เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

คลังปัญญา กระทู้ปักหมุดเดิม เรื่องสำคัญจัดเก็บที่นี่

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby แดง ขาว น้ำเงิน » Tue Nov 03, 2009 11:13 am

ทักษิณ เดอะ ซีรี่ส์ :D

มันต้อง up :mrgreen:
"ผู้ที่ใช้สติปัญญาไม่เป็น คือคนโง่ ผู้ที่ไม่กล้าใช้สติปัญญา คือทาส" เพลโต้
User avatar
แดง ขาว น้ำเงิน
Moderator
 
Posts: 4943
Joined: Thu Feb 12, 2009 4:07 pm
Location: Earth

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby pooyong » Tue Nov 03, 2009 12:33 pm

เป็นมหากาพย์ที่น่าติดตาม :mrgreen: :mrgreen:
การรับใช้แผ่นดิน คือความเบิกบาน
User avatar
pooyong
 
Posts: 1496
Joined: Mon Oct 19, 2009 9:55 am


Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Tue Nov 03, 2009 4:09 pm

pooyong wrote:ต่อไปเรื่อยๆครับคุณbird รออ่าน :mrgreen:

pooyong wrote:เป็นมหากาพย์ที่น่าติดตาม :mrgreen: :mrgreen:


dahlia wrote:ขอร้องเถอะครับปักหมุดกระทู้นี้เถิด จะปล่อยให้ตกไปถึงไหนครับ
หวังว่าไม่ใชเพราะ กลัวพวกคนเสื้อแดงมาเห็นหรอกนะครับ

ปักหมุดเถิด


แดง ขาว น้ำเงิน wrote:ทักษิณ เดอะ ซีรี่ส์ :D

มันต้อง up :mrgreen:


overtherainbow wrote:เฝ้าติด ตาม
แม้วและสหายทั้งหลาย


ขอบคุณค่ะ วันนี้มารายงานตัวช้าไปนิด พอดีติดภาระกิจค่ะ
เอาข้อมูลมาฝากให้อ่านไปพลางก่อน :mrgreen:
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby dahlia » Tue Nov 03, 2009 9:19 pm

ดัน
ผมเป็นแฟนคลับ แคนไท , ริดกุน , nontee , eAT , Moon , tonythebest , -3- , amplepoor , เด็กปากดี
User avatar
dahlia
 
Posts: 1375
Joined: Mon Oct 12, 2009 2:35 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby พายุ » Wed Nov 04, 2009 2:32 am

จริงๆ ไม่ปักหมุดก็ไม่เป็นไรนะ คอย up เรื่อยๆ คนจะได้รู้ด้วยว่ามีเรื่องราวใหม่ๆมาอัพเดทค่ะ
" คนที่พูดคำว่า จงรักภักดี คำที่ดีที่สุดคือ สติ เหนือสิ่งอื่นใด ทุกวันนี้สติหด หาย ขาด ถ้ามีสติ มีศีล มีปัญญา ฉลาดรอบคอบ ก็ไม่ทำให้ใครเดือด ร้อน เพราะฉะนั้น คนในสังคมต้องมีสติ อย่าขาดสติ จะให้เราเข้าใจที่สุด"
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล
User avatar
พายุ
 
Posts: 3977
Joined: Mon Oct 13, 2008 1:33 am

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby PettyCash » Wed Nov 04, 2009 11:47 am

ขยันจังเลยคุณbird
เรามัวแต่ไปสนเรื่องรถไฟกะบักห่าจิ๋วอยู่
เลยไม่ได้เข้ามาอัพเดท


Image
เบือพวกตัวเองดีอยู่คนเดียว
คนอื่นผิดหมด เลวหมด
User avatar
PettyCash
 
Posts: 1666
Joined: Fri Nov 28, 2008 11:26 am



Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby devotion » Thu Nov 05, 2009 12:47 am

“เค้าลางแห่งความเลวร้าย” ที่คุณ bird บอกเล่า ดิฉันอยากเรียกว่ามันคือ "คราบไคลแห่งความเลวร้าย" เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว และก็ติดอยู่กับประเทศชาติและสังคมไทยชนิดที่จะขัดออกด้วยวิธีทั่วไปเกือบเป็นไปไม่ได้

การที่เรามาถึงจุดที่เป็นปัญหาวิกฤติอยู่ทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากความดูดาย คิดไว้นานแล้ว พอดีเพิ่งพบบทความของ ดร.ไสว บุญมา เขียนไว้ตรงกับใจ ว่า "... ผมมองว่าปัญหาของสังคมไทยในขณะนี้มีที่มาหลังจากบาปสั่งสมที่สมาชิกของสังคมร่วมกันก่อ บ่อเกิดของบาปได้แก่การกระทำผิดกฎเกณฑ์ของสังคม จรรยาบรรณและศีลธรรม บวกกับความดูดาย บาปจากการกระทำผิดดังกล่าวนั้นคงเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปแล้ว ส่วนบาปจากความดูดายอาจยังไม่มีผู้เคยได้ยินมาก่อน ..."

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews ... 0000130702
ถึงเวลาล้างบาปของความดูดายด้วยวิธีขายตรง

แม้จะอ้างอิงทั้งบทความ แต่ที่สนใจจริงๆก็คือตรงที่เกี่ยวกับความดูดายค่ะ
User avatar
devotion
Moderator
 
Posts: 1001
Joined: Tue Apr 28, 2009 7:11 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby pooyong » Thu Nov 05, 2009 2:13 am

เป็นความดูดายจริงๆ ที่ทำให้สงคมเราเป็นอย่างทุกวันนี้ โดยเฉพาะพวกที่บอกว่าเป็นกลางๆ
แต่ไม่ยอมทำอะไรเลย
การรับใช้แผ่นดิน คือความเบิกบาน
User avatar
pooyong
 
Posts: 1496
Joined: Mon Oct 19, 2009 9:55 am


Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Thu Nov 05, 2009 3:05 pm

ครั้งหนึ่งในชีวิต

กระแสข่าวที่กำลังแพร่สะพัดเกี่ยวกับข้อเสนอให้จัดตั้งนครรัฐปัตตานี หรือ นครปัตตานี
โดยให้เป็นเขตปกครองพิเศษเลียนแบบนครเชียงใหม่ กรุงเทพฯ หรือ พัทยา ก็ว่ากันไป
กับอีกหนึ่งข้อเสนอนโยบาย ดอกไม้หลากสี ซึ่งพรรคการเมืองหนึ่งออกประกาศว่าจะตั้ง
เป็นนโยบายหลักเพื่อใช้ในการหาเสียงครั้งต่อไป...

ก่อนที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า หากให้ลองย้อนวันเวลาไปในช่วงพฤศจิกายน ๒๕๓๙ ถึง
พฤศจิกายน ๒๕๔๐ ย้อนสำรวจเหตุการณ์ และอารมณ์ของสังคมในช่วงเวลาที่ประเทศ
เรามีนายกรัฐมนตรีชื่อ ชวลิต ช่วงเวลาที่ประเทศเผชิญวิกฤตการณ์เศรษฐกิจครั้งรุนแรง
ที่สุดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงเวลาที่โลกของคนไทยทุกคน เปลี่ยนจากสีขาว ...
เป็นสีหม่น และหมองคล้ำ

หลังการอภิปรายไม่วางใจที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นครั้งที่ดุเดือดที่สุดครั้งหนึ่ง ของรัฐบาล
ที่ "บริหารได้แต่ปกครองไม่ได้" ที่มีคุณบรรหารดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะบริหาร ระยะ
เวลา ๑ ปี ๒ เดือน ก็ถึงคราวสิ้นสุดลงพร้อมด้วยอาการอกหักของนักการเมืองอาวุโส
หลายท่าน โดยเฉพาะพ่อใหญ่ ที่จ่อคิวขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะรัฐบาลแทน หาก
คุณบรรหารประกาศลาออก

ตามคำมั่นที่ประกาศต่อที่ประชุมเมือวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๓๙ ก่อนการลงคะแนนเสียง
เพียงไม่กี่นาที ว่าจะลาออกภายใน ๗ วัน เพื่อแลกกับการยกมือไว้วางใจ หากแต่ครั้งนั้น
คุณบรรหาร เลือกจุดจบของรัฐบาลโดย ประกาศยุบสภา ในวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๓๙
พร้อมกำหนดวันเลือกตั้งครั้งใหม่ขึ้นในวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ ซึ่งการเลือกตั้ง
ครั้งนี้เป็นศึกของ ๓ ช. ได้แก่ ช-ชวน, ช-ชาติขาย และ ช-ชวลิต

“การเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ใช่ง่ายๆ ไม่ใช่คิดว่าจะเป็นแล้วก็เป็นได้ ถ้าคิดจะเป็น บางที
ก็ได้เป็น บางทีไม่เป็น ก็อาจจะได้เป็น” (บรรหาร ศิลปอาชา, ตุลาคม ๒๕๓๙)


ภายหลังการเลือกตั้ง ปรากฎว่า ช-ชวลิต เฉือนชนะ ช-ชวน ด้วยคะแนนเสียง ๑๒๕ :
๑๒๓ เสียง โดยมี ช-ชาติชาย ตามมาห่าง ๆ ๕๒ เสียง คุณชวนประกาศยอมรับความ
พ่ายแพ้ ช-ชวลิต เปลี่ยนสถานภาพจากขงเบ้งแห่งกองทัพเป็นพ่อใหญ่จิ๋วของพี่น้อง
ชาวอิสาน

ช-ชวลิต ขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะรัฐบาลในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๓๙ โดยมีพรรค
ชาติพัฒนา กิจสังคม ประชากรไทย เสรีธรรม และมวลชน เป็นพรรคร่วม ชาติไทยและ
ประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน

“ในการทำงานด้านเศรษฐกิจ พรรคความหวังใหม่จะต้องให้อิสระกับผม ... เพราะการ
ทำงานด้านเศรษฐกิจเป็นการทำงานเพื่อประเทศชาติ ไม่ใช่เพื่อพลเอกชวลิต และพรรค
ความหวังใหม่ ซึ่งพลเอกชวลิตก็ได้มอบให้ผมดูแลกระทรวงหลักๆ เช่น คลัง พาณิชย์
อุตสาหกรรม และการต่างประเทศ” (อำนวย วีรวรรณ, เนชั่นสุดสัปดาห์ ๘ พย ๒๕๓๙)


ภายใต้สภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ลงตั้งแต่ปี ๒๕๓๙ และความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหา
เศรษฐกิจของรัฐบาลคุณบรรหาร ทำให้แต่ละพรรคต่างชู “ดรีมทีมเศรษฐกิจ” เป็นจุด
ขายในการสู้ศึกเลือกตั้ง ซึ่งความหวังใหม่ชูนายอำนวย เป็นหัวหน้าดรีมทีมเศรษฐกิจ
โดยมีขุนพลหลักคือ นายณรงค์ชัย, นายสุรศักดิ์, นายทนง, และ นายวิโรจน์

ซึ่งเมือประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรี จิ๋ว ๑ เมื่อ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ ดรีมทีมเศรษฐ
กิจในฝันของนายอำนวย เหลือโควตาอยู่เพียง ๓ ตำแหน่งจากคณะรัฐมนตรี ๔๙ ตำแหน่ง
แตกต่างจากที่พลเอกชวลิตเคยให้สัมภาษณ์ว่า จะกันที่ไว้ให้คนนอกที่มีประสบการณ์และ
ความรู้ประมาณ ๔-๖ คนเข้ามาเป็นทีมบริหารเศรษฐกิจ

ทั้งนี้เพราะพรรคชาติพัฒนาภายใต้การนำของพลเอกชาติชาย และคำขวัญที่ผูกติดตัวมา
"เปลื่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า" ที่พยายามรุกคืบเข้าไปมีบทบาททางเศรษฐกิจ ได้ชิง
โควตากระทรวงเศรษฐกิจมาบริหาร และยังสามารถชิงกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวง
การต่างประเทศมาได้สำเร็จ ในขณะที่พลเอกชาติชาย ซึ่งยังเปี่ยมด้วยบารมี เข้าดำรงตำ
แหน่งประธานที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจและต่างประเทศของรัฐบาล

การบริหารเศรษฐกิจในช่วงต้นเต็มไปด้วยปัญหาความขัดแย้งระหว่าง ๒ ทีมเศรษฐกิจที่
เล่นสงครามเย็นกันภายใน ความเป็น “จิ๋ว หวานเจี๊ยบ” ที่มีลักษณะพี่มีแต่ให้ ไม่ขัดใจใคร
แถมเอาใจทุกฝ่าย ไม่มีส่วนช่วยสร้างเอกภาพในทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลแม้แต่น้อย
“ดรีมทีมเศรษฐกิจ” ที่หวังจะให้เป็นอัศวินม้าขาว ที่เปี่ยมด้วยความรู้ และมีอำนาจเบ็ดเสร็จ
มีอิสระในการทำงานอย่างเต็มที่ กลายเป็นความฝันเลื่อนลอย ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นจริง

“ต้นเหตุของวิกฤตในครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนๆ ตรงที่มีสาเหตุมาจากภายในประเทศทั้งสิ้น
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เราเป็นผู้สร้างปัญหาให้แก่ตัวเราเอง ...แม้ทางการจะมองเห็นปัญหา
แต่ขาดความเด็ดขาดในการกำหนดมาตรการที่จะป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้น และเมื่อเกิด
ปัญหาขึ้นแล้วก็ยังขาดความกล้าหาญที่จะใช้มาตรการที่อาจไม่เป็นที่นิยมในทางการเมือง
เข้าแก้ปัญหา” (คณะกรรมการศึกษาและเสนอแนะมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหาร
จัดการระบบการเงินของประเทศ (ศปร.), ๒๕๔๑)


สัญญาณเลวร้ายทางเศรษฐกิจ เริ่มชัดเจนขึ้น อัตราการเติบโตของการส่งออกลดลงอย่าง
รุนแรงจาก ๒๔.๘% ในปี ๒๕๓๘ เป็น -๑.๙ ในปี ๒๕๓๙ เป็นการทำลายความเชื่อมั่นใน
ทางการเงินระหว่างประเทศ ไม่มั่นใจความสามารถในการชำระหนี้ต่างประเทศของเศรษฐ
กิจไทย อีกทั้ง ธปท ใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ ทำให้กลไกอัตราแลกเปลี่ยน
ไม่สามารถใช้แก้ไขปัญหาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดด้วยตัวเองได้

ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ เป็นการเปิดเสรีทางการเงิน ทำให้เงินทุนระหว่างประเทศ
เคลื่อนย้ายอย่างเสรี และเงินทุนจำนวนมากที่ไหลเข้ามาเป็นเงินทุนเก็งกำไรระยะสั้นใน
ตลาดหลักทรัพย์ หรือนำไปปล่อยกู้ต่อเพื่อการบริโภคหรือเก็งกำไรในตลาดอสังหาฯ
บริษัทเอกชนก่อหนี้ต่างประเทศจำนวนมากเพราะต้นทุนถูกกว่ากู้ในประเทศไม่ต้องคำนึง
ถึงความเสี่ยงต่ออัตราแลกเปลี่ยน ธนาคารพาณิชย์กู้ต่างประเทศมาปล่อยกู้ในประเทศ
อย่างไม่ระมัดระวัง เปรียบเสมือนระเบิดเวลาที่รอวันปะทุ

“ขณะนี้เราต้องการคนมาทำงาน ไม่ได้ต้องการนโยบายอีกแล้ว” (พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ,
มิถุนายน 2540 หลังการแต่งตั้งนายทนง พิทยะเป็นรมว.คลัง)


รัฐบาลชวลิตบริหารประเทศได้ไม่กี่เดือน ปัญหาเศรษฐกิจยิ่งทวีความรุนแรง การส่งออก
ตกต่ำ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด รายได้ของรัฐลดลงอย่างมาก ตลาดหุ้นสถิติต่ำสุดไม่
เว้นแต่ละวัน ภาคธุรกิจเริ่มขาดทุน ปลดคนงาน เสียงวิจารณ์ถึงความสามารถของครีมทีม
ในผันว่า "มือไม่ถึง" อีกทั้งแรงกดดันจากทั้งในและนอกพรรค ๑๘ มิถุนายน ๒๕๔๐
นายอำนวยประกาศลาออกจากรัฐบาล และมีการแต่งตั้ง นายทนง เข้ารับตำแหน่ง รมว.
คลังแทนนายอำนวน ในรัฐบาล จิ๋ว ๒

“ปฏิบัติการครั้งนี้ ขนาดลูกเมีย คนที่รักที่สุดยังไม่รู้ ใครต่อใครที่เคารพบูชาก็ยังไม่ให้
รู้เลย” (พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ, มติชนสุดสัปดาห์ ๘ กรกฎาคม ๒๕๔๐)


“ภูมิใจที่สุดที่ไม่มีใครรู้เรื่องนี้จนวินาทีสุดท้าย” (เริงชัย มะระกานนท์, มติชนสุดสัปดาห์
๘ กรกฎาคม ๒๕๔๐)


กุมภาพันธ์ ๒๕๔๐ นักลงทุนเข้ามาถล่มค่าเงินบาทระลอกใหญ่ แต่ ธปท รบชนะ
พฤษภาคม ๒๕๔๐ ค่าเงินบาทโดนโมตีอีกระลอก พร้อมกระแสข่าวการลาออกข้ามทวีป
จากญี่ปุ่นของนายอำนวย นักวิชาการออกแถลงการณ์ให้ ธปท ปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยน
ให้มีความยืดหยุ่นตามสถานการณ์

การโจมตีเงินบาทรุนแรงขึ้นทุกขณะ วิธีปกป้องค่าเงินบาท โดยทุ่มเงินทุนสำรองระหว่าง
ประเทศเข้าซื้อเงินบาทในตลาดเงิน จนหมดตัว
และการเลือกวิธี Buy-Sell SWAP เพื่อ
ปกปิดฐานะทุนสำรองฯ ทั้งที่ในขาแรกของการทำธุรกรรม เปรียบเหมือนการยื่นกระสุน
เงินบาทให้นักเก็งกำไรมีเงินบาทมาไล่ซื้อเงินเหรียญสหรัฐเพื่อเก็งกำไรอีกต่อหนึ่งนั้น
ถือเป็นความผิดพลาดในการดำเนินนโยบายที่ ธปท มิอาจปฏิเสธความรับผิดชอบ

เช้าตรู่ของวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๔๐ ธปท ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท หลังจากปกป้อง
ค่าเงินจนหมดหน้าตัก ซึ่งรายงานเหตุการณ์ในวันนั้น
๓.๐๐ น. เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบสถาบันการเงิน ธปท ถูกปลุกให้มาทำงานที่ ธปท
พร้อมรับทราบเรื่องสำคัญทีต้องปฏิบัติ
๔.๐๐ น. ผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งประมาณกว่า ๗๐ คน ได้รับ
โทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ ธปท เชิญมาประชุมด่วนที่ ธปท
๖.๐๐ น. นายเริงชัย แจ้งการตัดสินใจปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นแบบลอยตัว
ให้ผู้บริหารระดับสูงธนาคารพาณิชย์รับทราบ
๗.๐๐ น. สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยประกาศข่าว

แม้ ธปท จะยืนยันว่าปฏิบัติการลอยตัวค่าเงิน มีผู้รู้เรื่องเพียง ๓ คนคือ พลเอกชวลิต
นายเริงชัย และ นายทนง เท่านั้น ก็ยังมีเสียงวิจารณ์ตามกระแสลอยลมมาว่าอาจมี
“คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” บางคนรู้ข้อมูลเชิงลึกล่วงหน้า หลังประกาศลอยตัวค่าเงินบาทใน
ครั้งนั้น พลเอกชวลิตยังไม่สำเหนียกรู้ว่า สังคมเศรษฐกิจไทยกำลังดำดิ่งสู่หุบเหวแห่ง
หายนภัย

หลังปัญหาความฉ้อฉลในธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ (BBC) ถูกเปิดเผย ก่อให้เกิดภาวะ
วิกฤตศรัทธาเป็นไฟลามทุ่งต่อสถาบันการเงินทั้งระบบ ๓ มีนาคม ๒๕๔๐ ธปท ประกาศ
ให้บริษัทเงินทุนและหลักทรัพย์ ๑๐ แห่งเพิ่มทุนภายใน ๖๐ วัน และวันที่ ๒๔ มิถุนายน
๒๕๔๐ รัฐบาลออกพระราชกำหนด (พรก.) ๔ ฉบับ เพื่อส่งเสริม สนับสนุน และลดอุป
สรรคการควบกิจการและการโอนกิจการของสถาบันการเงิน เพื่อผ่อนผันให้ชาวต่างชาติ
ถือหุ้นในธนาคารพาณิชย์ได้เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ๒๕% ได้เป็นเวลา ๕ ปี ในช่วงที่
ต้องฟื้นฟู และเพื่อเสริมสภาพคล่องในระบบหลังควบรวมกิจการแล้ว

หลัง พรก. ออกบังคับใช้ไม่กี่วัน ธปท ประกาศปิดกิจการของบริษัทเงินทุนและเงินทุน
หลักทรัพย์ ๑๖ แห่ง เป็นการชั่วคราว ก่อให้เกิดภาวะตื่นตระหนกในตลาดเงิน ประชาชน
แห่ถอนเงินสถาบันการเงินที่ไม่ได้ถูกลงโทษ ความไม่เชื่อมั่นในระบบการเงินเกิดขึ้นทั้ง
ระบบ จนทำให้สถาบันการเงิน “ดี” ได้รับผลกระทบจนอ่อนแอตามไปด้วย รัฐบาลต้อง
ออกมาค้ำประกันเงินฝากทั้งระบบ

พลเอกชวลิตยืนยันว่าจะไม่มีการปิดบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เพิ่ม แต่วันที่ ๕ สิงหาคม
๒๕๔๐ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ก็ถูกปิดเพิ่มอีก ๔๒ บริษัท พร้อมกับแถลงการณ์ว่า
ด้วยมาตรการเสริมความเชื่อมั่นในระบบสถาบันการเงินของรัฐบาล

จาก ๙๑ บริษัท เหลือเพียง ๓๓ บริษัทเท่านั้นที่ยังคงอยู่รอดปลอดภัย

หลังค่าเงินบาทถูกปล่อยลอยตัวจาก ๒๕ บาทต่อเหรียญสหรัฐเป็น ๓๓ บาทต่อเหรียญ
สหรัฐ และลดต่ำลงเรื่อยๆ จนต่ำสุดที่ ๕๖ บาทต่อเหรียญสหรัฐในยุคพลเอกชวลิต ซึ่ง
ผลที่เกิดขึ้นจากการลอยตัวค่าเงินทำให้หนี้ต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์และบริษัท
ต่างๆในประเทศไทยพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว บริษัทจำนวนมากเข้าสู่ภาวะล้มละลาย คนตกงาน
มากมาย ตลาดหุ้นตายทั้งเป็น ธนาคารพาณิชย์ล้มหายตายจาก ที่เหลืออยู่ก็อ่อนแอ ราคา
น้ำมันพุ่งขึ้นสูง ราคาสินค้าต่างๆพุ่งขึ้นสูงตามไป ความเดือดร้อนกระจายตัวไปทุกหย่อม
หญ้าอย่างรวดเร็ว

ความล้มเหลวและอ่อนหัดในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลและเทคโนแครตไทย
นำมาซึ่งเสียงเรียกร้องให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
ในที่สุด รัฐบาลไทยเปิดเจรจายอมรับความช่วยเหลือจาก IMF เพื่อกู้เงินเสริมฐานะเงินทุน
สำรองระหว่างประเทศมูลค่า ๑๗.๒ พันล้านเหรียญสหรัฐ ในเดือนสิงหาคม ๒๕๔๐ ภายใต้
เงื่อนไขหลายอย่างที่ต้องปฏิบัติตามในการดำเนินการแก้ไขภาวะเศรษฐกิจ

๑๕ สิงหาคม ๒๕๔๐ ครม.จิ๋ว ๓ ก็ถือกำเนิดขึ้นโดยมีนายวีรพงษ์ ที่เคยวิพากษ์วิจารณ์รัฐ
บาลและเสนอให้มีการลดค่าเงินแต่เนิ่นๆ เข้ามาลุยงานในตำแหน่งรองนายกฯ เพื่อรับหน้าที่
ประสานและเจรจากับ IMF และแก้ปัญหาสถาบันการเงิน รวมทั้ง นายทักษิณ ก็หวนกลับสู่
วงการเมืองหลังทิ้งพรรคพลังธรรมกลางคัน โดยเข้ารับตำแหน่งรองนายกฯ ดูแลงานโครง
สร้างพื้นฐานต่างๆ

“รัฐบาลชุดนี้ทำให้ยุ่ง คล้ายเล่นจำอวด คือตลกที่พูดเล่นไม่จริงจัง เหมือนคำพูดของรัฐบาล
ชุดนี้ ตลกยังเทียบไม่ได้เลย ... พูดเชื่อถือไม่ค่อยได้ ขาดหลักวิชาโดยสิ้นเชิง จำอวดเขา
ยังมีหลักวิชาการแสดง” (หวังดี นิมา (หวังเต๊ะ), มติชนสุดสัปดาห์, ๒๑ ตุลาคม ๒๕๔๐)


คำพูดของพลเอกชวลิต ดูจะไม่มีความน่าเชื่อถืออะไรอีกต่อไป เมื่อทุกอย่างที่ท่านพูดล้วน
ตรงกันข้ามกับความจริงไปเสียทั้งหมด พลเอกชวลิตเคยกล่าวปฏิเสธข่าวลือเรื่องการลาออก
ของนายอำนวย เคยปฏิเสธข่าวการปิดสถาบันการเงิน เคยยืนยันว่าจะไม่ลดค่าเงินบาท เคย
ปฏิเสธข่าวการกู้เงินจาก IMF...

ทุกเรื่องที่พลเอกชวลิตบอกว่า “ไม่” ล้วน “ใช่” ในภายหลัง ทุกครั้งที่ออกมาปฏิเสธ
อีกไม่นาน ข่าวลือล้วนกลายเป็นข่าวจริง


รัฐบาลชวลิต มักมีนโยบายกลับไปกลับมา เรื่องที่ผ่าน ครม.แล้ว สามารถกลับมติได้อีกในเวลา
ไม่นานนัก นอกจากกลับมติเรื่องภาษีสรรพสามิตจนทำให้นายอำนวยต้องลาออกแล้ว ยังมีเรื่อง
การขึ้นภาษีน้ำมัน ที่คราวนี้ทำให้นายทนงตัดสินใจทิ้งเก้าอี้ไปอีกคน เหตุมาจากพลเอกชวลิตสั่ง
ให้กลับไปใช้ภาษีน้ำมันอัตราเดิม แม้เพิ่งประกาศขึ้นภาษีไปไม่ถึง ๓ วัน หลังจากถูกชาติพัฒนา
กดดัน

ความเป็นผู้นำของพลเอกชวลิตถูกตั้งคำถามตลอดอายุรัฐบาล สิ่งสำคัญที่พลเอกชวลิตขาดคือ
ความเด็ดขาด ชัดเจน มีจุดยืน และน่าเชื่อถือ การบริหารงานที่ผ่านมาเป็นไปในทางประสานผล
ประโยชน์และรักษาดุลอำนาจระหว่างกลุ่มการเมืองและพลพรรคแวดล้อม เพื่อรักษาตัวรอด
มากกว่าจะกล้าหาญลงมือทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

กระแสให้พลเอกชวลิตลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเริ่มขยายวงกว้างขึ้น แม้คำกล่าวของ
นายอานันท์ ปันยารชุน ในปาฐกถานำของการอภิปรายเรื่อง “ทำอย่างไรธุรกิจและอุตสาหกรรม
ไทยจึงจะอยู่รอดได้” เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๔๐ ก็ยังเสนอให้พลเอกชวลิต ดังนี้
๑) แก้ไขปัญหากินยาขมตามเงื่อนไข IMF
๒) ผ่านร่างรัฐธรรมนูญใหม่
๓) แก้ปัญหาทางอารมณ์ของคนในสังคมด้วยการลาออก (มติชนสุดสัปดาห์, ๑๙ สค ๔๐)

“ผมนอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว ... ผมอยู่ใกล้ประเทศบ้านพี่เมืองน้องเห็นคนที่สิ้นชาติมาแล้ว
ไม่อยากให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา ถ้ารัฐสภารับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ (ฉบับ ๒๕๔๐)”
(เสนาะ เทียนทอง, ๑๐ สิงหาคม ๒๕๔๐)


วิกฤตการณ์เศรษฐกิจ ๒๕๔๐ บวกกับสภาพล้มเหลวของการเมืองไทยตั้งแต่ช่วงหลังพฤษภาทมิฬ
ทำให้คนไทยทนไม่ไหวกับการเมืองแบบไทยๆ และนักการเมืองแบบไทยๆ เสียงเรียกร้องให้เกิด
การปฏิรูปการเมืองอย่างถึงรากถึงโคนดังกระหึ่ม โดยมีรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ที่ร่างโดยสภา
ร่างรัฐธรรมนูญ เป็นสัญลักษณ์แห่งการเปลี่ยนแปลง

สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร) ๙๙ คน เริ่มทำงานร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จภายใน ๒๔๐ วัน
พร้อมๆ กับการเริ่มต้นของรัฐบาลพลเอกชวลิต ที่เคยประกาศต่อสาธารณชนในวันแรกๆที่เข้ารับ
ตำแหน่งว่า จะเป็นนายกฯเพียง ๒ ปี เมื่อรัฐธรรมนูญใหม่และกฎหมายลูกแล้วเสร็จจะยุบสภาทันที
แม้พรรคร่วมรัฐบาลจะเขียนไว้ในปฏิญญาในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันอย่างชัดเจนว่า

“๔. จะเร่งรัดผลักดันการปฏิรูปการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”
แต่เมื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ใกล้แล้วเสร็จ แกนนำหลายคนกลับออกมาคัดค้านโดยเฉพาะนายเสนาะ
และนายสมัคร ขณะที่พลเอกชวลิตเลือกที่จะไม่ประกาศจุดยืนว่าจะสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญ ในช่วง
ก่อนที่ร่างรัฐธรรมนูญจะเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา เกิดภาวะเผชิญหน้าขึ้นเมื่อกลุ่มกำนัน-ผู้ใหญ่
บ้าน ข้าราชการมหาดไทย ภายใต้การนำของนายเสนาะ และกลุ่มการเมืองฝ่ายขวา ออกมาเคลื่อน
ไหวต่อต้านรัฐธรรมนูญใหม่อย่างอึกทึก โดยใช้สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์

ด้านกลุ่มสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้สีเขียวอ่อนเป็นสัญลักษณ์ของการสนับสนุน
มีการติดธงเขียว สติกเกอร์เขียว และใส่เสื้อเขียวกันทั้งบ้านทั้งเมือง

พลเอกชวลิต ผู้แสดงท่าทีวางเฉยมาตลอด โยนก้อนหินถามทางโดยลุกขึ้นพูดในสภาเมื่อวันที่ ๔
กันยายน ๒๕๔๐ ระหว่างการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ โดยเสนอให้ สสร นำร่างกลับไปแก้ไขก่อนให้
รัฐสภาลงมติรับรอง อันเป็นจุดยืนเดียวกับนายเสนาะ ทำให้ความเชื่อมั่นทางการเมืองของรัฐบาลลดต่ำ
ติดดิน ค่าเงินบาทตกอย่างหนัก กลุ่มผู้สนับสนุนรัฐธรรมนูญก็ได้แนวร่วมเพิ่มขึ้นมาจากกลุ่มนักธุรกิจ

สุดท้ายพลเอกชวลิต จะออกมากลับลำประกาศสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญใหม่ หลังโดนกระแสสังคม
กระหน่ำ แต่ความไม่น่าเชื่อถือของท่านที่สะสมมานาน บวกกับความรวนเรอย่างรุนแรงในจุดยืนเรื่อง
การผ่านร่างรัฐธรรมนูญ ทำให้กระแสการสนับสนุนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ได้ขยายตัวกลายเป็นกระแส
หมดศรัทธาผู้นำ จนต้องการให้พลเอกชวลิตลาออก โดยไม่ยุบสภา

ในขณะที่กลุ่มสนับสนุนรัฐธรรมนูญขยายตัวเป็นกลุ่มขับไล่พลเอกชวลิต
กลุ่มต่อต้านรัฐธรรมนูญเองก็ขยายตัวไปเป็นม็อบประชาชนจากอีสาน มีการปลุกม็อบให้มาชนม็อบ


แต่ด้วยแรงสนับสนุนรัฐธรรมนูญอย่างมืดฟ้ามัวดินของประชาชนทั้งประเทศ ทำให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ
สสร. ผ่านรัฐสภา ด้วยความจำยอมของกลุ่มผู้ต่อต้าน เมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๔๐

ในช่วงท้ายของรัฐบาลชวลิตโดนกดดันให้ลาออกจากตำแหน่งเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศจาก
หลายองค์กรภายในประเทศ แม้แต่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ อย่าง PREC ยังให้ความเห็นว่า
หากต้องการให้เศรษฐกิจฟื้นตัว ต้องเปลี่ยนรัฐบาล

“คนอื่นมันอาศัยแผ่นดินนี้เท่านั้นเอง และเมื่อมันได้รับความเสียหาย มันก็ลุกขึ้นมาโวยวาย เพราะเมื่อ
มันไม่ได้รับในสิ่งที่มันต้องการ และสิ่งที่มันต้องการเป็นสิ่งที่ทำลายแผ่นดินทั้งนั้น ... อย่าให้ผมใช้วิธี
ที่พวกมันใช้กันอยู่ในเวลานี้บ้าง ...” (พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ, ๑๗ กันยายน ๒๕๔๐)


เป็นคำปราศรัยของพลเอกชวลิตต่อหน้าประชาชนจากสกลนคร นครพนม และกาฬสินธุ์
ที่ยกพลมาให้กำลังใจถึงทำเนียบรัฐบาลในช่วงมรสุมก่อตัวใกล้ถึงขีดสุด เมื่อนักข่าวถาม
ว่า “มัน” คือใคร พลเอกชวลิตผู้เปลี่ยนจาก จิ๋วดุดัน มาเป็นจิ๋วหวานเจี๊ยบ คนเดิม ตอบว่า
“(มันคือ)โปเตโต้ไงลูก”

แม้ พลเอกชวลิต จะสามารถผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันที่ ๒๔-๒๖ กันยายนมา
ได้ แต่ปัญหาของพลเอกชวลิตไม่ได้อยู่ที่เสียงข้างมากในสภา หากอยู่ที่พลังกดดันนอก
สภาที่เรียกร้องให้เก็บกระเป๋ากลับบ้าน การดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของพลเอกชวลิตคือ การ
ปรับคณะรัฐมนตรีครั้งที่ ๔ ในวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๐ ซึ่งมีคนนอกเข้าร่วมกว่า ๑๔ คน
เช่น นายโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ เป็นรมว.คลัง และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นรมว.
พาณิชย์ เพื่อกอบกู้ภาพลักษณ์ที่ย่ำแย่ของรัฐบาล แต่ถึงกระนั้น ครม.จิ๋ว ๔ ก็มีอายุ
เพียงแค่ ๑๔ วัน รวมอายุรัฐบาล ๑๑ เดือน

วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ พลเอกชวลิตก็ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง โดยกล่าวว่า
สมควรแก่เวลาที่จะเปิดโอกาสให้คนอื่นทำหน้าที่บ้าง

“สิ่งที่จะทำให้ผมยุบสภาหรือทำให้ผมลาออก ทำไม่ได้ เพราะถ้าผมทำ เท่ากับทำลาย
บ้านเมืองและพี่น้องคนไทยทั้งแผ่นดิน” (พลเอกชวลิต, ๑๐ กันยายน ๒๕๔๐)


กระแสข่าวแพร่สะพัดว่า พ่อใหญ่จะวางมือทางการเมืองเมื่อสิ้นอายุรัฐบาลนี้ แม้ท่านจะ
ต้องการวางมืออย่างสงบ แต่สังคมไทยคงมิอาจลืมท่านได้ โดยเฉพาะบทบาทของท่าน
ในฐานะนายกรัฐมนตรีในช่วงวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ ๒๕๔๐

ดังกล่าวข้างต้น เป็นครั้งหนึ่งในชีวิต หากแต่บทบาทครั้งต่อไปที่ท่านเลือกเดิน จะด้วย
เหตุผลใดก็ตาม สังคมไทยจะจำจำท่าน ผู้มากความสามารถ คนนี้อย่างไร ก็ต้องปล่อย
ให้กาลเวลาและผลงานเป็นเครื่องตัดสินกระมั่ง
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Thu Nov 05, 2009 3:09 pm

dahlia wrote:ดัน


พายุ wrote:จริงๆ ไม่ปักหมุดก็ไม่เป็นไรนะ คอย up เรื่อยๆ คนจะได้รู้ด้วยว่า
overtherainbow wrote:ก่อนนอนดันกันอีกรอบ
มีเรื่องราวใหม่ๆมาอัพเดทค่ะ


PettyCash wrote:ขยันจังเลยคุณbird
เรามัวแต่ไปสนเรื่องรถไฟกะบักห่าจิ๋วอยู่
เลยไม่ได้เข้ามาอัพเดท
Image


overtherainbow wrote:ก่อนนอนดันกันอีกรอบ


ขอบคุณที่ติดตามค่ะ :mrgreen:

ขอโทษที่หายไปน่ะค่ะ พอดีติดภารกิจค่ะ ตอนนี้เรียบร้อยแล้วค่ะ
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Thu Nov 05, 2009 3:12 pm

devotion wrote:“เค้าลางแห่งความเลวร้าย” ที่คุณ bird บอกเล่า ดิฉันอยากเรียกว่ามันคือ "คราบไคลแห่งความเลวร้าย" เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว และก็ติดอยู่กับประเทศชาติและสังคมไทยชนิดที่จะขัดออกด้วยวิธีทั่วไปเกือบเป็นไปไม่ได้

การที่เรามาถึงจุดที่เป็นปัญหาวิกฤติอยู่ทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากความดูดาย คิดไว้นานแล้ว พอดีเพิ่งพบบทความของ ดร.ไสว บุญมา เขียนไว้ตรงกับใจ ว่า "... ผมมองว่าปัญหาของสังคมไทยในขณะนี้มีที่มาหลังจากบาปสั่งสมที่สมาชิกของสังคมร่วมกันก่อ บ่อเกิดของบาปได้แก่การกระทำผิดกฎเกณฑ์ของสังคม จรรยาบรรณและศีลธรรม บวกกับความดูดาย บาปจากการกระทำผิดดังกล่าวนั้นคงเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปแล้ว ส่วนบาปจากความดูดายอาจยังไม่มีผู้เคยได้ยินมาก่อน ..."

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews ... 0000130702
ถึงเวลาล้างบาปของความดูดายด้วยวิธีขายตรง

แม้จะอ้างอิงทั้งบทความ แต่ที่สนใจจริงๆก็คือตรงที่เกี่ยวกับความดูดายค่ะ


pooyong wrote:เป็นความดูดายจริงๆ ที่ทำให้สงคมเราเป็นอย่างทุกวันนี้ โดยเฉพาะพวกที่บอกว่าเป็นกลางๆ
แต่ไม่ยอมทำอะไรเลย


overtherainbow wrote:นั่นซี
แถมด้วยไม่ใช่ธุระอีกต่างหาก


ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นค่ะ น้อมรับด้วยความขอบคุณ :mrgreen:

หากแต่วัตถุประสงค์ของการบอกเล่าในครั้งนี้ เบิร์ดต้องการเพียงแค่ บอกเล่าถึงสิ่งที่ผ่านมา
บอกเล่าถึงการกระทำ เพื่อกระตุ้นเตือนสติ ให้ฉุกคิดสักนิด..ก่อนที่จะเชื่อคำพูดที่ปราศจาก
ความจริงใจ ของกลุ่มคนบางกลุ่มเท่านั้นค่ะ
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm



Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby pooyong » Fri Nov 06, 2009 4:30 am

งั้นดันมาหน้า 1 :lol:
การรับใช้แผ่นดิน คือความเบิกบาน
User avatar
pooyong
 
Posts: 1496
Joined: Mon Oct 19, 2009 9:55 am


Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby dahlia » Fri Nov 06, 2009 1:09 pm

ดัน
ผมเป็นแฟนคลับ แคนไท , ริดกุน , nontee , eAT , Moon , tonythebest , -3- , amplepoor , เด็กปากดี
User avatar
dahlia
 
Posts: 1375
Joined: Mon Oct 12, 2009 2:35 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Fri Nov 06, 2009 2:28 pm

นอมินี ๒

ภายหลังคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ นอมินี ๑ เป็นอันต้องพ้นจากตำแหน่งโดยพลัน
เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๒ หากแต่ยังทิ้งข้อกังขาในกรณีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนของ
ซีเอ็นเอ็น ไว้ว่า มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ เพียงคนเดียว ซึ่งขัดต่อสิ่งที่
ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศรับรู้ว่า เหตุการณ์ในครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตมากมาย ภาพของ
เหตุการณ์ในครั้งนั้นถูกนำมาแพร่ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ท่านนอมินี ๑ ยังคงยืนยันว่ามีผู้เสีย
ชีวิตเพียง ๑ เท่านั้น

"ไม่ สำหรับผม ไม่มีการตาย คนนึงโชคดีแค่ถูกแทง ส่วนอีกคนถูกเผาที่สนามหลวง
มีแค่คนเดียวที่ตายในวันนั้น" (สมัคร, ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑)


ท่ามกลางความสับสน ความพร่ามัว ภายในพรรค และความสงสัยของสังคมว่า
กระบวนการสรรหานายกที่มา พปช มีความชอบธรรมใด ในการเสนอชื่อ นายสมชาย
คนเป็นนายกฯ แต่นายสมชาย ก็ได้รับเลือกเป็นนายกฯ ด้วยคะแนน ๒๙๘ ต่อ ๑๖๓
เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๑ บนพื้นฐานของการต่อรองผลประโยชน์ เพื่อโควตา
ตำแหน่งทางการเมืองที่จะสามารถเข้าถึงงบประมาณของพรรคร่วมหรือไม่ ยังคงเป็น
คำถามของสังคมบางส่วน

รธน มาตรา ๑๒๒ ความว่า

"สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย โดยไม่
อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติ มอบหมาย หรือ ความครอบงำใด ๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่
ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย โดยปราศจากการ
ขัดกันแห่งผลประโยชน์"


ยังตามมีด้วยข้อสงสัยที่ว่า นอมินี ๒ มีอำนาจในการจัดการรายชื่อ ครม ชุดนี้หรือไม่
บางก็ให้คำตอบว่า หลังบ้านซิมีอำนาจ บ้างก็บอกว่า จาตุรนต์ หรือไม่ก็ ยงยุทธ มั้ง
บางคำตอบที่ได้ เนวินไง หากจะลองพิจารณาถึงพฤติกรรมของบุคคลที่มีรายชื่อข้าง
ต้น ล้วนเป็นบุคคลซึ่งถูกคำพิพากษาเพิกถอนสิทธ์ทางการเมือง และ อยู่ระหว่างการ
ไต่สวนกรณี ร่ำรวยผิดปกติทั้งสิ้น เช่น

"การจะให้ประชาธิปัตย์เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาตินั้น นึกไม่ออกว่าจะเป็นรัฐบาล
แห่งชาติได้อย่างไร พรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่เอา เพราะเสียงไม่พอและไม่มีความเป็นชาติ
ดังนั้นแนวคิดนี้ก็เป็นไปไม่ได้ ไม่มีเหตุผลอธิบายได้เลย เวลานี้ต้องปล่อยไปตามครร
ลองประชาธิปไตยให้ ๖ พรรคร่วมเตรียมจัดตั้งรัฐบาล และต้องไม่มีวิธีนอกรัฐธรรมนูญ
หากยังจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ก็ปล่อยให้ประชาธิปัตย์จัดตั้งบ้าง แต่ต้องไม่มีรัฐบาลแห่งชาติ"
(จาตุรน, ๑๔ กันยายน ๒๕๕๑)


ทั้ง ๆ ที่กฎหมายห้ามไม่ให้ดำเนินกิจการใด ๆ ทางการเมือง แต่ยังสามารถแสดงความคิด
เห็นเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลได้ หรือพฤติกรรมเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นกิจการทางการเมือง
หรือจะเป็นพฤติกรรมของนายเนวิน ที่เข้าร่วมประชุมอย่างเปิดเผยกับ สส เพื่อนเนวิน
เพื่อกำหนดทิศทางของ ๗๓ ท่าน นี่ถือเป็นกิจกรรมทางการเมืองหรือไม่ คงต้องทิ้ง
ปัญหานี่ไว้ในขบคิดกันต่อไป หากพฤติกรรมดังกล่าวล้วนเป็นกิจกรรมทางการเมือง
นั้นเท่ากับว่า นายสมชาย ได้รับเลือกจากนักการเมืองที่ไม่เคารพกฎหมายใช่หรือไม่

"มือที่มองไม่เห็น" จากลอนดอนในขณะนั้นต่างหากที่มีอิทธิพลในการจัดการรายชื่อ
ครม นอมินี ๒ โดยเริ่มต้นจากการลงคะแนนโหวตหักหลังนอมินี ๑ จนกระทั้งการวาง
ตัว รมต ของ ครม สมชาย ๑ หากกลุ่มไหน กกไหน หรือใครมีปัญหา "คนที่คุณก็รู้ว่า
ใคร"
จะยกหูโทรศัพท์ถามหาสาเหตุรายตัว โฉมหน้า ครม ที่ออกมาหนักไปทางแบ่ง
เค็ก ไม่ว่าจะเป็น เด็กนายหญิง นายใหญ่ และพรรคร่วมในลักษณะตอบแทน บุญคุณ

ในอดีตท่านเคยดำรงแหน่งผู้พิพากษา ทุกคนจึงฝากความหวังว่าท่านอาจจะเป็นที่พึ่ง
ได้ในยามที่บ้านเมืองอยุ่ในช่วงวิกฤต แต่ภาพที่ปรากฎออกว่า ไม่ได้แตกต่างอะไรกับ
พนักงานส่งของ คนกลาง ทำหน้าที่ รับมา จ่ายไป ไม่มีอำนาจในการบริหารจัดการ
หรือจัดวางผู้ที่มีความรุ้ความสามารถ เพื่อทำหน้าที่บริหารบ้านเมืองในยามวิกฤติแต่
อย่างใด... รัฐบาลที่มวลชนเคยหวังให้เป็นที่พึ่ง ยังคงเป็นความฝันเท่านั้น

บางกลุ่มบางก้อนที่ต้องอกหัก ต่างก็แสดงอาการกระเหียนกระหือรือ โดยเลือกใช้วิธี
โวยวาย บ้างก็ยกหูสายตรงถึงลอนดอน บีบบังคับทวงบุญคุณ บางกลุ่มใช้วิธีเซ็งลี้
เก้าอื้ หากไม่ได้ราคาดั่งที่ตั้งใจไว้ ก็มอบหมายให้คนใกล้ชิดเข้ามานั่งแทน มองดูแล้ว
แสนรันทดใจ กับอาการ กับพฤติกรรมของท่านผู้ทรงเกียรตื แย่งเก้าอี้กันแบบไม่อาย
ฟ้าดิน ในขณะที่บางกลุ่มเร่มก่อหวอด เนื่องจากไม่พอใจที่ถูกเขี่ยตกเก้าอี้

สถานการณ์ในขณะนั้น บอกได้แต่เพียงว่า คงต้องนั่งลงนับเวลาถอยหลังสำหรับอายุ
ของรัดทะบานนอมินี ๒ ว่าจะทนแรงกดดัน และ ดันทุรังได้นานแค่ไหน ศึกในและศึก
นอกจากกลุ่มคนอกหัก สารพัดปัญหาที่เกิดขึ้น นอมินี ๒ จะฟันฝ่าไปได้ไกลเพียงไร

สิ่งที่เดียวที่คนไทยต้องทำให้ขณะนั้น คือ ทำใจ

แต่แล้ว เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น นับจากวันที่นอมินี ๒ ขึ้นดำรงตำแหน่งไม่ถึง
เดือน ภายหลังการขึ้นดำรงตำแหน่งได้ ๑๘ วัน เหตุการณ์บ้านเมืองมีแนวโน้มว่าจะ
ได้รับการคลีคลายไปในทางที่ดี ภาพการเจรจากันระหว่างนายทหารคนสนิทของ
พ่อใหญ่กับแกนนำคนสำคัญของกลุ่มผู้ชุมนุมในนาม พธม เพื่อวางแผนการเจรจา
อย่างเป็นทางการของทั้งสองฝ่าย ซึ่งทุกอย่างน่าจะจบลงด้วยดี หากแต่

๓ ตุลาคม ๒๕๕๑ ตำรวจเข้าจับกุมนายไชยวัฒน์ ๑ ใน ๙ แกนนำด้วยข้อหา กบฎ
๕ ตุลาคม ๒๕๕๑ เข้าจับกุมพลตรีจำลอง ที่หน่วยเลือกตั้งผู้ว่า กทม


๒ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาห่างกันเพียง ๒ วัน หากจะคาดเดาว่าเป็นแผนการหวังใช้
ตำรวจเป็นเครื่องมือ หักหน้าพ่อใหญ่ หรือหวังให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งทางการเมือง
จากมือที่มองไม่เห็นได้หรือไม่ คงต้องขบคิดกันต่อไป...

ประเด็นสำคัญคือ เหตุการณ์เข้าตรู่ของวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑ การเข้าสลายการชุมนุม
เพื่อเปิดทางให้คณะรัฐบาลนอมินี ๒ เข้าแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ที่มีการแพร่ภาพสด
ไปทั่วโลก เป็นภาพเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นระหว่างคนไทยด้วยกัน เพียงแค่ต้องการ
เข้าไปแถลงนโยบายเท่านั้น ต่อให้ต้องใช้ความรุนแรงแค่ไหน คุณก็ต้องเข้าไปแถลง
นโยบายให้ได้กระนั้นหรือ

ทำไม ไม่เลือกที่จะเลื่อนวัน เวลา หรือ เปลี่ยนแปลงสถานที่ ทำไมต้องเลือกใช้วิธีสลาย
การชุมนุมด้วยวิธีรุนแรง ยังอีกทั้งคำพูดของฝ่ายปฏิบัติการภาคสนามที่หลุดลอดออกมา
จากเครื่องบันทึกเสียงของสื่อมวลชนทั้งในและนอกประเทศ ยิ่งตอกย้ำความสะใจในการ
ปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ของพวกท่าน อย่างไม่ต้องอธิบาย

เรื่องเล่าของเหตุการณ์ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑ วันที่แสนอัปยศของ นอมินี ๒ จะขอยกไปใน
ครั้งต่อไป แต่จะขอสรุป จำนวนผุ้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากโรงพยาบาลต่าง ๆ จำนวน ๑๐
แห่ง ของเหตุการณ์ในครั้งนี้ไว้ เพื่อที่ว่าในอนาคตจะได้ไม่มีผู้ให้ข้อมูลบิดเบือนเหมือน
ข้อมูลเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ดังนี้

ผู้บาดเจ็บรวม ๔๔๓ คน
นอนรักษาตัว ๘๒ คน
เสียชีวิต ๒ คน


ด้วยความเคารพต่อทุกท่านที่ร่วมรับรู้เหตุการณ์ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่จริง หรือ รับชม
จากภาพข่าวในเช้าวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑....
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Fri Nov 06, 2009 2:40 pm

overtherainbow wrote:มันคือโปเตโต้ไงลูก


ถูกต้องคร้าบ มัน คือ โปเตโต้ :mrgreen:
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Fri Nov 06, 2009 2:42 pm

overtherainbow wrote:สี่ทุ่มครึ่งกระทู้หายไปหน้าสอง


pooyong wrote:งั้นดันมาหน้า 1 :lol:


dahlia wrote:ดัน


ขอบคุณคร้าบ ที่ช่วยกันดัน เกรงใจจังค่ะ :mrgreen:
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby jrr. » Fri Nov 06, 2009 3:13 pm

...........click.............
User avatar
jrr.
 
Posts: 887
Joined: Mon Oct 13, 2008 7:41 am

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby pooyong » Fri Nov 06, 2009 3:46 pm

15.09 น. วันที่ 6 พ.ย. 52 พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ เผยได้รับหนังสือจากคณะกรรมการกฤษฎีกา
ให้ดำเนินการถอดยศทักษิณ ชินวัตรแล้ว คาดจะส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีสัปดาห์หน้า
การรับใช้แผ่นดิน คือความเบิกบาน
User avatar
pooyong
 
Posts: 1496
Joined: Mon Oct 19, 2009 9:55 am

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Fri Nov 06, 2009 4:17 pm

pooyong wrote:15.09 น. วันที่ 6 พ.ย. 52 พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ เผยได้รับหนังสือจากคณะกรรมการกฤษฎีกา
ให้ดำเนินการถอดยศทักษิณ ชินวัตรแล้ว คาดจะส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีสัปดาห์หน้า


ขอบคุณค่ะ ที่ส่งข่าว เป็นเรื่องน่ายินดีที่ควรจะเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby pooyong » Fri Nov 06, 2009 7:17 pm

ช้า แต่ครั้งนี้ น่าจะชัวร์ :lol: :lol:
การรับใช้แผ่นดิน คือความเบิกบาน
User avatar
pooyong
 
Posts: 1496
Joined: Mon Oct 19, 2009 9:55 am

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Fri Nov 06, 2009 8:02 pm

pooyong wrote:ช้า แต่ครั้งนี้ น่าจะชัวร์ :lol: :lol:


ช้า แต่ ชัวร์ รอได้คร้าบรอได้ :mrgreen:
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm


Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby Theodore » Fri Nov 06, 2009 8:44 pm

Image
ท่านทักษิณจะต้องบอกว่ากระทู้ไม่สร้างสรรค์แน่เลย เหมือนตอนที่ ไม่เข้าสภา แต่ยุบสภาเพื่อพอกตัวเองใหม่ แหมจันไรได้โล่จริงๆเลย เผลอๆลื่นยิ่งกว่าไอ้เตี้ยหมาตื่นอีก
เจรจาคือทางออก
User avatar
Theodore
 
Posts: 355
Joined: Sun Mar 01, 2009 5:30 pm

PreviousNext

Return to ห้องสมุด



cron