ้นทะเบียน “แหล่งโบราณสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งปราสาทพระวิหาร” (The Sacred Site of the Temple of Preah Vihear) เป็นมรดกโลก (Nomination File) ลงวันที่ 30 มกราคม 2549 ของกัมพูชาตามที่ปรากฎต่อคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 31/2007 ถูกบิดเบือนสาระสำคัญให้กลายมาเป็นการขอขึ้นทะเบียน “ปราสาทพระวิหาร” (The Temple of Preah Vihear) ตามที่ระบุในแถลงการณ์ร่วมที่ลงนามเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2551 ก่อนการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 32/2008 เพียงไม่ถึง 2 สัปดาห์ http://www.nationmultimedia.com/pdf/jointcommunique.pdf
ที่มาที่ไป
นิวซีแลนด์ ไคร๊ซสเชิร์ช
คณะกรรมการมรดกโลกยูเนสโกในการประชุมครั้งที่ 31/2007
มิถุนายน 2550
1. ในข้อเสนอขอขึ้นทะเบียน "The Sacred Site of the Temple of Preah Vihear" เป็นมรดกโลกของกัมพูชาที่ปรากฏในที่ประชุมของคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 31 เมื่อเดือนมิถุนายน 2550 มีการรับรองจากองค์กรโบราณคดีอิสระระหว่างประเทศ (ICOMOS: International Council on Monuments and Sites) ว่ามีคุณค่าเชิงวัฒนธรรมและจิตวิญญาณสมควรเป็นมรดกโลกได้ภายใต้เกณฑ์ (Criteria I-II-IV) 3 ข้อ***
2. คณะกรรมการมรดกโลกในการประชุมครั้งนั้น (31/2007) ให้ยุติการพิจารณาเนื่องจากไม่มีเอกสารหลักฐานใดที่แสดงว่าไทยได้ให้การสนับสนุนข้อเสนอของกัมพูชา ทั้งนี้เพราะเมื่อพิจารณาองค์ประกอบของแหล่งโบราณคดีที่จะต้องผ่าน 3 เกณฑ์ดังกล่าวเพื่อจะเป็นมรดกได้นั้น จะต้องผนวกโบราณสถานในส่วนที่อยู่ในดินแดนของประเทศไทย แต่ให้ถือว่าข้อเสนอนี้ยังคงสถานะเป็นกรณี "สืบเนื่อง" (“In-Progress”) ได้ หากได้ปรับปรุงแล้ว
3. รายงานการประชุมมรดกโลกครั้งนั้นได้พรรณนาค่อนข้างเฟ้อว่าผู้แทนจากประเทศไทย (นายนิตย์ พิบูลสงคราม รมว. กระทรวงการต่างประเทศขณะนั้น นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงฯและคณะ) ซาบซึ้งประทับใจในคุณค่าเชิงจิตวิญญาณของโบราณสถานแห่งนี้มากถึงกับระบุว่าได้ให้การสนับสนุนข้อเสนอของกัมพูชาอย่างแข็งแรง ("active support") เป็นครั้งแรกที่ World Heritage Centre นับแต่ตั้งขึ้นเมื่อปี 2515 บันทึกว่ารัฐบาลไทยให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนโบราณสถานนี้ตามลำพัง
ฝรั่งเศส ปารีส
ศูนย์มรดกโลก ยูเนสโก
กันยายน 2550
นาง ฟรังซัวส์ ริเวียเร่ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์ฯมรดกโลกแนะนำให้กัมพูชาทำการจ้างเอกชน ANPV [Autorite Nationale pour la Protection et le Developpement du site culturel et naturel de Preah Vihear (The National Authority for the Protection and Development of the Preah Vihear Natural and Cultural Site)] ให้ทำการสำรวจและประเมินคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมของแหล่งโบราณคดีแห่งนี้ซ้ำ
แม้ว่า ICOMOS ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้วในปี 2549 โดยได้รายงานไว้ในเอกสารการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 31 เมื่อกลางปี 2550 ว่าความเป็นมรดกโลกของโบราณสถานแห่งนี้จำเป็นต้องอยู่ภายใต้ Criteria I II IV (ซึ่งมิใช่เพียงแค่ตัวปราสาทใน Criterion I แต่ต้องควบรวมปราสาทโดนตวล, บรรณาลัย, สถูปคู่, สระตราว ทางขึ้นด้านตะวันตกของตัวปราสาท ฯลฯ ส่วนใหญ่เป็นที่เข้าใจกันระหว่างไทยและกัมพูชาว่าเป็นดินแดนในเขตไทย)
มกราคม-มีนาคม 2551
ศูนย์มรดกโลก ยูเนสโกจัดการสัมมนาและเห็นชอบด้วยกับรายงานของ ANPV ที่ระบุว่าเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารเท่านั้น ไม่ต้องรวมส่วนอื่นที่ ICOMOS เคยชี้ว่าต้องรวมเข้าด้วย ก็มีคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมที่เข้ามาตรฐานเป็นมรดกโลกได้
พฤษภาคม 2551
นางฟรังซัวส์เชิญนาย ซก อัน และนายนพดลมาร่วมลงนามในร่างแถลงการณ์ที่สำนักงานมรดกโลกเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2551 และให้ฝ่ายกัมพูชาวาด “แผนที่ใหม่” โดยลำพัง แล้วเสร็จทันก่อนนำเข้าวาระการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก 21 ชาติที่นครกีเบก ประเทศแคนาดา (2-7 กรกฎาคม 2551)
คานาดา กีเบก
คณะกรรมการมรดกโลกยูเนสโกในการประชุมครั้งที่ 32/2008
กรกฎาคม 2551
คณะกรรมการมรดกโลกยูเนสโกในการประชุมครั้งที่ 32/2551 มีมติให้กัมพูชาขึ้นทะเบียน The Temple of Preah Vihear เป็นมรดกโลก ทั้งๆที่ขัดแย้งกับ Nomination File ที่ระบุว่าเป็นการขอขึ้นทะเบียน The Sacred Site of the Temple of Preah Vihear เนื่องจากฝ่ายกัมพูชายกแถลงการณ์ร่วม ไทย-กัมพูชาขึ้นมาอ้างว่าฝ่ายไทยได้ให้การสนับสนุน ในขณะที่ยูเนสโกพยายามอิงรายงานของ ANPV (รับจ้างกัมพูชาประเมินซ้ำซ้อนมาตรฐานของ ICOMOS ระหว่างเดือนกันยายน 2550-มกราคม 2551)ว่า เพียงตัวปราสาท (The Temple of Preah Vihear) ตาม Criterion I ก็เพียงพอที่จะเป็นมรดกโลกได้ แถมอ้างด้วยว่าเป็น “political decision” ร่วมกันระหว่างไทยและกัมพูชาในการเปลี่ยนตำแหน่งโบราณสถานในการขอขึ้นทะเบียน
จึงมีประเด็นว่าสมควรหรือที่ยูเนสโกจะรับฟังและนำเหตุปัจจัยทางการเมืองมาเป็นข้ออ้างเหนือมาตรฐานการประเมินคุณค่ามรดกโลกที่ยูเนสโกยึดถือ
อีกทั้งแผนที่ใหม่ที่วาดโดยกัมพูชาหากมีการบังคับใช้ ตามวาระที่ซ่อนเร้นระบุไว้ทั้ง 6 ข้อของแถลงการณ์ร่วม เอกสารนี้จะกลายเป็นชนวนสงครามระหว่างประเทศทันที
ข้อสังเกต
1. ยูเนสโก ไม่มีอำนาจเปลี่ยนข้อเสนอทางการของกัมพูชา (Nomination File ลงวันที่ 30 มกราคม 2549) จาก The Sacred Site of Preah Vihear ที่คณะกรรมการมรดกโลกในการประชุมครั้งที่ 31/2007 รับทราบเมื่อกลางปี 2550 มาเป็น The Temple of Preah Vihear ที่ปรากฏในแถลงการณ์ร่วมลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551และมีการนำ้สนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 32/2008
2. รัฐบาลไทยในอดีตถือเป็น “วาระแห่งชาติ" ที่จะไม่สนับสนุนให้กัมพูชาได้นำโบราณสถานแห่งนี้ไปขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยลำพัง เพราะย่อมเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาล่วงล้ำอธิปไตย จนกระทั่งอดีตผู้นำ ทักษิณ ชินวัตร ของไทยไปเยือนฮุนเซน ผู้นำกัมพูชาเมื่อปลายปี 2548 และสนับสนุนให้กัมพูชาขอขึ้นทะเบียน “แหล่งโบราณสถานพระวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ ” ได้
3. อดีตผู้นำรัฐบาลไทยซึ่งมีพฤติการณ์น่ากลัวว่าจะมีวาระซ่อนเร้นในข้อ 2 คงไม่คาดว่า การฝืน “วาระแห่งชาติ” จะมีอุปสรรค ถึงกับทำให้คณะกรรมการมรดกโลกในการประชุมครั้งที่ 31/2007 ต้องเลื่อนการพิจารณา จึงมิใช่เรื่องแปลก หาก ผู้แทนไทยในการประชุมครั้งนั้นมิอาจเห็นด้วยตามข้อเสนอการขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกของกัมพูชา
4. อย่างไรก็ดี รายงานการประชุมมรดกโลกครั้งที่ 31/2007 ตามข้อ 3 มิได้แจงเหตุขัดข้องที่ต้องเลื่อนการพิจารณาออกไป 1 ปี แต่กลับพรรณนาค่อนข้างเฟ้อว่าผู้แทนจากประเทศไทย (นายนิตย์ พิบูลสงคราม รมว. กระทรวงการต่างประเทศขณะนั้น และปลัดกระทรวงฯนายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล และคณะ) ซาบซึ้งประทับใจในคุณค่าเชิงจิตวิญญาณของโบราณสถานแห่งนี้คู่ควรแก่การร่วมอนุรักษ์ (ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาเพราะมีอนุสัญญา JDA อยู่แล้วตั้งแต่ก่อนมีรัฐบาลทักษิณ) สมควรสนับสนุนกัมพูชาให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยระบุคำว่า“active support” ถือเป็นครั้งแรกที่ World Heritage Centre ที่ตั้งขึ้นเมื่อปี 2515 บันทึกว่ารัฐบาลไทยยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนโบราณสถานที่คนไทยเรียกติดปากมาแต่โบราณว่า “เขาพระวิหาร” (ในการรับรู้ที่ไม่ต่างจาก“ประวิเหียร์” หรือ The Sacred Site of the Temple of Preah Vihear และมิใช่เฉพาะตัวปราสาท หรือ The Temple of Preah Vihear ที่เพิ่งปรากฏในเอกสารแถลงการณ์ร่วมลงวันที่ 18 มิถุนายน 2518) โดยลำพัง
5. เหตุผลของการเลื่อนพิจารณาที่ไม่พบในรายงานการประชุมครั้งนั้นน่าจะเป็นว่า ฝ่ายไทยได้ใช้สิทธิสนับสนุนกัมพูชาอย่างมีเงื่อนไขมากกว่า กล่าวคือ การเป็นเจ้าของมรดกโลกของกัมพูชาในพื้นที่ซึ่งยังคงมีปัญหาการปักปันเขตแดนมาเกือบ 50 ปี เป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะกระทบต่อบูรณาการและอธิปไตยของไทย แต่หากทำได้โดยปราศจากปัญหาดังกล่าวก็ไม่มีเหตุผลที่ฝ่ายไทยจะไม่ให้การสนับสนุน เพื่ออนุรักษ์ความวิจิตรพิสดารของแหล่งโบราณสถานแห่งนี้ให้เป็นมรดกโลก
6. ดังนั้น เหตุผลในการเลื่อนการพิจารณาตามที่ระบุในรายงานการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 31/2007 จึงอนุมานได้ว่ามีวาระซ่อนเร้นเพื่อรอหลักฐานที่เป็นแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา (18 มิถุนายน 2551) เพื่อแสดงในการประชุมในปีต่อไปที่คานาดา (กรกฎาคม 2551) ว่าฝ่ายไทยสนับสนุนแล้ว โดยมีรายงาน (เถื่อน) ของ ANPV สำทับว่าเป็นการขอขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท
7. นายนภดลย่อมเข้าใจดีว่า การยินยอมลงนามแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา โดยพลการเป็นความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 แต่ที่บังอาจเพราะต้องการเอื้อประโยชน์ต่อกัมพูชาตามที่นายจ้างหรืออดีตนายกทักษิณสั่งให้ตนทำในบทบาทของที่ที่ปรึกษาส่วนตัว แต่กลับใช้อำนาจในฐานะเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศกระทำการโดยมิชอบ
8. ส่วนเหตุจูงใจที่ทักษิณไปให้คำมั่นกับผู้นำกัมพูชา เมื่อปี 2548 ถือว่าได้ละเมิด “วาระแห่งชาติ” อย่างร้ายแรง
สรุปข้อเสนอแนะ
รัฐบาลจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับทั้งกัมพูชาและยูเนสโกว่า ความเข้าใจผิดระหว่างประชาชนและรัฐบาลของทั้งกัมพูชาและไทยนั้น มีสาเหตุเป็นมาอย่างไร ไม่มีฝ่ายใด ไม่ว่าไทย กัมพูชา หรือ แม้แต่ยูเนสโกปราศจากข้อบกพร่องใดๆ แต่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ด้วยเหตุนี้ ในเบื้องต้นจึงไม่มีทางออกใดดีไปกว่า:
1. ยกเลิกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาวันที่ 18 มิถุนายน 2551
2. ยกเลิกมติของคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 32/2008 วันที่ 7 กรกฎาคม 2551
หากทางการไทยมองว่าปล่อยไปเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร ให้เงื่อนเวลาผ่านพ้นไปเอง ผลตามมาจะยิ่งสั่งสมความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา
จนเป็นไปได้ว่าสงครามระหว่างสองประเทศไม่อาจหลีกเลียงได้ และนั่นย่อมมิใช่ทางออกที่ฝ่ายใดปรารถนา
แต่หากทั้งสองฝ่ายได้พยายามหาทางเจรจาประนีประนอมในปัญหาปักปันเขตแดนด้วยมาตรการที่โปร่งใส มีหลักเกณฑ์สากล และด้วยสันติวิธี ความสัมพันธ์ที่เคยมีไมตรีต่อกันมา ก็น่าจะได้รับการฟื้นฟูกลับมาดังเดิม
...................
***Criterion I
“Preah Vihear is an outstanding masterpiece of Khmer architecture. It is very ‘pure’ both in plan and in the detail of its decoration”
Criteron II
“Preah Vihear demonstrates an important interchange in human values and developments in art, architecture, planning and landscape design”
Criterion IV
“The architectural ensemble is exceptional in its representation of Buddhist geometry. The position of the Temple on a cliff edge site is particularly impressive. Stairs and historical access surviving for over a thousand years show a sophisticated technological understanding. The whole historic structure demonstrates the highpoint of a significant state in human history
อารยา wrote:เขมรกะลังทำเรือดำน้ำเพราะต้องสำรวจน้ำมันแถวเกาะกูด ไทยมีปะ
อารยา wrote:เขมรกะลังทำเรือดำน้ำเพราะต้องสำรวจน้ำมันแถวเกาะกูด ไทยมีปะ
อารยา wrote:ขอมมันดำดินเป็นว่าเล่นนะ จะเอามันอยู่หรือครับ
อ้อ สังเกตเห็น "quarter moon" ครับ สวยดี
ยังขาด "Full moon" (กับ empty arm) เพราะ "half moon" ก็มีแล้ว!![]()
![]()
เออ blue moon ด้วย
เดือนที่จะมีพระจันทร์เต็มดวงซ้ำมันโคตะระยากนะ เพราะต้องมีทั้ง 31 วันแล้วคืนแรกที่เต็มดวงต้องไม่เกินวันที่ 1 (ก็วันที่ 1 นั่นแหละ)
เพื่อว่าจันทร์เพ็ญครั้งต่อมาจะได้ไม่เกินเดือนนั้น (ก็วันที่ 31 นั่นแหละ) ครับ เดือนที่มี 30 วันก็ไม่พอให้ "ิblue moon" เกิด ต่อให้เพ็ญแรกมาวันที่ 1 ก็เถอะ เพราะนับไปอีก 30 วันที่จะถึงวันเพ็ญรอบใหม่ ก็หลุดจากเดือนนั้นไปเป็นวันที่ 1 ของเดือนต่อไปฉิบ)
ปีหนึ่งถ้าได้เจอ "blue moon" สักครั้งก็บุญแล้ว แต่คนอกหักจะทึกทักว่าวันนั้นเป็นคืนที่ต้องตรอมใจ มักจะลุกออกมานอกชาน แหงนมองดูจันทร์เต็มดวงพร้อมกับพึมพัมหาความไพเราะไม่ได้ว่า ทำไมตูต้องมา "standing alone" อย่างนี้ (วะ)
บ๊ะ ก็ดันไม่นอน!
สรุปว่า ไม่ทราบว่าทำไมต้องเป็น"จันทร์สีน้ำเงิน" น่าจะเป็นจันทร์เขียวแบบว่าเศร้าจนหน้าเขียวอ่ะ![]()
![]()