อ่านบทวิเคราะห์ย้อนหลัง
1.บทวิเคราะห์คนเสื้อแดง(1)ที่มาและความนิยมเหลี่ยม
http://forum.serithai.net/viewtopic.php?f=2&t=149002.บทวิเคราะห์คนเสื้อแดง(2)ความเกลียชัง บ้าคลั่ง และรุนแรง
viewtopic.php?f=2&t=15066
3.บทวิเคราะห์คนเสื้อแดง(3)กลุ่มพลังที่เป็นแค่ถั่วงอกทางการเมือง
viewtopic.php?f=2&t=15105
4.บทวิเคราะห์พิเศษ/แผนฆ่ามวลชนตนเองรีเทิร์น
viewtopic.php?f=2&t=15170
5.วิเคราะห์คนเสื้อแดง(4)ไร้เดียงสา ล้าหลัง คลั่งทุน
viewtopic.php?f=2&t=15280
6.วิเคราะห์คนเสื้อแดง(5)ทำไมเกลียดเจ้า โค่นเจ้า ล้มเจ้า
viewtopic.php?f=2&t=15377
7.วิเคราะห์คนเสื้อแดง(6)จำนวน และสภาพจิตอันต่ำต้อย
viewtopic.php?f=2&t=15433เนื้อหาในชิ้นนี้บางส่วนจะขยายบางประเด็นที่เคยกล่าวถึงมาแล้ว สำหรับท่านที่ติดตามอ่านจึงอาจเห็นว่ามีการกล่าวซ้ำของเก่าอยู่บ้าง เสร็จจากชิ้นนี้ผมว่าจะวิเคราะห์เสื้อเหลือง ทั้งๆที่ยังมีบางประเด็นของเสื้อแดงที่ยังอยากกล่าวถึง เช่น เรื่องนโยบายต่างๆของระบอบทักษิณที่ทำลายชาติอย่างรุนแรง แต่คนทั่วไปมักมองไม่ออก เช่น นโยบายล้านบาท/หมู่บ้าน แต่...อาจค่อยหาจังหวะอธิบายก็ได้
มาดูกันดีกว่าว่าทำไมเ้สื้อแดงจึงอับจนทางปัญญาและความรู้
1.ความอับจนในความรู้นำเข้า หมายถึงทฤษฎีและองค์ความรู้ต่างๆที่นำมาใช้เป็นสิ่งชี้นำทางปัญญาในหมู่ของตน
เสื้อแดงไม่ได้ขาดแคลนปัญญาชน แต่โชคร้ายพวกเขาได้ปัญญาชนที่หยุดวิวัฒนการทางปัญญาไปนำขบวน ความรู้ที่เขามีใช้โดยทั่วไปจึงเป็นความรู้ที่หมดอายุใช้งานแล้ว คือไม่มีใครเขาใช้กันแล้วแต่ปัญญาชนเสื้อแดงกลับยังคิดว่าความรู้ของตัวเองอัพเดทอยู่ ที่สำคัญๆได้แก่
-ทฤษฎีมาร์กซ/เลนิน ซึ่งมีหัวใจสำคัญที่การอธิบายวิวัฒนาการทางสังคมตามแนวคิดวิภาษวิธี ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่าความรู้ทางสังคมทุกทฤษฎีจะพัฒนามาจากความรู้ทางวิทยาศาสตร์ แปลงความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์มาทำความเข้าใจสังคม สำหรับทฤษฎีมาร์กซนั้น พัฒนามาจากความรู้ทางวิทยาศาสตร์ยุคเครื่องจักรไอน้ำ และความเข้าใจทางฟิสิกส์แบบนิวตัน ซึ่งปัจจุบันถือว่าเป็นความรู้โบราณไปมากแล้ว ทฤษฎีทางสังคมที่งอกมาจากยุคนี้จึงโบราณไปด้วย ทุกวันนี้วิทยาศาสตร์พัฒนาไปไกล และทฤษฎีทางสังคมใหม่ๆก็พัฒนาตามทิ้งห่างทฤษฎีรุ่นทวดแบบมาร์กซไปนานแล้ว แต่คนเสื้อแดงก็ยังคงกางตำรามาร์กซ์วิเคราะห์สังคมอยู่นั่นเอง พวกเขาจึงไม่เคยวิเคราะห์อะไรถูก ไม่เคยเข้าใจสังคม เหตุเพราะใช้ความรู้ที่หมดอายุนั่นเอง
-ทฤษฎีประชาธิปไตย ตรงนี้ผมกล่าวไปพอสมควรแล้วในกระทู้อื่น ในที่นี้จึงขอกล่าวแบบเปรียบเทียบกับประชาธิปไตยแบบเสื้อเหลืองไปด้วย การเมืองในแนวคิดของเสื้อแดงนั้นเป็นการเมืองแบบเก่าคือเป็น "การเมืองของมวลชน" ขณะที่เสื้อเหลืองนั้นเป็น "การเมืองของสาธารณะ" ปัญหาของปัญญาชนแดงคือถูกสิงสู่ด้วยแนวคิดลัทธินิยมต่อสิ่งที่ตัวเองยึดถือ เช่น เมื่อมองประชาธิปไตยพวกนี้ก็จะมองแบบลัทธินิยม ประชาธิปไตยของเขาจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ และเป็นสิ่งสถิตไร้วิวัฒนาการณ์ เพราะเขาเชื่อว่ามันสมบูรณ์แล้ว
ต่างกับเสื้อเหลืองที่มองว่าประชาธิปไตยก็แค่ระบอบการปกครองแบบหนึ่ง และก่อนที่จะมีประชาธิปไตย สังคมหนึ่งๆก็มีระบอบการปกครองมาแล้วหลายแบบ ตามความเหมาะสมของลักษณะสังคมและยุคสมัย และประชาธิปไตยก็ย่อมไม่ใช่ระบอบการปกครองสุดท้ายของมนุษย์ และแม้แต่ในช่วงของประชาธิปไตยเองก็มีวิวัฒนาการของมัน ไม่ใช่พอหลุดออกมาจากท้องแม่ก็กลายเป็นตัวเต็มวัยที่ไม่ต้องมีพัฒนาการอะไรอีกแล้ว
ด้วยเหตุนี้แนวคิดเรื่องประชาธิปไตยของเสื้อแดงจึงล้าหลัง หรือเป็นแนวคิดที่หมดอายุแล้วเช่นกัน แต่พวกเขานำมาแห่แหนเชิดชูในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างน่าขบขัน
-ทฤษฎีชนชั้น อันนี้ก็สำคัญมาก และผมขอบอกว่าไม่ใช่แต่เสื้อแดงหรอกที่ยึดติดกับทฤษฎีนี้ เสื้อเหลืองก็อาการหนักในเรื่องนี้ไม่น้อย และทฤษฎีนี้ืถือเป็นทฤษฎีรากฐานที่ไม่ว่าค่ายคอมมิวนิสต์หรือค่ายประชาธิปไตยต่างก็ใช้เวลาจะวินิจฉัยประชาชนในสังคม โดยจะจำแนกประชาชนออกเป็นชั้นๆอย่างกับขนมชั้น
การมองประชาชนแบบชนชั้นนั้น ในปัจจุบันถือว่าเชยมากๆ ทฤษฎีนี้จึงเป็นอีกทฤษฎีหนึ่งที่หมดอายุใช้งาน ยังใช้ได้บ้างแต่ก็เฉพาะในกรณียกเว้น แต่ไม่ควรใช้บ่อยเป็นการทั่วไป เพราะเป็นการมองสังคมที่บิดเบนไปจากความจริง ผู้คนในสังคมทุกวันแยกตัวเป็นกลุ่มที่แตกต่างหลากหลาย ไม่ใช่แยกเป็นชั้นๆ การมองสังคมผ่านแว่นชนชั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการไม่เข้าใจสังคม
โดยสรุปก็คือเสื้อแดงเป็นโรคขาดแคลนความรู้นำเข้า คนเก่งๆของพวกเขาจึงเป็นแค่นักท่องจำตำราหมดอายุ จึงมีความหวังอยู่ว่าเขาจะสังเคราะห์ความรู้ขึ้นใช้เองได้ แต่.....................เฮ้อ..บทวิเคราะห์นี้ต้องยาวอีกตามเคย
2.ความอับจนที่สร้างความรู้ใช้เองก็ไม่ได้
ก่อนอื่นเรามาดูกระบวนการสร้างความรู้กันก่อน ว่าความรู้ทั้งหลายเขาสร้างกันอย่างไร มันมีสูตรอย่างนี้ คือ
Data-Information-Knowledge-Wisdom
Data คือ ข้อมูลดิบ เรื่องเรื่องราวปรากฎการณ์ต่างๆที่ยังไม่ได้กรั่นกรอง
Information คือ ชุดข้อมูล คือการนำ Data มากรั่นกรองข้อมูลระดับหนึ่ง จัดระเบียบข้อมูลเพื่อให้พอเข้าใจภาพรวม
knowledge คืิอ การนำ Information มาวิเคราะห์วิจัยจนเกิดเป็นความรู้ใหม่
Wisdom คือการนำ Knowledge ไปใช้ไปผ่านการปฏิบัติจนตกผลึกเป็นความเข้าใจอันลึกซึ้งเป็นปัญญาภายในตน
เท่าที่ผมประเมิน ผมพบว่ามวลชนพื้นฐานของเสื้อแดงนั้นมีความสามารถรับข้อมูลแค่ระดับ Data แถมเป็น Data แค่ส่วนแค่เสี้ยว แต่ดันคิดว่าตนมี Knowledge เลยพากันหลงผิดขนานใหญ่ จะหวังพึ่งแกนนำให้แก้โง่ก็ไม่ได้ เพราะแกนนำมัวงมโข่งอยู่กับ Knowledge ที่หมดอายุใช้งาน ดังกล่าวแล้ว
สำหรับเสื้อเหลืองนั้นผมพบว่ามวนชนพื้นฐานสามารถรับข้อมูลระดับ Information เป็นส่วนใหญ่ มีส่วนหนึ่งรับถึงระดับ Knowledge และบางส่วนก็รับได้แค่ Data เหมือนกัน ส่วนแกนนำนั้นจะอยู่ในระดับ Wisdom เป็นหลัก จึงมีจุดแข็งเชิงคุณภาพเป็นอย่างมาก
จากสภาพที่เป็นเช่นนี้เสื้อแดงจึงสร้างความรู้ขึ้นใช้เองไม่ได้ เพราะมัวเมาอยู่กับ Data ครึ่งเสี้ยวนั่นเอง
3.ความไร้ปัญญาเพราะไม่สามารถสนทนาแบบผู้มีอารยธรรม
หาความรู้ก็ไม่ได้ สร้างเองก็ไม่เป็น เหลือความหวังเดียวคือจะได้จากการสนทนากับผู้อื่น เสื้อแดงก็ทำไม่ได้ทำไม่เป็นอีก เพราะการสนทนาของเขาคือ ประชด-แดกดัน-ด่า-สำรากสารพัดสัตว์ ด้วยอาการคลุ้มคลั่ง-เกลียดชัง-รุนแรง การพูดคุยสำหรับเสื้อแดงคือถกเถียง ตอบโต้เอาชนะ พวกเขาไม่รู้จักการสนทนาแบบที่อารยชนเขาคุยกัน หรือที่เรียกว่า Dialogue คือการเกิดหัวใจสนทนาอย่างสุภาพนอบน้อม ยึดมั่นอยู่กับสัจธรรมและความเป็นจริง ปลดปล่อยตัวตนออกจากการครอบงำแบบลัทธินิยม
เสื้อแดงอยากเปลี่ยนสังคม อยากเปลี่ยนสถาบันกษัตริย์ ด้วยการบูชาความเท็จ และด่าพ่อล่อแม่ ด้วยสันดานแห่งอาการดังนี้พวกเขาจึงตกอยู่ในภพภูมิที่ไม่มีวันได้สนทนากับนักปราชย์ ได้แต่สนทนากันเอง พูดเอง ฟังเอง เออเองกันอยู่ในหลุม หมดทางรับปัญญาจากผู้อื่นไปอีกทางหนึ่ีง
นี่แหละจึงเป็นที่มาของความอับจนทางปัญญาและความรู้ของเสื้อแดง.........เอวัง