อธิฏฐาน wrote:มีคำสั่งห้ามทหารไทย ให้ข่าวปราสาทเขาพระวิหาร 
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (19 ก.ค.) ว่า
กองบัญชาการกองทัพไทยมีคำสั่งห้ามนายทหารทุกนาย ให้ความเห็นเกี่ยวกับปัญหาปราสาทเขาพระวิหาร เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด ความสับสนและเพื่อลดปัญหาความขัดแย้ง เนื่องจากเห็นว่า ปัญหาในขณะนี้เกิดจากการออกมาให้ความเห็นกันมากเกินไป โดยเฉพาะการให้ความเห็นจากผู้ที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจน
ทั้งนี้ ในคำสั่งดังกล่าวยังได้มอบหมายให้ นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ให้ข่าวเกี่ยวกับปัญหาเขาพระวิหารแต่เพียงผู้เดียว
http://hilight.kapook.com/view/26698/2
เสียงจาก ASTV คงเหมือนลมกระซิบ เพราะดูข่าวจากสื่ออื่น ๆ เงียบจริง ๆ ค่ะท่านอารยา
เข้าที่ตั้งครับ แบบนี้ "ดับเบิ้ลผิดปกติ" เสียแล้วครับ คงต้องประเมินกันให้ชัดๆขอเรียนตามตรงว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ใส่ใจปัญหามรดกโลกที่กัมพูชาขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารน้อยมากจนผิดปกติ เทียบไม่ได้กับเมื่อครั้งที่หัวหน้ารัฐบาลเองเคยอภิปรายเรื่องนี้ขณะเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภา
คุณกษิต ภิรมย์ เองก็เปลี่ยนไปมากหลังจากมาเป็นรัฐมนตรี ปล่อยให้รัฐมนตรีต่างกระทรวงแย่ง “ซีน” ไปแทบไม่เหลือบทให้เล่น ยิ่งฮุนเซนจงใจผิดฝาผิดตัว ต้อนรับรองนายกฯสุเทพ เทือก สุบรรณ และ รมว. กลาโหม พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ เหมือนตัดไมตรีกับรัฐมนตรีตัวจริง เลยดูเฉาไปมาก แม้ทุกวันนี้ก็ยังต้องเสียรังวัดไม่เลิก ขนาดคุณสุวิทย์ คุณกิตติยังแทรกเข้ามาช่วยงานประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่สเปนเมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
ครั้งนั้น คุณสุวิทย์ทำประหลาด ส่งข่าวข้ามทวีปประจานตัวเองว่าตนล้มเหลวในการประท้วงยูเนสโกเรื่องมรดกโลก แต่ลงท้ายกลับลือกันว่าคุณสุวิทย์ไปประท้วงยูเนสโก หรือไปช่วยให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกกันแน่!?
ล่าสุด คุณสุวิทย์บอกนักข่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าเดือนกันยายนตนต้องไปช่วยเตรียมการประชุมมรดกโลก เลยสงสัยว่าคนเป็นรัฐมนตรีจะไปรู้งานจัดระเบียบวาระการประชุมด้วยหรือ และทำไมต้องรีบร้อนเพราะอีกตั้ง 10 เดือนกว่าจึงจะมีประชุม ถ้าด่วนอย่างนี้น่าจะเกี่ยวกับการส่งมอบวนอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารให้กัมพูชาใช้บริหารจัดการมรดกโลกผ่าน “คณะการรมการ 7 ชาติ” (ICC) หรือเปล่า
ทำให้นึกถึงวันที่นายนภดล ปัทมะ ต้องบินไปพบมาดามฟรังซัวส์ ริเวียเร่ ผช. ผอ. ศูนย์มรดกโลกด่วนเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2551 ที่ปารีส เพื่อทำ Joint Decoration กับนายซกอันของกัมพูชาว่าไทยให้การสนับสนุนกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกได้ตามลำพัง ซึ่งเอกสารนั้นต่อมาเทียบได้กับเป็น “ใบสั่งซื้อดินแดนประเทศไทยด้านเขาพระวิหาร” ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551
และยังทำให้นึกถึงบริษัทรับเหมาบูรณะงานโบราณคดีในยุโรปแห่งหนึ่ง (ANPV: ดู มติชนรายวัน 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11458 “ใกล้วันที่ไทยจะเสียดินแดนด้านกัมพูชาแล้ว”) ที่มาดามฟรังซัวร์ไปคว้ามาแปรรูปเป็น “คณะกรรมการ 7 ชาติ” (ICC) นี้เอง ผลงานไม่โปร่งใสของยูเนสโกครั้งนั้นสามารถเปลี่ยนข้อเสนอขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกของกัมพูชาจาก The Sacred Site of the Temple of Preah Vihear มาเป็น The Temple of Preah Vihear ซึ่งนอกจากผิดขั้นตอน ยังลดมาตรฐานและคุณค่าของความเป็นมรดกโลกของแหล่งโบราณคดีปราสาทพระวิหาร แต่มาดามฟรังซัวร์กลับอ้างว่าไทยและกัมพูชาต้องการเช่นนั้น
ขั้นตอนสุดท้ายที่กัมพูชาจะได้เป็นเจ้าของมรดกโลกชิ้นนี้ กำลังจะมาถึงในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 แล้ว
“คณะกรรมการ 7 ชาติ” ( ICC: International Coordinating Committee (มีเบลเยียม ฝรั่งเศส อินเดีย สหรัฐ จีน ญี่ปุ่น ไทย) กำลังรอรับมอบแผนอนุรักษ์พื้นที่ทางด้านทิศเหนือและตะวันตกของตัวปราสาทพระวิหาร และทำได้โดยไม่ต้องรออนุมัติจากคณะกรรมการปักปันเขตแดนประเทศร่วมไทย-กัมพูชา (JBC: Joint Boundary Commission) จากนั้น เมื่อคณะกรรมการมรดกโลกรับทราบในกลางปี 2553 ก็เป็นอันเสร็จพิธี เมื่อวานซืนรัฐบาลจึงเสนอให้สภาผู้แทนราษฏรอนุมัติร่างข้อเจรจากับกัมพูชา สาระสำคัญเป็นเรื่อง “การปรับทหาร” เพื่อเปิดพื้นที่ให้ JBC ปักปันเขตแดน บางจุดที่ไทยถอนแล้วเป็น “โนแมนส์แลนด์” ก็ไม่ว่ากัน แต่บางจุดไทยถอนแล้วกลับถูกแทนที่โดยฝ่ายกัมพูชา จึงน่าห่วงว่า ในอนาคต ไทยมิต้องยอมให้กัมพูชารุกเข้ามายึดดินแดนไทยไม่รู้จักจบสิ้น กระนั้นหรือ
มีประเด็นว่า ถ้าสภาไม่อนุมัติ ไทยไม่ต้องไปเจรจากับใคร จะปลอดโอกาสเสียดินแดน หรือเปล่า ?
แล้ว หากไทยไม่เจรจากับใคร โอกาสเสียดินแดนยังจะมีอยู่หรือไม่?
สุดท้าย ไทยจะทำอย่างไร หากข้อตกลงเจรจาผ่านสภาไปแล้ว แต่ JBC ปักปันเขตแดนร่วมกับกัมพูชาแล้วเสร็จไม่ทัน 1 กุมภาพันธ์ 2553?
จากประสบการณ์ 2 ปีที่ผ่านมา การทำแผนอนุรักษ์พื้นที่มรดกโลกที่ปราสาทพระวิหาร ครั้งแรกวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551 และครั้งที่สองวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 กัมพูชาได้รับการรับรองจากคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 32/2008 และ 33/2009 อย่างไร้ปัญหา และไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ฝ่ายไทยรับทราบ ทั้งๆที่ไทยได้เสียดินแดนรอบตัวปราสาทพระวิหารไปเกือบ 3 พันไร่แล้วเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2552 เว็บไซต์ทางการของยูเนสโกเพิ่งมีการระบุ
เหตุผลหนึ่งที่รัฐบาลดูเนือยๆ อาจเป็นเพราะกองทัพให้ความมั่นใจเกินไปว่า การตรึงกำลังที่บริเวณปราสาทพระวิหารในที่สุด กำลังของกัมพูชาจะเครียดจนละเมิดข้อตกลงและใช้อาวุธยิงฝ่ายไทยก่อน ยูเนสโกจะถอนการขึ้นทะเบียนมรดกโลกเอง รัฐบาลไม่ต้องทำอะไร วันนี้พบแล้วว่าทฤษฎีนี้เพ้อฝันมากไปเพราะไม่มีใครรับประกันได้ว่าทหารไทยเครียดไม่เป็น วันนี้คงเครียดทั้งสองฝ่ายถึงได้ตกลง “ปรับทหาร”
อีกทฤษฏีของพี่ไทยมองว่า ไหนๆจะเสียพื้นที่ให้ใช้เพื่อบริหารจัดการมรดกโลกแล้ว ก็ควรจะขอขึ้นทะเบียนร่วมกับกัมพูชาเสียเลยดีกว่า ผู้สนับสนุนแนวนี้มักคิดเอาเองว่ากัมพูชาไม่รังเกียจ แต่พบแล้วว่าหากกัมพูชาเล่นด้วย จะมีเม็ดหมกอย่างน่ากลัวมาก เพราะกัมพูชาได้ใจจากอดีตนายกฯทักษิณผ่านการตกลงในแถลงการณ์ร่วม 2544 (ลงวันที่ 18 มิถุนายน เหมือนฉบับเจ้าปัญหา 2551) นั่นคือ ไทยต้องยอมรับว่ากัมพูชามีอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่ทับซ้อนทางด้านตะวันตกของตัวปราสาท และยอมยกพื้นที่ทางทะเลที่อุดมด้วยก๊าซและน้ำมันกว่า 2 หมื่นตารางกิโลเมตร ไม่นับที่ต้องยกเกาะกูดให้กัมพูชาครึ่งหนึ่ง
ไม่ว่าไทยจะเป็นเจ้าของมรดกโลกร่วมกับกัมพูชาหรือไม่ แต่ใน 5 เดือนนี้ ถ้ารัฐบาลยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ไทยที่จะเสียไม่เพียงพื้นที่ทับซ้อน 3 พันไร่ เพราะตาม “แผนที่ใหม่” ที่นายนภดล ปัทมะ ลงนามพร้อมแถลงการณ์ร่วม 2551 ประเมินเนื้อที่คร่าวๆได้ไม่ต่ำ 1.5 ล้านไร่
คุณสุวิทย์ คุณกิตติ จะบอกได้ไหมว่า เฉพาะส่วนที่ทอดยาว 12 กิโลเมตรจาก “วนอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร” ของกระทรวงทรัพยากรฯไปทางทิศตะวันตกถึงปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควายในจังหวัดสุรินทร์นั้น ไม่ใช่ดินแดนไทย