รัฐบาลจึงควรหาช่องทางที่เหมาะสม เพื่อสื่อกุศโลบายให้ประชาชนและประชาคมโลกทราบอย่างชัดเจนกรณี "เอกสารลับ" ดังนี้
1. ยอมรับว่าเอกสารลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 ที่รัฐมนตรีกษิตเสนอมาตรการทางเลือกต่างๆในการปรับความสัมพันธ์กับกัมพูชาเกิดความบกพร่องที่รั่วไหลออกมาสู่สาธารณะ
2. ยืนยันว่าทุกคำที่ระบุในเอกสารนั้น เป็นเรื่องปกติที่รัฐบาลต้องจัดทำเอกสารดังกล่าว เนื่องจากเป็นภารกิจที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงที่นายกรัฐมนตรีมีความจำเป็นต้องมีข้อมูลพร้อมข้อเสนอแนะเพื่อการตัดสินใจ
3. ชี้แจงว่า ในวันที่ (10 พฤศจิกายน 2552) มีเหตุที่ส่อว่ารัฐไทยเสี่ยงต่อการถูกคุกคามเมื่อทางกระทรวงได้รับรายงานว่า อดีตนายกฯทักษิณมีกำหนดมารับตำแหน่งที่ปรึกษาในกรุงพนมเปญ
และต่อมาก็มีการยืนยันว่าการวิเคราะห์สถานการณ์ในเอกสารฉบับนั้น สอดคล้องกับพฤติกรรมที่ไม่เป็นมิตรของผู้นำกัมพูชา:
“มหกรรมแสดงปาหี่การเมืองที่พวกทักษิณใช้กัมพูชาเป็นฐานปฏิบัติการป่วนประเทศไทย ตั้งแต่
พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทยของทักษิณพาคณะไปสวามิภักดิ์ต่อฮุนเซน (21 ต.ค.)
สมเด็จฯ ฮุนเซน แต่งตั้งทักษิณเป็นที่ปรึกษาฯ (4 พ.ย.)
ทักษิณขึ้นเครื่องบินส่วนตัวไปกรุงพนมเปญ (10 พ.ย.)
กัมพูชาจับตัวศิวรักษ์ ชุติพงษ์ (12 พ.ย.)
ศาลกรุงพนมเปญพิพากษาจำคุกและปรับศิวรักษ์ในข้อหาจารกรรมความลับของฮุนเซน (8 ธ.ค.)
และกษัตริย์กัมพูชาพระราชทานอภัยโทษแก่ศิวรักษ์ (11 ธ.ค.) จนกระทั่งถึง
การทำพิธีฉลองผลงานแสดงการฉ้อฉลตบตาให้ชาวโลกทราบเพื่อหาคะแนนนิยมจากคนไทย (14 ธ.ค.)
แต่ละขั้นตอนทำได้รวดเร็วแต่ไม่ค่อยแนบเนียนเท่าไร”
เขียน ธีระวิทย์ (ศูนย์โลกสัมพันธ์ไทย
http://www.thaiworld.org )
http://www.matichon.co.th/news_detail.p ... =&catid=02
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews ... 0000154327อ
และนี่คือจุดเริ่มต้นที่รัฐบาลต้องกล้าพูด เป็นการกำหนดกรอบที่จะนำไปสู่การเจรจาอีกหลายเวทีที่ไทยจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ ไม่ว่าจะเป็นทวิภาคี หรือยิ่งดีหากกัมพูชาจะเสนอขอยกระดับเป็นพหุภาคี เพราะต่างชาติที่คอยสดับตรับฟังอยู่ จะช่วยกดดันกัมพูชาให้ฟังไทยมากขึ้นจากที่เราได้ปูทางให้เห็นความจริงว่าอะไรเป็นอะไรมาก่อน
และนี่คือข้อดีที่ไทยจะต้องเริ่มต้นใช้การทูตเชิงรุก มิใช่ ใครอยากพูดอะไรก็ช่าง นะครับท่านนายกฯอภิสิทธิ์