อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

เรื่องการเมือง เชิญที่นี่เลยครับ
Forum rules
- ห้ามใช้คำพูดหยาบคาย
- ห้ามโพสกระทู้หรือข้อความที่ดูหมิ่นเสียดสีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอันขาด

เชิญทุกท่านเข้าสู่บอร์ดใหม่ได้ที่ http://webboard.serithai.net ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ viewtopic.php?f=2&t=44976 ครับ

Re: อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

Postby อารยา » Wed Jul 22, 2009 6:40 am

ยิ่งฮอนัมฮงบอกว่าไม่ใช่สนธิสัญญา ก็เท่ากับไม่ได้ตอบประเด็นที่จดหมายข่าวมั่วว่าเป็นเรื่องที่คุณเตชอ้างว่าฮอนัมฮงพูดว่ายกเลิกแล้ว และคนละประเด็นกับการสิทธิในการอ้างอิง แทบจะไม่ต้องเถียงกันในเรื่องการบังคับใช้

ที่มีสาระหน่อยก็ตรงที่สะท้อนว่าไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของศาลปกครองที่ชี้ว่าเป็น international treaty
เอกสารของเขมรนี้จึงยิ่งตอกย้ำว่ามันหวงแถลงการณ์ร่วมที่คุณเตชอ้าง (ในจดหมายข่าว) ยิ่งกว่าไข่ในหิน
ฮอนัมฮงรู้ดีว่า รัฐธรรมนูญมีศักดิ์เหนือกว่ากฏหมายระหว่างประเทศ นับประสาอะไรกับ "treaty" ยิ่งเป็นแค่ joint statement ถ้าจะมีการอ้างกัน น้ำหนักยิ่งต่างกันสุดกู่ แต่นั่นเป็นหลักการ นักการทูตเขาไม่มานั่งเถียงกัน เสียบรรยากาศเปล่าๆ
นี่ถ้าไม่ใช่คุณเตชที่ชอบพอกันตั้งแต่กอดคอกันที่ปารีส ก็ไม่แฟร้งค์กันได้ถึงขนาดนี้หรอก ข้อดีคือทำให้ชัดเจนขึ้นในท่าทีของแต่ละฝ่ายว่า กำลังจะเดินแต้มคูอะไรกันต่อในความขัดแย้งที่มีอยู่

ลงอีแบบนี้ ฉบับของคุณเตชก็ตัดตอนไปได้ เพราะมันจะประจานความโง่ของคนที่เอามาแหกตาคนดูมากเกินไป เอกสารต่างๆที่ใครเขียนเจ้าตัวเขารับผิดชอบอยู่แล้ว แต่คนที่เอาออกมาโชว์ต้องฉลาด ไม่ใช่พอเห็นอะไรก็บ้าตื่นเต้นจนขาดสติ ก็ยากเหมือนกันที่คนมีมิจฉาทิฐิเป็นเจ้าเรือนจะเข้าใจ กลายเป็นอเวไนยสัตว์ซ้ำซาก
เออ ระวังตัวหน่อยละกันถ้าต้องลักลอบเอาหลักฐานออกมาถล่มอารยา ขโมยมาอีก อย่าหยุด ชอบมาก

อีกนิด จะบอกให้เอาบุญ การทูตมีเรื่องไปไหนมาสามวาสองศอกเสมอๆ แต่เป็นส่วนหนึ่งของ conflict avoidance สุดแต่ว่าใครจะเนียนกว่ากัน ส่วนดีคือทำให้ได้นั่งคุยกันไปได้เรื่อยๆ จนกระทั่งลุกขึ้นชี้หน้ากันเมื่อไหร่ สงครามก็อาจเข้ามาแทนการทูต


อ้อ (ไม่ใช่พจมาร) รู้จักวิธี "resize" ไฟล์ภาพให้ลดขนาดไหม ไปหัดซะ เวลาโพสต์จะได้ไม่ต้องออกมาแบบขาดๆเกินๆ อย่างนี้
User avatar
อารยา
 
Posts: 2201
Joined: Sat Apr 11, 2009 5:26 pm

Re: อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

Postby integra » Wed Jul 22, 2009 11:14 am

เป็นกำลังใจไห้ท่าน อารยาครับ และอย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกาตัวอักษรแดงๆนั่นเลยครับท่านอารยา ไอ้พวกเลวที่เยี่ยวไม่สุด ปล่อยมันเห่าไปเถอะตรับอาจารย์
โลกเสมือน#เสาะหาความยุติธรรมแม้แก่ผู้อื่นก็ยังดีอย่างน้อยจะได้รู้ว่ามันยังมีจริงในโลก
โลกจริง#กูเหนื่อยและเบื่อความพ่ายแพ้ในเกมส์ที่ถูกยัดเยียด ได้เวลาเลิกหลอกตัวเองว่าอะไรๆยังเหมือนเดิม ถึงเวลากระทืบอุปสรรคแล้วก้าวเดิน
User avatar
integra
 
Posts: 1616
Joined: Tue Apr 21, 2009 3:24 am

Re: อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

Postby อารยา » Wed Jul 22, 2009 4:31 pm

ขอบคุณครับคุณ integra ผมสนุกมากกว่าครับ อาการเสียศูนย์ของหางแดงตัวนี้ดูไม่จืดจริงๆ มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังประจานตัวเองว่าชั่วชาติเพียงไร

เอาเรื่องที่มันสุดจะตื้นเขินก่อน บทพิสูจน์ว่าแถลงการณ์ร่วมยกเลิกหรือไม่แสนจะง่าย
ผมพูดหลายหน มันเงื้อง่าตั้งแต่กระทู้อัปยศของมันว่ายกเลิกแล้ว
มันตามมาจ่ายค่าโง่ที่นี่อีก ผมเลยฉลองศรัทธาท้าว่า "มี Reply ตอบยืนยันจากนายฮอนัมฮงว่า 'ตกลง' ตามที่ท่านเตชเอ่ยว่าให้มีการยกเลิกแถลงการณ์ร่วม มีมั๊ยลา"

มันงับสมใจนึก เอาสำเนาจดหมายจากเขมรมาแหกตาประชาชีทันที ปรากฏฮอนัมฮงเขียนยืดยาดมาเข้าทางผม เพราะเท่าไหร่ก็ไม่พบวลีที่ว่าดีใจที่ "ยกเลิกแล้ว"
เลยเป็นความพยายามฆ่าตัวตายครั้งที่ 2 หลังจากครั้งแรกที่เอาจดหมายข่าวฝ่ายไทยมามั่ว

นี่มันกำลังพยายามครั้งที่ 3 โดยชี้ว่าคำว่า "ไม่เป็นสนธิสัญญา" แปลว่ายกเลิก หรือไม่มีการบังคับใช้

และครั้งที่ 4 เมื่อจินตนาการว่าไทยจะฟ้องศาลโลก แล้วแช่งให้ไทยแพ้ เพราะศาลปกครองไปชี้ว่านี่เป็นสนธิสัญญา

ผมว่ามันบ้าไปแล้วครับ
User avatar
อารยา
 
Posts: 2201
Joined: Sat Apr 11, 2009 5:26 pm

Re: อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

Postby Tam-mic-ra » Wed Jul 22, 2009 5:46 pm

อารถา นี่มันยังอนาถาเห่าแถต่อได้อีกหรือนี่

หนังสือ 2ฉบับข้างบนก็คืดเหตุการณ์เดียวกัน
เอกสารเขาออกมารองรับการคุยทางวาจา หลังจากตอนที่เขานัดพบคุยกัน
ไทยส่งไป 25สิงหา
เขมรทำ 1 กันยา

สุดท้ายมติยูเนสโก้ ครั้งที่32 ก็ยืนยันให้อีกที
อาจารย์อารถาก็หลีกเลี่ยงไม่กล้าตอบประเด็นนี้

จะให้กระเบื้องลอยน้ำให้ได้ ว่าเอกสารนพดลยังไม่ถูกยกเลิก ไอ้เต่าเอ๊ย
หรือว่ามันโง่จริงๆ เลยตีความอะไรไม่ออกเลย
ต้องให้ไอ้ลิ้มมาพูดแทนซะละมั้งนี่ มันถึงจะเชื่อ

อนาจาร อารถา ไอ้มั่ว บิดเบือน หลอกลวงคนอื่น
คำว่า "คนฉลาด" ด้วยเพราะคนอื่นเขายกย่อง มิใช่ ยกหางเน่าๆของตัวเอง โดยการโยนยัดใส่คนอื่นว่า โง่
มาดูกัน นักเรียนตลอดชีพแถว่าสมัยแม้วปล่อยเขมรมาสร้างวัด viewtopic.php?f=2&t=37916&p=708131#p707996
User avatar
Tam-mic-ra
 
Posts: 901
Joined: Mon Mar 02, 2009 4:03 am

Re: อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

Postby loginofu » Wed Jul 22, 2009 6:19 pm

รู้ว่ามันเป็น troll จะไปตอบโต้มันทำไมละครับ
พวกนี้กินหินกินทราย หนังด้าน กะโหลกหนา สอนยังไงก็ไม่ฟังหรอก
กระทู้ที่ผ่านมาก็ยืนยันแล้ว
http://www.prachathon.org/forum/index.php
ทางเข้าบอร์ดสำรอง http://siamseri.orgfree.com/
ประชาทนธิปไตย : ทนได้ก็ทนไป
loginofu
 
Posts: 10316
Joined: Mon Oct 13, 2008 3:22 am

Re: อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

Postby อารยา » Thu Jul 23, 2009 5:56 pm

ให้มันได้งี้สิ
1. พอฮอนัมฮงบอกว่าแถลงการณ์ร่วมไม่่ใช่สนธิสัญญา ก็ตีความว่าแถลงการณ์ร่วมยกเลิกแล้ว
ใช้รัฐธรรมนูญเขมรเลยดีไหมพวก

2. พอยูเนสโกโน้ตว่ารับทราบคำสั่งศาลไทยว่าแถลงการณ์ร่วมมีปัญหาข้อกฏหมาย ก็สรุปว่า 21 ประเทศรับรองว่าให้แถลงการณ์ร่วมได้รับการยกเลิก

ไม่เป็นไรที่ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง มาดูภาษาไทยบ้าง...

3. พอจดหมายข่าวของ กต. รายงานว่าคุณเตชมีหนังสือไปขอให้ยกเลิกแถลงการณ์ร่วม แค่นั้นก็เชื่อได้มีการยกเลิกแถลงการณ์ร่วมเรียบร้อยแล้ว

พี่น้องครับ อย่าลืมสาระสำคัญในแถลงการณ์ร่วมที่บอกว่าไทยให้ "active support" เขมรขึ้นทะเบียนนะครับ
เมื่อตอนนี้ยกเลิกแล้ว เขมรมันก็หมดสิทธิ์ขึ้นทะเบียนมรดกโลก ไชโย

ทุด! ปลายเดือนที่แล้วรัฐบาลส่งรัฐมนตรีทรัพยากรไปประท้วงหาพระแสงด้ามสั้นทำไมฟระ

สังเกตไหมครับว่า มีประเด็นเดียวเท่านั้นที่หางแดงเกาะติดคือ ทำไงก็ได้ที่จะบอกว่าไอ้เหล่ไม่ผิดเพราะไม่ได้ลงนามในสนธิสัญญาตามหลักฐานล่าสุดที่ใช้กฎหมายเขมรเป็นบรรทัดฐาน ศาลไทยจึงผิดในมุมมองของ "พวกกินหินกินทราย หนังด้าน กะโหลกหนา" (loginofu--ขอบคุณครับ)

อย่าแปลกใจที่ข้อสังเกตอื่นๆนับสิบถูกมองข้ามหมด เพราะแค่ประเด็นเดียว สีข้างพังไปทั้งแถบแล้ว
User avatar
อารยา
 
Posts: 2201
Joined: Sat Apr 11, 2009 5:26 pm

Re: อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

Postby อารยา » Thu Jul 23, 2009 7:25 pm

กระทู้นี้ยังต้อนรับทุกท่านตามปกติ แต่ผมคงไม่มีประเด็นเพิ่มเติม ขอบคุณทุกท่าน และโปรดเชื่อมั่นว่า เรามีโอกาสที่จะไม่เสียดินแดน และหวังว่าไม่ต้องเสียเลือดเนื้อพี่น้องทหารที่ขณะนี้ยังตรึงอยู่ที่ชายแดนไทย

โปรดเชื่อว่า ทางรัฐบาลจะได้รับฟังเสียงของพวกเรา นายกฯอภิสิทธิ์เคยพูดว่า 1 เสียงก็ต้องฟัง และนี่คือสิ่งดีที่เราไม่เคยได้ยินวลีนี้จากปากผู้นำคนใดมาก่อน

24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ผมพบ "เจ้าภาพ" มรดกโลกแล้ว ภาพที่ดูเหมือนคุณกษิตถูกขโมยซีนเป็นเรื่องที่เกิดจากข้อจำกัดบางอย่าง แต่สถานการณ์น่าจะดีขึ้น ไม่มีใครตั้งใจให้ทหารมานำการทูต

สุดท้ายผมขอทิ้ง "ร่างสุดท้าย" ไว้ แต่เชื่อว่าไม่ท้ายสุด
บาย อย่างน้อยก็ำหรับกระทู้นี้ครับ


รัฐบาลไทยถือเป็น “วาระแห่งชาติ” ที่จะมิให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนแหล่งโบราณสถานบนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก เพียงแค่แจ้งในที่ประชุมคณะกรรมกรมรดกโลกด้วยปากว่า “ไม่สนับสนุน” มาตั้งแต่ปี 2534 ในขณะที่ฝ่ายกัมพูชาพยายามล๊อบบี้ชาติต่างๆเพื่อขอให้ฝ่ายไทยยินยอม แต่ไม่เคยประสบผลสำเร็จ จนกระทั่งมีความผิดปกติช่วงที่รัฐบาลทักษิณเข้ามาบริหารประเทศเมื่อพบว่ายูเนสโกรับข้อเสนอ (“Nomination File”) ของกัมพูชาที่ยื่นเพื่อพิจารณาขอขึ้นทะเบียน The Sacred Site of the Temple of Preah Vihear เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2549 แต่ขณะนั้นก็ไม่พบว่ารัฐบาลทักษิณมีมติคณะรัฐมนตรี หรือหลักฐานที่แสดงว่าทางการไทยให้การสนับสนุนกัมพูชา

ในช่วงที่คณะกรรมการมรดกโลกมีการประชุมที่ประเทศคานาดา (2-7 กรกฎาคม 2551) และมีกรณีข้อเสนอของกัมพูชาอยู่ในวาระที่ต้องพิจารณาตัดสินนั้น นายสมัคร นายกรัฐมนตรีขณะนั้นอ้างในระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อเดือนมิถุนายน 2551ว่า ไทยจะไม่เสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียว เพราะทางกัมพูชาขอขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท

แต่มีหลักฐานที่ฝ่ายค้านนำมาเสนอไปในทางตรงกันข้าม กล่าวคือใน “แผนที่ใหม่” ซึ่งฝ่ายกัมพูชาวาดเองระหว่างวันที่ 22 พฤษภาคม - 8 มิถุนายน 2551 เพื่อประกอบสาระสำคัญของแถลงการณ์ร่วม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศขณะนั้นลงนามรับรองไปเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2551 แสดงว่า “พื้นที่บริหารจัดการ” มรดกโลกของกัมพูชาทั้ง 4 ทิศอยู่ในเขตแดนของประเทศไทยทั้งหมด โดยมีกำหนดที่ยูเนสโกจะรับมอบพื้นที่ดังกล่าวผ่านคณะกรรมการประสานงานนานาชาติ (International Coordinating Committee)

ศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2551 โดยให้แถลงการณ์ร่วมดังกล่าวไม่มีผลใช้บังคับ เนื่องจากเป็นการลงนามที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 190

อย่างไรก้ดี แถลงการณ์ร่วมดังกล่าวระบุไว้ในข้อ 4 ว่า การส่งมอบพื้นที่เพื่อใช้ในการบริหารจัดการมรดกโลกมีกำหนดให้เสร็จสิ้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 โดยทั้งไทยและกัมพูชาไม่จำเป็นต้องรอให้คณะกรรมการปักปันเขตประเทศของไทยและกัมพูชา (JBC: Joint Border Commission) เห็นชอบร่วมกันก่อน จากนั้น การตัดสินขั้นสุดท้ายให้กัมพูชาเป็นเจ้าของมรดกโลกชิ้นนี้จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในกลางปี 2553 เมื่อคณะกรรมการมรดกแห่งโลกประชุมครั้งที่ 34 ที่ประเทศบราซิล

ความตึงเครียดที่ชายแดนไทย-กัมพูชาดำเนินมาตั้งแต่เดือนกรกฏาคม 2551 บางครั้งก็เหตุการณ์ปะทะกัน ซึ่งต่างฝ่ายก็ว่าฝ่ายตนไม่ได้ก่อเหตุก่อน ไม่มีใครทราบว่าเมื่อใดสถานการณ์จะคืนสู่ภาวะปกติ และคงกล่าวไม่ได้ว่าฝ่ายใดจะได้ประโยชน์จากความตึงเครียด แม้จะมีการคาดคะเนว่า ถึงที่สุดยูเนสโกอาจยกเลิกการขึ้นทะเบียนมรดกโลก ประเด็นคือ อะไรคือถึงที่สุด เพราะนั่นอาจหมายถึงความสูญเสียอย่างมิอาจประมาณได้ของทั้งสองฝ่าย แม้ฝ่ายกัมพูชาจะเป็นฝ่ายผิดในฐานะเป็นฝ่ายก่อเหตุ แต่ปัญหาปราสาทพระวิหารยังคงเป็นคนละประเด็น อย่างดี ยูเนสโกก็คงเลื่อนวาระตัดสินไปจนกว่าจะเห็นสมควร หรืออาจเสร็จสิ้นในการประชุมที่บราซิลกลางปีหน้านี้
ถึงวันนั้นผู้แทนจากไทยที่ร่วมประชุมด้วยก็คงเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์เหมือนในการประชุมทั้งสองครั้งที่ผ่านมา (คานาดา 2551 สเปน 2552) ถ้าโชคดีอย่างในปี 2551 ก็อาจได้รับสิทธิ์ขึ้นกล่าว 1 นาทีหลังหมดวาระพิจารณาแล้ว


ภูมิหลัง
นิวซีแลนด์ ไคร๊ซสเชิร์ช
คณะกรรมการมรดกโลกยูเนสโกในการประชุมครั้งที่ 31/2550
มิถุนายน 2550
1. ข้อเสนอขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ของกัมพูชาได้รับการบรรจุเข้าวาระการประชุมของคณะกรรมการมรดกโลก 21 ชาติในการประชุมครั้งที่ 31 เมื่อเดือนมิถุนายน 2550 พร้อมรายงานขององค์กรโบราณคดีอิสระระหว่างประเทศ “ICOMOS” (International Council on Monuments and Sites ที่ได้ลงสำรวจประเมินคุณค่าเชิงวัฒนธรรมและจิตวิญญาณของ The Sacred Site of the Temple of Preah Vihear ทั้งปี 2549 ตามมาตรฐานของยูเนสโก

อย่างไรก็ดี คณะกรรมการมรดกโลกเห็นชอบกับข้อเสนอและผลการประเมิน แต่ให้เลื่อนการพิจารณาเพื่อลงมติไปในการประชุมครั้งต่อไป (กรกฎาคม 2551) โดยให้ถือว่าข้อเสนอฯมีสถานะ “In-Progress”

2. รายงานการประชุมมรดกโลกครั้งนั้น มิได้แจงเหตุขัดข้องที่ต้องเลื่อนการพิจารณากรณีของกัมพูชา แต่พบว่ามีการพรรณนาค่อนข้างเฟ้อว่าผู้แทนจากประเทศไทย (นายนิตย์ พิบูลสงคราม รมว. กระทรวงการต่างประเทศขณะนั้น นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงฯและคณะ) ซาบซึ้งประทับใจในคุณค่าเชิงจิตวิญญาณของโบราณสถานแห่งนี้ และให้การสนับสนุนข้อเสนอของกัมพูชาที่ขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก (นับเป็นครั้งแรก นับแต่กัมพูชามีความพยายามขอให้ฝ่ายไทยสนับสนุนมาตั้งแต่ปี 2534)


ฝรั่งเศส ปารีส
ศูนย์มรดกโลก ยูเนสโก
กันยายน 2550
นาง ฟรังซัวส์ ริเวียเร่ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์ฯมรดกโลกแนะนำให้กัมพูชาทำการจ้างเอกชน ANPV [Autorite Nationale pour la Protection et le Developpement du site culturel et naturel de Preah Vihear (The National Authority for the Protection and Development of the Preah Vihear Natural and Cultural Site)] ให้ทำการสำรวจและประเมินคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมของแหล่งโบราณคดีแห่งนี้ซ้ำ

แม้ว่า ICOMOS ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้วในปี 2549 โดยได้รายงานไว้ในเอกสารการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 31 เมื่อกลางปี 2550 ว่าสถานะความเป็นมรดกโลกของโบราณสถานแห่งนี้จำเป็นต้องอยู่ภายใต้ Criteria I II IV (ซึ่งมิใช่เพียงแค่ตัวปราสาทใน Criterion I แต่ต้องควบรวมปราสาทโดนตวล, บรรณาลัย, สถูปคู่, สระตราว ทางขึ้นด้านตะวันตกของตัวปราสาท ฯลฯส่วนใหญ่เป็นที่เข้าใจกันระหว่างไทยและกัมพูชาว่าเป็นดินแดนในเขตไทย)

มกราคม-มีนาคม 2551
ศูนย์มรดกโลก ยูเนสโกจัดการสัมมนาและเห็นชอบด้วยกับรายงานของ ANPV+ICCROM ที่ระบุว่าเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารเท่านั้น ไม่รวมส่วนอื่นที่ ICOMOS เคยชี้ว่าต้องรวมเข้าด้วย ก็มีคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมที่เข้ามาตรฐานเป็นมรดกโลกได้

พฤษภาคม 2551
นางฟรังซัวส์เชิญนาย ซก อัน และนายนพดลมาร่วมลงนามในร่างแถลงการณ์ที่สำนักงานมรดกโลกเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2551 และให้ฝ่ายกัมพูชาวาด “แผนที่ใหม่” โดยลำพัง แล้วเสร็จทันก่อนนำเข้าวาระการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก 21 ชาติที่นครกีเบก ประเทศแคนาดา (2-7 กรกฎาคม 2551)

คานาดา กีเบก
คณะกรรมการมรดกโลกยูเนสโกในการประชุมครั้งที่ 32/2551
กรกฎาคม 2551
คณะกรรมการมรดกโลกยูเนสโกในการประชุมครั้งที่ 32/2551 มีมติให้กัมพูชาขึ้นทะเบียน The Temple of Preah Vihear เป็นมรดกโลก ทั้งๆที่ขัดแย้งกับ Nomination File ที่ระบุว่าเป็นการขอขึ้นทะเบียน The Sacred Site of the Temple of Preah Vihear เนื่องจากฝ่ายกัมพูชายกแถลงการณ์ร่วม ไทย-กัมพูชาขึ้นมาอ้างว่าฝ่ายไทยได้ให้การสนับสนุน ในขณะที่ยูเนสโกพยายามอิงรายงานของ ANPV (รับจ้างกัมพูชาประเมินซ้ำซ้อนมาตรฐานของ ICOMOS ระหว่างเดือนกันยายน 2550-มกราคม 2551)ว่า เพียงตัวปราสาท (The Temple of Preah Vihear) ตาม Criterion I ก็เพียงพอที่จะเป็นมรดกโลกได้ แถมอ้างว่านี่เป็นกรณีพิเศษ (ใช้เหตุผลคลุมเครือว่าเป็น “political decision”)


ข้อสังเกตความผิดปกติในกระบวนการขึ้นทะเบียนของฝ่ายกัมพูชา
1. ยูเนสโก ไม่มีอำนาจเปลี่ยนข้อเสนอทางการของกัมพูชา (Nomination File ลงวันที่ 30 มกราคม 2549) จาก The Sacred Site of Preah Vihear ที่คณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 31 รับทราบเมื่อกลางปี 2550 มาเป็น The Temple of Preah Vihear ที่ปรากฏในแถลงการณ์ร่วมลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551และมีการนำ้สนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 32 ในปีต่อมา

2. รัฐบาลไทยในอดีตถือเป็น “วาระแห่งชาติ" ที่จะไม่สนับสนุนให้กัมพูชาได้นำโบราณสถานแห่งนี้ไปขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยลำพัง เพราะย่อมเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาล่วงล้ำอธิปไตย จนกระทั่งอดีตผู้นำ ทักษิณ ชินวัตร ของไทยไปเยือนฮุนเซน ผู้นำกัมพูชาเมื่อปลายปี 2548 และสนับสนุนให้กัมพูชาขอขึ้นทะเบียน “แหล่งโบราณสถานพระวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ ” ได้

3. อดีตผู้นำรัฐบาลไทยซึ่งมีพฤติการณ์น่ากลัวว่าจะมีวาระซ่อนเร้นในข้อ 2 คงไม่คาดว่า การฝืน “วาระแห่งชาติ”จะมีอุปสรรค ประมาณว่า ผู้แทนไทยในการประชุมครั้งนั้นมิอาจเห็นด้วยตามข้อเสนอการขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกของกัมพูชา ถึงกับทำให้คณะกรรมการมรดกโลกในการประชุมครั้งที่ 31/2550 ต้องเลื่อนการพิจารณาไปเป็นการประชุมครั้งที่ 32

4. อย่างไรก็ดี รายงานการประชุมฯตามข้อ 3 มิได้แจงระบุถึงเหตุขัดข้องที่ต้องเลื่อนการพิจารณาออกไป 1 ปี แต่กลับพรรณนาค่อนข้างเฟ้อว่าผู้แทนจากประเทศไทย (นายนิตย์ พิบูลสงคราม รมว. กระทรวงการต่างประเทศขณะนั้น และปลัดกระทรวงฯนายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล และคณะ) ซาบซึ้งประทับใจในคุณค่าเชิงจิตวิญญาณของโบราณสถานแห่งนี้คู่ควรแก่การร่วมอนุรักษ์ (ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาเพราะมีอนุสัญญา JDA อยู่แล้วตั้งแต่ก่อนมีรัฐบาลทักษิณ) จึงได้สนับสนุนกัมพูชาให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

5. การเลื่อนการพิจารณาตามที่ระบุในรายงานการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 31/2550 จึงอนุมานได้ว่า เพียงเพื่อรอหลักฐานที่เป็นแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่จะได้แสดงว่าฝ่ายไทยให้การสนับสนุนแล้ว

7.มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าฝ่ายกัมพูชายกเลิกการใช้บังคับแถลงการณ์ร่วม 18 มิถุนายน 2551 จาก.“จดหมายข่าว” ของกระทรวงการต่างประเทศลงวันที่ 18 กันยายน 2551ที่รายงานว่าอดีตรัฐมนตรี ฯพณฯ เตช บุนนาค ขณะดำรงตำแหน่งมีหนังสือถึงรัฐบาลกัมพูชา โดยอ้างคำพูดของนายฮอนัมฮงระหว่างการเจรจาทวิภาคีที่เมืองเสียมเรียบปลายเดือนกรกฎาคม 2551 ข้อเท็จจริงมีว่าเป็นการกล่าวถึงว่าแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวเป็นสนธิสัญญาตามนัยยะที่ศาลปกครองสั่งเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2551 หรือไม่เท่านั้นเอง

8. มีความผิดปกติในคำตัดสินของคณะกรรมการมรดกโลกที่ให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลก เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2551 กล่าวคือเริ่มต้นจากมีการใช้ 2 มาตรฐานในการประเมิน จากเดิมของ ICOMOS (ในการประชุม(ครั้งที่ 31ที่นิวซีแลนด์ 2550) มาเป็นของ ANPV (ในการประชุมครั้งที่ 32 ที่คานาดา 2551) เป็นเหตุให้พบความสับสนของการเปลี่ยนแปลงชื่อแหล่งโบราณสถาน The Sacred Site of the Temple of Preah Vihear ซึ่งเดิมระบุไว้ใน Nomination File (30 มกราคม 2549) มากลายเป็น The Temple of Preah Vihear อย่างกะทันหัน คือไม่ถึง 2 สัปดาห์ก่อนการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่ประเทศคานาดา (2-7 กรกฎาคม 2551)

ประเด็นจึงมีว่า กัมพูชาเสนอขอขึ้นทะเบียน “แหล่งโบราณสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งปราสาทพระวิหาร” (The Sacred Site of the Temple of Preah Vihear) เป็นมรดกโลกต่อยูเนสโกตามที่ระบุใน “แฟ้ม” (Nomination File) ลงวันที่ 30 มกราคม 2549 มิใช่ขอขึ้นทะเบียนตัว “ปราสาทพระวิหาร” (The Temple of Preah Vihear) ที่นำมาอ้างอย่างเลื่อนลอยในแถลงการณ์ร่วมลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551


ข้อเสนอแนะ
1. รัฐบาลไทยมีหลักฐานยืนยันความไม่ถูกต้องในข้อเสนอขอขึ้นทะเบียนของกัมพูชา และความผิดปกติต่างๆที่อยู่ในกระบวนการขึ้นทะเบียนที่ยูเนสโกจำเป็นต้องทบทวน แต่ไม่มีเวลาที่จะรอให้ถึงวันที่กัมพูชาต้องรายงานให้ยูเนสโกทราบถึงผลการมอบดินแดนของไทยบางส่วนให้เป็นพื้นที่บริหารจัดการมรดกโลก ซึ่งจะมีขั้นตอนสุดท้ายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 ในเบื้องต้นจึงไม่มีทางออกใดดีกว่า

1.1 ยกเลิกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาวันที่ 18 มิถุนายน 2551
1.2 ยกเลิกมติของคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 32 วันที่ 7 กรกฎาคม 2551

2. ให้ถือว่า การดำนินการตรามข้อ 1 เป็นการสานต่อการเจรจาในกรอบทวิภาคีที่คุณเตช บุนนาค ที่ได้เริ่มต้นกับนายฮอนัมฮงที่เมืองเสียมเรียบและชะอำเมื่อเดือนกรกฎาคม/สิงหาคม 2551 ตามลำดับ และอาจเพิ่มความพยายามของ JBC ที่ทั้งสองประเทศจะร่วมกันเร่งหาข้อยุติปัญหาปักปันเขตแดนในพื้นที่ทับซ้อนใกล้ที่ตั้งของปราสาทพระวิหารไปพร้อมกันตามเกณฑ์สากลอย่างโปร่งใส ก็น่าจะเป็นการเริ่มต้นฟื้นฟูความสัมพันธ์ให้มีไมตรีต่อกันมากขึ้น แทนที่จะปล่อยให้เงื่อนเวลาในแถลงการณ์ร่วมสร้างประเด็นแทรกซ้อนเพิ่มขึ้นจนอาจกลายเป็นชนวนสงครามระหว่างสองประเทศ ซึ่งมิใช่ทางออกที่น่าปรารถนาแต่ประการใด

ทั้งหมดเป็นแนวทางและมาตรการที่จะนำไปสู่การเจรจา เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องกับทุกฝ่าย รวมทั้งยูเนสโกที่ร่วมลงนามในแถลงการณ์ร่วมนี้ด้วย
User avatar
อารยา
 
Posts: 2201
Joined: Sat Apr 11, 2009 5:26 pm

Re: อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

Postby อธิฏฐาน » Thu Jul 23, 2009 8:38 pm

ขอบคุณด้วยความจริงใจค่ะท่านอารยา

Image
User avatar
อธิฏฐาน
 
Posts: 3001
Joined: Mon Oct 13, 2008 1:18 pm

Re: อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

Postby saopao » Thu Jul 23, 2009 10:07 pm

ไปเห็นข่าวนี้ น่าจะเข้ากับเนื้อหากระทู้ครับ

“ฮุนเซน” งามหน้าให้สัมปทานน้ำมันเขตทับซ้อนอ่าวไทย

เนื้อหาตามลิ้งค์ครับ

http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9520000083341

Image

ผู้นำกัมพูชาฉวยโอกาสดึงฝรั่งเศสเข้ามาเกี่ยวข้องความขัดแย้งในอ่าวไทย ให้สัมปทาน Block3 (Area3)
ที่อยู่ริมนอกสุดแก่โตตาลออยล์ ขณะที่ยังเป็นน่านน้ำพิพาทกับประเทศไทย พรมแดนทางน้ำกับพรมแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชาเกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออก
แม้กระทั่ง BlockA ที่กลุ่มเชฟรอน-มิตซุย ประกาศพบน้ำมันแล้วก็ยังสามารถเป็นเขตแดนพิพาทได้เช่นกัน




อะไรทำให้เขมรมันถึงมั่นใจขนาดนี้ ในกรณีพื้นที่ทับซ้อนนี้ครับ
Image
User avatar
saopao
Moderator
 
Posts: 2593
Joined: Mon Oct 13, 2008 1:21 am

Re: อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

Postby Tam-mic-ra » Fri Jul 24, 2009 5:07 am

ไอ้อารถามันมั่วไม่เลิก

1 มรดกโลกของกัมพูชาทั้ง 4 ทิศอยู่ในเขตแดนของประเทศไทยทั้งหมด

2 จนกระทั่งอดีตผู้นำ ทักษิณ ชินวัตร ของไทยไปเยือนฮุนเซน ผู้นำกัมพูชาเมื่อปลายปี 2548 และสนับสนุนให้กัมพูชาขอขึ้นทะเบียน “แหล่งโบราณสถานพระวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ ” ได้


อ่านของมันคร่าวๆ เจอแค่นี้ก็ชัดๆว่ามั่วแล้ว
หมายเลข 2 ของแผนที่แนบท้ายแถลงการณ์นพดล เป็นพื้นที่ใต้สันปันน้ำ มันเป็นของเขมรมันอยู่แล้ว

2
http://203.144.136.10/service/mod/herit ... wihan2.htm
http://www.srithailand.org/joomla/index ... 55&lang=en

ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๔๖ รัฐบาลไทยและกัมพูชาได้มีการประชุมร่วมกันเพื่อเสนอให้พื้นที่ปราสาทพระวิหารเป็นพื้นที่พัฒนาร่วมกันระหว่างไทยและกัมพูชา (Joint Development Areas: JDA) และมีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อพัฒนาปราสาทพระวิหาร (Joint Committee for Development of Preah Vihear Areas) โดยมุ่งเน้นในหลักการให้ร่วมมือกันพัฒนาปราสาทพระวิหารเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันทั้งในด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว การศึกษาทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี การพัฒนาพื้นที่ในบริเวณปริมณฑลรอบปราสาทพระวิหาร เพื่อยกสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนของทั้งสองประเทศ รวมทั้งเพื่อให้ปราสาทพระวิหารเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและยั่งยืนระหว่างไทยและกัมพูชา ทั้งนี้ ในส่วนของเส้นเขตแดนนั้น ไทยและกัมพูชาตกลงกันที่จะให้มีการสำรวจสภาพภูมิประเทศร่วมกัน เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการปักปันหลักเขตแดนในอนาคต

พื้นที่พัฒนาร่วมกันระหว่างไทยและกัมพูชา (Joint Development Areas: JDA)
ไม่ดีหรือไง ไม่ต้องปักปัน เพราะเราเสียเปรียบเขมร เขมรก็ไม่อยากมีเรื่องถึงชี้เส้นเขตแดน เพราะต้องพึ่งพิงหลายเรื่องอย่างจากฝั่งไทย เช่นแรงงานต่างด้าว

ไอ้บร้า อารถา
เอาแต่นั่งเทียนพิมออกมาไม่มีหลักฐานประกอบ
ขี้เกียจอ่านของมันทั้งหมด ขี้เกียจจับผิดมันมากกว่านี้ สงสารมัน
เอาเป็นว่า คนอ่านคนไหนไม่อยากโดนอารถาหลอก ไปหาข้อมูลเอาเอง

ไอ้มั่ว อารถา หลอกลวงเข้าไป ไม่สนใจชาติจะพินาศ เอาแค่พวกตัวเองชนะเป็นพอ
คำว่า "คนฉลาด" ด้วยเพราะคนอื่นเขายกย่อง มิใช่ ยกหางเน่าๆของตัวเอง โดยการโยนยัดใส่คนอื่นว่า โง่
มาดูกัน นักเรียนตลอดชีพแถว่าสมัยแม้วปล่อยเขมรมาสร้างวัด viewtopic.php?f=2&t=37916&p=708131#p707996
User avatar
Tam-mic-ra
 
Posts: 901
Joined: Mon Mar 02, 2009 4:03 am

Re: อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

Postby Tam-mic-ra » Sun Jul 26, 2009 5:38 pm

ไอ้ อารแถ คนขายชาติชั่วช้าทำลายชาติ มันหายไปนานมาก
คงไปมั่วสร้างข้อมูลใส่ร้ายใหม่ๆ ที่กระทู้อื่น
คำว่า "คนฉลาด" ด้วยเพราะคนอื่นเขายกย่อง มิใช่ ยกหางเน่าๆของตัวเอง โดยการโยนยัดใส่คนอื่นว่า โง่
มาดูกัน นักเรียนตลอดชีพแถว่าสมัยแม้วปล่อยเขมรมาสร้างวัด viewtopic.php?f=2&t=37916&p=708131#p707996
User avatar
Tam-mic-ra
 
Posts: 901
Joined: Mon Mar 02, 2009 4:03 am

Re: อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

Postby 8omuj » Mon Jul 27, 2009 3:27 am

ยังอยากเห็นคุณ Tam-mic-ra มาโต้แย้งนะ แต่ลดความดุเดือดของคำพูดหน่อยดีกว่าครับ จะได้เป็นสาระกันเพียวๆ :D
User avatar
8omuj
 
Posts: 249
Joined: Tue Nov 25, 2008 2:39 am

Re: อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

Postby จีรนุช » Wed Jul 29, 2009 11:54 am

เป็นกระทู้ที่เสื้อเเดงกลัว :D
รักเเปะลิ้มมากค่ะ
User avatar
จีรนุช
 
Posts: 5689
Joined: Sun Nov 30, 2008 7:34 pm

Re: อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

Postby นักตอบกระทู้อิสระ » Wed Jul 29, 2009 12:06 pm

ขออ่านก่อน
แล้วค่อยด่าพวกหางแดงทีหลัง

แป๊ป....
User avatar
นักตอบกระทู้อิสระ
 
Posts: 1165
Joined: Sat Feb 14, 2009 6:26 pm

Re: อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

Postby อารยา » Wed Aug 19, 2009 6:07 pm

“ชวนนท์” ยันเลิกแถลงการณ์ “พระวิหาร” แล้ว - การันตี “กษิต” จุดยืนเดิม http://www.manager.co.th/Politics/ViewN ... 7&#Comment
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 สิงหาคม 2552 13:37 น.

คุณเตชเองยังไม่กล้าพูดตลอด 40 วันที่เป็นรัฐมนตรีว่ายกเลิกแถลงการณ์อัปยศนี้แล้ว ทั้งๆที่ตนเองมีจดหมายถึงคู่เจรจานายฮอนัมฮงเมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2551 (ก่อนลาออกไม่กี่วัน) ว่ายกเลิกนะ แถลงการณ์ที่ศาลไทยสั่งคุ้มครองไปแล้ว ทั้งนี้เพราะนายฮอนัมฮงทำไขสือตอบแบบสามวาสองศอกว่า แถลงการณ์นั้นไม่ใช่สนธิสัญญา (internat'l treaty) คล้ายจะสื่อว่าการยกเลิกเป็นเรื่องภายในของไทย

ประเด็นที่ฝ่ายไทยไม่เคยพยายามเกาถูกที่คันคือเรื่อง "การบังคับใช้แถลงการณ์ร่วม" แต่กลับปล่อยให้กัมพูชากับยูเนสโกร่วมมือกันตามเงื่อนไขจนเสร็จไปแล้ว 2 ขั้นตอน:
1. วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551 ผ่านการประชุมครั้งที่ 32 ที่คานาดาและ
2. วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 ผ่านการประชุมครั้งที่ 33 ที่สเปน พูดได้เลยว่าไทยรอการเสียดินแดนที่กัมพูชาอ้างว่าตกลงกันเพื่อใช้เป็นพื้นที่อนุรักษ์มรดกโลกตามแผนที่แนบท้ายแถลงการณ์ฉบับนั้นโดยไม่ต้องรอ JBC ซึ่งจะเหลือเพียงขั้นตอน สุดท้ายจริงๆ ถือเป็นขั้นตอนที่จะมีการมอบมรดกโลกปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาอย่่างเป็นทางการในการประชุมครั้งที่ 34 ที่บราซิลในเดือนมิถุนายน 2553 นี้
เพียงแค่รอให้ผ่านวันที่คณะกรรมการ 7 ชาติจะรับมอบพื้นที่บริหารจัดการมรดกโลกด้านทิศเหนือและตะวันตกของตัวปราสาทที่ประมาณว่าอาจมีขนาดถึง 1.5 ล้านไร่ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 จากนั้นก็ถือว่าไทยเสียดินแดนโดยสมบูรณ์แบบ

วันนี้คุณกษิตออกมาพูดเพียงเพื่อลดความกดดันของนักวิชาการที่เกาะติดปัญหา จึงพูดไม่หมด หลอกตัวเองว่า “ยกเลิกแถลงการณ์ร่วมแล้ว” อ้างโน่นอ้างนี่ที่เป็นหลักฐานกะพี้ขี้หมาทั้งเพ

งานนี้ นายกฯอภิสิทธิ์แสดงจุดยืนไปหลายครั้ง สุดท้ายเมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่บอกว่า "เราไม่มีปัญหากับกัมพูชา แต่มีกับยูเนสโก" ขณะที่คุณสุวิทย์ คุณกิตติไปประท้วงในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 33 ที่เมืองเซบีญ่า สเปน
แต่ก็เหลว เพราะต้องนั่งหุบปากในฐานะเป็น "ผู้สังเกตการณ์" เท่านั้น
มันแปลกดีนะ
!
User avatar
อารยา
 
Posts: 2201
Joined: Sat Apr 11, 2009 5:26 pm

Re: อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

Postby Server Error » Wed Aug 19, 2009 6:43 pm

ตอนนี้ผมเริ่มจะเชื่อแล้วครับ

ไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว :cry:

== ข้อความถูกระงับโดยผู้ดูแล == viewtopic.php?f=14&t=14102 -->

User avatar
Server Error
 
Posts: 2462
Joined: Thu Oct 16, 2008 8:25 pm

Re: อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

Postby 8omuj » Thu Aug 20, 2009 6:46 am

อารยา wrote:เพียงแค่รอให้ผ่านวันที่คณะกรรมการ 7 ชาติจะรับมอบพื้นที่บริหารจัดการมรดกโลกด้านทิศเหนือและตะวันตกของตัวปราสาทที่ประมาณว่าอาจมีขนาดถึง 1.5 ล้านไร่ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 จากนั้นก็ถือว่าไทยเสียดินแดนโดยสมบูรณ์แบบ
[/color]!


แต่คณะกรรมการ 7 ชาติ ที่ว่าไทยเราก็ไม่ได้มีส่วนร่วมพิจรณานิครับ จริงๆการรับมอบพื้นที่บริหารจัดการมรดกโลกนั้นไม่น่าเกี่ยวกับไทยเลยด้วยซ้ำ แล้วเราจะไปประท้วงยูเนสโก้ในประเด็นไหนหว่า :?: :?: ดีไม่ดีอาจจะได้ไปนั่งฟังเฉยๆ อีกรอบนึงให้เสียค่าเครื่องบิน :?
User avatar
8omuj
 
Posts: 249
Joined: Tue Nov 25, 2008 2:39 am

Re: อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

Postby ตรี » Thu Aug 20, 2009 8:50 am

เป็นกำลังใจให้ค่ะ..คุณอารยา

เชื่อว่ามนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ต่างมีความคิดเห็นเป็นของตนเอง

จะผิดแผกแตกต่างไปบ้างถือเป็นเรื่องปกติวิสัยของสัตว์สังคม

การอ่านมิใช่เพื่อเก็บเกี่ยวเพียงอย่างเดียว

แต่คงต้องมีการพิจารณา ไตร่ตรอง ผ่านสมองก่อนที่จะเก็บ

และที่สำคัญ "ความจริง" ก็คือ "ความเป็นจริง"

;)
User avatar
ตรี
 
Posts: 416
Joined: Sun Apr 12, 2009 9:19 pm


Re: อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

Postby อารยา » Thu Aug 20, 2009 3:29 pm

8omuj wrote:
อารยา wrote: เพียงแค่รอให้ผ่านวันที่คณะกรรมการ 7 ชาติจะรับมอบพื้นที่บริหารจัดการมรดกโลกด้านทิศเหนือและตะวันตกของตัวปราสาทที่ประมาณว่าอาจมีขนาดถึง 1.5 ล้านไร่ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 จากนั้นก็ถือว่าไทยเสียดินแดนโดยสมบูรณ์แบบ [/color]!
แต่คณะกรรมการ 7 ชาติ ที่ว่าไทยเราก็ไม่ได้มีส่วนร่วมพิจรณานิครับ จริงๆการรับมอบพื้นที่บริหารจัดการมรดกโลกนั้นไม่น่าเกี่ยวกับไทยเลยด้วยซ้ำ แล้วเราจะไปประท้วงยูเนสโก้ในประเด็นไหนหว่า :?: :?: ดีไม่ดีอาจจะได้ไปนั่งฟังเฉยๆ อีกรอบนึงให้เสียค่าเครื่องบิน :?
เหอ เหอ ก็ประท้วงด้วยเหตุผลที่ว่า "มันมาเกี่ยวอะไรกับดินแดนของประเทศตู"

แล้วประเด็นไหนหวาที่มันไม่เกี่ยว? ผมช่วยตอบแทนให้เอาไหม เช่น ไม่มีไทยอยู่ใน 7 ชาตินั้น (แน่นะ) หรือถึงไทยเป็นกรรมการอยู่ด้วย ก็ไม่เกี่ยว เพราะเป็น NGO หรือ บลา บลา บลา มันพูดได้ทั้งนั้น พอใจไหมครับ

จริงๆแล้ว ประเด็นใหญ่มันก็ไม่ได้อยู่ที่จะประท้วง เพราะนั่นเป็นแค่ means แต่มันต้องคุยกับฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ยูเนสโกเป็นหนึ่งในนั้น ถ้าคุณบอกว่ายูเยสโกไม่เกี่ยว จะกรุณาแนะนำอะไรเกี่ยวบ้างจะได้ไหมครับ
หรือคุณให้น้ำหนักเรื่องอธิปไตยของชาติต่ำมาก
ผมคิดว่าไม่ว่าคนชาติใด ความรู้สึกหวงแหนแผ่นดินเป็นเรื่องอยู่ในจิตสำนึกกันทั้งนั้น แต่นี่มากกว่าความรู้สึกเพราะมีเหตุผลที่จะถามว่าทำไมจะต้องเสีย คนที่ถามถึงความไม่ชอบมาพากลนั้นน่าสมเพชนักหรือครับ
ปีที่แล้วถึงกับลุกขึ้นมาชี้หน้าคนค้านเรื่องมรดกโลกว่าเป็นพวกคลั่งชาติ เหตุผลหลักแค่ "กัมพูชาขึ้นเฉพาะตัวปราสาท" แต่ฟังทั้งหมดแล้วก็ไม่ทำให้ผมแน่ใจได้ว่าเราจะไม่เสียดินแดน

ปีหนึ่งผ่านไป วันนี้ใกล้จะเสียเข้าจริงๆก็บอกว่าคณะกรรม 7 ชาติไม่เกี่ยวกับไทย ผมว่ามันจะใจกว้างข้ามภพข้ามชาติมากไปหน่อยแล้ว
แหกตากันไปว่ายกเลิกแถลงการณ์นั้นไปแล้ว แล้วไง So what?

ความจริงที่ไม่ซับซ้อนเลยคือ ถ้าเมื่อวันที่ 7 กรกฏาคม 2551 ในที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 32/2008 ไม่มี "Joint Communique" ทุกอย่างใน Nomination File of 30 January มกราคม 2549 ของกัมพูชาก็จะเป็นการกรอหนังกลับไปเหมือนผลการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 31/2007 คือไม่สามารถพิจารณาการขึ้นทะเบียน "The Sacred Site of the Temple of Preah Vihear" ได้

การลดสเปกส์การขึ้นทะเบียนมาเป็น "The Temple of Preah Vihear" ทำให้ยูเนสโกต้องร่วมมือกับกัมพูชาทำ "dirty work" มากมาย
เลยได้ยื้อมาถึงการประชุมครั้งที่ 32/2008 กลายเป็น routine เมื่อถูกบรรจุเข้าในวาระการประชุมครั้งที่ 33/2009 เมื่อ 2 เดือนก่อน

ยังไม่นับครั้งที่ 34 ที่จะตามมาในอีก 3 ไตรมาส


ขอบคุณคุณตรีที่เข้าใจครับ
User avatar
อารยา
 
Posts: 2201
Joined: Sat Apr 11, 2009 5:26 pm

Re: อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

Postby อารยา » Fri Aug 21, 2009 5:05 am

อารยา wrote: นายกฯอภิสิทธิ์แสดงจุดยืนไปหลายครั้ง สุดท้ายเมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่บอกว่า "เราไม่มีปัญหากับกัมพูชา แต่มีกับยูเนสโก" ...!
ที่ต้องเน้นยูเนสโกเพราะพยายามจะสื่อว่าโครงการมรดกโลกนี้มีขึ้นเพื่อสงครามหรือสันติภาพกันแน่ นัยยะนี้ปรากฏใน The Nation ในปลายเดือนนั้น

UNESCO'S WORLD HERITAGE
Preah Vihear move is about border rights, PM says

Prime Minister Abhisit Vejjajiva said yesterday he wanted to keep the United Nations Educational Scientific and Cultural Organisation (Unesco).....
By The Nation
Published on June 25, 2009

http://www.nationmultimedia.com/2009/06 ... 105968.php

อารยาเชื่อว่าเราไม่ได้ประท้วงเอามัน แต่เป็นการสะกิดองค์กรโลกกบาลว่ายังไม่ทิ้งวิญญาณของนักล่าอาณานิคมหรืออย่างไรจึงมองไม่ออกว่า บริเวณโดยรอบตัวปราสาทพระวิหารมีปัญหาพรมแดนของสองประเทศที่ยังคาราคาซังมาตั้งแต่ยุคฝรั่งเศสเข้ามาแสดงอำนาจบาตรใหญ่ในอินโดจีนเมื่อกว่าศตวรรษที่แล้ว

ทางการไทยเคยมีบันทึก ให้กัมพูชาถอนประชากรและสิ่งก่อสร้างออกจากพื้นที่ทับซ้อนติดกับตัวปราสาทเมื่อปี 2543 แต่กัมพูชาไม่เคยนำพาแม้แต่จะชี้แจงใดๆ ยกเว้นเป็นฝ่ายส่งกองกำลังมาสร้างความตึงเครียดก่อน และมิใช่ครั้งเดียว


เว็บไซต์ทางการของยูเนสโกวันนี้ แสดงภาพและตัวเลขของขนาดพื้นที่ 16,000 ไร่ ซึ่งทับซ้อนพื้นที่ทับซ้อนเดิม 2,500 ไร่ เพื่อเตรียมรองรับการบริหารจัดการ “มรดกโลก” ด้านตะวันตกของตัวปราสาท
อยากถามว่า Joint Border Commission ของไทย-กัมพูชารู้เรื่องนี้หรือเปล่า มีใครตอบได้ว่า พื้นที่ไม่กี่หมื่นไร่ดังกล่าวมิได้อยู่ในเขตไทย
ไหนว่าไทยจะไม่เสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียว
หรือจะต้องรอให้ถึงสองล้านไร่ก่อน
User avatar
อารยา
 
Posts: 2201
Joined: Sat Apr 11, 2009 5:26 pm

Re: อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

Postby อารยา » Fri Aug 21, 2009 5:28 am

ไปแระ
อารยา wrote:คำนำ
1.รัฐบาลไทยถือเป็น “วาระแห่งชาติ” ที่จะไม่ให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนแหล่งโบราณสถานบนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกต่อยูเนสโกตามลำพังมาตั้งแต่ปี 2534 เนื่องจากเป็นห่วงว่าจะมีข้อพิพาทในพื้นที่รอบตัวปราสาทพระวิหารที่ถือว่าอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทยอย่างสมบูรณ์ตามมา หลังจากที่ศาลโลกวินิจฉัยยกตัวปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาเมื่อปี 2505 แต่เมื่อถึงรัฐบาลทักษิณ (2544-2549) กำพูชากลับสามารถขอขึ้นทะเบียนดังกล่าวต่อยูเนสโก ตามรายงานการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 31/2007

2. นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี(มกราคม-กันยายน 2551) กล่าวตอบกระทู้การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2551 ว่า การขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกโดยกัมพูชาแต่ลำพังไม่ทำให้ไทยต้องเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียว อ้างแทนกัมพูชาว่าเป็นการขึ้นเฉพาะตัวปราสาท (The Temple of Preah Vihear) เท่านั้น นับเป็นวจีกรรมของผู้นำที่ทั้งเขลาและน่าอดสูยิ่ง

3. กัมพูชาวาด “แผนที่ใหม่” ที่แสดงพื้นที่อนุรักษ์เพื่อการบริหารจัดการปราสาทพระวิหารในระหว่างวันที่ 22 พฤษภาคม-8 มิถุนายน 2551เพื่อประกอบแถลงการณ์ร่วม มีการลงนาม 3 ฝ่าย (ไทย-กัมพูชา-ยูเนสโก) เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2551 ฝ่ายค้านในการอภิปรายตามข้อ 2 ได้ชี้ให้เห็นว่าพื้นที่บริหารจัดการมรดกโลกที่อยู่ทางด้านเหนือและตะวันตกของตัวปราสาทพระวิหารซึ่งประมานคร่าวๆได้ 1.5 ล้านไร่อยู่ในเขตไทย โดยจะมีผลใช้บังคับอย่างมีขั้นตอนตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551/2552/2553 ทั้งนี้มีระบุไว้ในข้อ 4 ของแถลงการณ์ร่วมนั้นว่าพื้นที่อนุรักษ์ซึ่งจะตกเป็นมรดกโลกทั้งหมดจะส่งผ่านคณะกรรมการ 7 ชาติโดยมิต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการปักปันเขตประเทศของไทยและกัมพูชา (JBC)

4. แต่จนบัดนี้รัฐบาลไทยยังไม่มีสัญญาณหรือมาตรการที่จะแก้ปัญหาที่มีผลกระทบต่อบูรณภาพและอธิปไตยของชาติ แม้ว่าศาลปกครองได้สั่งคุ้มครองเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2551 ให้แถลงการณ์ร่วมที่ถือว่าเทียบเท่าสนธิสัญญาไม่มีผลบังคับใช้ ฐานมีการลงนามในเอกสร ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงดินแดนของประเทศโดยมิได้รับการเห็นชอบจากรัฐสภา รัฐมนตรีที่ลงนามมีความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190

ประเด็น
ข้อเสนอขอขึ้นทะเบียน “แหล่งโบราณสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งปราสาทพระวิหาร” (The Sacred Site of the Temple of Preah Vihear) เป็นมรดกโลก (Nomination File) ลงวันที่ 30 มกราคม 2549 ของกัมพูชาตามที่ปรากฎต่อคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 31/2007 ถูกบิดเบือนสาระสำคัญให้กลายมาเป็นการขอขึ้นทะเบียน “ปราสาทพระวิหาร” (The Temple of Preah Vihear) ตามที่ระบุในแถลงการณ์ร่วมที่ลงนามเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2551 ก่อนการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 32/2008 เพียงไม่ถึง 2 สัปดาห์ http://www.nationmultimedia.com/pdf/jointcommunique.pdf


ที่มาที่ไป
นิวซีแลนด์ ไคร๊ซสเชิร์ช
คณะกรรมการมรดกโลกยูเนสโกในการประชุมครั้งที่ 31/2007
มิถุนายน 2550


1. ในข้อเสนอขอขึ้นทะเบียน "The Sacred Site of the Temple of Preah Vihear" เป็นมรดกโลกของกัมพูชาที่ปรากฏในที่ประชุมของคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 31 เมื่อเดือนมิถุนายน 2550 มีการรับรองจากองค์กรโบราณคดีอิสระระหว่างประเทศ (ICOMOS: International Council on Monuments and Sites) ว่ามีคุณค่าเชิงวัฒนธรรมและจิตวิญญาณสมควรเป็นมรดกโลกได้ภายใต้เกณฑ์ (Criteria I-II-IV) 3 ข้อ***

2. คณะกรรมการมรดกโลกในการประชุมครั้งนั้น (31/2007) ให้ยุติการพิจารณาเนื่องจากไม่มีเอกสารหลักฐานใดที่แสดงว่าไทยได้ให้การสนับสนุนข้อเสนอของกัมพูชา ทั้งนี้เพราะเมื่อพิจารณาองค์ประกอบของแหล่งโบราณคดีที่จะต้องผ่าน 3 เกณฑ์ดังกล่าวเพื่อจะเป็นมรดกได้นั้น จะต้องผนวกโบราณสถานในส่วนที่อยู่ในดินแดนของประเทศไทย แต่ให้ถือว่าข้อเสนอนี้ยังคงสถานะเป็นกรณี "สืบเนื่อง" (“In-Progress”) ได้ หากได้ปรับปรุงแล้ว

3. รายงานการประชุมมรดกโลกครั้งนั้นได้พรรณนาค่อนข้างเฟ้อว่าผู้แทนจากประเทศไทย (นายนิตย์ พิบูลสงคราม รมว. กระทรวงการต่างประเทศขณะนั้น นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงฯและคณะ) ซาบซึ้งประทับใจในคุณค่าเชิงจิตวิญญาณของโบราณสถานแห่งนี้มากถึงกับระบุว่าได้ให้การสนับสนุนข้อเสนอของกัมพูชาอย่างแข็งแรง ("active support") เป็นครั้งแรกที่ World Heritage Centre นับแต่ตั้งขึ้นเมื่อปี 2515 บันทึกว่ารัฐบาลไทยให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนโบราณสถานนี้ตามลำพัง


ฝรั่งเศส ปารีส
ศูนย์มรดกโลก ยูเนสโก
กันยายน 2550

นาง ฟรังซัวส์ ริเวียเร่ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์ฯมรดกโลกแนะนำให้กัมพูชาทำการจ้างเอกชน ANPV [Autorite Nationale pour la Protection et le Developpement du site culturel et naturel de Preah Vihear (The National Authority for the Protection and Development of the Preah Vihear Natural and Cultural Site)] ให้ทำการสำรวจและประเมินคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมของแหล่งโบราณคดีแห่งนี้ซ้ำ
แม้ว่า ICOMOS ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้วในปี 2549 โดยได้รายงานไว้ในเอกสารการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 31 เมื่อกลางปี 2550 ว่าความเป็นมรดกโลกของโบราณสถานแห่งนี้จำเป็นต้องอยู่ภายใต้ Criteria I II IV (ซึ่งมิใช่เพียงแค่ตัวปราสาทใน Criterion I แต่ต้องควบรวมปราสาทโดนตวล, บรรณาลัย, สถูปคู่, สระตราว ทางขึ้นด้านตะวันตกของตัวปราสาท ฯลฯ ส่วนใหญ่เป็นที่เข้าใจกันระหว่างไทยและกัมพูชาว่าเป็นดินแดนในเขตไทย)

มกราคม-มีนาคม 2551
ศูนย์มรดกโลก ยูเนสโกจัดการสัมมนาและเห็นชอบด้วยกับรายงานของ ANPV ที่ระบุว่าเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารเท่านั้น ไม่ต้องรวมส่วนอื่นที่ ICOMOS เคยชี้ว่าต้องรวมเข้าด้วย ก็มีคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมที่เข้ามาตรฐานเป็นมรดกโลกได้

พฤษภาคม 2551
นางฟรังซัวส์เชิญนาย ซก อัน และนายนพดลมาร่วมลงนามในร่างแถลงการณ์ที่สำนักงานมรดกโลกเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2551 และให้ฝ่ายกัมพูชาวาด “แผนที่ใหม่” โดยลำพัง แล้วเสร็จทันก่อนนำเข้าวาระการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก 21 ชาติที่นครกีเบก ประเทศแคนาดา (2-7 กรกฎาคม 2551)


คานาดา กีเบก
คณะกรรมการมรดกโลกยูเนสโกในการประชุมครั้งที่ 32/2008
กรกฎาคม 2551

คณะกรรมการมรดกโลกยูเนสโกในการประชุมครั้งที่ 32/2551 มีมติให้กัมพูชาขึ้นทะเบียน The Temple of Preah Vihear เป็นมรดกโลก ทั้งๆที่ขัดแย้งกับ Nomination File ที่ระบุว่าเป็นการขอขึ้นทะเบียน The Sacred Site of the Temple of Preah Vihear เนื่องจากฝ่ายกัมพูชายกแถลงการณ์ร่วม ไทย-กัมพูชาขึ้นมาอ้างว่าฝ่ายไทยได้ให้การสนับสนุน ในขณะที่ยูเนสโกพยายามอิงรายงานของ ANPV (รับจ้างกัมพูชาประเมินซ้ำซ้อนมาตรฐานของ ICOMOS ระหว่างเดือนกันยายน 2550-มกราคม 2551)ว่า เพียงตัวปราสาท (The Temple of Preah Vihear) ตาม Criterion I ก็เพียงพอที่จะเป็นมรดกโลกได้ แถมอ้างด้วยว่าเป็น “political decision” ร่วมกันระหว่างไทยและกัมพูชาในการเปลี่ยนตำแหน่งโบราณสถานในการขอขึ้นทะเบียน
จึงมีประเด็นว่าสมควรหรือที่ยูเนสโกจะรับฟังและนำเหตุปัจจัยทางการเมืองมาเป็นข้ออ้างเหนือมาตรฐานการประเมินคุณค่ามรดกโลกที่ยูเนสโกยึดถือ
Image
อีกทั้งแผนที่ใหม่ที่วาดโดยกัมพูชาหากมีการบังคับใช้ ตามวาระที่ซ่อนเร้นระบุไว้ทั้ง 6 ข้อของแถลงการณ์ร่วม เอกสารนี้จะกลายเป็นชนวนสงครามระหว่างประเทศทันที


ข้อสังเกต
1. ยูเนสโก ไม่มีอำนาจเปลี่ยนข้อเสนอทางการของกัมพูชา (Nomination File ลงวันที่ 30 มกราคม 2549) จาก The Sacred Site of Preah Vihear ที่คณะกรรมการมรดกโลกในการประชุมครั้งที่ 31/2007 รับทราบเมื่อกลางปี 2550 มาเป็น The Temple of Preah Vihear ที่ปรากฏในแถลงการณ์ร่วมลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551และมีการนำ้สนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 32/2008

2. รัฐบาลไทยในอดีตถือเป็น “วาระแห่งชาติ" ที่จะไม่สนับสนุนให้กัมพูชาได้นำโบราณสถานแห่งนี้ไปขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยลำพัง เพราะย่อมเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาล่วงล้ำอธิปไตย จนกระทั่งอดีตผู้นำ ทักษิณ ชินวัตร ของไทยไปเยือนฮุนเซน ผู้นำกัมพูชาเมื่อปลายปี 2548 และสนับสนุนให้กัมพูชาขอขึ้นทะเบียน “แหล่งโบราณสถานพระวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ ” ได้

3. อดีตผู้นำรัฐบาลไทยซึ่งมีพฤติการณ์น่ากลัวว่าจะมีวาระซ่อนเร้นในข้อ 2 คงไม่คาดว่า การฝืน “วาระแห่งชาติ” จะมีอุปสรรค ถึงกับทำให้คณะกรรมการมรดกโลกในการประชุมครั้งที่ 31/2007 ต้องเลื่อนการพิจารณา จึงมิใช่เรื่องแปลก หาก ผู้แทนไทยในการประชุมครั้งนั้นมิอาจเห็นด้วยตามข้อเสนอการขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกของกัมพูชา

4. อย่างไรก็ดี รายงานการประชุมมรดกโลกครั้งที่ 31/2007 ตามข้อ 3 มิได้แจงเหตุขัดข้องที่ต้องเลื่อนการพิจารณาออกไป 1 ปี แต่กลับพรรณนาค่อนข้างเฟ้อว่าผู้แทนจากประเทศไทย (นายนิตย์ พิบูลสงคราม รมว. กระทรวงการต่างประเทศขณะนั้น และปลัดกระทรวงฯนายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล และคณะ) ซาบซึ้งประทับใจในคุณค่าเชิงจิตวิญญาณของโบราณสถานแห่งนี้คู่ควรแก่การร่วมอนุรักษ์ (ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาเพราะมีอนุสัญญา JDA อยู่แล้วตั้งแต่ก่อนมีรัฐบาลทักษิณ) สมควรสนับสนุนกัมพูชาให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยระบุคำว่า“active support” ถือเป็นครั้งแรกที่ World Heritage Centre ที่ตั้งขึ้นเมื่อปี 2515 บันทึกว่ารัฐบาลไทยยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนโบราณสถานที่คนไทยเรียกติดปากมาแต่โบราณว่า “เขาพระวิหาร” (ในการรับรู้ที่ไม่ต่างจาก“ประวิเหียร์” หรือ The Sacred Site of the Temple of Preah Vihear และมิใช่เฉพาะตัวปราสาท หรือ The Temple of Preah Vihear ที่เพิ่งปรากฏในเอกสารแถลงการณ์ร่วมลงวันที่ 18 มิถุนายน 2518) โดยลำพัง

5. เหตุผลของการเลื่อนพิจารณาที่ไม่พบในรายงานการประชุมครั้งนั้นน่าจะเป็นว่า ฝ่ายไทยได้ใช้สิทธิสนับสนุนกัมพูชาอย่างมีเงื่อนไขมากกว่า กล่าวคือ การเป็นเจ้าของมรดกโลกของกัมพูชาในพื้นที่ซึ่งยังคงมีปัญหาการปักปันเขตแดนมาเกือบ 50 ปี เป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะกระทบต่อบูรณาการและอธิปไตยของไทย แต่หากทำได้โดยปราศจากปัญหาดังกล่าวก็ไม่มีเหตุผลที่ฝ่ายไทยจะไม่ให้การสนับสนุน เพื่ออนุรักษ์ความวิจิตรพิสดารของแหล่งโบราณสถานแห่งนี้ให้เป็นมรดกโลก

6. ดังนั้น เหตุผลในการเลื่อนการพิจารณาตามที่ระบุในรายงานการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 31/2007 จึงอนุมานได้ว่ามีวาระซ่อนเร้นเพื่อรอหลักฐานที่เป็นแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา (18 มิถุนายน 2551) เพื่อแสดงในการประชุมในปีต่อไปที่คานาดา (กรกฎาคม 2551) ว่าฝ่ายไทยสนับสนุนแล้ว โดยมีรายงาน (เถื่อน) ของ ANPV สำทับว่าเป็นการขอขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท

7. นายนภดลย่อมเข้าใจดีว่า การยินยอมลงนามแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา โดยพลการเป็นความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 แต่ที่บังอาจเพราะต้องการเอื้อประโยชน์ต่อกัมพูชาตามที่นายจ้างหรืออดีตนายกทักษิณสั่งให้ตนทำในบทบาทของที่ที่ปรึกษาส่วนตัว แต่กลับใช้อำนาจในฐานะเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศกระทำการโดยมิชอบ

8. ส่วนเหตุจูงใจที่ทักษิณไปให้คำมั่นกับผู้นำกัมพูชา เมื่อปี 2548 ถือว่าได้ละเมิด “วาระแห่งชาติ” อย่างร้ายแรง



สรุปข้อเสนอแนะ
รัฐบาลจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับทั้งกัมพูชาและยูเนสโกว่า ความเข้าใจผิดระหว่างประชาชนและรัฐบาลของทั้งกัมพูชาและไทยนั้น มีสาเหตุเป็นมาอย่างไร ไม่มีฝ่ายใด ไม่ว่าไทย กัมพูชา หรือ แม้แต่ยูเนสโกปราศจากข้อบกพร่องใดๆ แต่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ด้วยเหตุนี้ ในเบื้องต้นจึงไม่มีทางออกใดดีไปกว่า:

1. ยกเลิกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาวันที่ 18 มิถุนายน 2551

2. ยกเลิกมติของคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 32/2008 วันที่ 7 กรกฎาคม 2551

หากทางการไทยมองว่าปล่อยไปเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร ให้เงื่อนเวลาผ่านพ้นไปเอง ผลตามมาจะยิ่งสั่งสมความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา
จนเป็นไปได้ว่าสงครามระหว่างสองประเทศไม่อาจหลีกเลียงได้ และนั่นย่อมมิใช่ทางออกที่ฝ่ายใดปรารถนา

แต่หากทั้งสองฝ่ายได้พยายามหาทางเจรจาประนีประนอมในปัญหาปักปันเขตแดนด้วยมาตรการที่โปร่งใส มีหลักเกณฑ์สากล และด้วยสันติวิธี ความสัมพันธ์ที่เคยมีไมตรีต่อกันมา ก็น่าจะได้รับการฟื้นฟูกลับมาดังเดิม

...................
***Criterion I
“Preah Vihear is an outstanding masterpiece of Khmer architecture. It is very ‘pure’ both in plan and in the detail of its decoration”

Criteron II
“Preah Vihear demonstrates an important interchange in human values and developments in art, architecture, planning and landscape design”

Criterion IV
“The architectural ensemble is exceptional in its representation of Buddhist geometry. The position of the Temple on a cliff edge site is particularly impressive. Stairs and historical access surviving for over a thousand years show a sophisticated technological understanding. The whole historic structure demonstrates the highpoint of a significant state in human history


บันทึกโลกกบาล:
1. ไม่มี (criteria) สีแดง ก็เป็นมรดกโลกไม่ได้ (ICOMOS)

2. ยูเนสโกไม่อาจใช้มาตรฐานอื่น (อาทิ ANPV/2007) มาทำการประเมิน The Sacred Site of the Temple of Preah Vihear ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 32/2008 ซ้ำซ้อนรายงานของ ICOMOS/2006) ที่เป็นเอกสารประกอบทางการของที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 31/2007

3. ยูเนสโกไม่อาจอ้างเหตุผลทางการเมือง (ไม่ว่ามีหรือไม่มีวาระซ่อนเร้น) ในการประชุมครั้งที่ 32/2008 มากลบเกลื่อนเหตุผลทางวิชาการของ ICOMOS ด้วยเช่นกัน เพราะยิ่งจะเป็นการบิดเบือน Nomination File2006 ของกัมพูชาให้กลายมาเป็นการขึ้นทะเบียน The Temple of Preah Vihear ซึ่งย่อมไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง

4. พื้นที่ทุกตารางนิ้วในสีแดง ถ้ารัฐบาลยอมตามมติมรดกโลกวันที่ 7 กรกฎาคม 2551 ย่อมหมายถึงสีของเลือดพี่น้องไทยที่ต้องหลั่งเพื่อปกป้องทุกตารางนิ้วนั้น เพราะชัดเจนมาตั้งแต่ก่อนมีประเทศกัมพูชาว่าตรงนั้นเป็นดินแดนไทย

5. ยังไม่ต้องพูดถึงตัวปราสาทที่ไทยมีหนังสือถึงศาลโลกเมื่อเดือนกรกฏาคม 2505 ว่ายังคงสงวนสิทธิ์ที่จะสำแดงหลักฐานครอบครองหากมีข้อมูลพร้อม

6. ทั้งหลายทั้งปวงมีทางออกที่ไม่ซับซ้อน เพียงแต่ทั้งสองประเทศใช้หลักสันปันน้ำเป็นเกณฑ์ในการแบ่งเขตประเทศ ซึ่งมี JBC ของทั้งสองประเทศดูแล และพร้อมจะประนีประนอมกันได้อยู่แล้ว

7. ในระหว่างนี้ ต้องหยุดการแทรกแซงของยูเนสโกที่เข้ามาร่วมลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา 18 มิถุนายน 2551 ที่มีเงื่อนงำ ไม่โปร่งใส และอย่างกะทันหันไว้ก่อน
User avatar
อารยา
 
Posts: 2201
Joined: Sat Apr 11, 2009 5:26 pm

Re: อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

Postby Canthai » Fri Aug 21, 2009 7:13 pm

บางความเห็นกระตุ้นให้อธิบายความและเรียบเรียงข้อมูลได้ดีขึ้น

บางความเห็นอาจต้องใช้วิธีเดียวกับผม คือทำเป็นไม่เห็น

ในการรับรู้รับทราบข่าวสารข้อมูล กรณีเข้าพระวิหาร ยังเป็นการ "ต่อรอง" ระหว่างประเทศกันอยู่

ไม่จบง่ายๆ หรอกครับ เพราะมันไปติดเรื่องการปักปันเขตแดนซึ่งยังไม่จบ
User avatar
Canthai
 
Posts: 14925
Joined: Fri Oct 24, 2008 3:47 pm

Re: อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

Postby แดง ขาว น้ำเงิน » Sat Aug 22, 2009 1:52 am

Image
ขู่ครับขู่ :mrgreen:

ภาพจากแมแนเจอร์ออนไลน์
"ผู้ที่ใช้สติปัญญาไม่เป็น คือคนโง่ ผู้ที่ไม่กล้าใช้สติปัญญา คือทาส" เพลโต้
User avatar
แดง ขาว น้ำเงิน
Moderator
 
Posts: 4943
Joined: Thu Feb 12, 2009 4:07 pm
Location: Earth

Re: อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

Postby อารยา » Sat Aug 22, 2009 10:22 am

เขมรกะลังทำเรือดำน้ำเพราะต้องสำรวจน้ำมันแถวเกาะกูด ไทยมีปะ
User avatar
อารยา
 
Posts: 2201
Joined: Sat Apr 11, 2009 5:26 pm

Re: อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

Postby อธิฏฐาน » Sat Aug 22, 2009 10:33 am

อารยา wrote:เขมรกะลังทำเรือดำน้ำเพราะต้องสำรวจน้ำมันแถวเกาะกูด ไทยมีปะ


ไทยแน่กว่าเขมรค่ะท่านอารยา เขมรมุดน้ำ แต่เรามุดลงไปต่อสู้กันใต้ดินค่ะ
User avatar
อธิฏฐาน
 
Posts: 3001
Joined: Mon Oct 13, 2008 1:18 pm

Re: อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

Postby อารยา » Sat Aug 22, 2009 10:47 am

ขอมมันดำดินเป็นว่าเล่นนะ จะเอามันอยู่หรือครับ

อ้อ สังเกตเห็น "quarter moon" ครับ สวยดี

ยังขาด "Full moon" (กับ empty arm) เพราะ "half moon" ก็มีแล้ว! :) :)

เออ blue moon ด้วย
เดือนที่จะมีพระจันทร์เต็มดวงซ้ำมันโคตะระยากนะ เพราะนอกจากเดือนนั้นต้องมี 31 วันแล้ว คืนแรกที่จันทร์เต็มดวงต้องเป็นวันที่ 1 เพื่อว่าจันทร์เพ็ญครั้งต่อมาในเดือนนั้นจะได้เอาอยู่ ณ วันที่ 31 เดือนที่มี 30 วันหมดสิทธิ์

ด้วยโอกาสที่ไม่น่าจะเกิด "blue moon" ได้สักครั้งในปีหนึ่งๆนี้ คนอกหักแกหรือเธอคงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่าตัวเองเป็นส่วนน้อยนิดที่อุบัติขึ้น
ไม่ต่างจากจันทร์ครั้งที่สองของเดือน (ไม่รู้ตีความถูกหรือเปล่า) จึงมักลุกออกมาแหงนมองดูจันทร์เพ็ญดวงนั้นและรำพันว่าทำไมคืนนี้ตูต้องมา "standing alone" อย่างนี้ (วะ)
บ๊ะ ก็ดันไม่เข้านอนเอง!

สรุปว่า ไม่ทราบว่าทำไมต้องเป็น"จันทร์สีน้ำเงิน" น่าจะเป็นจันทร์เขียวแบบว่าเศร้าจนหน้าเขียวอ่ะ :mrgreen: :mrgreen: :mrgreen:
Last edited by อารยา on Sat Aug 22, 2009 6:32 pm, edited 2 times in total.
User avatar
อารยา
 
Posts: 2201
Joined: Sat Apr 11, 2009 5:26 pm

Re: อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

Postby แดง ขาว น้ำเงิน » Sat Aug 22, 2009 10:59 am

อารยา wrote:เขมรกะลังทำเรือดำน้ำเพราะต้องสำรวจน้ำมันแถวเกาะกูด ไทยมีปะ


มีครับ อ.อารยา

เรือดำน้ำในกองทัพเรือไทย (มี 4 ลำ)
1. ร.ล.มัจฉาณุ ลำที่สอง (ร.ล.มัจฉาณุ ลำที่หนึ่ง เป็นเรือในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว)
2. ร.ล.วิรุณ
3. ร.ล.สินสมุทร
4. ร.ล.พลายชุมพล

แต่ตอนนี้เข้าเซียงกงหมดแล้วครับ :mrgreen:
Image
"ผู้ที่ใช้สติปัญญาไม่เป็น คือคนโง่ ผู้ที่ไม่กล้าใช้สติปัญญา คือทาส" เพลโต้
User avatar
แดง ขาว น้ำเงิน
Moderator
 
Posts: 4943
Joined: Thu Feb 12, 2009 4:07 pm
Location: Earth

Re: อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

Postby แดง ขาว น้ำเงิน » Sat Aug 22, 2009 11:06 am

สำหรับท่านที่สนใจครับ

http://www.navy.mi.th/navalmuseum/002_history/html/his_od_submarine_thai.htm

ประวัติเรือดำน้ำในกองทัพเรือไทย

กองทัพ เรือได้มีแนวความคิดที่จะปรับปรุงและสร้างกำลังรบทางเรือให้เข้มแข็ง และทันสมัยขึ้น ในระยะแรกนั้น เรือดำน้ำเป็นกำลังรบที่ใหม่ ทรงอานุภาพทางทะเลมากที่สุด เพราะสามารถกำบังตัว หรือหลบหนีด้วยการดำน้ำ สามารถเข้าไปปฏิบัติการในพื้นที่ซึ่งเรือผิวน้ำไม่สามารถเข้าไปได้ และมีอาวุธตอร์ปิโดอันเป็นอาวุธสำคัญที่เป็นอันตรายแก่เรือผิวน้ำมากที่สุด ไม่มีเครื่องมือค้นหา และอาวุธปราบเรือดำน้ำที่จะทำอันตรายแก่เรือดำน้ำได้ ดังเช่นปัจจุบันนี้ จึงนับได้ว่าเรือดำน้ำ เป็นกำลังสำคัญในการป้องกันประเทศทางทะเลได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่ง เรือดำน้ำได้อยู่ในแนวความคิดของกองทัพเรือไทยมาตั้งแต่ พ.ศ.2453 แล้ว ดังจะเห็นได้จากโครงการจัดสร้างกำลังทางเรือ

โครงการจัดสร้างกำลังทางเรือ พ.ศ.2453

โครงการ จัดสร้างกำลังทางเรือนี้มีคณะกรรมการอันประกอบด้วย นายพลเรือตรี พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ (ต่อมาเป็น นายพลเรือเอก กรมหลวงฯ) นายพลเรือตรี พระยาราชวังสวรรค์ (ฉ่าง แสง-ชูโต ต่อมาเป็นนายพลเรือเอก พระยามหาโยธา) และนายพลเรือตรี พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสิงหวิกรมเกรียงไกร (ต่อมาได้เป็นนายพลเรือเอก กรมหลวงฯ) ได้จัดทำขึ้นถวายสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต (ต่อมาเป็น จอมพลเรือ สมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระฯ) เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ และเสนาบดีฯ ทรงนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 18 มกราคม ร.ศ.129 (พ.ศ. 2453) โครงการนี้ได้กำหนดให้มี “เรือ ส.(1) จำนวน 6 ลำ” ทั้งนี้คณะกรรมการฯ ได้อธิบายไว้ว่า “เรือ ส. คือเรือดำน้ำสำหรับลอบทำลายเรือใหญ่ข้าศึก….. แต่ยังกล่าวให้ชัดไม่ได้เพราะยังไม่เคยลงแลลอง แต่ที่พูดถึงด้วยนี้โดยเห็นว่าต่อไปภายหน้าการศึกษาสงครามจะต้องใช้เป็น มั่นคง แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้” เวลานั้นเรือดำน้ำเป็นอาวุธที่นาวีของมหาอำนาจในยุโรปกำลังพัฒนาและทดลองใช้ อยู่

ต่อ มาใน พ.ศ. 2454 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ออกจากประจำการ และต้องจ้าง นายนาวาเอก ชไนด์เลอร์ (J.Schneidler) นายทหารเรือชาติสวีเดนเข้ามาเป็นที่ปรึกษาการทหารเรือ ในวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2455 นายนาวาเอก ชไนด์เลอร์ ได้เสนอโครงการจัดสร้างกำลังทางเรือสำหรับป้องกันประเทศ และได้กล่าวถึง “เรือดำน้ำ” ว่า “เป็นเรือที่ดีมากสำหรับป้องกันกรุงเทพฯ แต่จะผ่านเข้าออกสันดอนลำบาก ถ้าเก็บไว้ในแม่น้ำก็ไม่คุ้มค้า” และได้เสนอไว้ในโครงการให้มีเรือดำน้ำ 8 ลำ สำหรับประจำอยู่กับกองทัพเรือที่จันทบุรี

ทหาร เรือไทยและคนไทยได้มีโอกาสเห็นเรือดำน้ำจริงๆ เป็นครั้งแรกที่ไซ่ง่อน ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2454 ในโอกาสที่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ เสด็จประพาสอินโดจีนฝรั่งเศส ได้จัดเรือดำน้ำมาแล่น และดำถวายให้ทอดพระเนตรในบริเวณที่เรือพระที่นั่งมหาจักรีเทียบท่าอยู่

เรือ เหล่านี้ขึ้นระวางประจำการแล้วได้ปฏิบัติภารกิจที่สำคัญคือ เมื่อเกิดกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส หลังจากที่ ร.ล.ธนบุรี และเรือตอร์ปิโดถูกเรือรบฝรั่งเศสยิงจมแล้ว เรือดำน้ำ 4 ลำได้ลาดตระเวนเป็นแถว อยู่หน้าบริเวณฐานทัพเรือของอินโดจีนฝรั่งเศส ใช้เวลาอยู่ใต้น้ำทั้งสิ้นลำละ 12 ชั่วโมงขึ้นไป นับเป็นการดำน้ำที่นานที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมี หมวดเรือดำน้ำเป็นต้นมา

เรือดำน้ำในกองทัพเรือไทย (มี 4 ลำ)
1. ร.ล.มัจฉาณุ ลำที่สอง (ร.ล.มัจฉาณุ ลำที่หนึ่ง เป็นเรือในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว)
2. ร.ล.วิรุณ
3. ร.ล.สินสมุทร
4. ร.ล.พลายชุมพล

เรือหลวงมัจฉาณุ (ลำที่สอง)

ประเภท : เรือดำน้ำ
ระวางขับน้ำ : น้ำหนักบนผิวน้ำ 374.5 ตัน น้ำหนักขณะดำ 430 ตัน
ขนาด : ความยาวตลอดลำ 51 เมตร ความกว้างสุด 4.1 เมตร สูงถึงหลังคาหอเรือ 11.65 เมตร
กินน้ำลึก : กินน้ำลึก 3.6 เมตร
อาวุธ : ปืนใหญ่ 76 มม. 1 กระบอก ปืน 8 มม. 1 กระบอก ตอร์ปิโด 45 ซม. 4 ท่อ
เครื่องจักร : เครื่องจักรใหญ่ชนิดดีเซล 2 เครื่อง ๆ ละ 8 สูบ กำลัง 1,100 แรงม้า เครื่องไฟฟ้ากำลัง 540 แรงม้า (ใช้เดินใต้น้ำ)
ความเร็ว : ความเร็วมัธยัสถ์ 10 นอต
รัศมีทำการ : รัศมีทำการ 4,770 ไมล์
ทหารประจำเรือ 33 คน (นายทหาร 5 พันจ่า-จ่า 28)

เรือ นี้ต่อที่อู่ บริษัท มิตซูบิชิ เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อ พ.ศ.2479 มีอยู่ 4 ลำด้วยกัน คือ เรือหลวงมัจฉาณุ เรือหลวงวิรุณ เรือหลวงสินสมุทร และ เรือหลวงพลายชุมพล
วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2479 วางกระดูกงูพร้อมกับ เรือหลวงวิรุณ
วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2479 ลงน้ำพร้อมกับ เรือหลวงวิรุณ
วัน ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2479 เรือหลวงมัจฉาณุ (ลำที่สอง) และเรือดำน้ำอีก 3 ลำ ออกจากน่านน้ำประเทศญี่ปุ่น เดินทางมายังประเทศไทย โดยไม่มีเรือพี่เลี้ยง ซึ่งแสดงถึงความสามารถของทหารเรือไทย
วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2481 เดินทางมาถึงประเทศไทย
วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2481 ขึ้นระวางประจำการ
เมื่อ ครั้งกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส หลังจาก เรือหลวงธนบุรี และเรือตอร์ปิโด ถูกเรือฝรั่งเศส ยิงจมแล้ว เรือหลวงมัจฉาณุ เรือหลวงวิรุณ เรือหลวงสินสมุทร และเรือหลวงพลายชุมพล ได้ไปลาดตระเวนเป็น 4 แนว อยู่หน้าบริเวณฐานทัพเรือเรียมของอินโดจีนฝรั่งเศส ใช้เวลาดำอยู่ใต้น้ำทั้งสิ้นลำละ 12 ชั่วโมง ขึ้นไป นับเป็นการดำที่นานที่สุด ตั้งแต่ได้เริ่มมีหมวดเรือดำน้ำมาจนกระทั่งได้ถูกยุบเลิกไป
วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 ปลดระวางประจำการ

เรือหลวงวิรุณ

เรือนี้เป็นเรือพี่น้องของ เรือหลวงมัจฉาณุ สร้างแห่งเดียวกัน โดยสัญญาเดียวกัน
วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2479 วางกระดูงู
วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2479 เรือลงน้ำ
วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2481 เดินทางมาถึงประเทศไทย
วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2481 ขึ้นระวางประจำการ
วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 ปลดระวางประจำการ

เรือหลวงสินสมุทร

เรือนี้เป็นเรือพี่น้องของ เรือหลวงมัจฉาณุ สร้างแห่งเดียวกัน โดยสัญญาเดียวกัน
วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2479 วางกระดูงูพร้อมกับ เรือหลวงพลายชุมพล
วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2480 เรือลงน้ำพร้อมกับ เรือหลวงพลายชุมพล
วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2481 เดินทางมาถึงประเทศไทย
วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2481 ขึ้นระวางประจำการ
วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 ปลดระวางประจำการ

เรือหลวงพลายชุมพล

เรือนี้เป็นเรือพี่น้องของ เรือหลวงมัจฉาณุ สร้างแห่งเดียวกัน โดยสัญญาเดียวกัน
วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2479 วางกระดูงู
วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2480 เรือลงน้ำ
วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2481 เดินทางมาถึงประเทศไทย
วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2481 ขึ้นระวางประจำการ
วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 ปลดระวางประจำการ
"ผู้ที่ใช้สติปัญญาไม่เป็น คือคนโง่ ผู้ที่ไม่กล้าใช้สติปัญญา คือทาส" เพลโต้
User avatar
แดง ขาว น้ำเงิน
Moderator
 
Posts: 4943
Joined: Thu Feb 12, 2009 4:07 pm
Location: Earth

Re: อย่าเชื่อนะว่าไทยใกล้เสียดินแดนแล้ว

Postby อารยา » Sat Aug 22, 2009 11:45 am

ครับ ตาทุ้ยเคยเล่าให้ผมฟังที่บอร์ดอารยาสองปีก่อน และต้องขอบคุณมากเพราะข้อมูลของคุณสามสีสมบูรณ์แบบที่สุด หรือจะมาจากที่เดียวกันหว่า

ผมมัวแต่ไปดำน้ำคุยกับคุณอธิฎฐาน เลยเอามาแฉอีกครั้งดังนี้:
อารยา wrote:ขอมมันดำดินเป็นว่าเล่นนะ จะเอามันอยู่หรือครับ

อ้อ สังเกตเห็น "quarter moon" ครับ สวยดี

ยังขาด "Full moon" (กับ empty arm) เพราะ "half moon" ก็มีแล้ว! :) :)

เออ blue moon ด้วย
เดือนที่จะมีพระจันทร์เต็มดวงซ้ำมันโคตะระยากนะ เพราะต้องมีทั้ง 31 วันแล้วคืนแรกที่เต็มดวงต้องไม่เกินวันที่ 1 (ก็วันที่ 1 นั่นแหละ)
เพื่อว่าจันทร์เพ็ญครั้งต่อมาจะได้ไม่เกินเดือนนั้น (ก็วันที่ 31 นั่นแหละ) ครับ เดือนที่มี 30 วันก็ไม่พอให้ "ิblue moon" เกิด ต่อให้เพ็ญแรกมาวันที่ 1 ก็เถอะ เพราะนับไปอีก 30 วันที่จะถึงวันเพ็ญรอบใหม่ ก็หลุดจากเดือนนั้นไปเป็นวันที่ 1 ของเดือนต่อไปฉิบ :lol: )

ปีหนึ่งถ้าได้เจอ "blue moon" สักครั้งก็บุญแล้ว แต่คนอกหักจะทึกทักว่าวันนั้นเป็นคืนที่ต้องตรอมใจ มักจะลุกออกมานอกชาน แหงนมองดูจันทร์เต็มดวงพร้อมกับพึมพัมหาความไพเราะไม่ได้ว่า ทำไมตูต้องมา "standing alone" อย่างนี้ (วะ)
บ๊ะ ก็ดันไม่นอน!

สรุปว่า ไม่ทราบว่าทำไมต้องเป็น"จันทร์สีน้ำเงิน" น่าจะเป็นจันทร์เขียวแบบว่าเศร้าจนหน้าเขียวอ่ะ :mrgreen: :mrgreen: :mrgreen:
Last edited by อารยา on Sat Aug 22, 2009 3:13 pm, edited 1 time in total.
User avatar
อารยา
 
Posts: 2201
Joined: Sat Apr 11, 2009 5:26 pm

PreviousNext

Return to สภากาแฟ



cron