* ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

เรื่องการเมือง เชิญที่นี่เลยครับ
Forum rules
- ห้ามใช้คำพูดหยาบคาย
- ห้ามโพสกระทู้หรือข้อความที่ดูหมิ่นเสียดสีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอันขาด

เชิญทุกท่านเข้าสู่บอร์ดใหม่ได้ที่ http://webboard.serithai.net ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ viewtopic.php?f=2&t=44976 ครับ

* ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Sun Feb 14, 2010 10:54 pm

* ขอตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา ...
เพื่อรวบรวมเรื่องเกี่ยวกับ คดียึดทรัพย์ ของ ทักษิณ ( ที่จะมีการตัดสินคดีในเร็ว ๆ นี้ )
จากการรวบรวมข้อมูลบทวิเคราะห์จากหนังสือพิมพ์ .. กรุงเทพธุรกิจ
ด้วยการใช้ชื่อว่า .. "ไตรภาคคดียึดทรัพย์"ทักษิณ" ภาค 1 ปฐมบท (1)
ซึ่งมีคุณ ณัฐพล หวังทรัพย์ ... เป็นผู้เขียน

ดิฉัน .. เข้าไปอ่านบทวิเคราะห์อันนี้ในกรุงเทพธุรกิจ คิดว่า " มีประโยชน์ " ในเรื่องของการรวบรวมข้อมูล
และช่วยย้อนความเป็นมาของคดีนี้ได้ดี ...( ซึ่งตอนนี้มี 4 บทแล้ว )

รวมถึง .. ได้มีโอกาสอ่านที่ น้องอ๊อฟ อโลห้า รวบรวมข้อมูลที่กี่ยวกับคดีนี้ไว้เช่นกัน
จึงคิดว่าถ้ามีการช่วยกันนำที่มา - ที่ไป .. ของคดีที่จะตัดสินในวันที่ 26 นี้มาเผยแพร่
มาทบทวนย้อนหลังและรวบรวมข้อมูลรายละเอียดไว้ ..
แล้วช่วยกันสื่อสารรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อต่อยอดในความเข้าใจน่าจะเป็นเรื่องที่ดี


ปล. กระทู้นี้ขอแปะบทวิเคราะห์อย่างเดียวค่ะ ...

............................................................

*** "ไตรภาคคดียึดทรัพย์"ทักษิณ" ภาค 1 ปฐมบท (1)

Image

กาญจนาภา หงส์เหิน กับรหัส "T. Shinnavat" กุญแจสู่คดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน

กาญจนาภา หงส์เหิน ถึงวันนี้ ชื่อคงเป็นที่รู้จักกันทั่ว เพราะความสำคัญไม่เฉพาะแค่เลขานุการส่วนตัว คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร เท่านั้น...แต่เธอคือ "กุญแจ" สำคัญในปฐมบท คดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำนวน 76,261.6 ล้านบาท

ที่น่าสนใจไปกว่านั้น เมื่อเธอ เป็นทั้ง "ผู้ปกป้องและพยานปากสำคัญ" เพราะต้องอย่าลืมว่า ในการพิจารณาคดีซุกหุ้นภาคแรก เมื่อปี 2544 นั้น พ.ต.ท.ทักษิณ รอดมาอย่างฉิวเฉียด ส่วนหนึ่งเพราะ กาญจนาภา หงส์เหิน นี้แหละ !

ในฐานะผู้ทำหน้าที่รวบรวมทรัพย์สินและหนี้สิน พร้อมทั้งให้การแสดงความเสียใจที่ไม่รอบคอบในส่วนหุ้นที่อยู่กับคนใช้ ในการยื่นทรัพย์สินของครอบครัวอดีตนายกรัฐมนตรี ต่อ ป.ป.ช. นำมาซึ่งประโยคอมตะ "บกพร่องโดยสุจริต" รอดพ้น ยืนหยัดดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมายาวนาน 6 ปีก่อนที่จะมีการรัฐประหาร 19 ก.ย.2549

ตรงกันข้าม คดีซุกหุ้น ภาคสอง 2 นางกาญจนาภา ถูกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เรียกสอบปากคำในคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท อีกทั้งยังถูกกล่าวหาเป็นจำเลยร่วมกับนายใหญ่และนายหญิงในคดีอาญาเลี่ยงภาษีอีกด้วย

นี่คือปฐมบท ของคดีประวัติศาสตร์ ที่มี กาญจนาภา หงส์เหิน เป็นกุญแจสำคัญ !

คำตัดสินคดียึดทรัพย์ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง วันที่ 26 ก.พ.นี้ ในคดีที่อัยการสูงสุด ยื่นคำร้องให้ทรัพย์สินจำนวน 76,261.6 ล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ตกเป็นของแผ่นดิน เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ และได้ทรัพย์สินมาเนื่องจากการกระทำที่เป็นการขัดกัน ระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล และประโยชน์ส่วนรวมขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คงเป็นบทพิสูจน์ความจริงหลายอย่างในช่วงที่ผ่านมา

หากมองย้อนกลับไปราวต้นปี 2549 พบว่าปฐมบทแห่งคดีมีจุดเริ่มต้นจากการที่คนในตระกูลชินวัตร ประกอบด้วย นายพานทองแท้ ชินวัตร นางสาวพินทองทา ชินวัตร นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รวมกัน 1,419,490,150 หุ้น หรือคิดเป็น 48% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ได้ขายหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมดให้กับกลุ่มเทมาเส็กของประเทศสิงคโปร์ ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท คิดเป็นเงินรวม 69,722.88 ล้านบาท เมื่อวันที่ 23 ม.ค.2549

การซื้อขายหุ้นชินคอร์ปของในตระกูลชินวัตรครั้งนั้น เกิดคำถามตามมาอย่างมากมาย ทั้งกรณีการขายหุ้นโดยไม่ต้องเสียภาษี การประกาศใช้บังคับพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2549 เพื่อขยายสัดส่วนการถือครองหุ้นในกิจการโทรคมนาคมของต่างประเทศจากเดิมไม่เกิน 25% เป็นไม่เกิน 50% ก่อนการขายหุ้นคอร์ปไม่กี่วัน รวมไปถึงการซื้อขาย และโอนหุ้นชินคอร์ปของคนในตระกูลชินวัตรในราคาต่ำกว่าตลาด เป็นต้น

กระทั่งวันที่ 19 ก.ย.2549 ภายหลังการรัฐประหาร โดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ซึ่งนำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น พร้อมด้วยผู้บัญชาการเหล่าทัพ เข้ายึดอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการ คตส.ขึ้นมา ตรวจสอบปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ที่หน่วยงานต่างๆ ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ใน 5-6 ปี ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ดำรงตำแหน่งนายกฯ

ปัญหาการหลีกเลี่ยงภาษีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปของคนในตระกูลชินวัตร กับกลุ่มเทมาเส็ก เป็นหนึ่งในประเด็นที่ คตส.หยิบยกขึ้นมาตรวจสอบ โดยพุ่งเป้าไปที่กรณีนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา บุตรชายและบุตรสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซื้อหุ้นชินคอร์ปจากบริษัท แอมเพิลริช อินเวสต์เมนท์ จำกัด คนละ 164.6 ล้านหุ้น รวม 329.2 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท ก่อนที่บุคคลทั้งสองจะนำขายหุ้นให้กลุ่มเทมาเส็กในราคา 49.25 บาทต่อหุ้น โดยที่นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ไม่มีการชำระภาษีจากกำไรที่ได้รับจากส่วนต่างการซื้อขายหุ้นกับบริษัทแอมเพิลริชแต่อย่างใด

ช่วงแรกของการตรวจสอบปัญหาการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป คตส.จะมุ่งไปที่ปัญหาการหลีกเลี่ยงภาษีเป็นหลัก มีนายวิโรจน์ เลาหะพันธุ์ อธิบดีกรมสรรพากร หนึ่งในกรรมการ คตส.รับหน้าที่เป็นประธานอนุกรรมการตรวจสอบ โดยเชิญบุคคลต่างๆ ในตระกูลชินวัตรและคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาชี้แจงในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการหลีกเลี่ยงภาษี

อย่างไรก็ตาม จุดพลิกผันของคดีก็เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 พ.ค.2550 อนุกรรมการได้เชิญนางกาญจนาภา หงส์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน มาให้ปากคำ เพื่อยืนยันในหลักหลักฐานเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับบริษัทแอมเพิลริช ที่นางกาญจนาภายื่นให้อนุกรรมการเมื่อวันที่ 6 ก.พ.2550

นางกาญจนาภา ยืนยันในบันทึกการให้ปากคำต่อ คตส.ว่า “พยานเอกสารที่ขอมาจากธนาคาร ยูบีเอส เอจี สิงคโปร์ ธนาคารที่รับดูแลหุ้นชินคอร์ปของแอมเพิลริช ทั้งหมดได้ส่งมอบให้กับ คตส. ทั้งหมดแล้วเมื่อวันที่ 6 ก.พ.2550 ดังนั้นผู้ที่มีอำนาจในบัญชีเลขที่ 119449 ตั้งแต่เริ่มเปิดบัญชี ถึงวันที่ 29 มิ.ย.2548 มีอยู่เพียงใบเดียว”

คำยืนยันของนางกาญจนาภา ในฐานะพยานเมื่อวันที่ 9 พ.ค.2550 กลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ คตส.มาใช้ในการตรวจสอบและกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ในคดีร่ำรวยผิดปกติ จนนำไปสู่การอายัดเงินจากการขายหุ้นชินคอร์ปรวมทั้งเงินปันผลทั้งหมดกว่า 7.6 หมื่นล้านบาท เนื่องจากก่อนหน้าที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในปี 2544 ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า ได้ขายหุ้นชินคอร์ปที่แอมเพิลริชถืออยู่ให้แก่นายพานทองแท้ทั้งหมดแล้ว

ขณะที่หลักฐานชิ้นสำคัญที่นางกาญจนาภามอบให้ คตส. จนนำมาสู่การอายัดทรัพย์และดำเนินคดีร่ำรวยผิดปกติกับ พ.ต.ท.ทักษิณ คือ หลักฐานของธนาคารยูบีเอส เมื่อปี 2542 ที่ระบุว่าผู้มีอำนาจลงนามแทนแอมเพิลริช ชื่อ “T. Shinnavat”

หลักฐานชิ้นนี้ทำให้ คตส.เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงถือครองหุ้นชินคอร์ป ระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2544 ถึงปี 2548 ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้อำนาจลงนามในบัญชีของแอมเพิลริช จาก “T. Shinnavat” เป็นชื่อของนายพานทองแท้ และการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่อ้างว่าได้มีการขายหุ้นแอมเพิลริชให้กับนายพานทองแท้ไปแล้วตั้งปี 2543 คตส.เชื่อว่า "ไม่เป็นความจริง"

ขณะผลการตรวจสอบของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก็ปรากฏข้อเท็จจริงแต่เพียงหนังสือของนายพานทองแท้ที่ยอมรับว่าได้รับซื้อและเข้าถือหุ้นแอมเพิลริชแทน พ.ต.ท.ทักษิณตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.2543 เท่านั้น ไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่สนับสนุนว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้โอนหุ้นให้กับนายพานทองแท้

(ฉบับพรุ่งนี้ มาพบเส้นทางเชื่อมโยงสองบริษัทอันลือลั่น "แอมเพิลริชกับวินมาร์ค")


http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 0208/99265
Last edited by see-u on Sun Feb 14, 2010 11:05 pm, edited 1 time in total.
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Sun Feb 14, 2010 10:55 pm

** "ไตรภาค คคียึดทรัพย์" ทักษิณ ภาค1 ปฐมบท (2)

Image

ไขปริศนาบัญชีลับ “800248002” จุดเปลี่ยน"คดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน"

กล่าวกันว่า กุญแจดอกสำคัญที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ใช้ไขปริศนา ตรวจสอบข้อมูลซุกหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) ในระหว่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คือ เอกสารจากธนาคารยูบีเอส เอจี สิงคโปร์ ที่ นางกาญจนาภา หงส์เหิน เลขานุการส่วนตัว คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร มอบให้แก่ คตส. เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการชี้แจงประเด็น คนในครอบครัวชินวัตรขายหุ้นชินคอร์ปให้แก่กลุ่มเทมาเส็กโดยไม่เสียภาษี

กว่าที่ นางกาญจนาภาและคนในครอบครัวชินวัตรจะรู้ตัวว่า ถูก คตส.ย้อนรอยตรวจสอบการซุกหุ้น ดูเหมือนจะสายเกินไป เพราะ คตส.ได้มีคำสั่งให้อายัดเงินที่ได้จากการขายหุ้นชินคอร์ปและดอกผลทั้งหมดกว่า 7.6 หมื่นล้านบาทเป็นที่เรียบร้อย ทำให้เธอถึงกับเอ่ยปากระหว่างการเข้าพบ คตส.เพื่อปฏิเสธการให้ปากคำว่า “ถูกหักหลัง”

ยิ่งไปกว่านั้นเอกสารชิ้นนี้ยังได้ขยายผลการตรวจสอบไปไกลถึงเกาะบริติชเวอร์จิน ถึงความสัมพันธ์ระหว่างแอมเพิลริช กับบริษัทวินมาร์ค ที่เข้ามาซื้อหุ้นกลุ่ม บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 6 บริษัท จากพ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน เมื่อปี 2543 มูลค่า 1,500 ล้านบาท

ความคลุมเครือระหว่างแอมเพิลริชและวินมาร์ค เริ่มปรากฏขึ้น เมื่อหุ้นชินคอร์ปที่ถือโดยแอมเพิลริช มาฝากรวมกันกับหุ้นชินคอร์ป ที่ถือโดยวินมาร์ค ในบัญชีเลขที่ 800248002 ธนาคารซิตี้แบงก์ สาขากรุงเทพ เมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2544 เป็นผลให้หุ้นบริษัท ชินคอร์ป ที่ฝากอยู่ในบัญชีดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วน 5.25% เกินกว่า 5% ของจำนวนหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้ว

ธนาคารยูบีเอสเอจี สิงคโปร์ ผู้ดูแลหุ้นชินคอร์ปในบัญชีแอมเพิลริช จึงยื่นรายงานตามแบบ 246-2 ลงวันที่ 24 ส.ค. 2554 ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่าเนื่องจาก แอมเพิลริช ได้รับโอนหุ้นชินคอร์ป จำนวน 10 ล้านหุ้น หรือ 3.42% เมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2544 มาไว้ในบัญชีเลขที่ 800248002 เมื่อนับรวมกับหุ้นชินคอร์ปของบุคคลคนเดียวกัน ที่อยู่ในบัญชีนี้อยู่ก่อนแล้วจำนวน 5,405,913 หุ้น รวมเป็น 15,405,913 หุ้น คิดเป็น 5.24% เกินกว่า 5% ของจำนวนหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้ว ธนาคารจึงต้องรายงานให้ ก.ล.ต. รับทราบ

ครั้งแรกไม่มีใครทราบว่าบัญชีเลขที่ 800248002 เป็นบัญชีของใคร กระทั่ง คตส.ได้ออกหมายเรียกข้อมูลผู้เปิดบัญชีจากธนาคารซิตี้แบงก์ สาขาประเทศไทย ทราบว่าบัญชีดังกล่าวเป็นของ "วินมาร์ค" และนำมาซึ่งการออกคำสั่งอายัดทรัพย์และแจ้งข้อหาซุกหุ้นแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ

หากดูจากคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชี้แจงต่อ คตส.จะพบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ปฏิเสธมาโดยตลอดว่า เขาไม่ใช่เจ้าของบริษัทวินมาร์ค และไม่ได้เป็นเจ้าของหุ้นชินคอร์ปที่ถือโดยวินมาร์ค

ยิ่งไปกว่านั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ยังระบุด้วยว่าหากวินมาร์คมีหุ้นชินคอร์ป อยู่จริงก็เป็นเรื่องของวินมาร์ค เพราะหุ้นชินคอร์ป เป็นหุ้นบริษัทมหาชนจำกัดที่ซื้อขายกันอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งก่อนที่จะขายหุ้นไปนั้น เขาและคุณหญิงพจมานถือหุ้นชินคอร์ปอยู่เพียง 48% ของหุ้นชินคอร์ป ทั้งหมด ดังนั้นจึงมีหุ้นอีกเกินกว่าครึ่งที่มีการซื้อขายกันอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยมีบุคคลอื่นเป็นเจ้าของหุ้น คตส.จะอ้างว่าเป็นหุ้นของเขาและคุณหญิงพจมานเพียงเพราะเหตุนี้มิได้

ส่วนเอกสารจากธนาคารยูบีเอสเอจีสิงคโปร์นั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ปฏิเสธที่จะชี้แจงในรายละเอียด พร้อมกับอ้างว่า คตส.ไม่ให้ตรวจสอบเอกสารชิ้นนี้ เช่นเดียวกับกรณีที่ยูบีเอส รายงานต่อ ก.ล.ต.ว่ารับดูแลหุ้นชินคอร์ปของบุคคลหนึ่งบุคคลใดเกินกว่า 5% เมื่อปี 2544 ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน คตส. โดยไม่มีฐานว่าหุ้นจำนวน 100 ล้านหุ้น และหุ้นจำนวน 54,059,130 หุ้น เป็นของใคร และบุคคลเดียวกันจะหมายถึงใคร

ความสัมพันธ์ระหว่างแอมเพิลริชกับวินมาร์ค มีความคลุมเครืออยู่นาน จนกระทั่งนางวรัชญา ศรีมาจันทร์ ผู้ช่วยเลขาธิการก.ล.ต.เข้าเบิกความต่อศาลฎีกาในคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2552 ถึงโครงสร้างความเป็นเจ้าของในวินมาร์ค เธอยืนยันต่อศาลว่า จากการตรวจสอบของ ก.ล.ต. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ด้วยการอาศัยข้อตกลงทางกฎหมายระหว่างประเทศ มีพยานหลักฐานบ่งชี้สอดคล้อง ว่า พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน เป็น "เจ้าของวินมาร์ค"

ยิ่งไปกว่านั้น จากการตรวจสอบกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ขายหุ้นกลุ่มบริษัทเอสซี แอสเสท 6 บริษัท ให้แก่วินมาร์คเมื่อปี 2543 พบหลักฐานการชำระเงินจำนวน 1,500 ล้านบาท เป็นการโอนเงินจากธนาคาร 3 แห่ง ในสิงคโปร์สิงคโปร์หลายบัญชี ปรากฏว่าเงิน 300 ล้านบาท มาจากบัญชีของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน และอีก 1,200 ล้านบาท มาจากบัญชีของวินมาร์คในสิงคโปร์

จากการตรวจสอบโครงสร้างการถือหุ้นใน วินมาร์ค พบว่าถือหุ้นโดย "บริษัท บลูไดมอนด์" 100% ขณะที่บริษัทบลูไดมอนด์ถือหุ้นโดย "ซิเนตรา ทรัสต์" 100% โดย "ซิเนตรา ทรัสต์" มีผู้รับประโยชน์ 5 คน คือ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานพร้อมลูกทั้ง 3 คน โดยกลุ่มแมธทีสัน ทรัสต์ (Matheson Trust) ในฮ่องกงเป็นผู้จัดการบริหารเรื่องนี้ทั้งหมด

สอดคล้องกับคำให้ปากคำของ นายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ยืนยันต่อศาลว่าเมื่อปี 2537 พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมานได้ให้แมธทีสัน ทรัสต์ เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท วินมาร์ค และ ซิเนตรา ทรัสต์ ขึ้นมา โดยมีบริษัทบลูไดมอนด์ ถือหุ้นวินมาร์คอีกชั้นหนึ่ง หลังจากดีเอสไอ และก.ล.ต.ได้เอกสารจากหน่วยงานด้านหลักทรัพย์ของฮ่องกง ประกอบด้วยหลักฐานการจัดตั้ง

จากการตรวจสอบพบว่า ทั้งพ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ตั้งเมธีสันทรัสต์ ขึ้นมาเพื่ออุปโลกน์การถือหุ้น มีบริษัทแมธทีสัน คอร์ปอเรท เซอร์วิส (เอ็มทีซีเอส) รับหน้าที่เป็นผู้ติดต่อธนาคารพาณิชย์ แต่บริษัทที่ตั้งขึ้นไม่มีอำนาจในการจัดการ เป็นแค่ "นอมินี" เพราะคนมีอำนาจจริงๆ คือ "พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน"

แทบไม่น่าเชื่อว่า กระดาษเพียงแผ่นเดียวจะสร้างวิบากกรรมให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ และคนในครอบครัวชินวัตร มากมาย จนต้องถูกกล่าวโทษดำเนินคดีฟ้องร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้ยึดทรัพย์จำนวน 76,261.6 ล้านบาท

(พรุ่งนี้ กับคำชี้แจงของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคนในตระกูล "ชินวัตร" กับกรณี วินมาร์ค)


http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 0209/99486
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Sun Feb 14, 2010 10:59 pm

ไตรภาคคดียึดทรัพย์ทักษิณ (3): "พจมาน" ชี้ 693 ล้านหุ้นมีก่อน"ทักษิณ"ดำรงตำแหน่ง

Image

คำแถลงปิดคดีของคุณหญิงพจมาน มีความยาว 25 หน้า สรุปประเด็นได้ดังนี้

1. ผู้คัดค้านที่ 1 (คุณหญิงพจมาน) ได้นำพยานเข้าไต่สวน คือ นายพานทองแท้ ชินวัตร นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ นางกาญจนาภา หงษ์เหิน ยืนยันชัดเจนว่าหุ้นบริษัทของผู้คัดค้านที่ 1 ได้มาโดยสุจริตและมีอยู่ก่อนตั้งแต่ปี 2526 และมีจำนวนเพิ่มขึ้นโดยการซื้อจากการเพิ่มทุนของบริษัทชินคอร์ปทุกครั้ง จนกระทั่งเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2543 ผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งถือหุ้นบริษัทชินคอร์ป อยู่จำนวน 69,300,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 10 บาท จึงได้โอนให้นายพานทองแท้ และนายบรรณพจน์ โดยได้จัดทำการโอนขายตามที่กฎหมายกำหนด

ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ได้โอนขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป จึงขาดจากการเป็นผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 1 กันยายน 2543 จึงไม่มีพฤติการณ์คงไว้ซึ่งหุ้นบริษัท

ชินคอร์ปตามที่ถูกกล่าวหา

2. ประเด็นข้อกล่าวหาว่าการโอนหุ้นบริษัทชินคอร์ป ระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 กับนายพานทองแท้และนายบรรณพจน์ ไม่ได้เป็นการโอนหุ้นโดยมีเจตนาการซื้อขาย กันจริง

จากการไต่สวนของศาลฎีกาฯ ทั้งพยานเอกสารและพยานบุคคล ยืนยันชัดเจนว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ได้โอนขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปให้นายพานทองแท้และนาย

บรรณพจน์ไปทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2543 หากจะวินิจฉัยไม่เชื่อว่าการโอนขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปดังกล่าวกันจริง ย่อมเป็นการวินิจฉัยที่เป็นการคาดเดาหรือบิดเบือนข้อเท็จจริงขัดแย้งต่อข้อมูลเอกสารมหาชนและพยานบุคคล รวมถึงข้อกฎหมายอย่างชัดเจน

3. ในประเด็นกล่าวหาที่ว่าผู้คัดค้านที่ 1 ได้รับการชำระเงินจากนายพานทองแท้ เกินกว่ามูลหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่นายพานทองแท้ ได้ชำระค่าหุ้นให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 และนายพานทองแท้ ได้คืนเงินปันผลที่นายพานทองแท้ได้รับจากบริษัทชินคอร์ป

นายพานทองแท้เป็นหนี้ผู้คัดค้านที่ 1 มีจำนวน 5,056,348,840 บาท ซึ่งเป็นหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน จำนวน 4 ฉบับ ตามหลักฐาน แต่คตส.สรุปว่าเป็นการส่งคืนเงินปันผลให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 กรณีนี้จึงเห็นได้ชัดว่าสำนวนการไต่สวนของคตส.ขัดกับข้อเท็จจริง การสรุปของคตส.จึงเป็นการคาดเดา

4. ในประเด็นที่ผู้ร้องกล่าวหาว่าราคาหุ้นที่ผู้คัดค้านที่ 1 ขายให้แก่นายพานทองแท้และนายบรรณพจน์ ต่ำกว่าราคาที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ถึงราคาหุ้นละ 15 เท่านั้น

ผู้คัดค้านที่ 1 ขอชี้แจงว่า การขายหุ้นระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 กับนายพานทองแท้ เป็นการซื้อขายกันในฐานะทายาท ซึ่งเป็นบุตรคนโตที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ให้สืบทอดธุรกิจที่ได้สร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของครอบครัว เพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาเข้าทำงานการเมืองอย่างเต็มที่ จึงได้ขายหุ้นให้นายพานทองแท้ในราคาทุน และสอนให้ลูกรู้คุณค่าของทรัพย์สินว่าการทำธุรกิจไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ โดยการซื้อขายระหว่างแม่กับลูก ไม่ได้พิจารณาว่าหุ้นจะมีราคาสูงหรือต่ำกว่าราคาตลาด

โดยการซื้อขายระหว่างแม่กับลูก ที่ได้ตกลงซื้อขายในราคาทุนหรือราคาพาร์ของหุ้นแต่ละตัวโดยไม่ได้พิจารณาว่าหุ้นแต่ละตัวจะมีราคาสูงหรือต่ำกว่าราคาตลาดและโดยสรุปนายพานทองแท้จะได้กำไรจากการซื้อขายหุ้นก็เป็นเรื่องปกติของความเป็นแม่กับลูก ที่บุคคลในสังคมไทยมีความเอื้ออาทรมากกว่าบุคคลทั่วไป

5. ประเด็นที่กล่าวหาว่าผู้มีชื่อทั้งปวงยกเว้นนายบรรณพจน์ ไม่เคยรู้เห็นร่วมประชุมเจรจาขายหุ้นให้กลุ่มกองทุนเทมาเส็ก

ในชั้นไต่สวนของศาลฎีกาฯ ผู้คัดค้านที่ 1 ได้นำพยาน เข้าเบิกความยืนยันอย่างชัดเจนว่า การประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ป นายพานทองแท้ น.ส.ยิ่งลักษณ์

ชินวัตร น.ส.พินทองทา ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นชินคอร์ปรับรู้และมอบหมายให้ผู้รับมอบเข้าร่วมประชุมแทนทุกครั้ง และเป็นแนวทางปฏิบัติมาตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหา ถือหุ้นชินคอร์ป มาตั้งแต่ปี 2526-2543 เพราะบริษัทชินคอร์ป มีผู้บริหารมืออาชีพและผู้ชำนาญการพิเศษบริหารอยู่แล้ว

6. ประเด็นกล่าวหาที่ว่าหุ้นในชื่อ น.ส. พินทองทา ซื้อจากนายพานทองแท้ กลับนำเช็คของผู้คัดค้านที่ 1 ไปชำระให้นายพานทองแท้ และโอนเงินดังกล่าวกลับเข้าบัญชีของผู้คัดค้านที่ 1

ยืนยันว่า เงินที่ น.ส.พินทองทา นำไปซื้อหุ้น เป็นเงินที่ผู้คัดค้านที่ 1 ให้ น.ส.พินทองทา เนื่องในวันเกิดเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2545 จำนวน 370,000,000 ล้านบาท ซึ่ง น.ส.พินทองทา เบิกความต่อศาลยืนยันว่าประสงค์ที่จะนำเงินที่ได้ไปลงทุนใน บริษัทชินคอร์ป นายพานทองแท้ จึงตกลงแบ่งขายหุ้นชินคอร์ป จำนวน 367,000,000 หุ้น คิดเป็นเงิน 367,000,000 บาท เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2545 และได้จดแจ้งการโอนหุ้นต่อบริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด และได้แจ้งการได้มาซึ่งหุ้น และการจำหน่ายไปต่อสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) ตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว

กรณีจึงรับฟังได้อย่างชัดเจนว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นของ น.ส.พินทองทา และนายพานทองแท้ นำไปชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินกับผู้คัดค้านที่ 1 มิใช่เป็นการคืนเงินให้ผู้คัดค้านที่ 1 โดยไม่มีมูลหนี้ตามข้อกล่าวหาแต่อย่างใด และหากจะถือหุ้นแทนบิดามารดาจริง นายพานทองแท้ ถือเพียงคนเดียวก็ได้ไม่ต้องยุ่งยาก

7. ประเด็นข้อกล่าวหาที่ว่าเงินปันผลที่ น.ส.พินทองทา ได้รับจาก บริษัทชินคอร์ป แล้วส่งให้ผู้คัดค้านที่ 1 จำนวน 485,829,800 โดยทำเป็นจ่ายค่าซื้อหุ้น บริษัท อสังหาริมทรัพย์ 5 บริษัท จาก บริษัท วินมาร์ค จำกัด โดยใช้ชื่อ น.ส.พินทองทา เป็นผู้ถือหุ้นแทนผู้คัดค้านที่ 1 นั้น มีพยานเอกสารของนายมาห์มูด โมฮัมหมัด อัล อันซารี ซึ่งเป็นคำชี้แจงโดยรับรองจากศาลดูไบ ยืนยันว่า นายมาห์มูด เป็นเจ้าของบริษัท วินมาร์คที่แท้จริงเพียงผู้เดียว และได้ซื้อหุ้นกลุ่มบริษัทของครอบครัวชินวัตรที่ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จาก พ.ต.ท. ทักษิณ ในปี 2543 และได้รับการโอนหุ้นมาจากธนาคาร UBS AG สาขาสิงคโปร์ในปี 2544 บริษัทวินมาร์คจึงไม่ได้เป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกร้องและผู้คัดค้านที่ 1 และ น.ส.พินทองทา ไม่เคยส่งเงินปันผลคืนให้กับผู้คัดค้านที่ 1 โดย น.ส.พินทองทา เบิกความว่า นำไปฝากในบัญชีและนำไปใช้สอย

8. ประเด็นที่ว่าผู้มีชื่อทั้งปวงไม่ได้รับเช็คค่าเงินปันผลหุ้นชินคอร์ปด้วยตัวเอง แต่กลับนำเข้าบัญชีผู้คัดค้านที่ 1 มาโดยตลอด นั้น บุตรชาย บุตรสาว น้องสะใภ้ และพี่ชายบุญธรรม ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หุ้น ได้เบิกความประกอบเอกสารยืนยันว่าเป็นผู้รับเงินปันผลทุกครั้ง ไม่เคยส่งคืนแก่ผู้คัดค้านที่ 1 ข้อกล่าวหาของผู้ร้องจึงคลาดเคลื่อน เนื่องจากเป็นการคาดเดาลอยๆ

9. ประเด็นที่ว่าพฤติการณ์ถือหุ้นชินคอร์ป โดยใช้ชื่อนายบรรณพจน์ จำนวน 38,090,050 หุ้น ถือแทน ได้จากการใช้สิทธิเพิ่มทุนเมื่อปี 2542 โดยใช้เงินผู้คัดค้านที่ 1 ชำระค่าหุ้นโดยนายบรรณพจน์ ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แต่ไม่เคยมีการชำระเงิน นั้น นายบรรณพจน์ ให้การว่า นายบรรณพจน์ได้ใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนเอง แต่ไม่มีเงินเพียงพอจึงได้ขอยืมเงินจากผู้คัดค้านที่ 1 และได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน ฉบับลงวันที่ 16 มีนาคม 2542 จำนวน 102,135,225 บาท ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ตั๋วสัญญาใช้เงินที่นายบรรณพจน์ ออกเพื่อชำระหนี้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 จากหนี้รวม 450,385,225 บาท

10. ประเด็นที่กล่าวหาว่าหุ้นในชื่อนายบรรณพจน์ ได้รับเงินปันผล 1,746,831258 บาท และส่งคืนผู้คัดค้านที่ 1 จนครบ 450,385,225 บาท เก็บเงินปันผลที่เหลือ 1,296,446,033 บาท ไว้ในบัญชีนายบรรณพจน์ตลอดมานั้น ขอชี้แจงว่า หุ้นชินคอร์ป เป็นของนายบรรณพจน์ ผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ได้เป็นเจ้าของหรือให้ถือแทน ส่วนเงิน 450,385,225 บาท นั้น นายบรรณพจน์ชำระตามตั๋วสัญญาใช้เงินและหนี้ค่าซื้อหุ้น ซึ่งเป็นการชำระหนี้ที่มีอยู่จริง

11. ประเด็นที่กล่าวหาว่า ในวันที่ 23 มกราคม 2549 ผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 ได้รวมหุ้นทั้งหมดขายให้เทมาเส็กในนามของนายบรรณพจน์ได้เงิน 17,709,802,575 แล้วนำเงินปันผลที่เหลือทั้งหมดกับเงินค่าหุ้นมาฝากไว้ในบัญชีนายบรรณพจน์ ก่อนทยอยโอนไปยังผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1นั้น เป็นข้อกล่าวหาที่ปราศจากความเป็นจริง ไม่อาจรับฟังได้

12. ประเด็นกล่าวหาของนายแก้วสรรที่ว่าเดิม คตส.ไม่คิดเรื่องยึดทรัพย์ แต่เมื่อตรวจสอบเรื่องหุ้นชินคอร์ป ได้พยานหลักฐานจากนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เป็นเอกสารใบรับฝากหุ้นชินคอร์ปของแอมเพิลริช เอาไปให้ธนาคารยูเอสบี ดูแลออกใบรับฝากหุ้น ปรากฏว่าผู้มีอำนาจลงนามคือ ที-ชินวัตร นั้น คำให้การของนายแก้วสรร แสดงให้เห็นทัศนคติความเป็นปฏิปักษ์คตส.ที่ไม่ใช้หลักยุติธรรมแต่ใช้การคาดเดา เพราะเอกสารดังกล่าวนางกาญจนาภา เจตนาส่งให้คตส.เพื่อชี้ให้เห็นว่า บริษัท

แอมเพิลริช ที่ผู้ถูกกล่าวหาตั้งขึ้นและมีอำนาจลงนามต่อธนาคารยูบีเอส ในปี 2542 ซึ่งปรากฏจากการไต่สวนของศาลฎีกาแล้วว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้โอนขายหุ้นแอมเพิล

ริชให้แก่บุตรชาย 1 หุ้น ราคา 1 เหรียญ ซึ่งเป็นหุ้นทั้งหมดในวันที่ 1 ธันวาคม 2543 ผู้ถูกกล่าวหาจึงไม่มีสิทธิในบริษัทแอมเพิลริช เป็นการใช้ทฤษฎีวัวของนายแก้วสรรที่ก่อตั้งขึ้นมาเอง

13. ประเด็นเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ 1 ท้ายคำร้องเป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติหรือร่ำรวยผิดปกตินั้น ผู้คัดค้านที่ 1 ขอเรียนว่า เป็นทรัพย์สินที่ผู้ถูกกล่าวหาได้ยื่นไว้ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเมื่อปี 2544-2550 ในฐานะคู่สมรสของผู้ถูกกล่าวหา ที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นหรือลดลงผิดปกติ และเป็นทรัพย์สินที่มีอยู่ก่อนที่

ผู้ถูกกล่าวหาจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สมควรสืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจหน้าที่

14. ประเด็นกล่าวหาว่าแม้ผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ใช้เจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่ถือว่าการกระทำของคู่สมรสเป็นการกระทำของผู้ถูกกล่าวหา และผู้คัดค้านที่ 1 ได้รู้เห็นโดยตลอดจึงเป็นทรัพย์เกี่ยวข้อง ขอให้ยึดเงินจากการขายหุ้นจำนวน 70,864,879,416 บาท และเงินปันผลจำนวน 7,011,716,983 บาท นั้น ผู้คัดค้านที่ 1 กราบเรียนว่า หุ้น

ชินคอร์ปนั้น ผู้คัดค้านที่ 1 ได้มาและถือครองมาตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท จนถึงวันที่ 1 กันยายน 2543 จึงได้โอนขายให้แก่นายพานทองแท้และนายบรรณพจน์ จำนวน 69,300,000 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 10 บาทไม่เกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของผู้ถูกกล่าวหา อีกทั้งผู้คัดค้านที่ 1 ได้ให้การไว้อย่างชัดเจนว่า ไม่เคยเห็นด้วยกับการเข้าดำรงตำแหน่งทางการเมืองของผู้ถูกกล่าวหา

การที่ผู้ร้องขอให้ยึดเงินจากการขายหุ้นให้แก่กลุ่มเทมาเส็ก จึงเป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประกอบกับหุ้นดังกล่าวไม่ใช่หุ้นของผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 กรณีนี้จึงไม่สามารถยึดเงินดังกล่าวให้ตกเป็นของแผ่นดินได้ตามกฎหมาย จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้ยกคำร้องและมีคำสั่งให้เพิกถอนการอายัดเงินและทรัพย์สิน

ทั้งหมดของผู้คัดค้านที่ 1 ต่อไป


http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 0210/99737
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Sun Feb 14, 2010 11:02 pm

ไตรภาคคดียึดทรัพย์ทักษิณ ภาค 1 (4) :"ทักษิณ"โต้ข้อกล่าวหาคตส. วินมาร์ค "ไม่เคยรู้จัก"

Image

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร
อดีตภรรยา ต่างออกมายืนยันอย่างต่อเนื่องว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ "วินมาร์ค"


หรือแม้กระทั่ง "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ได้ออกมาชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์ หลายครั้งโดยเฉพาะในวันที่ 22 มี.ค.2549 ว่า "Win Mark เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยการซื้อขายหุ้นและมีการชำระเงินถูกต้องครบถ้วน ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับครอบครัวชินวัตร"

ขณะเดียวกันในการแถลงปิดคดี ของทั้งสองคน ก็ไม่ยอมรับว่า "บริษัทวินมาร์ค" เกี่ยวข้องกับคนในตระกูล "ชินวัตร"..เพราะต้องอย่าลืมว่า กุญแจสำคัญปมยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท นั้นการพิสูจน์ความจริงปม "วินมาร์ค" จะนำไปสู่คำตอบอีกหลายรายการ จึงไม่แปลกที่คนในตระกูลชินวัตร จะเดินหน้า "ปฏิเสธ" แม้คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และอัยการ จะยืนยันต่อศาลว่า "เกี่ยวข้องอย่างเหนียวแน่น"

พ.ต.ท.ทักษิณ นอกจากจะปฏิเสธ ด้วยวาจา ผ่านสื่อมาตั้งแต่เริ่มเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อ 2544 "ว่าไม่เกี่ยวข้อง" ยิ่งในช่วงที่ คตส.กล่าวหา ยังได้ทำเป็นลายลักษณ์อักษร ให้ ทีมทนายนำโดย "ฉัตรทิพย์ ตัณฑประศาสน์ และพลพีร์ ตุลยสุวรรณ" ผู้รับมอบอำนาจได้ยื่นหนังสือชี้แจงข้อกล่าวต่อ คตส. เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2551

จากกรณี คตส. กล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ “ร่ำรวยผิดปกติ ได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควรสืบเนื่องจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่” โดยเฉพาะในประเด็นที่ โยงใยกับ "บริษัทวินมาร์ค" ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท

ข้อกล่าวหา:คตส. “ท่านและคู่สมรส คือคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ยังได้เป็นเจ้าของบริษัทวินมาร์ค ซึ่งเป็นบริษัทตามกฎหมายเกาะบริติช เวอร์จิ้น อีกบริษัทหนึ่ง และได้ใช้ชื่อบริษัทนี้ถือหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ปไว้ ปรากฏยอดทางบัญชีในเดือนมีนาคม 2544 ถึงเดือนมกราคม 2549 เป็นจำนวน 54,059,130 หุ้น ซึ่งตามหลักฐานในเอกสารเปิดบัญชีรับดูแลทรัพย์สินที่ธนาคารยูบีเอส เอจี สิงคโปร์ ได้ให้ไว้แก่วินมาร์ค ระบุว่าท่านและคู่สมรสเป็นผู้มีอำนาจเบิกถอนทรัพย์สิน”

พ.ต.ท.ทักษิณ แก้ข้อกล่าวหา: ข้าพเจ้าและคู่สมรส (คุณหญิงพจมาน) ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นหรือกรรมการวินมาร์ค และข้าพเจ้ามิได้เป็นเจ้าของหุ้นชินคอร์ป นอกเหนือไปจากที่ข้าพเจ้าโอนให้แก่บริษัทแอมเพิลริช อินเวสต์เมนท์ และญาติคนอื่น หากวินมาร์คมีหุ้นชินคอร์ป อยู่จริง ก็เป็นเรื่องของวินมาร์ค เพราะหุ้นชินคอร์ป เป็นหุ้นบริษัทมหาชนจำกัดที่ซื้อขายกันอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งก่อนที่จะขายหุ้นไปนั้นข้าพเจ้าและคู่สมรสก็ถือหุ้นอยู่เพียง 48% ของหุ้นชินคอร์ป ทั้งหมด

ดังนั้นจึงมีหุ้นอีกเกินกว่าครึ่งที่มีการซื้อขายกันอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยมีบุคคลอื่นเป็นเจ้าของหุ้น คณะอนุกรรมการไต่สวนจะอ้างว่าเป็นหุ้นของข้าพเจ้าและคู่สมรส เพียงเพราะเหตุนี้มิได้

ส่วนที่อนุกรรมการไต่สวนกล่าวอ้างว่า เอกสารเปิดบัญชีรับดูแลทรัพย์สินที่ยูบีเอสฯ ได้ให้ไว้แก่วินมาร์ค ระบุว่าข้าพเจ้าและคู่สมรสเป็นผู้มีอำนาจเบิกถอนทรัพย์สินนั้น เอกสารดังกล่าวอนุกรรมการไต่สวนไม่ได้แสดงหลักฐานและเอกสารมาพร้อมกับข้อกล่าวหาให้ข้าพเจ้าตรวจสอบก่อน จึงไม่อาจชี้แจงในชั้นนี้ได้ ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่ามีเอกสารดังกล่าวอยู่จริง การกล่าวหาของอนุกรรมการไต่สวนในเรื่องนี้โดยไม่แสดงหลักฐานและเอกสารมาพร้อมข้อกล่าวหาด้วย อีกทั้งไม่ยินยอมให้ข้าพเจ้าได้ตรวจสอบว่าเป็นเอกสารใด มีรายละเอียดที่มาที่ไปอย่างไร มีความถูกต้องแท้จริงหรือไม่ จึงเป็นการกล่าวหาอย่างเลื่อนลอย ไม่น่าเชื่อถือ และทำให้ข้าพเจ้าไม่สามารถชี้แจงได้มากไปกว่านี้

ข้อกล่าวหา คตส. : หลักฐานสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้เชื่อว่าท่านและภริยายังคงไว้ซึ่งหุ้นบริษัทชินคอร์ป ผ่าน แอมเพิลริช และวินมาร์ค คือพฤติการณ์จัดการดูแลหุ้นชินคอร์ป ที่เกิดขึ้นในบัญชี ยูบีเอส ในช่วงปี 2544 ที่ได้เริ่มมีการย้ายหุ้นชินคอร์ป ของวินมาร์ค จำนวน 54,059,130 หุ้น ซึ่งเปิดบัญชีฝากไว้ในนาม ยูบีเอส บัญชีเลขที่ 800248002 ที่ธนาคารซิตี้แบงก์ กรุงเทพ ซึ่งเป็น custodian ก่อน จากนั้นจึงได้มีการย้ายหุ้นหุ้นชินคอร์ป 100 ล้านหุ้น ของแอมเพิลริช ไปฝากไว้กับ ยูบีเอส ในบัญชีเดียวกันกับบัญชีหุ้นชินคอร์ป ของวินมาร์ค บัญชีเลขที่ 800248002 เมื่อเดือนสิงหาคม 2544

ปรากฏว่าเมื่อได้โอนหุ้นชินคอร์ป ของแอมเพิลริชแล้ว ยูบีเอสก็ได้มีหนังสือรายงานต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่าธุรกรรมดังกล่าวได้ยังผลให้ธนาคารต้องรับดูแลจัดการหุ้นชินคอร์ป ขอบุคคลหนึ่งเพิ่มขึ้นเกินระดับ 5% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ตามหลักเกณฑ์ของ ก.ล.ต. จึงขอรายงานให้ ก.ล.ต.ได้ทราบ ซึ่งหมายความว่าตามรายงานของยูบีเอสนั้น ยูบีเอส ได้พบว่าทั้งวินมาร์คและแอมเพิลริช เป็นของบุคคลเดียวกัน ดังนั้นเมื่อหุ้นชินคอร์ป ของทั้งสองบริษัทมาอยู่ในการจัดการดูแลของยูบีเอส ยูบีเอส จึงต้องนำหุ้นทั้งสองมารวมเข้าด้วยกัน จากเดิมที่มีอยู่ 54,059,130 หุ้น รับเพิ่มอีก 100 ล้านหุ้น เป็น 154,049,130 หุ้น คิดเป็น 5.24% ของยอดหุ้นชินคอร์ปทั้งหมด ซึ่งเมื่อเพิ่มจนเกินระดับ 5% เช่นนี้แล้วยูบีเอส จึงมีหน้าที่ต้องรายงานต่อ ก.ล.ต.ไทย ตามกฎหมาย

พ.ต.ท.ทักษิณ แก้ข้อกล่าวหา :ขอชี้แจงว่า เรื่องบริษัทผู้รับฝากทรัพย์สิน (custodian) เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของคณะอนุกรรมการไต่สวน โดยไม่มีพยานหลักบานว่า หุ้นจำนวน 100 ล้านหุ้น และหุ้นจำนวน 54,059,130 หุ้น เป็นขอใคร และบุคคลเดียวกันจะหมายถึงใคร ซึ่งข้าพเจ้าไม่ทราบ โดยข้าพเจ้ารู้เพียงว่ายูบีเอส เป็นบริษัทผู้รับฝากทรัพย์สิน ที่ให้บริการจัดการดูแลหุ้นและหลักทรัพย์ ซึ่งย่อมจะให้บริการแก่ลูกค้ารายอื่นด้วย และการที่ยูบีเอส มาเปิดบัญชีกับธนาคารซิตี้แบงก์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้รับฝากทรัพย์สิน ให้แก่ยูบีเอสอีกชั้นหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่ายูบีเอส เป็นผู้ให้บริการแก่ลูกค้ารายใด และจะมีหุ้นชินคอร์ปของลูกค้ารายใดบ้างที่ยูบีเอส ดูแลอยู่ และยูบีเอส ไม่จำต้องมีหน้าที่เฉพาะเจาะจงที่จะต้องดูแลหุ้นชินคอร์ป ของข้าพเจ้าและคู่สมรสเท่านั้น แต่สามารถดูแลหุ้นชินคอร์ปของผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ ได้ด้วย

การที่ยูบีเอสนำหุ้นชินคอร์ปของลูกค้าทุกรายที่ตนดูแลอยู่มารวมไว้ในบัญชีเดียวกัน บัญชีเลขที่ 800248002 ซึ่งเป็นบัญชีของ ยูบีเอส ก็เป็นเรื่องของยูบีเอสเอง เพราะมีฐานะเป็นบริษัทผู้รับฝากสินทรัพย์ คือหุ้นดังกล่าวทั้งหมด โดยอาจเห็นว่าเป็นหุ้นชินคอร์ป เหมือนกันจึงนำมารวมในบัญชีเดียวกัน ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่ายูบีเอส คงจะต้องมีบัญชีและหลักฐานที่แสดงชัดเจนว่าหุ้นทั้งหมดในบัญชีดังกล่าวเป็นของผู้ใดและจำนวนเท่าใดบ้าง

อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าได้ชี้แจงมาโดยตลอดแล้วว่า ข้าพเจ้าและคู่สมรสไม่ได้เป็นเจ้าของหุ้นชินคอร์ป ตั้งแต่ปี 2543 แล้ว หุ้นชินคอร์ป ที่ปรากฏอยู่ในความดูแลของยูบีเอส จะเป็นของใครไม่เกี่ยวกับข้าพเจ้าและคู่สมรส ซึ่งอนุกรรมการไต่สวนน่าจะสอบถามโดยตรงไปยังยูบีเอส ก็จะน่าจะทราบได้เองว่าข้าพเจ้าและคู่สมรสไม่ได้ถือครองหุ้นชินคอร์ป ตามที่อนุกรรมการไต่สวนเข้าใจ

การที่อนุกรรมการไต่สวนเข้าใจว่า การดำเนินการใดๆ ของแอมเพิลริช และวินมาร์คต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าและคู่สมรสตลอดไปทุกเรื่อง จึงไม่เป็นธรรมกับข้าพเจ้าและคู่สมรส เพราะบริษัททั้งสองเป็นนิติบุคคลมีกรรมการของตนเอง มีความสามารถดำเนินธุรกรรมต่างๆ ด้วยตนเองได้ จึงไม่เกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าและคู่สมรสแต่อย่างใด โดยเฉพาะข้าพเจ้าไม่เคยได้รับความเป็นธรรมในการตรวจเอกสารใดๆ ที่เป็นหลักฐานว่าข้าพเจ้าและคู่สมรสมีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินการต่างๆ ตามที่คณะอนุกรรมการไต่สวนกล่าวหา

ส่วนกรณียูบีเอสรายงาน ก.ล.ต.ว่ารับดูแลจัดการหุ้นชินคอร์ป ของบุคคลหนึ่งเพิ่มขึ้นเกิน 5% ข้าพเจ้าขอชี้แจงว่า ข้าพเจ้าไม่ทราบถึงการดำเนินการต่างๆ และการรายงานของยูบีเอส ถึงการถือครองหุ้นชินคอร์ป หรือไม่ เนื่องจากข้าพเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยูบีเอส และข้าพเจ้าและคู่สมรสไม่ได้ถือครองหุ้นชินคอร์ปตั้งแต่ปี 2543

ทั้งนี้การกล่าวหาของอนุกรรมการไต่สวน เป็นการกล่าวอ้างหลักฐานโดยไม่มีน้ำหนัก ไม่มีความชัดเจน เนื่องจากหากยูบีเอส ได้รายงานการถือครองหุ้นชินคอร์ป เกิน 5% จริง ก็ไม่ทราบว่ายูบีเอสรายงานไปเพราะเหตุใด และใครเป็นผู้ถือครองหุ้นชินคอร์ป โดยข้าพเจ้าไม่ทราบถึงความเป็นเจ้าของหุ้นที่ยูบีเอส กล่าวอ้าง และการดำเนินการว่ายูบีเอสรายงานต่อ ก.ล.ต.โดยมีวัตถุประสงค์เช่นใด มีวิธีการอย่างไร และจะมีอำนาจหรือไม่ด้วย แต่ข้าพเจ้ายืนยันได้ชัดแจ้งว่า ข้าพเจ้าและคู่สมรสไม่ได้ถือครองหุ้นชินคอร์ป ทั้งหมดตั้งแต่ปี 2543 ที่ได้โอนให้แก่บุคคลต่างๆ ไปแล้วเท่านั้น

ข้าพเจ้าเรียนชี้แจงว่า หากยูบีเอส นำหุ้นมารวมในบัญชีเดียวกันจริง ยูบีเอสอาจเห็นว่าเมื่อตนเป็นผู้ดูแลหุ้นของลูกค้าในบัญชีดังกล่าว เมื่อรวมกันแล้วมีจำนวนถึงเกณฑ์ต้องรายงาน จึงได้ดำเนินการรายงานต่อ ก.ล.ต. แต่ไม่ได้หมายความว่าหุ้นทั้งหมดเป็นของบุคคลเดียวกัน และเป็นของข้าพเจ้าและคู่สมรส การเข้าใจว่าหุ้นชินคอร์ป ของสองบริษัทมารวมอยู่ในบัญชีเดียวกันและเป็นของบุคคลเดียวกัน บุคคลนั้นน่าจะหมายถึงยูบีเอส นั่นเอง มิใช่ข้าพเจ้าและคู่สมรส ยูบีเอสจึงรายงานให้ ก.ล.ต.ในฐานะบริษัทผู้รับฝากทรัพย์สินทั้งหมดแทนผู้ถือหุ้นอื่นทุกคนที่เป็นเจ้าของที่แท้จริง

ข้าพเจ้าทราบว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องในทางปฏิบัติ ซึ่ง ก.ล.ต.ก็ยอมรับว่าวิธีปฏิบัติของบริษัทผู้รับฝากทรัพย์สิน แต่ละรายในการแจ้งรายชื่อผู้ถือหุ้นมีวิธีปฏิบัติที่แตกต่างกัน เช่นบางรายแจ้งเป็นชื่อลูกค้าบางรายก็แจ้งเป็นชื่อบริษัทผู้รับฝากทรัพย์สิน


http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 0211/99923
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby protecter » Sun Feb 14, 2010 11:13 pm

เป็นห่วงแต่ ระหว่างนี้ มันให้คนเอากล่องขนมยัดใส้ไปให้ผู้พิพากบ้างหรือยัง และ กี่คนแล้ว
ใอ้มาร์ค เป็นหุ่นให้ ใอ้หน้าดำ + พรรคร่วมเชิด เพื่อโกงกิน....โดยมีไข่แมงสาป เป็นผู้ปกป้อง และ ทำร้าย พธม ...ซึ่งออกมาเปิดโปงความชั่ว
User avatar
protecter
 
Posts: 1963
Joined: Sun Oct 19, 2008 8:06 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Mon Feb 15, 2010 9:36 am

ไตรภาคคดียึดทรัพย์ทักษิณ (5) ปมเสื้อแดงกับปัญหาข้อกฎหมาย มุมมองทนายความ "ทักษิณ"

Image

วอร์รูมทีมทนายความบนชั้นที่ 10 ของตึกสูงใจกลางกรุงเทพฯ
เพิ่งเก็บเอกสารลงกล่องไปหมาดๆ หลังจากได้ยื่นแถลงปิดคดีให้กับ ทักษิณ ชินวัตร


ในคดีที่อัยการสูงสุด ร้องขอศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สั่งให้ "ทรัพย์" จำนวน 7.6 หมื่นล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดิน

ฉัตรทิพย์ ตันประศาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท สำนักกฎหมาย นิติพีรฉัตร จำกัด บอก "กรุงเทพธุรกิจ" ถึงที่มาของการรับทำคดี ว่า เมื่อได้รับติดต่อให้ว่าความคดีนี้ ซึ่งไม่เหมือนคดีอื่นที่เรื่องจบมาแล้ว รับคดีเข้ามาเราไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร ข้อหาอะไรบ้าง จะเพิ่มข้อหาอะไร รู้เพียงว่าอัยการกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ และยังมีเรื่องซีทีเอ็กซ์ เรื่องกล้ายาง และข้อหาร่ำรวยผิดปกติ มาเพิ่มตอนหลัง ก่อนที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) จะหมดอายุ ซึ่งข้อหานี้เราทราบว่า คตส. ไปนำเอาคำสั่งเก่ามาเพิ่มเติมมติในภายหลัง ตรงนี้เราว่ามันคือปัญหาความไม่ชอบในด้านการสอบสวน

ฉัตรทิพย์ พูดถึงสิ่งที่เขาและทีมทนายความในสำนักกฎหมาย นิติพีรฉัตร จำนวน 7 คนร่วมกันทำว่า เมื่อรับมาพบว่ามีคดีเรื่องเดียวกัน ทรัพย์ตัวเดียวกัน อีกหลายคดี มีผู้ถูกกล่าวหาหลายคน มีทีมทนายความจำนวนมาก แต่เรารับทำเฉพาะของ พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะที่ข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริง ทรัพย์ไม่ใช่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะหุ้นมีการโอนขายไปตั้งแต่ปี 2543 ก่อนเป็นนายกรัฐมนตรี เงินที่โดนอายัดก็อยู่ในบัญชีผู้รับโอนหุ้น จะถือว่าเป็นทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้

ทีมทนายความจึงต่อสู้คดี ว่า เป็นเรื่องการสันนิษฐานความไม่เชื่อของ คตส. ว่า มีการทำนิติกรรมการโอนขายหุ้นกันจริง ทั้งที่การซื้อขายทำตามกฎหมาย มีการแจ้ง ก.ล.ต. มีการโอนเงินซื้อขายหุ้นผ่านสถาบันการเงิน ตรวจสอบได้ทั้งหมด และมีการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อเข้าเป็นนายกฯ ครั้งแรก

เมื่อการซื้อขายจบ คตส. บอกว่า ไม่ใช่การซื้อจริง ทั้งที่ คตส.ไม่ได้ค้นเจอเรื่องนี้เอง แต่เป็นการคิดเอาเอง ว่า ไม่เชื่อว่าซื้อขายจริง แล้วปัญหาอะไรที่ คตส. ไม่เชื่อ ในเมื่อทำตามกฎหมาย แล้วอย่างนี้ในสังคมจะเอาอะไรมาเป็นบรรทัดฐาน มาบ่งชี้ว่าผิดไม่ผิดเมื่อทำถูกต้อง

ฉัตรทิพย์ ยกประเด็นที่ คตส. บอกว่า ซื้อขายในราคาถูกกว่าราคาตลาด ทำไมไม่ขายแพงเท่าราคาตลาด ว่า ตรงนี้ไม่น่าเป็นเหตุผลที่เอามากล่าวหากันได้ การขายให้บุตร เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ปุถุชนที่จะไม่ขายทรัพย์ให้กับลูกในราคาสูง บางครั้งยกให้กันฟรีๆ ก็มี และกรณีนี้กรรมสิทธิ์ ก็โอนกันเรียบร้อย

แล้วปัญหาที่ว่าโอนขายทำไม เรื่องนี้มันก็เป็นทัศนะส่วนตัวของครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า การทำธุรกิจทุกอย่างต้องมีต้นทุน เป็นเหตุผลแต่ละท่าน บางคนให้ลูกซื้อรถผ่อนต่อจากพ่อ แม่ เป็นการสอนของแต่ละครอบครัว ปัญหาว่าผิดกฎหมาย ไม่ชอบธรรม มันถูกต้องหรือ ในเมื่อเพื่อนฝูงขายกันราคาพิเศษ ไม่ต้องทำสัญญา ก็มี กรณีก็เช่นกันเอาไปให้ลูก ไม่น่ากล่าวหากัน

ประเด็นต่อมา เรื่องนี้เปิดเผยไหม หนังสือพิมพ์ลงข่าวนายกฯ ทักษิณ วางมือทางธุรกิจ โอนหุ้นให้ลูก ข่าวนายพานทองแท้ รวยที่สุดในสมัยนั้น และ ป.ป.ช.โดย คุณโอภาส อรุณินท์ ก็บอกว่าจะตรวจสอบ คุณกล้านรงค์ จันทิก เป็นเลขาธิการ ป.ป.ช. ในขณะนั้น

เราชี้แจง คตส. ทุกประเด็น เอกสารทางกฎหมาย การแจ้ง ก.ล.ต.บัญชีทรัพย์สิน การที่คุณแก้วสรร (อติโพธิ) อดีต คตส. บอกว่ามีค่าเพียงแค่กระดาษแผ่นหนึ่ง ทำเมื่อไรก็ได้ ก็ในเมื่อเอกสารที่ทำถูกกฎหมายแล้วไม่เชื่อไม่รู้ว่าสังคมจะเชื่ออะไรได้

คตส.อ้างว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เอาหุ้นแอมเพิลริชไปซุกที่ต่างประเทศ จริงๆ พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำโดยเปิดเผย แจ้ง ก.ล.ต. ตั้งแต่ตั้ง แอมเพิลริช เมื่อปี 2542 เพราะต้องการเอาหุ้นไปเทรดในตลาดแนสแด็ก

แอมเพิลริช เป็นของคุณทักษิณ ในตอนตั้งก็ประกาศแจ้ง ก.ล.ต. ว่า ถือหุ้น 100 โอนหุ้นชินฯ ไปเอาหุ้นไปลองเทรดในตลาดต่างประเทศ พอจะเข้าเป็นนายกฯ กฎหมายบอกว่าถือไม่ได้ ก็โอนหุ้น และโอนแอมเพิลริช ให้นายพานทองแท้ เมื่อปี 2543 ก่อนรับนายกฯ 2544 นี่คือ สิ่งที่พยายามบอกว่า คตส.ไม่ได้ไปพบเจอเอง แต่พบเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ แจ้งไว้ที่ ก.ล.ต.

ฉัตรทิพย์ ยกประเด็นต่อสู้คดีว่าไม่ใช่เงินกระเป๋าเดียวกัน ว่า การซื้อขายหุ้นครั้งนี้ไม่ใช่เงินกระเป๋าเดียวกันอยู่แล้ว นายพานทองแท้บรรลุนิติภาวะ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ก็มีครอบครัวแล้ว เงินอยู่คนละบัญชี ปัญหาว่าซื้อหุ้นราคาพาร์ พ่อแม่บางคนอาจจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ครอบครัวนี้บอกว่าลูกไม่มีเงิน พ่อ แม่ ให้ยืมเงินมาซื้อหุ้น แต่ต้องใช้คืนนะ จึงออกเป็นตั๋วสัญญา เพียงแต่ไม่กำหนดตายตัวว่าต้องจ่ายเท่าไรกี่เดือน เพราะไม่ได้หวังกำไรจากลูก เพียงแต่ว่าให้ลูกรู้จักความรับผิดชอบ สิ่งเหล่านี้ทำย้อนหลังไม่ได้ พอทำปฏิวัติ มีการกล่าวหา ถามว่า เอกสารทั้งหมดนี้ ทำย้อนหลังได้หรือ

ประเด็นความเอื้ออารีในครอบครัวคนไทย ก็เป็นประเด็นที่หยิกยกขึ้นมาสู้ เพราะ ป.ป.ช. คตส. ล้วนแล้วก็เป็นคนไทย น่าจะเข้าใจความเอื้ออารีของคนในครอบครัวเดียวกัน เราก็ต่อสู้ว่านี่หรือคือสิ่งที่ผิดปกติของวิถีชีวิตคนไทย เพื่อนฝูง ขอกันกินมากกว่านี้ การไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ไม่คิดดอกเบี้ย ไม่มีกำหนดเวลา บอกว่าไม่ปกติ ผมถามว่าจะต้องให้พ่อขายให้ลูกในราคาตลาดอย่างนี้หรือที่เรียกว่าปกติ อย่างนี้ยิ่งผิดธรรมชาติใหญ่

ส่วนสิ่งที่ คตส. เชื่อมให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเจ้าของหุ้นแอมเพิลริช ต่อเนื่องมาโดยตลอด นั้น ฉัตรทิพย์ บอกว่า ทนายความได้หักล้างครบถ้วน เอกสารทางกฎหมาย ชัดเจนว่าโอนกรรมสิทธิ์แล้ว มีการชำระราคาผ่านสถาบันการเงิน ส่วนความสุจริต คือ ได้แจ้งต่อ ก.ล.ต.แล้ว ประการต่อไป คือ ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินกับ ป.ป.ช.

ขณะที่เรื่องภาษี ฉัตรทิพย์ บอกว่า คตส.สั่งให้สรรพากรคำนวณภาษีนายพานทองแท้ ที่ได้หุ้นมาในราคาพาร์ ว่า ได้ประโยชน์จากส่วนต่างราคา ประเมินภาษีพร้อมเงินเพิ่มเบี้ยปรับหมื่นสองพันล้านบาท แล้ว คตส.ก็นำหุ้นเดียวกันนั้น มากล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ จะยึดเป็นของแผ่นดินอ้างว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเจ้าของหุ้นนั้นอยู่ แต่พอประเมินภาษีกลับบอกว่า นายพานทองแท้ เป็นเจ้าของ ทั้งที่เป็นทรัพย์ตัวเดียวกัน ซึ่ง คตส.อ้างว่าประเมินตามเอกสาร

ฉัตรทิพย์ เชื่อมั่นว่า สิ่งที่ทนายความดูคือว่าการได้ทรัพย์มาโดยไม่สมควรหรือไม่ คดีนี้ไม่ใช่คดีอาญาที่เขาทำผิดแล้วไปริบทรัพย์เขา คตส.พยายามไปยกคดีอาญามาแต่คดีนี้เป็นหุ้นที่ถือมาตั้งแต่ปี 2526 ไม่ได้กว้านซื้อเพิ่ม ไม่ได้เอาไปแสวงหาประโยชน์ ข้อเท็จจริงจึงไม่ใช่การเอาวัวไปกินหญ้าในที่หลวง

คตส.บอกว่าได้ทรัพย์มาโดยไม่สมควร ถามว่า ได้ทรัพย์มาก่อน จะทราบได้อย่างไรว่าได้มาไม่สมควรในเมื่อทรัพย์ไม่เพิ่มขึ้น องค์ประกอบความผิดตามกฎหมายก็ไม่เข้า เมื่อมาดูราคาทรัพย์ ราคาสมควรไหม ในโลกนี้ยังไม่มีอะไรเป็นมาตรฐานวัด ทุกประเทศทั่วโลกก็ใช้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ประเมิน ซึ่งราคาหุ้นชินฯ มีอัตราขึ้นลงเกาะดัชนี 10 เปอร์เซ็นต์มาโดยตลอด เรามีดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ส่งศาลประกอบในเรื่องนี้ด้วย

ทั้งนี้ หุ้นชินฯ เมื่อประเทศเจอวิกฤติหุ้นก็ตก และตอนวิกฤติอเมริกา ก็ตก แต่ตอนปี 2537 หุ้นพีคมาก มูลค่าหุ้นชินฯ แสนหนึ่งหมื่นล้านบาท ตอนนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ยังไม่เป็นนายกฯ เราคิดว่าของคนอื่นขึ้นได้ ของพ.ต.ท.ทักษิณ ขึ้น มาบอกว่าไม่สมควร

ขณะที่คุณแก้วสรร บอกว่าไม่ได้สนใจว่าราคาเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหลักทรัพย์หรือไม่ กฎหมายล็อกว่า ถ้าเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถือหุ้นจริง ก็ผิด นี่ไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมายแล้ว ข้อกฎหมายหากจะผิด คือ ทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นหลังจากรับตำแหน่ง

ส่วนที่ทีมทนายความขอให้พิจารณาคดีใหม่ เพราะเราเห็นปัญหาข้อกฎหมาย ในส่วนสำนวนการสอบสวน การปฏิบัติหน้าที่ คตส.ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นตามกฎหมาย ป.ป.ช. เพราะไม่ให้ฝ่ายผู้ถูกร้องตรวจพยานหลักฐาน ไม่ให้นำพยานเข้าไต่สวน ทั้งที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 40 ให้สู้คดีไม่มียกเว้น

ประการต่อมา ในกฎหมาย คตส. ใช้ตามกฎหมาย ป.ป.ช. การตั้งข้อกว่าหาได้ จะต้องเป็นมติ คตส. แต่มติไม่ได้ให้อำนาจตั้งอนุกรรมการสอบสวนเรื่องร่ำรวยผิดปกติ แต่สอบเรื่องเอื้อประโยชน์พวกพ้อง ปรากฏว่านายนาม (ยิ้มแย้ม) มาเบิกความในศาลยอมรับว่าเพิ่มคำสั่งเกินมติที่ประชุม คตส. มติมี 3 บรรทัด แต่ทำคำสั่งเพิ่มไป 5 บรรทัด นายนาม ยอมรับเอง ถ้าไม่เพิ่มสอบสวนไม่ได้ เมื่อมติไม่ชอบตามกฎหมาย สำนวนการสอบสวนก็ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ใช้ไม่ได้

ประการที่สาม การตั้งปฏิปักษ์มาสอบสวน ตามหลักสากลเขาต้องจรรโลงไว้ซึ่งความเป็นกลาง ถ้าผู้ไต่สวนไม่เป็นกลางก็ไม่มีใครยอมรับได้ ปรากฏว่านายแก้วสรร นายกล้านรงค์ และนายบรรเจิด สิงคเนติ นั้น พ.ต.ท.ทักษิณ คัดค้าน เพราะมีสาเหตุโกรธเคือง แต่ คตส. กลับบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คิดไปเอง คิดไปเองอย่างไรในเมื่อนายแก้วสรร ไปร่วมพันธมิตร เขียนหนังสือโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ นายกล้านรงค์ ไปเดินขบวน นายบรรเจิด จัดศาลจำลอง

ฉัตรทิพย์ รับว่า มีโอกาสเจอ พ.ต.ท.ทักษิณ ตอนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มาเมืองไทย และตอนที่อยู่ฮ่องกง ก็ไปพบ แต่ในส่วนของการแถลงปิดคดีทีมทนายความไม่ได้ไปพบ แต่มีญาติ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่นำไปให้เซ็น และสมัยนี้มีอินเทอร์เน็ต ติดต่อกันง่าย

ขณะที่ ฉัตรทิพย์ ยอมรับว่า ทำคดีนี้ไม่ใช่ต่อสู้เฉพาะข้อกฎหมาย แต่กำลังคดีสู้กับ "กระแสสังคม" ไม่ว่าคดีจะออกมาอย่างไรสังคมมีคำถามแน่ เพราะยังมีคนที่เข้าใจ และไม่เข้าใจคดี ผมว่าความถูกต้องหรือไม่ประชาชนต้องรู้ข้อเท็จจริงก่อน เพราะการที่คนเอาความรู้สึกไปตัดสิน ทั้งที่คุณหญิงพจมาน (ณ ป้อมเพชร) นายพานทองแท้ น.ส.พินทองทา ไม่ใช่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไปยึดทรัพย์ไม่ได้ จะยึดได้ต้องเป็นทรัพย์ที่เพิ่มขณะปฏิบัติหน้าที่ ต้องเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ ที่ผ่านมากฎหมายหมายฉบับผ่านสภา ผ่าน ครม. ใช้บังคับทั้งหมด ทำไมอธิบดี ปลัดกระทรวงทุกคนเห็นชอบไม่มีใครลงมติเอื้อให้บริษัทเอกชนเพียงบริษัทเดียวหรอกเป็นไปไม่ได้ ถ้าผิดอย่างน้อยต้องติดคุกกันหมดทั้งสภาเป็นร้อยๆ คน ไม่ใช่ พ.ต.ท.ทักษิณ ผิดคนเดียว

ตอนนี้หากการต่อสู้ทางกฎหมาย ฉัตรทิพย์ ยอมรับว่าไม่มีอะไรน่าห่วง แต่ที่เป็นห่วง ก็คือ เรื่องข่มขู่ศาล ซึ่งสังคมไทยมองว่าไม่ดี เรื่องถุงขนมสองล้านบาทก็เช่นเดียวกัน ฉัตรทิพย์ บอกไม่รู้เรื่อง และตั้งคำถามด้วยว่า "ทำไมถึงต้องไปกดดันศาล การกดดันศาล ผมไม่เห็นด้วย มันขัดหลักการตามธรรมชาติ ผมคิดว่าเป็นมือที่สามที่ทำอย่างนี้ สร้างกระแสโยนความผิด ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่พอใจ ซึ่งไม่มีทางที่คู่ความอย่างเราจะไปกดดันศาล"

ถึงกระนั้น ฉัตรทิพย์ บอกว่า "อยากให้แยกคำพูดของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ซึ่งเป็นเรื่องการเมือง ออกจากคดี การเคลื่อนไหวทางการเมืองเป็นเรื่องที่พรรคการเมืองคิดเอาเองไปหาเหตุผลมาสร้างกระแส ฝ่ายทนายไม่มีนโยบายไปกดดันสร้างความไม่พอใจให้ศาล เพราะไม่มีใครทำกัน เราก็โกรธ ทีมทนายก็ไม่พอใจการกดดันการขู่ทำร้ายผู้พิพากษา"

ฉัตรทิพย์ สรุปสุดท้ายว่า การชุมนุมคนเสื้อแดงเพื่อกดดันศาล ในความเห็นทนาย ยิ่งกดดันยิ่งเป็นผลร้าย ไม่มีใครชื่นชม
Last edited by see-u on Tue Feb 16, 2010 11:14 am, edited 1 time in total.
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby tu249cm » Mon Feb 15, 2010 11:45 am

ขอบคุณมากค่ะ กำัลังว่าจะไปหาอ่านอยู่พอดีเลย
ให้รายละเอียดดีนะคะ :P
User avatar
tu249cm
 
Posts: 1422
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:33 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby หัวโบราณ » Mon Feb 15, 2010 12:00 pm

ขอบคุณ ที่มาของหนังฟอร์มยักษ์คับ

หนังเรื่องนี้ลงทุนสูงนะคับ ตั้ง 76,000 ล้าน :lol: :lol: :lol:

รออ่านนะคับท่าน..
การเมือง(ของทักกี้) คือ อยู่บนความทะเยอทะยานในการอยู่เติบ กินเติบ หรือ
ความมัวเมาในความสุขทางเนื้อหนังโดยปราศจากการนึกถึงโลกหน้า พระเป็นเจ้า
และความตาย และมีอำนาจเป็นความถูกต้อง และประโยชน์ของตน เป็นความยุติธรรม..
(อ. พุทธทาส สวนโมกข์)
User avatar
หัวโบราณ
 
Posts: 788
Joined: Tue Aug 25, 2009 3:18 pm
Location: CA, USA

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby ริวเซย์ » Mon Feb 15, 2010 3:29 pm

ขอบคุณพี่เอ้มากครับที่เอาข้อมูลดีๆแบบนี้มาแชร์กัน

:D
หากดอกไม้แย้มบานในใจแห่งผู้คนที่ทุกข์ทน
ความสว่างส่องทางสับสนด้วยความรักที่มอบแก่กัน
ให้ดอกไม้นั้นแทนความงามแห่งน้ำใจ ยิ่งใหญ่
เมฆหมอกก็คงสลาย ด้วยดอกไม้คือความสดใสในแสงตะวัน
คือดอกไม้อันดีงาม คงอยู่ด้วยความสดใส
คือดอกไม้ของน้ำใจ งดงามเพียงใดให้แก่กัน
User avatar
ริวเซย์
Site Admin
 
Posts: 3386
Joined: Fri Oct 17, 2008 12:34 pm

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby saopao » Mon Feb 15, 2010 11:38 pm

ดันไว้ครับ
Image
User avatar
saopao
Moderator
 
Posts: 2593
Joined: Mon Oct 13, 2008 1:21 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby 55555 » Tue Feb 16, 2010 10:35 am

เรื่องแบบนี้ ควรต้องเป็นหน้าทีรัฐบาล...

ไม่ใช่ต้องรอให้สื่อชี้แจงแทน....

ก่อนจะถึงวันตัดสิน......น้องเดี่ยวต้องลุยให้หนักกว่านี้ ...
55555
 
Posts: 5131
Joined: Mon Oct 13, 2008 8:29 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby janejujub » Tue Feb 16, 2010 11:00 am

หัวโบราณ wrote:ขอบคุณ ที่มาของหนังฟอร์มยักษ์คับ

หนังเรื่องนี้ลงทุนสูงนะคับ ตั้ง 76,000 ล้าน :lol: :lol: :lol:

รออ่านนะคับท่าน..


เอาแค่ไตรภาคพอแล้วนะครับ เหมือน Starwar ก็ไม่ใหว 6 ภาคเข้าไปแล้ว แล้วก็ไม่เอาแบบเจสันฆ่าไม่ตายซักที :lol: :lol: :lol:
ข้อความข้างบนก็เล่นกันขำ แต่ก็กำลังอ่านอยู่นะครับ เดี๋ยวกระทู้ดีๆจะออกทะเล
赤シャツ
'
'
'
お前のお母さん チョメ チョメた.
Omaeno o gasang chome chome ta

http://forum.serithai.net/viewtopic.php?f=19&t=44043 <<< ซอฟต์แวร์สำหรับคนชอบลืมเปลี่ยนภาษา
User avatar
janejujub
 
Posts: 1054
Joined: Mon Jan 11, 2010 6:06 pm

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Tue Feb 16, 2010 11:19 am

ไตรภาคภาคคดียึดทรัพย์ทักษิณ (6):"สมบัติ"ฟันธง"คดียึดทรัพย์" ไม่เป็นชนวนเกิดเหตุรุนแรง

Image

นับจากนี้ไปเหลืออีกเพียงแค่ 13 วัน ก็จะถึงวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญา
ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ


พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 26 ก.พ.นี้

ฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายรัฐบาล ต่างก็หวาดหวั่นว่า การเคลื่อนไหวชุมนุมของกลุ่ม "เสื้อแดง" ซึ่งเป็นมือไม้ของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" อาจจะนำไปสู่ความรุนแรง เพราะยิ่งใกล้วันตัดสินคดียึดทรัพย์ กลุ่มเสื้อแดงก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวมากขึ้น

ล่าสุดถึงกับความมีความเคลื่อนไหวในการจัดเตรียมระดมคนจากต่างจังหวัดเข้ามาร่วมชุมนุมในกรุงเทพฯ โดยตั้งเป้าระดมคนเข้ามาร่วมชุมนุมให้ได้ "1 ล้านคน"

แผนการระดมกำลังมวลชนของกลุ่มเสื้อแดงดังกล่าว เป็นไปตามแผนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และแกนนำกลุ่มเสื้อแดง ได้วางไว้ โดยแบ่งโครงสร้างมวลชนเป็น 3 ส่วน ส่วนที่ 1 คือ มวลชนที่กลุ่มเสื้อแดง และ ส.ส.เพื่อไทย สร้างเครือข่ายไว้เป็นกลุ่มหรือองค์กรต่างๆ จำนวน 459 องค์กร แบ่งเป็น ภาคเหนือ 107 องค์กร ภาคเหนือ 100 องค์กร ภาคกลาง 80 องค์กร ภาคใต้ 14 องค์กร และ กทม.158

ส่วนที่ 2 มวลชนจากการจัดตั้งของ ส.ส.ในพื้นที่ กทม.และโดยรอบปริมณฑล และส่วนที่ 3 มวลชนที่มาร่วมชุมนุมตามธรรมชาติ

ตามแผนการดังกล่าว กำลังหลักจะเป็นในพื้นที่ กทม. ด้วยการให้แกนนำองค์กรเสื้อแดงใน กทม.รวมถึง ส.ส.เพื่อไทย ในพื้นที่ กทม. หามวลชนมาให้ได้องค์กรละ 1-2 หมื่นคน หรือหาให้ได้ 2-3 แสนคน หากคิดเป็นสัดส่วนในการระดมมวลชนก็คือ กทม.ร้อยละ 30 ต่างจังหวัดร้อยละ 70 และจะต้องนำคนเข้ามา กทม.ก่อนการชุมนุมใหญ่ล่วงหน้า 1 สัปดาห์ เพื่อรอกำลังเสริมจากต่างจังหวัด ซึ่งได้กำหนดไว้เบื้องต้นเฉลี่ยจากเป้าหมายใหญ่ 1 ล้านคน คือ องค์กรละ 1-2 พันคน จาก 459 องค์กร

หาก "กลุ่มเสื้อแดง" สามารถระดมคนเข้ามาร่วมชุมนุมใหญ่ในกรุงเทพฯ ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ "1 คนล้าน" จริง ก็น่าหวาดหวั่นว่า คงจะหนีไม้พ้นความรุนแรงแน่ๆ เพราะคนจำนวนมากขนาดนั้น ก็เชื่อได้เลยว่า คงไม่มีแกนนำหรือใคร สามารถที่จะควบคุมคนจำนวนมากให้อยู่ในระบบ ระเบียบ ของการชุมนุมที่สงบเรียบร้อยได้

สถานการณ์การเมืองไทยจะร้อนระอุขึ้นมาจนปรอทแตก และมีความรุนแรงเกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา อย่างที่หลายฝ่ายหวาดเกรงกันหรือไม่ ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์ ได้ให้มุมมองไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้

"สมบัติ" ชี้ไม่ยอมรับศาลสังคมอยู่ไม่ได้

คงจะไม่มีวิกฤติอะไรที่จะรุนแรงเท่ากับช่วงปลายปี 2551 ตั้งแต่เรื่องปิดสนามบิน ขัดขวางการประชุมสุดยอดอาเซียน +3 +6 และสงกรานต์เลือด ช่วงนั้นรุนแรงที่สุด ผมคิดว่าเรื่อง 7.6 หมื่นล้าน เป็นเรื่องของศาลฎีกาฯ ตัดสิน ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าศาลจะตัดสินอย่างไร อาจจะตัดสินยกฟ้อง ถ้าหากสำนวนนั้นฟังไม่ขึ้น หรืออาจจะตัดสินยึดทรัพย์ ถ้าหากเห็นว่ามีความผิด ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ศาลจะต้องใช้ดุลยพินิจด้วยความรอบคอบ เพราะผู้พิพากษาศาลฎีกา 9 ท่าน เป็นผู้ทรงคุณทั้งนั้น และยังมีผู้ช่วยผู้พิพากษาอีก 9 ท่าน ที่ต้องช่วยกันทำงานเรื่องนี้

ศาลฟังทั้งจากสำนวนคำฟ้อง ฟังทั้งจากพยานจากโจทย์ จำเลย แล้วก็ดูจากหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ผมเชื่อว่าศาลฎีกาฯ เป็นศาลสถิตยุติธรรมที่คนไทยเชื่อถือ ให้ความไว้วางใจได้ เพราะฉะนั้นในฐานะประชาชนทั่วไป ไม่ว่าคำตัดสินจะออกมาอย่างไร สมมติศาลยกฟ้อง พวกที่ไม่ชอบคุณทักษิณ ก็จะไปคัดค้านไม่ได้ หรือถ้าศาลจะลงโทษ ผู้ที่สนับสนุนจะปฏิเสธ หรือไปคัดค้าน ไม่ยอมรับไม่ได้

เพราะสังคมประชาธิปไตย อำนาจหนึ่งที่จะดำรงความศักดิ์สิทธิ์ ดำรงความเป็นสังคมเอาไว้ได้ ก็คืออำนาจตุลาการ ถ้าหากมีเรื่องใดๆ ขัดแย้งในสังคม แล้วอำนาจตุลาการจะเป็นตัวชี้ขาดในการยุติเรื่องราวต่างๆ เหล่านั้น ถ้าคนในสังคมไม่ยอมรับ สังคมนั้นจะอยู่ไม่ได้

เรื่องนี้การที่ใครคาดหมายว่า ศาลจะตัดสินอย่างหนึ่งอย่างใด เป็นเรื่องการคาดหมายของคนทั่วๆ ไป ซึ่งอาจจะจริง หรือไม่จริงก็ได้

ข่มขู่ศาล-เป็นอันธพาล

สำหรับเรื่องคำขู่ต่างๆ ที่มีต่อผู้พิพากษา ผมคิดว่าท่านไม่ได้หวาดกลัวสิ่งเหล่านี้ ท่านคงมีความมั่นใจในการทำหน้าที่ด้วยความสุจริต ตรงไปตรงมา แต่คนที่ขู่ ผมถือว่าเป็นคนที่ทำลายระบบยุติธรรมของประเทศ เพราะการข่มขู่ การคุกคาม โดยเฉพาะคนที่ไปบอกว่าศาลไม่มีมาตรฐาน 2 มาตรฐาน การที่คุณไปขู่ แล้วจะเหลือมาตรฐานอะไรสักมาตรฐาน ไม่เหลือเลย นั่นหมายความว่า ต้องการที่จะทำให้ศาลเกิดความหวั่นเกรง เกรงกลัว และไม่กล้าวินิจฉัยตามที่ควรจะเป็น แล้วมันจะมีมาตรฐานอะไรเหลือในสังคม

เพราะฉะนั้น คนใดก็ตามที่ออกมาคุกคาม ข่มขู่ มันเป็นลักษณะของอันธพาล ไม่ใช่ลักษณะที่จะดำรงรักษาความยุติธรรมของคนในชาติไว้ได้ ผมคิดว่าการขู่ ก็เป็นการขู่ และเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่จะต้องดูแลให้เกิดความสงบเรียบร้อย อย่าไปสนใจกับเรื่องคำขู่

สมมติว่าศาลสั่งยึดทรัพย์คุณทักษิณทั้งหมด ตามกระบวนการเขาให้อุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน ยังไม่ถือว่ายุติ ถ้ามีหลักฐานใหม่อุทธรณ์ได้ เป็นสิทธิตามกระบวนการทางกฎหมาย ถ้าศาลรับอุทธรณ์ก็จะมีการพิจารณาคดีต่อไป ยังไม่ยุติ

การที่ไปร้อนตัวว่าศาลจะตัดสินยึดทรัพย์ อย่างนี้ก็แสดงว่ารู้ว่าตัวเองทำผิดกฎหมายไว้พอสมควร การตัดสินของศาลฎีกาฯ ถ้าหากศาลตัดสินอย่างหนึ่งอย่างใด คนที่เกี่ยวข้องจะพอใจหรือไม่พอใจ ก็เปลี่ยนคำตัดสินของศาลไม่ได้ แม้ศาลตัดสินไปแล้ว จะทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ มันก็กลับคำตัดสินไม่ได้ ยกเว้นว่าจะมีการยึดอำนาจแล้วล้มล้าง

ยังมองไม่เห็นเงื่อนไขรัฐประหาร

แต่เรื่องการรัฐประหาร ใครจะรัฐประหาร สมมติว่ากรณีที่คุณทักษิณ ถูกยึดทรัพย์ไม่ว่าจะบางส่วน หรือทั้งหมด มันจะเกิดกรณีความวุ่นวายขึ้น ก็ต่อเมื่อพวกทหารที่เป็นพวกคุณทักษิณ เข้ามารัฐประหาร ยึดอำนาจ แล้วล้มล้างสถาบันทั้งหมดในประเทศ รวมทั้งคำตัดสินของศาลด้วย อย่างนั้นมันถึงจะเกิดขึ้นได้

เงื่อนไขของการรัฐประหาร ผมก็ยังมองไม่เห็น ภายใต้การนำของผู้นำกองทัพที่เป็นอยู่ขณะนี้ ซึ่งในอดีตมีเงื่อนไขที่ผู้นำกองทัพน่าจะยึดอำนาจได้มากกว่านี้ เขาก็ยังไม่ทำ มาถึงวันนี้เงื่อนไขแห่งการยึดอำนาจ ผมยังมองไม่เห็น ที่เห็นเป็นข่าวมากก็เพราะข่าวลือ มีการนำไปขยายผลมากมาย สังคมไทยเป็นสังคมแบบนี้ คนอยากให้มันเกิดขึ้นมี แต่ถามว่าคนที่จะทำให้มันเกิดขึ้น ใครจะทำให้เกิด

ในกองทัพ ถ้าจะปฏิวัติ รัฐประหาร และจะทำได้สำเร็จ ต้องเป็นผู้บัญชาการทหารบกเป็นหัวหน้า ถ้าคนอื่นเป็น ที่ผ่านมาแทบจะล้มเหลวเกือบทั้งหมด หรือเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด แล้วนายทหารในกองทัพบกสนับสนุนอะไรแบบนี้ถึงจะสำเร็จ แต่น้อยครั้งมาก ถ้าผู้บัญชาการทหารบกไม่เห็นด้วย โอกาสสำเร็จน้อยครั้งมาก

ยิ่งผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบัน ที่จะมาทำการยึดอำนาจหรือรัฐประหาร ผมยังมองไม่เห็นประเด็น เพราะท่านนิ่งอย่างนี้ เราถึงคิดว่าไม่มีการปฏิวัติ ถ้าไม่นิ่งเราอาจจะสงสัยว่า น่าจะปฏิวัติได้มากกว่านี้ แสดงอำนาจบ่อยอาจจะเชื่อได้ว่าจะมีการปฏิวัติรัฐประหาร

กองทัพบกภายใต้การนำ ของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ผมยังมองไม่เห็นว่า ท่านจะทำการปฏิวัติรัฐประหาร เพราะตอนนี้อายุราชการก็เหลืออยู่ไม่กี่เดือนแล้ว และการยึดอำนาจในปัจจุบันนั้นไม่ใช่ยึดอำนาจแล้วจะสบายเหมือนในอดีต เพราะการยึดอำนาจแล้วจะรักษาอำนาจไว้ให้คนยอมรับนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย

การยอมรับจากประชาชนภายในประเทศและการยอมรับจากประชาคมโลก ประชาคมโลกอาจจะต่อต้านคัดค้านไม่ให้การยอมรับ วันนี้จะทำปฏิวัติแล้วให้ประชาคมโลกยอมรับนั้นยาก ประชาชนในประเทศก็ไม่ให้การยอมรับ ถ้าเป็นอย่างนั้นอันตรายก็จะเกิดกับตัวผู้ปฏิวัติเอง ดังนั้นคนที่จะปฏิวัติได้นั้น ไม่ใช่แค่มีกำลังอาวุธที่จะทำการยึดอำนาจเท่านั้น แต่ยึดอำนาจแล้วต้องให้ประชาชนยอมรับด้วย ผมคิดว่า ณ วันนี้ คนที่คิดจะยึดอำนาจคงต้องคิดทบทวนอย่างหนัก

"ทักษิณ" กลับแน่หาก "นิรโทษ"

เมื่อถามถึงอนาคตของคุณทักษิณ จะได้กลับประเทศหรือไม่ ศ.ดร.สมบัติ ตอบทันทีว่า ตามกฎหมาย คุณทักษิณ กลับประเทศไทยได้อยู่แล้ว และรัฐบาลก็อยากจะให้กลับ จะกลับมาเมื่อไหร่ก็กลับได้ แต่การกลับมามีอำนาจ พรรคเพื่อไทยของคุณทักษิณ จะต้องได้เป็นรัฐบาล และเมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้วจะต้องออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับคุณทักษิณ คุณทักษิณ ไม่มีความผิดก็จะกลับมาได้ และเมื่อกลับมาได้จะสามารถเข้าสู่ระบบการเมืองได้อีก

ช่องทางถามว่ามีมั้ย ก็อย่างที่บอกพรรคที่คุณทักษิณ สนับสนุน ได้เป็นรัฐบาล แล้วก็ดำเนินการออกกฎหมายนิรโทษกรรม คุณทักษิณเข้าสู่ระบบการเมืองได้ ก็กลับเข้ามามีอำนาจได้ เรื่องทหารจะยอมหรือไม่ยอม ทหารก็มีทางเลือกน้อย ถ้าเขาทำตามกฎหมาย ทหารจะไม่ยอม จะทำอย่างไร เขาก็เข้าไปยึดอำนาจเอา

ฟันธงเสื้อแดงสร้าง "รุนแรง" ยาก

อย่างไรก็ตาม ศ.ดร.สมบัติ เชื่อว่าจะไม่มีเหตุความรุนแรงเกิดขึ้นในระยะนี้ "ใครก็ตามที่จะสร้างความรุนแรงจะทำได้ยาก เพราะคนในสังคมไม่สนับสนุน และหากมีความรุนแรงเกิดขึ้น รัฐบาลก็น่าจะสามารถรับมือได้ดีกว่าที่ผ่านมา และที่ผ่านมาประชาชนก็ดูจะสนับสนุนให้รัฐบาลใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง เพื่อเป็นการป้องปรามผู้ชุมนุมที่นิยมความรุนแรง เพราะที่ผ่านมารัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง หลายครั้ง ประชาชนก็ไม่รู้สึกคัดค้าน โดยเฉพาะกลุ่มนักธุรกิจนักลงทุนต่างๆ"

สำหรับบทบาทรัฐบาลที่นิ่ง ก็ถูกต้องแล้ว ถ้ารัฐบาลตื่นตูม ประเทศนี้ก็คงไม่มีอะไรจะเหลือ เพราะสังคมไทยคนตื่นตูมกันมากเกินไป เรื่องไม่เป็นเรื่องก็ทำให้มันตื่นตูม มันจะทำให้ประเทศไม่เป็นประเทศ คนตื่นตูมกันมากเกินไป พูดเรื่องไม่ดีกันมากเกินไป สร้างข่าวไม่ดีทำร้ายประเทศชาติ ทำร้ายอนาคตสังคมมากเกินไป จริงๆ แล้วเรื่องอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ แต่คนทำให้มันรู้สึกว่ามีอะไรมากเหลือเกิน ที่รัฐบาลเขานิ่งนะถูกแล้ว

เย้ยเขมรทำอะไรไทยไม่ได้

ศ.ดร.สมบัติ ยังกล่าวถึงบทบาทเขมรที่เข้ามาแทรกแซงการเมืองภายในประเทศของไทย ว่า ผมคิดว่า ทางเขมรเขาคงทำอะไรไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของอำนาจอธิปไตย เขาแสดงท่าทีอะไรได้ แต่เขมรถ้าคิดจะมาใช้กำลังอำนาจ อะไรที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงก็คงทำอะไรไม่ได้มาก เขมรเองก็ไม่ได้มีกำลังกองทัพที่เกรียงไกรอะไร ที่จะต้องทำให้ประเทศไทยน่าเกรงขาม

เพราะทุกวันนี้เขมรเองก็ยังต้องอาศัยอะไรมากมายที่จะต้องพัฒนาประเทศตัวเอง การจะมาทุ่มเททรัพยากร เพื่อที่จะให้มีเหตุความไม่สงบกับประเทศไทย ผมคิดว่าเขาคงรู้ว่ามันไม่เหมาะสม

จริงๆ แล้ว มันคงไม่มีอะไร แต่สังคมไทยไปขยายผลให้มันน่ากลัว ส่วนที่เขาหยามรัฐบาลอภิสิทธิ์นั้น ผมคิดว่าในทางการทูตเขาควรจะรู้อะไรควรทำ ไม่ควรทำ ประเทศเราเราก็ควรจะรู้ว่าเราควรจะทำอะไรบ้าง อะไรไม่ควรทำบ้าง


http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 214/100370
Last edited by see-u on Tue Feb 16, 2010 7:31 pm, edited 1 time in total.
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Tue Feb 16, 2010 11:23 am

ไตรภาคยึดทรัพย์ ทักษิณ ภาค1(7) : การซื้อขายหุ้น ชินคอร์ป ความยุ่งยาก 10 ปีที่หลอน "ทักษิณ"

โดย : ณัฐพล หวังทรัพย์

Image

ความสลับซับซ้อนในการบริหารจัดการหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
หรือชินคอร์ปสร้างความยุ่งยากให้แก่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ


และคนในครอบครัวชินวัตร มาตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี เพราะต้องไม่ลืมว่าในปี 2543 หลังจากตัดสินใจหวนคืนสู่การเมืองในฐานะหัวหน้าพรรคไทยรักไทย คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ได้ดำเนินคดี พ.ต.ท.ทักษิณในข้อหาซุกหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในชื่อคนใช้และคนขับรถ จนเกือบเอาตัวไม่รอด

ตรงกันข้ามในช่วงต้นเดือนก.ย.2543 พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยา แจ้งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่า ได้ขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท ให้แก่ นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย, นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่อดีตภรรยา ในราคาพาร์หุ้นละ 10 บาท ขณะที่ราคาหุ้นตลาดหุ้นชินคอร์ปในขณะนั้นอยู่ที่ 178 บาทต่อหุ้น

ยิ่งไปกว่านั้น การซื้อหุ้นครั้งนั้นนายพานทองแท้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และนายบรรณพจน์ ไม่ได้จ่ายเงินให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน แต่อย่างใด มีเพียงตั๋วสัญญาใช้เงินที่จัดพิมพ์ขึ้นด้วยกระดาษเอ 4 ปิดด้วยอากรแสตมป์ 5 บาท โดยสัญญาว่าผู้ซื้อจะจ่ายเงินให้แก่ผู้ขายโดยไม่มีดอกเบี้ยเมื่อทวงถาม

ต้องไม่ลืมว่าการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2544 เป็นการเลือกตั้งครั้งแรกภายใต้กติกาใหม่ของรัฐธรรมนูญ ฉบับประชาชน ปี 2540 ที่มีกฎกติกาห้ามไม่ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในฐานะนายกรัฐมนตรีและคู่สมรส คงไว้ซึ่งหุ้นบริษัทที่ได้รับสัมปทานจากรัฐ และหุ้นชินคอร์ปก็เป็นหนึ่งในหุ้นต้องห้ามตามกฎหมาย ป.ป.ช.

ก่อนเข้าสู่การเมือง พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ถือหุ้นชินคอร์ปรวมกันทั้งสิ้น 102.2 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 34.07% ของหุ้นทั้งหมด เท่ากับเป็นแรงบีบให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ต้องกระจายการขายหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมดให้คนในตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์เป็นผู้ถือหุ้นแทน

พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างเหตุผลในการขายหุ้นว่า ในฐานะหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ต้องการทำงานการเมืองอย่างเต็มตัว โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจต่อไป และเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญที่ไม่ให้นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีถือหุ้นในบริษัทจำกัดเกิน 5%

ตรงนี้เองที่นำมาสู่ประเด็นคำถามต่างๆ ที่ตามมาอย่างมากมาย โดยเฉพาะการโอนขายหุ้นให้แก่นายพานทองแท้ บุตรชายจำนวน 73.395 ล้านหุ้น หรือ 24.99% ของหุ้นทั้งหมด เป็นการโอนขายเพื่อเลี่ยงพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือไม่ เพราะหากโอนขายหุ้นให้แก่นายพานทองแท้ 25% นายพานทองแท้จะต้องจัดทำคำเสนอหุ้นเป็นการทั่วไปจากนักลงทุนเป็นการทั่วไป หากเป็นเช่นนั้นนายพานทองแท้ จะต้องนำเงินจำนวนมาก มาซื้อหุ้นจากนักลงทุนทั้งหมด

เช่นเดียวกับการโอนขายหุ้นให้แก่บุคคลต่างๆ ในราคาพาร์ หุ้นละ 10 บาท ต่ำกว่าราคาซื้อขายในตลาด เป็นการดำเนินการเพื่อเลี่ยงการจ่ายภาษีเงินได้จากการซื้อขายหุ้นหรือไม่

ยิ่งไปกว่านั้นในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนชินคอร์ป จำนวน 6,809,015 หุ้น มูลค่า 102,135,225 บาท ของนายบรรณพจน์ เมื่อเดือนมี.ค.2542 ที่นายบรรณพจน์ ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่คุณหญิงพจมานเป็นหลักฐาน มีข้อความระบุว่า

"ข้าพเจ้า (นายบรรณพจน์) สัญญาจะจ่ายเงินจำนวน 102,135,225 บาทให้แก่/หรือตามสั่งของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ณ บ้านเลขที่ 526 ถนนพระราม 5 แขวงนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร โดยจะชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินเมื่อทวงถามโดยไม่มีดอกเบี้ย"

ทั้งๆ ที่คุณหญิงพจมาน เพิ่งได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จตุตถจุลจอมเกล้า ให้ใช้คำนำหน้าว่าคุณหญิงได้ ในวโรกาสพระราชพิธีฉัตรมงคลวันที่ 5 พ.ค.2542

นอกจากหุ้นชินคอร์ปที่ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน โอนให้กับบุคคลต่างๆ แล้ว ในปี 2542 เขายังได้จัดตั้งบริษัทแอมเพิลริช อินเวสต์เมนท์ บนเกาะบริติส เวอร์จิ้น โดย พ.ต.ท.ทักษิณถือหุ้น 100% เพื่อรับโอนหุ้นชิน จำนวน 32.92 ล้านหุ้น ซึ่งต่อมาภายหลังลดราคาพาร์ จาก 10 บาท เป็น 1 บาท จำนวนหุ้นจึงเพิ่มเป็น 329.2 ล้านหุ้น เพื่อเตรียมนำหุ้นดังกล่าวเข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก ประเทศสหรัฐอเมริกา

แต่ด้วยสภาพตลาดแนสแด็กในช่วงปี 2543 ตกต่ำมาก ชินคอร์ปจึงยกเลิกแผนการนำบริษัทเข้าตลาดหุ้นแนสแด็ก ดังนั้นหุ้นจำนวนนี้จึงค้างอยู่ที่แอมเพิลริช ก่อนที่นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา จะซื้อหุ้นชินคอร์ปจากแอมเพิลริชในราคาหุ้นละ 1 บาท มาขายหุ้นให้กับกลุ่มเทมาเส็กโฮลดิ้งเมื่อวันที่ 23 ม.ค.2549

แม้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะชี้แจงมาโดยตลอดว่า หุ้นชินคอร์ป ที่แอมเพิลริชถืออยู่ถูกเปลี่ยนมือเป็นของนายพานทองแท้ ตั้งแต่เดือนธ.ค.2543 เพราะเขาได้ขายหุ้นบริษัทแอมเพิลริชให้นายพานทองแท้ไปแล้วตั้งแต่ปี 2543 แต่นายพานทองแท้ กลับไม่มีการรายงานการถือครองหุ้นให้ ก.ล.ต.รับทราบแต่อย่างใด กระทั่งปี 2549 นายพานทองแท้ได้แจ้งข้อมูลย้อนหลังต่อ ก.ล.ต.ว่าได้ซื้อหุ้นแอมเพิลริชจากบิดาในเดือนธ.ค.ปี 2543

ประเด็นนี้ ก.ล.ต.ได้มีมติเปรียบเทียบปรับนายพานทองแท้เป็นเงิน 6 ล้านบาท ข้อหาฝ่าฝืนกฎหมายหลักทรัพย์ เพราะเมื่อรวมหุ้นชินคอร์ป ที่นายพานทองแท้ รับโอนจากบิดาและมารดาในสัดส่วน 24.99% กับหุ้นที่แอมเพิลริชถืออยู่ 329.2 ล้านหุ้น นายพานทองแท้จะถือหุ้นชินคอร์ปเกิน 25% ซึ่งตามกฎหมายต้องรายงานให้ ก.ล.ต.รับทราบ พร้อมกับต้องจัดทำคำเสนอซื้อแก่ประชาชนทั่วไปด้วย

นี่เป็นอีกเงื่อนปมสำคัญที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกอัยการสูงสุดร้องขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้ทรัพย์สินจำนวน 7.6 หมื่นล้านบาทพร้อมดอกผล ของ พ.ต.ท.ทักษิณ คุณหญิงพจมาน และครอบครัว รวมทั้งผู้มีชื่อเป็นเจ้าของทรัพย์สิน รวม 22 รายการตกเป็นของแผ่นดิน เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ และได้ทรัพย์สินมาเนื่องจากการกระทำที่เป็นการขัดกัน ระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล และประโยชน์ส่วนรวมขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี


http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 215/100415
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Tue Feb 16, 2010 11:27 am

*** ต่อไปจะเข้าสู่ ภาค 2 ของไตรภาคคดีนี้ค่ะ ... :D
( สำหรับสมาชิกท่านไหน .. ที่มีบทวิเคราะห์ + ข้อมูลเกี่ยวกับคดีนี้ ในที่อื่น ๆ เอามาแจมได้นะคะ )
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby nontee » Tue Feb 16, 2010 11:30 am

see-u wrote:*** ต่อไปจะเข้าสู่ ภาค 2 ของไตรภาคคดีนี้ค่ะ ... :D
( สำหรับสมาชิกท่านไหน .. ที่มีบทวิเคราะห์ + ข้อมูลเกี่ยวกับคดีนี้ ในที่อื่น ๆ เอามาแจมได้นะคะ )


เข้ามาปูเสื่อรอฮะ .... :mrgreen: :D :D
User avatar
nontee
 
Posts: 6598
Joined: Tue Jan 26, 2010 2:34 pm
Location: หว้ากอ

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Tue Feb 16, 2010 11:32 am

ไตรภาคยึดทรัพย์"ทักษิณ" ภาคสอง เอื้อผลประโยชน์(8) : ยุทธวิธีแม่น้ำหลากสาย ยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน

Image

ภายหลังคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.)
มีประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำ


ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. เพื่อตรวจสอบปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ที่หน่วยงานต่างๆ ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ใน 6 ปี ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

กระทั่งวันที่ 27 ตุลาคม 2549 คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ที่มีนายนาม ยิ้มแย้ม อดีตรองประธานศาลฎีกา เป็นประธาน ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบการซื้อขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ระหว่างคนในตระกูลชินวัตร และดามาพงศ์ มีนายวิโรจน์ เลาหะพันธุ์ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร เป็นประธานอนุกรรมการตรวจสอบเรื่องภาษี

ขณะเดียวกันยังมีคำสั่งแต่งตั้งอนุกรรมการ เพื่อตรวจสอบเรื่องต่างๆ อีก 6 เรื่อง คือ 1.การให้ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ลดส่วนแบ่งค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือระบบเติมเงินให้บริษัทเอไอเอส จาก 25% ของรายรับเป็น 20% 2.การทีโอทีร่วมรับภาระกับบริษัท เอไอเอส ในการจ่ายค่าใช้โครงข่ายร่วม (Roaming) ให้แก่บริษัทดีพีซี

3.การแปรค่าสัมปทานโทรศัพท์ เป็นภาษีสรรพสามิต 4.การให้สิทธิบริษัทชิน แซทเทิลไลท์ จำกัด (มหาชน) ในโครงการดาวเทียมไทยคม 4 และการโอนเงินค่าเสียหายของดาวเทียมไทยคม 3 ที่ได้รับตามสัญญาประกันภัยให้บริษัทชินแซทฯ โดยมิชอบ 5.การออกแก้ไขพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม เพื่อขยายสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติ

ดูเหมือนช่วงแรกคนในตระกูลชินวัตร และดามาพงศ์ จะให้ความสำคัญกับ ประเด็นซื้อขายหุ้นเท่านั้น โดยเฉพาะ "กาญจนาภา หงษ์เหิน" เลขานุการส่วนตัว คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร กุญแจดอกสำคัญ ที่รู้เรื่องการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปของคนในตระกูลชินวัตรเป็นอย่างดี ให้ความร่วมมือด้านข้อมูลกับ คตส.อย่างเต็มที่

นั่นอาจเป็นเพราะในช่วงแรกนางกาญจนาภาเข้าใจว่า คตส.ตรวจสอบประเด็นการซื้อขายหุ้นโดยไม่เสียภาษีเงินได้ โดยเฉพาะกรณีนายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร ซื้อหุ้นจากบริษัทแอมเพิลริช จำนวน 329.2 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 1 บาท ก่อนมาขายให้กับกลุ่มเทมาเส็กในราคา 49.25 บาทต่อหุ้นเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้นางกาญจนาภา จึงมอบเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมทางการเงินให้ คตส. เป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้น เป็นหลักฐานสำคัญที่ คตส.นำมาเป็นข้อมูลแจ้งข้อกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ซุกหุ้นผ่านบริษัท แอมเพิลริช อินเวสต์เมนท์ จำกัด (มหาชน) นั่นคือ หลักฐานการเปิดบัญชีรับฝากหลักทรัพย์ของบริษัทแอมเพิลริช จากธนาคารยูบีเอส เอจี ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.2542 ที่ระบุว่า ผู้มีอำนาจเบิกถอนคนเดียวคือ ดร.ที ชินวัตร “ANY withdrawal is to be authorized by Dr.T SHINAWATRA solely” รวมถึงหลักฐานตั๋วสัญญาใช้เงินที่คนในตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ ออกให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน เพื่อเป็นหลักฐานซื้อขายหุ้น นั้นก็เป็นเอกสารที่นางกาญจนาภามอบให้ คตส.เช่นกัน

"ถ้าไม่มีหลักฐานจากชิ้นนี้จากนางกาญจนาภา เราก็เริ่มต้นหาลำบากเหมือนกัน อย่างกรณีตั๋วสัญญาใช้เงิน ผู้ถูกตรวจสอบเอาตั๋วมาให้ว่ามีการชำระเงินค่าหุ้นเป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน อนุกรรมการ คตส.พิจารณาเอกสารแล้วพบว่าตั๋วสัญญาใช้เงินที่นายบรรณพจน์ ออกให้กับคุณหญิงพจมานเมื่อปี 2542 นั้นมีการใช้คำนำหน้าว่านางพจมาน ว่าเป็นคุณหญิงก่อนได้รับการโปรดเกล้าฯ เราจึงมีความเห็นว่า ถ้าตั๋วสัญญาใช้เงินทำขึ้นโดยถูกต้องไม่น่าจะผิดพลาด เพราะใครที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ หรือยังมันไม่น่าจะมีปัญหา" นายสัก กอแสงเรือง อดีต คตส.ระบุ

"ส่วนที่บอกว่าตั๋วเดิมหาย ก็เป็นการชี้แจงภายหลัง ตอนให้ถ้อยคำกับ คตส.ครั้งแรกไม่ได้บอกว่าตั๋วสัญญาใช้เงินที่บรรณพจน์ออกให้พจมานใบเก่าหาย จึงต้องทำใบใหม่ขึ้นมา เมื่อมาบอกทีหลัง หลังจากมติออกไปแล้ว ก็ถือว่าเป็นข้อแก้ตัว ถ้าบอกเราก่อนก็โอเค ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ผิดปกติ เพราะตอนส่งข้อมูลให้ คตส.จะรู้ว่าอะไรมีอยู่ และอะไรหายไป แต่คุณไม่ได้บอกเราว่าหาย"

นอกจากข้อมูลที่นางกาญจนาภามองให้แล้ว คตส.ยังได้รวบรวมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารพาณิชย์ หรือบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นผู้ดูแลหุ้นชินคอร์ป เมื่อได้เอกสารทั้งหมดแล้ว คตส.ก็จะเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำ เพื่อชี้แจงข้อมูลต่างๆ โดยจะพิมพ์คำถามขึ้นบนจอโปรเจ็คเตอร์ให้ผู้ชี้แจงอ่านก่อนที่จะตอบคำถาม เมื่อตอบคำถามเสร็จก็จะให้อ่านอีกครั้งเพื่อตรวจสอบคำให้การทั้งหมด หากมีตรงไหนผิดพลาดหรือไม่ใช่ก็จะให้แก้ไข ก่อนลงชื่อรับรองคำให้ปากคำ

อย่างไรก็ตามในการให้ปากคำจะมีเพียงผู้ให้ปากคำ กรรมการ คตส.และพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้นอยู่ในห้องประชุม ทนายความหรือผู้ติดตามไม่มีสิทธิเข้าฟังหรือให้ถ้อยคำแต่อย่างใด ทำให้หลายครั้งที่ผู้ให้ถ้อยคำต้องขออนุญาตลุกออกจากห้องเพื่อปรึกษาทนายความที่นั่งรออยู่นอกห้องประชุม ก่อนจะกลับมาเข้ามาตอบคำถาม

หลายครั้งที่ผู้ตอบคำถามชี้แจงไม่ได้ หรือกลัวว่าชี้แจงไปแล้วจะมีความผูกมัดเกิดขึ้น จึงเลี่ยงที่จะตอบคำถาม บอกว่าจำไม่ได้ โดยเฉพาะกรณีของนายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร ที่มักบอกว่า จำไม่ได้ ไม่ทราบ เพราะได้มอบหมายให้เลขาฯ แม่เป็นคนจัดการเรื่องต่างๆ

“คำถามที่เราถามเป็นคำถามพื้นฐานที่ผู้ซื้อผู้ขายควรจะทราบ เราก็ไม่ได้เอานอกเรื่องนอกราว แต่ผู้ชี้แจงก็ตอบว่าจำไม่ได้ เพราะเลขาฯ แม่เป็นคนจัดการ”

นอกจากพยานบุคคล และพยานเอกสารแล้ว การตรวจสอบเส้นทางธุรกรรมทางการเงินก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ คตส. นำมาใช้ตรวจสอบที่มาที่ไปของการซื้อขายหุ้น เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง โดยขอให้เจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ถูกเชิญเข้ามาเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ว่าเงินที่นำมาซื้อหุ้นใครเป็นคนจ่ายเงิน เมื่อจ่ายแล้วเงินเข้าไปหาใคร เพราะการซื้อขายส่วนใหญ่ต้องธุรกรรมผ่านโบรกเกอร์ หรือไม่ก็ธนาคาร

เมื่อได้ข้อมูลทั้งหมดแล้ว ฝ่ายเลขาฯ อนุ จะสรุปเสนอที่ประชุมอนุ ที่ประชุมจะพิจารณารอบด้านและมีความเห็นเป็นมติของอนุกรรมการก่อนเสนอให้ที่ประชุม คตส.ชุดใหญ่พิจารณา โดยข้อมูลที่ได้จากการตรวจสอบการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปทั้งหมด

ขณะที่อนุกรรมการอีก 6 ชุดที่ตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบมาตรการเอื้อประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะนำเสนอข้อมูลให้ที่ประชุม คตส.รับทราบความคืบหน้า ควบคู่กับการตรวจสอบการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป กระทั่งเดือนเม.ย.2550 คตส.ได้ปิดห้องประชุมลับเพื่อพิจารณาน้ำหนักของพยานหลักฐานทั้งหมด มีน้ำหนักพอที่จะอายัดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้วหรือไม่ แต่เสียงส่วนใหญ่เห็นว่าควรหาข้อมูลเพิ่มเติม เพราะพยานหลักฐานเกี่ยวกับการซุกหุ้นยังไม่ชัดเจน จึงเลื่อนการอายัดทรัพย์ออกไป

จนกระทั่งวันที่ 29 มิ.ย.2550 นางกาญจนาภา ได้เดินทางเข้าให้ข้อมูลแก่ คตส.อีกครั้ง โดยยืนยันว่าหลักฐานการเปิดของบริษัทแอมเพิลริช ที่ธนาคารยูบีเอสสิงคโปร์ มีเพียง 2 ใบ ใบแรกคือหลักฐานเปิดบัญชีเมื่อปี 2542 ที่ ดร.ที ชินวัตร เป็นผู้มีอำนาจลงนามในการทำธุรกรรม อีกใบคือหลักฐานการเปลี่ยนแปลงกรรมการและผู้มีอำนาจลงนามในปี 2548 เป็นนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร ทำให้ คตส.บางคนถึงกับกล่าวคำว่า “บิงโก” เพราะเชื่อว่าตั้งแต่ปี 2542-2548 ผู้มีอำนาจลงนามที่แท้จริงในบัญชีหุ้นของแอมเพิลริช คือ ดร.ที ชินวัตร

จากนั้นในวันศุกร์ที่ 8-10 มิ.ย.นายแก้วสรรอติโพธิ กรรมการ คตส. ได้เรียกประชุมคณะทำงานชุดต่างๆ เพื่อรวบรวมข้อมูลหลักฐานทั้งหมดอีกครั้ง ก่อนที่จะเสนอให้ที่ประชุม คตส.ชุดใหญ่มีมติอายัดทรัพย์จำนวน 7.6 หมื่นล้านบาทในวันที่ 11 มิ.ย.2550

“ความจริงการพิจารณาของ คตส.เรื่องยึดทรัพย์ไม่ได้เป็นการพิจารณาลับ ทุกอย่างมีรายงานการประชุมทั้งหมด แต่เปิดเผยไม่ได้ เพราะรายงานยังไม่เสร็จ เพราะถ้าจะแถลงได้ก็ต้องเป็นมติ คตส.แล้ว เรื่องนี้เราพิจารณากว่า 9 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2549 ถึงเดือนมิถุนายน 2550 เราพิจารณาร่วมกันมาตลอด ในที่ประชุม คตส.ชุดใหญ่เราหารือวางกรอบกำหนดแนวทางตรวจสอบไต่สวนกันมากพอสมควร” นายสัก ระบุ

นายสักบอกว่า การอายัดทรัพย์เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.2550 กรรมการ คตส. 4 คน ประกอบด้วย นายวิโรจน์ เลาหะพันธุ์ นายอำนวย ธันธรา นายจิรนิติ หะวานนท์ และนายสักเห็นว่า ยังไม่ควรอายัด เพราะกำลังสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องอยู่ หากอายัดไปก็จะไม่ได้ข้อมูลส่วนที่เหลือ บอกว่ารออีกหน่อยได้ไหม อย่าเพิ่งอายัดตอนนี้เลย รอให้เราตรวจสอบข้อเท็จจริงครบก่อนแล้วค่อยอายัด

“ไม่ใช่เรามีความเห็นว่าไม่เห็นด้วยกับการอายัด เพียงแต่ให้รอเวลาอีกนิดได้ไหม เพราะเรายังนัดเขาอยู่ เขาขอเลื่อนการเข้าพบเราอยู่ เพราะหลังจากการอายัดแล้วเขาก็ไม่ส่งข้อมูลให้อีก มาพบก็ไม่ให้ถ้อยคำแล้ว ส่วนที่มีข่าวว่ากรรมการ คตส. 4 คน ไม่เห็นด้วยกับการอายัดทั้งหมด ควรอายัดเพียงบางส่วน เรื่องนี้ไม่มีประเด็น ยืนยันว่าการอายัดทั้งหมดมีมติเป็นเอกฉันท์”

นี่คือ เบื้องหลังกระบวนการตรวจสอบข้อมูลในช่วง 9 เดือนของ คตส.ที่ใช้วิธี "แม่น้ำหลากสาย" ก่อนที่ทุกสายจะไหลรวมมาแห่งเดียวกัน จนก่อเกิดประวัติศาสตร์คดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท


http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 216/100627
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby แมวน้อย » Tue Feb 16, 2010 12:26 pm

มาดันไว้ก่อน เดี๋ยวหาย ไปอีก
๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ช่วยกันใช้ เลขไทย ด้วยน่า
สังคมดีไม่มีขาย อยากได้ต้องร่วมสร้าง แต่ถ้าไม่ช่วยกันทำแล้วจะเหลืออะไรให้สร้างได้เล่า ช่วยกันรณรงค์ไม่ตอบกระทู้ชวนทะเลาะ ไม่ตอบโต้ด้วยคำหยาบคาย
User avatar
แมวน้อย
 
Posts: 1186
Joined: Mon Oct 13, 2008 1:21 pm

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Tue Feb 16, 2010 7:28 pm

4ปีเทมาเส็กกำไรหมื่นล.

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ทุนสิงคโปร์ "เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์" กำไร หมื่นล้านบาท หลัง 4 ปี เทคโอเวอร์ชินคอร์ป รับเงินปันผลแล้ว 8.7 หมื่นล้านบาท เรียกทุนคืนครบตามมูลค่าเงินที่ลงทุนไป 7.6 หมื่นล้านบาท โบรกเกอร์ประเมินครึ่งหลังปี 2552 ชินคอร์ป จะต้องจ่ายปันผลพิเศษเพิ่มตามรอยแอดวานซ์อีก 1.90 บาทต่อหุ้น จากปันผลที่จ่ายปกติ 1.25 บาท เป็น 3.15 บาทต่อหุ้น
เมื่อต้นปี 2549 กองทุนรัฐบาลสิงคโปร์ เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ได้เข้ามาซื้อหุ้นจนกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น (SHIN)ผ่าน บริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ จำนวน 1,742.40 ล้านหุ้น สัดส่วน 54.43% และบริษัท แอสเพน โฮลดิ้งส์ อีก 1,334.35 ล้านหุ้น สัดส่วน 41.68% โดยได้ใช้เงินลงทุนในการเทคโอเวอร์บริษัทชินมูลค่าประมาณ 7.6 หมื่นล้านบาท รวมทั้งมีการถือหุ้นทางอ้อมในบริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) โดยถือผ่านบริษัทชินคอร์ป 1,263.71 ล้านหุ้น คิดเป็น 42.65% และสิงเทล สเตรทิจิก อินเวสท์เม้นท์ พีทีอี 568 ล้านหุ้น คิดเป็น 19.17%

หากพิจารณาย้อนหลัง 4 ปี พบว่า ทั้ง 2 บริษัทได้จ่ายเงินปันผลทุกปีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะงวดในปี 2552 มีการจ่ายเงินปันผลพิเศษให้กับผู้ถือหุ้น ซึ่งบริษัทแอดวานซ์ ได้ดำเนินการไปแล้ว 8.2 หมื่นล้านบาทขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า บริษัทชินคอร์ป ก็จะต้องมีการจ่ายเงินปันผลพิเศษเพิ่ม ในเดือนก.พ. นี้ เพราะมีนโยบายการบริหารเน้นให้ผลตอบแทนกับผู้ถือหุ้น ซึ่งเทมาเส็ก จะได้รับอีก 5,852 ล้านบาท เช่นเดียวกันบริษัทแอดวานซ์ ดังนั้นถ้านำเงินปันผลที่เทมาเส็กได้รับในรอบปี 4 จะพบว่ามูลค่าเงินที่ได้รับจากทั้ง 2 บริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 87,760 ล้านบาท แยกเป็นเงินปันผลในส่วนของ ชินคอร์ป 32,494 ล้านบาท และแอดวานซ์ 55,266 ล้านบาท ดังนั้นแสดงให้เห็นว่า ตั้งแต่ปี 2549 เทมาเส็ก คุ้มทุนและมี"กำไร"กับการเทคโอเวอร์หุ้นคอร์ปแล้ว

รายงานข่าวแจ้งว่าปมการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป เมื่อ 23 ม.ค. 2549 ยังมีปัญหาถกเถียงในเชิงธุรกิจ และมีความเกี่ยวโยงกับการเมือง อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นความถูกต้องในแง่ของการจัดตั้งบริษัทกุหลาบแก้ว เข้ามาถือบริษัทลูกของ เทมาเส็ก อย่าง ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ และบริษัท แอสเพน โฮลดิ้งส์ ขณะที่ปัญหาทางการเมือง เชื่อมโยงกับคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี วงเงิน 7.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีนักการเมือง จะตัดสินในวันที่ 26 ก.พ.นี้

โบรกฯแนะซื้อหุ้นชิน

นักวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัทได้แนะนำให้นักลงทุนถือหุ้นชินคอร์ป เนื่องจากคาดว่าในวันที่ 22 ก.พ.นี้ คณะกรรมการของบริษัทชินคอร์ป จะประกาศจ่ายเงินปันผลพิเศษเพิ่ม เช่นเดียวกันบริษัทแอดวานซ์ โดยคาดว่า จะจ่ายเพิ่มอีกในอัตราหุ้นละ 1.90 บาท ซึ่งรวมกับการจ่ายปันผลในอัตราปกติที่ 1.25 บาท ดังนั้นในงวดครึ่งหลังปี 2552 บริษัทชินคอร์ป จะจ่ายเงินปันผลรวม 3.15 บาทต่อหุ้น

"สาเหตุที่มั่นใจว่า ชินคอร์ป จะจ่ายปันผลพิเศษเพิ่ม เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัทดำเนินธุรกิจโฮลดิ้งส์ และมีรายได้จากการรับเงินปันผลของบริษัทแอดวานซ์และบริษัทไทยคม ซึ่งล่าสุดการที่บริษัทแอดวานซ์ จ่ายเงินปันผลพิเศษเพิ่มอีก 5 บาท และบริษัทชินคอร์ป มีนโยบายที่จะเน้นให้ผลตอบแทนกับผู้ถือหุ้นเป็นหลัก ทำให้คาดว่า เงินปันผลพิเศษจากหุ้นแอดวานซ์ จะถูกผ่านมาจ่ายให้ผู้ถือหุ้นชินคอร์ปอีกหุ้นละ 1.90-1.95 บาทต่อหุ้น"นักวิเคราะห์กล่าว

เขากล่าวว่า ประมาณการกำไรปกติในงวดไตรมาส 4 ปี 2552 ของบริษัทชินคอร์ป ที่ 1.47 พันล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า โดยคาดว่า ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายใต้บริษัทแอดวานซ์ จะรายงานกำไรปกติโต 8% หากเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนและ 2% จากงวดไตรมาสที่ 3/2552 เป็น 4.26 พันล้านบาท จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและภาคท่องเที่ยว การเติบโตต่อเนื่องของบริการเสริม และควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี

ประเมิน"ไทยคม" ขาดทุน

ในทางกลับกันคาดว่าผลประกอบการของธุรกิจดาวเทียมภายใต้ บริษัทไทยคม (THCOM) ซึ่งถือหุ้น 41% โดย บริษัทชินคอร์ป จะมีผลขาดทุนปกติเพิ่มจาก 56 ล้านบาทในไตรมาสก่อนหน้าเป็น 146 ล้านบาท จากค่าใช้จ่ายที่สูงตามฤดูกาล หลังรวมประมาณการกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและค่าปรับจากการชำระหนี้คืนก่อนกำหนดของบริษัทไทยคมแล้ว ทำให้คาดการณ์กำไรสุทธิของหุ้นชินคอร์ป 1.45 พันล้านบาท

แม้ในปีที่แล้วธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ชะลอตัวตามเศรษฐกิจ แต่คาดการณ์กำไรปกติของบริษัทชินคอร์ป ขยายตัว 3% เป็น 6.3 พันล้านบาทหรือ 1.96 บาท/หุ้นในปี 2552 เนื่องจากแอดวานซ์มีการรายการตัดจำหน่ายค่าความนิยม 3.55 พันล้านบาท เมื่อปลายปี 2551 สำหรับปีนี้คาดว่ากำไรของชินคอร์ปจะโต 10% เป็น 6.9 พันล้านบาทหรือ 2.16 บาท/หุ้น จากการฟื้นตัวของบริษัทแอดวานซ์ และการขยายธุรกิจไอพีสตาร์ในอินเดียของบริษัทไทยคม

ทั้งนี้ หากพิจารณาในส่วนของการทำกำไรจากราคาหุ้น จะเห็นว่าเทมาเส็กไม่สามารถทำกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้นบริษัทชินคอร์ปได้ เนื่องจากราคาหุ้นยังคงปรับลดลงตลอด 4 ปีที่ผ่านมา โดยถูกแรงกดดันจากปัจจัยทางการเมือง ซึ่งเทมาเส็กมีต้นทุนจากซื้อหุ้นชินคอร์ปในราคาหุ้นละ 49.25 บาท ปัจจุบันราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 27.50 บาท ขาดทุน 21.75 บาทต่อหุ้น ลดลงประมาณ 44% และถ้าจะคิดเป็นมูลค่าเงินตามสัดส่วนการถือหุ้นจำนวน 3.08 พันล้านหุ้น เทมาเส็กฯ ขาดทุนจากส่วนต่างราคาหุ้นมูลค่า 6.6 หมื่นล้านบาท

ขณะที่ต้นทุนในการลงทุนของเทมาเส็กที่เข้ามาถือหุ้นแอดวานซ์ อยู่ที่ 72.31 บาทต่อหุ้น โดยอ้างอิงจากราคาที่เทมาเส็กประกาศรับทำคำเสนอซื้อหุ้นแอดวานซ์เมื่อปี 2549 ขณะที่ราคาเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ 84.38 บาท เทมาเส็ก มีกำไรประมาณ 12.07 บาทต่อหุ้น คิดตามสัดส่วนการถือหุ้น 1.83 พันล้านหุ้น ทำให้มีกำไรจากราคาหุ้นแอดวานซ์ 2.20 หมื่นล้านบาท

สำหรับความเคลื่อนไหว หุ้น SHIN วานนี้ปิดตลาดที่ 28.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท ส่วน ADVANC ปิดที่ 88.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท


http://www.bangkokbiznews.com/2010/02/1 ... d=30345639
Last edited by see-u on Tue Feb 16, 2010 7:55 pm, edited 1 time in total.
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Tue Feb 16, 2010 7:50 pm

**** ในระยะเวลาอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่ตัดสินคดีแล้ว ...
ช่วงนี้ทาง
ก.ล.ต.สั่งจับตาความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น
ใครที่เป็นนักลงทุนก็ติดตามข่าวกันหน่อยนะคะ ....
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby Bookmarks » Tue Feb 16, 2010 7:54 pm

ขออนุญาติ คุณ see u เอาบทความ ของ ไทยทน มานะครับ เพราะเค้าเขียนไว้ได้ดีจริงๆ ครับ

ทำไม ทักษิณ จึงแก้ข้อกล่าวหา ปกปิดวินมาร์ค ได้ดีที่สุดแค่ ยูบีเอส “อาจ” เข้าใจผิด

ตามคำแถลงปิดคดียึดทรัพย์ของกลุ่มผู้คัดค้าน เริ่มยอมรับแล้วว่า ประเด็นที่ คตส. อ้างถึงวินมาร์ค–แอมเพิลริช- การรายงาน 246-2 โดยยูบีเอสนั้น เป็นเรื่องที่มีนัย แต่ที่สรุปพิรุธก็คือ ในการแก้ข้อกล่าวหานั้น สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและครอบครัว ทำได้ดีที่สุดคือ เพียงบอกว่า ยูบีเอส “อาจ” เข้าใจผิด จึงรายงานโดยไม่เป็นไปตามกฎหมาย

ในฐานะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นลูกค้ารายใหญ่ของ ธ.ยูบีเอส ตั้งแต่ราวๆ ปี 2543 จ่ายค่าธรรมเนียมกรณีแอมเพิลริช (เชื่อว่า วินมาร์ค ด้วย) ตั้งเท่าไร หาก ธ.ยูบีเอสรายงานผิดจริงๆ การแจ้งให้ ธ.ยูบีเอส ยอมรับว่า หุ้นในส่วนของวินมาร์คนั้น ไม่ใช่ของครอบครัวชินวัตร แต่เป็นของ นายมาห์มูด โมฮัมหมัด อัล อันซารี ตามคำให้การของครอบครัว การนับรวมหุ้นกับแอมเพิลริช ซึ่งเป็นของครอบครัวชินวัตรดังที่ทำรายงาน 246-2 ไปนั้น จึงไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ในเมื่อไม่ใช่ของบุคคลเดียวกัน ก็ต้องยกเลิกรายงาน 246-2 ให้เป็นโมฆะ ซึ่งน่าจะทำได้ง่ายมาก ตั้งแต่ปี 2544 (ปีที่รายงาน) ปี 2549 (ปีที่มีการสอบถามเพิ่มเติมและชี้แจง) หรือปัจจุบัน ก็ไม่เคยทำ ทำได้ดีที่สุดแค่ “อาจ” เป็นเพราะเข้าใจผิด จึงทำให้ขาดน้ำหนักในการโต้แย้ง โดยสิ้นเชิง

รายละเอียดในเรื่องนี้มีดังนี้

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพวกได้อ้างถึงข้อกล่าวหา คตส.ว่า หลักฐานสำคัญอีกประการหนึ่ง คือพฤติการณ์จัดการดูแลหุ้นชินคอร์ป ที่เกิดขึ้นในบัญชียูบีเอส ในช่วงปี 2544 ที่ได้เริ่มมีการย้ายหุ้นชินคอร์ปของวินมาร์ค จำนวน 54,059,130 หุ้น (ตามรายงาน คือ 5,405,913 หุ้น ก่อนแตกราคาพาร์) ซึ่งเปิดบัญชีฝากไว้ในนามยูบีเอส บัญชีเลขที่ 800248002 ที่ธนาคารซิตี้แบงก์ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็น custodian ก่อน จากนั้นจึงได้มีการย้ายหุ้นหุ้นชินคอร์ป 100 ล้านหุ้น (10 ล้านหุ้นก่อนแตกราคาพาร์) ของแอมเพิลริชไปฝากไว้กับยูบีเอส ในบัญชีเดียวกันกับบัญชีหุ้นชินคอร์ปของวินมาร์ค บัญชีเลขที่ 800248002 เมื่อเดือนสิงหาคม 2544

จากนั้น ยูบีเอสก็ได้มีหนังสือรายงาน (246-2) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต.ว่าธุรกรรมดังกล่าวได้ยังผลให้ธนาคารต้องรับดูแลจัดการหุ้นชินคอร์ปของบุคคลหนึ่งเพิ่มขึ้นเกินระดับ 5% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ตามหลักเกณฑ์ของ ก.ล.ต. จึงได้รายงานให้ ก.ล.ต.ได้ทราบ ซึ่งแสดงว่า ยูบีเอสได้พบว่าทั้งวินมาร์คและแอมเพิลริช เป็นของบุคคลเดียวกัน จึงต้องนำหุ้นทั้งสองมารวมเข้าด้วยกัน... แล้วคิดเป็น 5.24% ของยอดหุ้นชินคอร์ปทั้งหมด ซึ่งเมื่อเพิ่มจนเกินระดับ 5% (จุดเงื่อนไขต้องรายงาน triggered point) เช่นนี้แล้วยูบีเอส จึงมีหน้าที่ต้องรายงานต่อ ก.ล.ต.ไทยตามกฎหมาย

พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาว่า “เรื่องบริษัทผู้รับฝากทรัพย์สิน (custodian) เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของคณะอนุกรรมการไต่สวน โดยไม่มีพยานหลักฐานว่า หุ้นจำนวน 100 ล้านหุ้น และหุ้นจำนวน 54,059,130 หุ้น เป็นของใคร และบุคคลเดียวกันจะหมายถึงใคร ซึ่งข้าพเจ้าไม่ทราบ โดยข้าพเจ้ารู้เพียงว่ายูบีเอส เป็นบริษัทผู้รับฝากทรัพย์สิน ที่ให้บริการจัดการดูแลหุ้นและหลักทรัพย์ ซึ่งย่อมจะให้บริการแก่ลูกค้ารายอื่นด้วย

การที่ยูบีเอสนำหุ้นชินคอร์ปของลูกค้าทุกรายที่ตนดูแลอยู่มารวมไว้ในบัญชีเดียวกัน บัญชีเลขที่ 800248002 ซึ่งเป็นบัญชีของยูบีเอส ก็เป็นเรื่องของยูบีเอสเอง เพราะมีฐานะเป็นบริษัทผู้รับฝากสินทรัพย์ คือหุ้นดังกล่าวทั้งหมด โดย “อาจ” เห็นว่าเป็นหุ้นชินคอร์ป เหมือนกันจึงนำมารวมในบัญชีเดียวกัน ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่ายูบีเอส คงจะต้องมีบัญชีและหลักฐานที่แสดงชัดเจนว่าหุ้นทั้งหมดในบัญชีดังกล่าวเป็นของผู้ใดและจำนวนเท่าใดบ้าง…

หากยูบีเอส นำหุ้นมารวมในบัญชีเดียวกันจริง ยูบีเอส “อาจ” เห็นว่าเมื่อตนเป็นผู้ดูแลหุ้นของลูกค้าในบัญชีดังกล่าว เมื่อรวมกันแล้วมีจำนวนถึงเกณฑ์ต้องรายงาน จึงได้ดำเนินการรายงานต่อ ก.ล.ต. แต่ไม่ได้หมายความว่าหุ้นทั้งหมดเป็นของบุคคลเดียวกัน และเป็นของข้าพเจ้าและคู่สมรส... การเป็นของบุคคลเดียวกัน บุคคลนั้นน่าจะหมายถึงยูบีเอสนั่นเอง มิใช่ข้าพเจ้าและคู่สมรส ยูบีเอสจึงรายงานให้ ก.ล.ต.ในฐานะบริษัทผู้รับฝากทรัพย์สินทั้งหมดแทนผู้ถือหุ้นอื่นทุกคนที่เป็นเจ้าของที่แท้จริง

คำชี้แจงแบบข้างๆ คูๆ เช่นนี้ ไร้ความน่าเชื่อถือ ด้วยหลักฐานและเหตุผล ดังต่อไปนี้

1. การรายงาน 246-2 ซึ่ง ธ.ยูบีเอส ทำเมื่อเดือนสิงหาคม 2544 เป็นการรายงานตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ฯ 2535 มีเป็นภาษาอังกฤษเรียบร้อย โดยมีเนื้อหาสรุปว่า “Securities of a business held by the following persons or partnerships shall be regarded as securities held by the person referred to in Section 246 and Section 247: (1) the spouse of such person; (2) a minor child of such person; …(4) a limited partnership in which such person or the person under (1) or (2) is an unlimited liability partner or a limited liability partner who collectively holds contribution in an amount exceeding thirty percent of the total contribution of the limited partnership; …

กล่าวคือ การทำรายงานนี้ ไม่ใช่ใครนึกจะเอาหุ้นของคนอื่นมารวมกันโดยไม่ได้เป็นไปตามข้อกฎหมายมาตรา 246 และ 258 นี้ก็ไม่ถูกต้อง การที่ ธ.ยูบีเอส รายงานไปนั้น จึงทำตามกฎหมายนี้ จะอ้างว่าไม่ทราบกฎหมายก็คงไม่ได้ ด้วยมีภาษาอังกฤษแปลไว้ชัดเจน จะอ้างว่า ก.ล.ต.ก็ยอมรับว่าวิธีปฏิบัติของแต่ละรายในการแจ้งรายชื่อผู้ถือหุ้นมีวิธีปฏิบัติที่แตกต่างกัน เช่น บางรายแจ้งเป็นชื่อลูกค้า บางรายก็แจ้งเป็นชื่อบริษัทผู้รับฝากทรัพย์สินก็ไม่น่าเชื่อถือ เพราะด้วยฐานะลูกค้ากลับไม่ให้ยูบีเอสตอบให้ชัดในประเด็นนี้อย่างเจาะจง

2. แม้ในปี 2549 ประมาณ 5 ปีต่อมา ตามที่มีหนังสือโต้ตอบระหว่างสำนักงาน ก.ล.ต. และ ธ.ยูบีเอส เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่า รายงาน 246-2 นี้มีความผิดพลาดหรือไม่? ปรากฏตามหนังสือแถลงข่าวของสำนักงาน ก.ล.ต. ว่า ธ.ยูบีเอสได้มีหนังสือลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2549 เพื่อชี้แจงสำนักงาน ก.ล.ต. ว่า “รายงานแบบ 246-2 เป็นความผิดพลาด ทั้งนี้ รายการดังกล่าวไม่ใช่เป็นการซื้อในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ราคาหุ้นละ 179 บาทแต่อย่างใด” แต่ไม่ได้แก้ไขว่า นับรวมหุ้น 10 ล้านหุ้น กับ 5.4 ล้านหุ้นมิได้เป็นของบุคคลเดียวกันตามมาตรา 246 และ 258 เลย แสดงว่าหลังจากการ “ตรวจสอบแล้ว” มีการแก้ไขเฉพาะจุดเล็กๆ แต่ไม่แก้ประเด็นการรวมหุ้นของบุคคลเดียวกัน ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดรายงานนี้ จึงยังเป็นการยืนยันว่า เป็นการรวมหุ้นของบุคคลเดียวกันจริง แล้วผ่านจุดที่ต้องรายงาน (triggered) ตามกฎหมายนั่นเอง

ทุกท่านลองคิดดูได้ครับว่า หากมีการถามเพื่อความชัดเจน จะได้ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หมดข้อสงสัยว่าเป็นเจ้าของหุ้นทั้ง 2 จำนวนหรือไม่ การได้ทบทวนแล้วบอกว่า หุ้นวินมาร์คเป็นของ นายมาห์มูด โมฮัมหมัด อัล อันซารี ต้องไม่นับรวมกับหุ้น 100 ล้านหุ้นของแอมเพิลริช ของครอบครัวชินวัตรนั้น รายงานนี้ก็ยกเลิกเป็นโมฆะ ก็จะไม่ง่ายกว่าหรือ จะไม่ชัดกว่าหรือ ปรากฏว่า ได้แก้ไขเพียงเรื่องการซื้อนอกตลาดฯ และไม่ใช่ราคา 179 บาทเท่านั้นเอง ปล่อยให้เป็นเรื่อง “อาจจะ” ต่อไป

แน่นอน หากหลงไปถามคำถาม ธ.ยูบีเอสกว้างๆ ว่า หุ้นทั้งหมดที่ ธ.ยูบีเอสดูแล เป็นของใครบ้าง ยูบีเอสย่อมตอบไม่ได้ เพราะต้องรักษาความลับ (Confidentiality) ของลูกค้า แต่ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะลูกค้า จะแจ้งต่อยูบีเอสว่า ให้รับรองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และบรรดาบริษัท หรือกองทุนที่ถือต่อกันเป็นทอดๆ นั้น มีเพียง 100 ล้านหุ้นนั้น ส่วนอีก 54 ล้านหุ้นเศษนั้นไม่ใช่ ย่อมทำได้ แต่ไม่เคยได้ทำ

แต่เป็นเพราะ ธ.ยูบีเอส เป็นธนาคารที่ทำหน้าที่นี้ระดับโลก โดยทำหน้าที่ในหลายๆ ประเทศ เขาไม่ยอมรับหรอกว่า ได้ทำหน้าที่รายงาน 246-2 ไปโดยไม่เข้าใจกฎหมายของประเทศไทยว่าต้องนับรวมของกลุ่มบุคคลเดียวกันตามกฎหมายเท่านั้น และก็จะไม่ยอมแจ้งเท็จอย่างจงใจ เพื่อปกปิดความผิดของใครด้วย

3. ฝ่ายผู้คัดค้านได้อ้างว่า มีพยานเอกสารของนายมาห์มูด โมฮัมหมัด อัล อันซารี ซึ่งเป็นคำชี้แจงโดยรับรองจากศาลดูไบ ยืนยันว่า นายมาห์มูด เป็นเจ้าของบริษัท วินมาร์คที่แท้จริงเพียงผู้เดียว ก็น่าแปลกใจว่า ก่อนหน้านี้ ไม่เคยแสดงตัวเลย แต่หลังจากกองทุนเหล่านี้ขายหุ้นไปหมดแล้วจึงปรากฏตัว นี่เป็นเพราะความเสี่ยงที่จะถูกนายมาห์มูด โมฮัมหมัด อัล อันซารี ยึดเอาหุ้นไปหมดแล้ว จึงปรากฏชื่อมาหรือไม่?
เรื่องการอ้างถึง นายมาห์มูด โมฮัมหมัด อัล อันซารี ช่างขัดกับพฤติกรรมการปกปิดมากว่า 10 ปี ดังนี้

1) วันที่ 1 สิงหาคม 2543 วินมาร์คได้มาซื้อหุ้น (1) พี.ที. คอร์ปอเรชั่น (2) เอสซีออฟฟิซ ปาร์ค (3) เวิร์ธ ซัพพลายซ์ (4) โอเอไอ พร็อพเพอร์ตี้ (เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (มหาชน) : SC) (5) เอส ซี เค เอสเทต (6) บี.พี. พร็อพเพอร์ตี้ ทุกบริษัท ที่ราคาพาร์ (แม้กระทั่งบริษัทที่ชำระหุ้นเพิ่มทุนเพียงบางส่วน)

โดยในวันที่ 11 กันยายน 2543 ประชาชาติธุรกิจ ได้พาดหัวข่าวใหญ่โดยคุณ ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ว่า “ตะลึง! ‘ทักษิณ’ โอนหุ้น 900 ลบ. เข้าบริษัทบนเกาะฟอกเงิน” ในวันที่ 12 กันยายน 2543 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ ที่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย การขายหุ้นอสังหาริมทรัพย์ 5-6 บริษัทให้แก่กองทุนวินมาร์คนั้น “เป็นการขายหุ้นให้แก่นักลงทุนต่างประเทศธรรมดา ไม่มีอะไรที่พิสดาร มีการโอนขายไป 500-600 ล้านบาท หรือ 700-800 ล้านบาท จำนวนเท่าไหร่ จำตัวเลขที่แน่นอนไม่ได้ ขายไปในราคาพาร์หุ้นละ 10 บาท ตอนนี้ต้องยอมรับว่า ตอนนี้อสังหาริมทรัพย์ในตลาดต่ำกว่าราคาพาร์ทั้งนั้น เราขายได้ราคาพาร์ในช่วงนี้ก็ถือว่าเฮงแล้ว”

ข้อพิรุธคืองบการเงินแต่ละบริษัทในช่วงนั้นของแต่ละบริษัทย่อมแตกต่างกันไป เช่น เวิร์ธ ซัพพลาย มีมูลค่าทางบัญชีหุ้นละ 7.3-7.4 บาท ปี 2543 ขาดทุน 118 ล้านบาท คิดเป็น 2.68 บาทต่อหุ้น ก็ขายที่ 10 บาท บี.พี.พร็อพเพอร์ตี้ (เดิมคือ บริษัท บัสซาวด์) มีมูลค่าทางบัญชีหุ้นละ 5.5-5.7 บาท ปี 2543 ขาดทุน 13.6 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุน 0.40 บาทต่อหุ้น ก็ขายที่ 10 บาท ต่างกับกรณีขายหุ้นให้เทมาเส็กโดยสิ้นเชิงที่โอนครั้งเดียวแลกหุ้น ด้วยราคาที่ต่อรองกันจนสรุปได้ที่ 49.25 บาทต่อหุ้นจริง ไม่ใช่เหมาที่ราคาพาร์เช่นนี้ ซึ่งเหมือนการโอนในครอบครัวมากกว่าที่ทุกรายการในครอบครัวชินวัตร ก็ทำที่ราคาพาร์ (นอกจากหนี้ปลอม 3,000 ล้านบาท ค่า TMB-C1 ทำที่ 10 บาท ทั้งที่ต้นทุนหญิงอ้อเป็นศูนย์)

2) ผู้สื่อข่าวถามว่า “บริษัทที่ขายหุ้นให้กับต่างชาติก็ผลประกอบการไม่ค่อยดีนัก ทำไมนักลงทุนถึงสนใจซื้อ” ทักษิณตอบว่า “ที่ต่างชาติสนใจซื้อเพราะบริษัทจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในโอกาสต่อไป” แต่ความจริงใน 6 บริษัทที่วินมาร์คซื้อไปนี่ มีบริษัทเดียวที่เข้าตลาดฯ ได้ คือ บ. โอเอไอ พร็อพเพอตี้ (ปัจจุบันคือ SC) แต่วินมาร์คกลับขายหุ้นออกไป 3 สัปดาห์ก่อนยื่นไฟลิ่ง คือวันที่ 11 สิงหาคม 2546 โดยผู้ซื้อคือ VAF ซึ่งถือหุ้นเพียง 3 สัปดาห์แล้วขายต่อให้ อีก 2 กองทุน คือ OGF และ ODF เหมือนเป็นคนละกองทุน โดยทั้ง VAF, OGF และ ODF มีที่อยู่ที่มาเลเซียเหมือนกัน คือ เลขที่ L1, LOT7, BLK F, …LABUAN FT, MALYSIA

3) ถ้าวินมาร์คเป็นของ นายนายมาห์มูด โมฮัมหมัด อัล อันซารี จริง ทำไมไม่เปิดเผยตัวตั้งแต่ตอนนั้น จะทำให้ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งได้อย่างไร้ข้อกังขา จะกล่าวว่าตอนนั้นยังไม่รู้จักก็ฟังไม่ขึ้น เพราะการซื้อหุ้นตั้ง 6 บริษัท เป็นหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ผู้สอบบัญชีไม่ใช่ระดับสากล ก็ซื้อเหมาเข่งที่ราคาพาร์ทุกหุ้น และก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัทใดๆ ให้เป็นคนของนายมาห์มูด โมฮัมหมัด อัล อันซารี เลย ต้องรู้จักใกล้ชิดกันมากจึงยอมขนาดนั้นได้ แต่กลับไม่ได้เปิดเผยในช่วงนั้น

4) ข้อพิรุธสำคัญตามคำชี้แจงตามหนังสือถึงสำนักงาน ก.ล.ต. ในวันที่ 18 ตุลาคม 2549 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คือ รายการรับเงินของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร มูลค่าขายหุ้นรวม 650,500,000 บาท ทยอยรับเงินเป็น 5 รายการ รวม 612,959,600 บาท ราวกับทยอยเบิกเงินของตนเองมาใช้ โดยงวดที่เป็นพิรุธมากขึ้น คือรายการวันที่ 11 พ.ค. จำนวน 191,999,900 บาท และ 12 พฤษภาคม จำนวน 243,809,900 บาท และ115,949,900.00 บาท รวมประมาณ 550 ล้านบาทนั้น เป็นระยะเวลาล่วงหน้าถึงประมาณ 3 เดือนก่อนการโอนหุ้น และที่เหลือ 1 เดือนครึ่งหลังการโอนหุ้นทั้งจำนวน ก็ไม่น่าเชื่อถือ ด้วย 3 ก้อนแรกนั้น สอดคล้องกับการใช้จ่ายค่าจองซื้อหุ้นสามัญ บมจ. ธนาคารทหารไทย 500 ล้านบาท (เพิ่มจาก 1,000 ล้านบาทในบัญชีในประเทศ) ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2543 ทำให้เชื่อได้ว่า เป็นการนำเงินของวินมาร์ค ซึ่งเป็นของตัวมาจองซื้อหุ้นธนาคารทหารไทย และใบสำคัญแสดงสิทธิ์อนุพันธ์ตามความประสงค์ของตนมากกว่า

ทั้งนี้ วินมาร์คจ่ายเงินกว่า 500 ล้านบาท โดยไม่ได้หุ้นอะไรเลย จนอีก 3 เดือนจะได้หุ้นนั้น ไม่น่าเชื่อว่า จะเป็นความจริงได้ ทั้งนี้ หุ้นก็เป็นหลักทรัพย์ที่แบ่งแยกทยอยส่งมอบตามจำนวนที่ตกลงกันก็ย่อมได้ แต่การไม่มีสัญญาและจ่ายเงินก่อนการได้หุ้นประมาณ 3 เดือนนั้น แสดงว่าเป็นนอมินีของตนนั่นเอง

5) ที่สำคัญคือ ก.ล.ต. ตรวจสอบพบว่า ในยอดรวม 1,500 ล้านบาทค่าหุ้นนั้น เงินประมาณ 1,200 ล้านบาทมาจากบัญชีที่ใช้ชื่อวินมาร์ค แต่ประมาณ 300 ล้านมาจากบัญชีของครอบครัวชินวัตรเอง แต่อ้างชื่อวินมาร์ค!!

6) โดย ก.ล.ต. พบหลักฐานชัดแล้วว่า วินมาร์คและแอมเพิลริชเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ผ่านกองทุน ซิเนตร้าทรัสต์ และบลูไดมอนด์ และพบตรงกับ คตส. อีกประการ คือ วินมาร์ค มีรหัสบัญชี 121751 ที่ ธ.ยูบีเอส สิงคโปร์ เคยถือหุ้น SHIN ประมาณ 54 ล้านหุ้น (พาร์ 1 บาท = 5.4 ล้านหุ้นช่วงพาร์ 10 บาท) ด้วย!!

7) นอกจากนั้น ในช่วงที่ SC เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น มีการเพิ่มทุนที่ราคาหุ้นละ 10 บาท เพื่อขายให้ น.ส.พิณทองทา และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นเหตุให้ VIF ต้องเสียประโยชน์จากส่วนต่างของราคาหุ้นเมื่อ SC ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ประมาณ 71 ล้านบาทเศษ ทำให้ไม่น่าเชื่อว่า VIF เป็นผู้ลงทุนอิสระจริง

8) หลังจากขายหุ้นที่เข้าตลาดฯ ได้หุ้นเดียว คือ SC ไป วินมาร์คกลับถือหุ้นที่เหลือที่ “ไม่ได้เข้าตลาดฯ” ไปอีกปี แล้วขายคืนให้ น.ส.พิณทองทา ทั้งหมด เป็นเงิน 485.8 ล้านบาท ในวันที่ 27 ตุลาคม 2547 ทุกบริษัทเหมาเข่งที่หุ้นละ 10 บาท เหมือนเดิม ซึ่งมิใช่วิสัยของนักลงทุนทั่วไป แต่เป็นลักษณะนอมินีอีกเช่นเคย

9) วันที่ 15 กันยายน 2552 คุณหญิงอ้อ อธิบายให้การผิดๆ ถูกๆ อย่างสับสนว่า อีก 5 บริษัท อาจจะมีแผนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในต่างประเทศหรือในไทย หากมีการเจรจาธุรกิจจริง ในปี 2543 และรับเงินล่วงหน้าตั้งประมาณ 3 เดือนเข้าบัญชีของตน ควรรู้ชัดอยู่แล้ว

10) วันที่ 17 ก.ย. 2552 น.ส.พิณทองทา ยังเบิกความถึงความจำเป็นที่จะต้องซื้อหุ้นบริษัทคืนจากบริษัท วินมาร์ค ที่มีนายมาห์มูด มหาเศรษฐีชาวตะวันออกกลาง เพื่อนนักธุรกิจของบิดา ว่า เพราะก่อนหน้านั้น บิดาเคยขายหุ้นให้ บ.วินมาร์ค ปี 2542 เนื่องจากขณะจะนำบริษัทในเครือชิน 5 แห่ง เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ และให้คำมั่นไว้ว่าจะรับซื้อคืน หากไม่ได้นำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ครบตามที่ระบุไว้

ดังนั้น เมื่อตนมีเงินปันผลจากบริษัท จึงนำเงินซื้อหุ้นที่เคยเป็นธุรกิจของครอบครัวกลับมา ระหว่างปี 2547มูลค่า 485 ล้านบาทเศษ ซึ่งน่าสงสารที่ น.ส.พิณทองทา ต้องให้การเท็จเพื่อพ่อแม่ เพราะ เธออ้างว่ามีเงื่อนไขต้องเอาเข้าตลาดฯ แต่เธอทราบหรือไม่ว่า เป็นเพียงคำอ้าง ด้วยเพียง 3 สัปดาห์ก่อนที่ SC ยื่นไฟลิ่ง วินมาร์คกลับขายออกไปก่อนให้ VIF และต่อไปที่ OGF และ ODF และสำหรับบริษัทที่เหลือ ในเมื่อเป็นกิจการของผู้ถือหุ้นกลุ่มเดียวกัน ทำธุรกิจคล้ายๆ กันกับ SC ในตลาดฯ ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ก.ล.ต.ย่อมไม่อนุญาตเช่นนั้นอยู่แล้วกลับถือต่ออีกกว่าปีจึงมาขายให้เธอ

ไทยทนฟังคำให้การของผู้นำกลุ่มเสื้อแดง ว่า “รัฐธรรมนูญห้ามถือหุ้น ท่านทักษิณก็โอนหุ้นเหมือนทุกคน ท่านทำอะไรก็ผิด เพราะ 2 มาตรฐาน นี่ถ้าถือหุ้นอยู่จะไม่ผิดหรืออย่างไร?” ก็เป็นการเท็จให้คนเข้าใจผิด ด้วยถ้าโอนจริงก็ไม่ผิด แต่โอนให้ลูกก็เท็จ ด้วยมีหนี้ปลอม 3,000 ล้านบาท วินมาร์คก็ซุกซ่อน ฯลฯ จึงผิด สื่อมวลชนจึงมีบทบาทสำคัญเพื่อให้สังคมรับรู้ความจริงเดียวกัน และคนไทยไม่ต้องขัดแย้งกัน
User avatar
Bookmarks
 
Posts: 8298
Joined: Sun Feb 22, 2009 5:15 pm

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Tue Feb 16, 2010 8:04 pm

** ขอบคุณ .. คุณ Bookmarks มากค่ะ .. ที่ช่วยนำบทความมาเสริม :D :D
สำหรับสมาชิกท่านอื่น ๆ ถ้าใครมีบทความ หรือ รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องคดีของทักษิณ
นำมาเพิ่มเติมได้เลยนะค่ะ ...
;)
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Wed Feb 17, 2010 9:06 am

ไตรภาคคดียึดทรัพย์ทักษิณ ภาค 2 เอื้อประโยชน์ (9)
: เลี่ยง พ.ร.บ.ร่วมทุนฯแก้สัมปทาน รัฐเสียหาย 9.9 หมื่นล้าน


Image

ตามแถลงการณ์ปิดคดีของอัยการสูงสุดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2553
ร้องขอให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติและได้มา


เนื่องจากการกระทำที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวมของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตกเป็นของแผ่นดิน โดยมีลักษณะเป็นการกระทำเอื้อประโยชน์จากการใช้อำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวม 5 กรณี

1 ใน 5 กรณี การแก้ไขสัญญาระหว่าง บริษัท ทศท กับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นการแก้ไขสัญญาหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว คือ ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2544 โดยปรับลดส่วนแบ่งรายได้แบบ Prepaid และ ครั้งที่ 7 เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2545 กำหนดผลประโยชน์ตอบแทนจากค่าใช้เครือข่ายร่วม(Roaming)

เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2533 บริษัททีโอที จำกัด(มหาชน) ได้ลงนามในสัญญากับบริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ดำเนินการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ Cellular Mobile Telephon ระบบ NMT 900 และ GSM ทั่วประเทศแบบคู่ขนานกันไปมีกำหนด 20 ปี เริ่มนับวันแรกที่เกิดกิจการตามที่ระบุในหนังสือตอบยืนยันของ ทศท ในการอนุญาตให้เกิดบริการ โดยบริษัทเป็นผู้ลงทุนในการจัดหาสถานที่ เครื่องมือและอุปกรณ์ระบบ Cellular 900 ทั้งหมด และกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินหรือเครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆ ที่บริษัททำขึ้นตกเป็นของ ทศท ทันทีที่ติดตั้งเสร็จเรียบร้อย แต่ไม่รวมเครื่องรับโทรศัพท์เคลื่อนที่

การแก้ไขสัญญาครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2534 จนครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2545 รวม 7 ครั้ง และการแก้ไขครั้งที่ 6-7 ซึ่งตามสำนวนของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และอัยการสูงสุดเห็นว่าเป็นการกระทำที่เอื้อประโยชน์

ในการแก้ไขสัญญาครั้งที่ 6 ได้ปรับลดส่วนแบ่งรายได้แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (Prepaid) โดยบริษัทแอดวานซ์ฯ ตกลงจ่ายเงินผลประโยชน์ตอบแทนสำหรับการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า(Prepaid Card) ให้แก่ ทศท ในอัตราร้อยละ 20 ของ (ก) มูลค่าของราคาหน้าบัตร และของ (ข) รายได้ที่บริษัทได้รับจากผู้ใช้บริการที่ต้องชำระครั้งแรกเพื่อขอเปิดบริการ (ถ้ามี)

ข้อตกลงนี้มีผลใช้บังคับ 1 มิ.ย. 2544 สำหรับการให้บริการ Prepaid Card ที่ทดลองเปิดบริการไปก่อนวันที่ตกลงนี้มีผลใช้บังคับให้ถือปฏิบัติตามสัญญาหลัก

การแก้ไขสัญญาครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศในรัฐบาลต่อมา ต้องนำปัญหานี้ให้คณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยถึงความสมบูรณ์ถูกต้องของการแก้ไขสัญญาเพื่อลดค่าสัมปทานในครั้งนี้ และคณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยไว้แล้วตามบันทึกเรื่องเสร็จที่ 291/2550 เมื่อเดือนพฤษภาคม 2550 ว่า เป็นการละเว้นไม่ทำตามขั้นตอนของตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงาน หรือดำเนินการในกิจการของรัฐพ.ศ. 2535 ที่เป็นสาระสำคัญ ผู้รับผิดชอบในฝ่ายบริหารย่อมมีอำนาจเพิกถอนได้ กฎหมายต่อไป ซึ่งหากเพิกถอนเมื่อใดก็ย่อมจะมีผลในทางแพ่งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่รัฐอีกชั้นหนึ่งด้วย

ลดค่าสัมปทานให้บริษัทแอดวานซ์ฯ ตามมติของ ทศท ลดส่วนแบ่งค่าสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบเติมเงินจากส่วนแบ่ง 25% ของรายรับ เหลือ 20% ทำให้ เอไอเอส ได้ลดส่วนแบ่งอันพึงต้องจ่ายตลอดอายุสัญญาเมื่อเปรียบเทียบรายได้ของรัฐที่ควรได้จากบริษัทเอไอเอสหากไม่มีการแก้ไขสัญญาเพื่อลดค่าสัมปทาน

นอกจากนี้ ข้ออ้างเรื่องความเป็นธรรมและให้เกิดการแข่งขันเป็นข้ออ้างที่ไม่มีเหตุผล เนื่องจาก ดีแทค ซึ่งเป็นผู้ประกอบการอีกหนึ่งราย ต้องเสียส่วนแบ่งรายได้ให้แก่ กสท และเสียค่าเชื่อมโยงเครือข่ายให้กับ ทศท ซึ่งทำให้ต้นทุนดีแทคสูงกว่าบริษัทแอดวานซ์ฯ ที่เสียส่วนแบ่งรายได้ร้อยละ 20 จึงเป็นการสร้างความได้เปรียบให้กับบริษัทแอดวานซ์ฯ

ตั้งแต่มีการแก้ไขสัญญาครั้งที่ 6 จนถึงเดือนกันยายน 2549 บริษัทแอดวานซ์ฯ ได้ประโยชน์ เป็นจำนวนเงิน 14,213.75 ล้านบาท และได้ประโยชน์ในอนาคตถึงวันสิ้นสัญญาสัมปทาน อีก 56,658.28 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 70,872.03 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนที่ ทศท ต้องสูญเสียรายได้ตามที่ประมาณการไว้

ต่อมาอีก 1 ปี หลังจากผู้ใช้บริการเพิ่มมากขึ้น และบริษัทแอดวานซ์ฯ ต้องขยายบริการลูกค้า แต่เลี่ยงการลงทุนในการสร้างสถานีเครือข่าย เพราะต้องออกค่าใช้จ่ายลงทุนทั้งหมด ซึ่งในตอนแรกเริ่มทำลองใช้เครือข่ายของบริษัทดิจิตอลโพน จำกัด (ดีพีซี) ซึ่งได้รับสัมปทานจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท) และบริษัทแอดวานซ์ฯ ถือหุ้นกว่าร้อยละ 90 ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทเดียวกัน

จากนั้นจึงเป็นที่มาของการแก้สัญญาครั้งที่ 7 เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2545 ในการกำหนดผลประโยชน์ตอบแทนจากค่าใช้เครือข่ายร่วม (Roaming) ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

ข้อ 2 บมจ.ทศท อนุญาตให้บริษัทนำโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ตามสัญญาหลักไปให้ผู้ให้บริการรายอื่นมาใช้เครือข่ายร่วม(Roaming) ได้ และอนุญาตให้บริษัทเข้าไปใช้เครือข่ายร่วม (Roaming) ของผู้ให้บริการรายอื่นได้เช่นเดียวกัน

ข้อ 3 การใช้เครือข่ายร่วม (Roaming) ตามข้อ 2 บริษัทมีสิทธิเรียกเก็บค่าใช้เครือข่ายร่วม (Roaming) ในอัตรานาทีละไม่เกิน 3 บาท ทั่วประเทศ และบริษัทมีสิทธิจ่ายค่าใช้เครือข่ายร่วม (Roaming) ในอัตรานาทีละไม่เกิน 3 บาท ทั่วประเทศ

ข้อ 6 บริษัทตกลงจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนค่าใช้เครือข่ายร่วม (Roaming) ให้ บมจ.ทศท ดังนี้

6.1 กรณีที่ผู้ให้บริการรายอื่นเข้ามาใช้เครือข่ายร่วม (Roaming) ในเครือข่ายของบริษัท บริษัทตกลงจ่ายเงินผลประโยชน์ตอบแทนให้บมจ.ทศท ในอัตราตามสัญญาหลัก ข้อ 30 และข้อตกลงต่อท้ายครั้งที่ 4 ข้อ 7 ของรายได้ค่าใช้เครือข่ายร่วมที่เรียกเก็บจากผู้ให้บริการรายอื่น

6.2 กรณีบริษัทเข้าไปใช้เครือข่ายร่วม (Roaming) ของผู้ใช้บริการรายอื่น บริษัทตกลงจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้บมจ.ทศท ในอัตราร้อยละตามสัญญาหลัก ข้อ 30 และข้อตกลงต่อท้ายครั้งที่ 4 ข้อ 7 ของรายได้ค่าบริการและเงินอื่นใดที่เรียกเก็บจากผู้ใช้บริการ หักด้วยค่าใช้เครือข่ายร่วมที่บริษัทต้องจ่ายให้กับผู้ให้บริการรายอื่น

ทั้งนี้ บริษัทตกลงจ่ายค่าเครือข่ายร่วมให้กับผู้ให้บริการรายอื่นได้ไม่เกินอัตราค่าบริการต่อนาทีที่บริษัทเรียกเก็บจากผู้ใช้บริการ

6.3 ตามข้อ 6.1 และ 6.2 บริษัทไม่ดำเนินการใดๆ ในการให้บริการในลักษณะที่ทำให้ไม่เกิดรายได้จากการใช้เครือข่ายร่วม ไม่ว่าจะเป็นการให้ใช้หรือการเข้าไปใช้เครือข่ายร่วม และ/หรือ ในการให้บริการในลักษณะที่ทำให้เกิดภาระกับบมจ.ทศท เช่น ส่วนแบ่งรายได้มีผลติดลบ เป็นต้น

หากเปรียบเทียบในช่วงเวลาเดียวกัน บริษัทแอดวานซ์ฯ เข้าไปใช้เครือข่ายของดีพีซี 13,283,420,483 นาที ในขณะที่ดีพีซีเข้าไปใช้เครือข่ายของบริษัทแอดวานซ์ฯ 384,323,146 นาที ซึ่งต่างกันมาก จึงเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทแอดวานซ์ฯ ที่ไม่ต้องลงทุนในการสร้างเครือข่าย

ต่อมาบริษัทแอดวานซ์ฯ ตกลงกับ ดีพีซี ลดค่าโรมมิ่ง จากเดิมที่ กสท กำหนดไว้นาทีละ 2.10 บาท เหลือ นาทีละ 1.00-1.10 บาท ทำให้บริษัทแอดวานซ์ฯ มีรายได้เพิ่มนาทีละ 1.00-1.10 บาท และเป็นรายได้ที่ กสท ต้องขาดหายไปจากส่วนแบ่งร้อยละ 25

กรณีโรมมิ่ง กสท ขาดรายได้จากดีพีซี ที่เกิดขึ้นจริง(1 ก.ค.2549-31 มี.ค. 2550) เป็นจำนวน 796.22 ล้านบาท ซึ่งดีพีซีไม่อาจนำไปหักเป็นรายจ่ายจากรายได้ก่อนนำส่ง กสท ในขณะที่ ทศท ขาดรายได้ค่าส่วนแบ่งจากบริษัทแอดวานซ์ฯ แบ่งเป็นที่เสียหายจริง 6,960.35 พันล้านบาท (1 ต.ค.2545-30 เม.ย.2551) และความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตไม่น้อยกว่า 11,214 หมื่นล้านบาท (1 พ.ค.2551-ก.ย.2558) เนื่องจากสามารถนำรายจ่ายจากค่าโรมมิ่งไปหาจากรายได้ก่อนนำส่ง ทศท ได้ รวมแล้วไม่น้อยกว่า 18,870.57 หมื่นล้านบาท

นั่นหมายความว่า ทศท รับผิดชอบร่วมกับเอไอเอสในต้นทุนค่าใช้โครงข่ายร่วมกัน (Roaming) ที่บริษัทแอดวานซ์ฯ อ้างว่าจ่ายให้แก่ ดีพีซี

รัฐบาลต่อมา ส่งให้กฤษฎีกาตีความการแก้ไขสัญญาครั้งนี้เช่นกัน ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นการแก้ไขโดยมิชอบตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ซึ่งรัฐย่อมมีอำนาจเพิกถอน และเรียกร้องให้ผู้เกี่ยวข้องต้องชดใช้ความเสียหายให้แก่รัฐได้

การแก้ไขสัญญาสัมปทานนี้เอง ทำให้รายได้ของบริษัทแอดวานซ์ฯ เพิ่มขึ้น และส่งผลต่อมูลค่าหุ้นเพิ่มสูงขึ้น จนกระทั่งมีการขายให้เทมาเส็ก ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่อัยการแถลงว่า "มิสมควร"

อย่างไรก็ตาม ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้แก้ข้อกล่าวหา คงมุ่งไปที่ประเด็นข้อกล่าวหา "ปิดบังอำพรางหุ้น" แต่โดยรวมแล้วในกรณีการแก้ไขสัญญาสัมปทาน หน่วยงานรัฐเสียหาย 99,742.60 ล้านบาท


http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 17/100844/
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Thu Feb 18, 2010 6:48 pm

ไตรภาคยึดทรัพย์ "ทักษิณ" ภาคสอง (10)
: ภาษีสรรพสามิต ปกป้อง "เอไอเอส" ขวางเปิดเสรี โทรคมนาคม


ประเด็นหลักคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทนั้น เริ่มต้นจากการพิสูจน์ ปม "ซุกหุ้น"
จากข้อกล่าวหา พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯใช้นอมินี คือ วินมาร์ค และ แอมเพิลริช ถือครองหุ้นชินคอร์ป
รวมไปถึงข้อกล่าวหา "ร่ำรวยผิดปกติและการได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยมิสมควรสืบเนื่องจากตำแหน่งหน้าที่"
ซึ่งเกี่ยวโยงกับการเอื้อประโยชน์ใน 5มาตรการ คือ

1.แปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคม เป็นภาษีสรรพสามิต เอื้อประโยชน์ให้แก่ บจก.ชินคอร์ป หรือไม่

2.พ.ต.ท. ทักษิณ ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ แก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Cellular Mobile Telephone) ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ ที่ต้องจ่ายให้ ทศท จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (มือถือ) แบบบัตรเติมเงิน หรือ Prepaid Card ให้บริษัท AIS เป็น 20% จากเดิมที่ต้องจ่ายแบบอัตราก้าวหน้าในอัตรา 25-30% หรือไม่

3. พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ แก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Cellular MOBILE Telephone) เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2545 ปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วม (Roaming) เอื้อประโยชน์ชินคอร์ป และ AIS โดยแก้ไขให้ AIS เข้าไปใช้เครือข่ายร่วมผู้ให้บริการรายอื่นที่มีผลให้ AIS ไม่ต้องจ่ายเงินกว่า 18,970,579,711 บาท ให้แก่ ทศท และ กสท หรือไม่ และ

4.พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ อนุมัติโครงการยิงดาวเทียม IP STAR การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน ลงวันที่ 27 ต.ค. 2547 การอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทน ดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ เอื้อประโยชน์บริษัทชินคอร์ป และ บริษัท ชิน แซทเทลไลท์ จำกัด หรือไม่

5. พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่อนุมัติให้รัฐบาลพม่ากู้เงินเอ็กซิมแบงก์ จำนวน 4,000 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน และขยายเวลาปลอดการชำระหนี้ จาก 2 เป็น 5 ปี เพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์การพัฒนาระบบโทรคมนาคมของพม่า จาก ชิน แซทฯ หรือไม่

ในส่วนแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคม เป็นภาษีสรรพสามิต นั้น (หมายเหตุ:การแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และ Roaming ได้รายงานในฉบับวันที่ 17 ก.พ. 2553) ในคำฟ้องของอัยการ

จุดเริ่มต้นของข้อกล่าวหา แปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคม เป็นภาษีสรรพสามิต มาจากสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัททีโอที ได้มีหนังสือร้องเรียนต่อ คตส. ว่าการแปลงสัมปทานนั้น ไม่ถูกต้องตามกระบวนการบริหาร ทำให้เกิดความเสียหายต่อกิจการโทรคมนาคมของชาติ และทำให้บริษัทเอกชน ที่เกี่ยวโยงกับครอบครัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับประโยชน์อย่างมาก คตส.จึงมีการตั้งอนุกรรมการไต่สวนฯดังกล่าว ก่อนที่อัยการจะนำไปสู่การฟ้องร้องดังกล่าว

อัยการเห็นว่า อดีตนายกรัฐมนตรีนอกจากไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2543 ซึ่งตามกฎหมายได้กำหนดไว้ว่า สัมปทานหรือสัญญาใดๆ ที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ พ.ร.บ. มีผลบังคับใช้ นั้นยังคงสิทธิประกอบกิจการโทรคมนาคม ตามขอบเขตและสิทธิที่มีอยู่เดิม ตามที่ได้รับอนุญาตสัมปทานหรือสัญญานั้นต่อไป จนกว่าการอนุญาต สัมปทานหรือสัญญาดังกล่าวจะสิ้นสุด

โดยระหว่างประกอบกิจการดังกล่าว ต้องอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ตาม พ.ร.บ. ดังกล่าวและตามเงื่อนไขที่"กทช."กำหนดบนพื้นฐานของหลักการแข่งขันอย่างเสรีและอย่างเป็นธรรม

พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงไม่มีอำนาจและหน้าที่ในการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมแต่อย่างใด เพราะอำนาจในการสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้ประกอบการ เป็นอำนาจของ กทช.

ดังนั้น การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ดำเนินการตรา พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 พ.ศ.2546 ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องลดอัตราและยกเว้นภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 68) ลงวันที่ 28 ม.ค. 2546 และมีมติ ครม.วันที่ 11 ก.พ. 2546 ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต จากกิจการโทรคมนาคมและให้ค่าสัมปทานหักกับภาษีสรรพสามิตนั้น จึงเป็นการดำเนินการนอกเหนืออำนาจของตนเอง

ขณะเดียวกันการออกกฎหมายดังกล่าว เป็นการสร้างกลไกทางกฎหมาย เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการกีดกันผู้ประกอบการกิจการโทรคมนาคมรายใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องและยึดครองตลาดโทรคมนาคม ซึ่งบริษัทเอไอเอส เป็นบริษัทที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดมากที่สุด และชินคอร์ป เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่

ส่วนมุมมองของสองพยานที่สำคัญนั้น บันทึกไว้เช่นนี้

"สิทธิชัย โภไคยอุดม" อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้เบิกความว่า ในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ ได้ตั้งคณะทำงานตรวจสอบการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตโทรศัพท์เคลื่อนที่ และดาวเทียม ไอพี สตาร์ ในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเห็นว่า เมื่อ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ทศท คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) อ่อนแอลงทำให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนที่จะได้รับบริการด้านโทรคมนาคม

โดยพยานมีข้อสงสัยว่า เมื่อรัฐบาลมีนโยบายในการเรียกเก็บภาษีแสดงว่า รัฐบาลต้องการหารายได้ แต่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมีมติให้เอกชนที่ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เรียกเก็บภาษีสรรพสามิตคืนจากรัฐได้ ซึ่งทำให้รัฐไม่ได้เงิน แม้มีบางคนอ้างว่าไม่ได้ทำให้รัฐเสียหายที่จะต้องจ่ายเงิน แต่พยานเห็นว่าเป็นการทำให้รัฐเสียหายกว่า 6 หมื่นล้านบาท เพราะไม่สามารถนำรายได้จากการเก็บภาษีสรรพสามิตเข้าสู่รัฐได้ พยานจึงเสนอ ครม.สมัย พล.อ.สุรยุทธ์ ให้ยกเลิกมติ ครม.สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่อนุญาตให้เอกชนเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตคืนจากรัฐได้

เมื่อ ครม.พล.อ.สุรยุทธ์ ยกเลิกมติ ครม.ดังกล่าวแล้ว กรมสรรพสามิต สามารถเรียกเก็บภาษีได้จำนวนกว่า 1 พันล้านบาทเศษภายในระยะเวลา 1 เดือน นอกเหนือจากส่วนแบ่งรายได้ที่ผู้ให้บริการต้องจ่ายให้แก่รัฐ

นายสิทธิชัย อดีต รมว.ไอซีที เบิกความต่อว่า การเปลี่ยนแปลงการเก็บค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือให้แบ่งจ่ายเป็นภาษีสรรพสามิตได้นั้น "เป็นการกีดกันการแข่งขันอย่างเป็นธรรมในทางธุรกิจอย่างแยบยล"ไม่ให้นักลงทุนรายใหญ่จากต่างประเทศเข้ามาลงทุนธุรกิจโทรคมนาคมในประเทศหรือมาเป็นคู่แข่ง ขณะที่การให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ แม้ผู้ให้บริการรายเดิมจะต้องลงทุนไปแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท แต่เชื่อว่าน่าจะได้กำไรจากการลงทุนไปนานแล้ว เนื่องจากเริ่มแรกของการให้บริการประชาชนต้องเสียค่าใช้บริการในอัตราที่สูงถึงนาทีละ 8-12 บาท มานานกว่า 10-15 ปี และที่อ้างว่าสถานีเครือข่ายที่ก่อสร้างได้โอนให้รัฐตามสัญญาแล้วเป็นเพียงข้อความในกระดาษ เพราะความจริงแล้วผู้ให้บริการรายเดิมยังคงใช้ประโยชน์จนถึงปัจจุบัน

“ที่อ้างว่าต่างชาติมาลงทุนไม่ต้องเสียค่าสัมปทาน เสียแค่ค่าธรรมเนียม 6% เสียภาษี 10% แต่ความจริงแล้วผู้ลงทุนต่างชาติต้องใช้เงินลงทุน 1-2 แสนล้านบาทเหมือนกัน ส่วนภาษีสรรพสามิตขึ้นอยู่กับ ครม.จะมีมติให้เรียกเก็บ โดยมีเพดานสูงสุดที่ 50% ซึ่ง ครม. ขณะนั้นจะเรียกเก็บเพิ่มขึ้นเมื่อใดก็ได้ ซึ่งผู้ให้บริการรายเดิมไม่เสียหายแต่ผู้ลงทุนต่างชาติคงไม่ไหว ดังนั้นจึงไม่มีใครมาลงทุน จึงเห็นว่าเป็นการผูกขาดการลงทุนให้อยู่กับผู้ให้บริการรายเดิม”

ทนาย พ.ต.ท.ทักษิณซักค้านว่า ผู้ร้องเรียนกรณีโทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นพนักงานของ กสท. และ ทศท ซึ่งมีส่วนได้ส่วนเสียเพราะหากมีการยกเลิกแล้วเงินรายได้จะเข้าสู่ กสท และ ทศท ทำให้ได้รับเงินเดือนและโบนัสเพิ่มขึ้น นายสิทธิชัย อดีต รมว.ไอซีที กล่าวว่า เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่แล้วรายได้จะเข้าสู่รัฐ

ขณะที่ "สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์" รองประธานสถาบันเพื่อการวิจัยและพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) หนึ่งในพยาน ได้ตอบข้อซักถาม เกี่ยวกับมติ ครม.สมัยรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อวันที่ 3 มี.ค. 2541 ที่กำหนดให้มีการเปิดเสรีทางโทรคมนาคม 4 ประเภท ได้แก่โทรศัพท์พื้นฐาน แฟกซ์ เทเลพิมพ์ และเทเลกราฟ จนนำมาสู่การแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต นั้นว่า

เป็นการตีความที่ผิดพลาด เนื่องจากการแก้ไขเป็นการกีดกันการแข่งขันอย่างเสรี และทำให้รัฐสูญเสียรายได้ ต่อมากระทรวงคมนาคม ได้จ้างบริษัท ธนสาร และบริษัทที่ปรึกษาอื่นรวม 3 บริษัทเกี่ยวกับการแปลงสัญญาสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต ขณะเดียวกันคณะกรรมการกำกับรัฐวิสาหกิจก็ตั้งอนุกรรมการขึ้นมาศึกษาเช่นเดียวกัน โดยทั้งสองส่วนมีความเห็นด้วยและเห็นแตกต่างกันแต่ล้วนทำให้รัฐเสียหายโดยเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชน เช่น บริษัท ธนสาร เสนอให้ยุติการจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้กับรัฐตามที่เคยทำสัญญาสัมปทานไว้ ส่วนคณะอนุฯ ของรัฐวิสาหกิจ เสนอให้โอนโครงข่ายโทรศัพท์เป็นของรัฐตามเปอร์เซ็นต์ หรือแปลงค่าสัมปทานเป็นหุ้น หากดูผิวเผินเหมือนเป็นข้อเสนอที่เป็นธรรม แต่จริงๆ แล้วค่าสัมปทานนั้นเป็นรายได้ที่ต้องจ่ายให้รัฐก่อนที่จะหักรายจ่ายอื่นๆ แต่ถ้าเป็นหุ้นต้องถูกหักรายจ่ายก่อนปันผล จึงเห็นว่าเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชน

นายสมเกียรติ เบิกความอีกว่า ต่อมากระทรวงคมนาคมได้จ้างให้พยานร่วมกับนักวิชาการประมาณ 10 คน พิจารณาความเห็นของทั้งสองฝ่ายซึ่งสรุปว่า การแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตไม่มีความจำเป็นเพราะไม่เกิดประโยชน์ และตามหลักการการแก้ไขสัญญาก็ไม่ควรไปเพิ่มประโยชน์ให้กับคู่สัญญามากกว่าสัญญาที่ทำไว้เดิมโดยเฉพาะการโอนสิทธิต่างๆ ที่รัฐควรได้รับ แบ่งไปให้กับเอกชน

ส่วนหลักการเก็บภาษีสรรพสามิตเนื่องจากรัฐต้องการหารายได้และจะเก็บภาษีในสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่จะก่อให้ความเดือดร้อนกับผู้บริโภคหรือสังคมในภายหลังทั้งทางด้านสุขภาพ และมลภาวะ เช่น สุรา บุหรี่ หรือรถยนต์ แต่ในส่วนของการให้บริการกิจการโทรคมนาคมเป็นกิจการที่ประโยชน์ต่อประชาชนส่วนรวม โดยหลักการรัฐควรอุดหนุนด้วยการจัดสรรเงินให้ผู้ประกอบการเพื่อดำเนินกิจการได้อย่างแพร่หลายมากขึ้น ซึ่งปัจจุบัน กทช. ได้จัดตั้งกองทุนส่งเสริมการให้บริการโทรคมนาคมอย่างทั่วถึงเพื่อให้บริการประชาชนในพื้นที่ห่างไกล

ดังนั้น การเก็บภาษีกิจการโทรคมนาคมจึงไม่ใช่การสนับสนุน ส่วนการแก้ไข พ.ร.ก.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ในกิจการโทรคมนาคม ที่สูงถึงอัตรา 50% นั้น ไม่สามารถทำได้บ่อยครั้งเนื่องจากต้องขอความเห็นชอบของสภาแล้วจึงออกเป็นมติ ครม.ในการปรับลดหย่อนภาษี อย่างไรก็ตามปัญหาไม่ใช่อยู่ที่ตัวเลขอัตราการเก็บภาษี แต่อยู่ที่เหตุใดจึงต้องมีการเรียกเก็บภาษีโทรคมนาคมตั้งแต่แรก

ต่อมา ครม.สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ออกมติ ครม. ลดหย่อนการเก็บภาษีสรรพสามิตและให้นำมาหักค่าสัมปทานที่ต้องจ่ายให้รัฐได้ซึ่งทำให้เงินไม่เข้ารัฐ ดังนั้นการอ้างว่าจัดเก็บภาษีสรรพสามิต เพราะความจำเป็นด้านเศรษฐกิจที่ต้องหารายได้ จึงขัดแย้งกับเหตุผลของตัวเองที่ยกเว้นการเก็บภาษีจากผู้ให้บริการบางราย และการดำเนินการดังกล่าวยังเสมือนกับผู้ประกอบธุรกิจรายเดิมไม่ต้องเสียภาษี แต่เอาค่าสัมปทานที่จะต้องจ่ายรัฐ มาจ่ายเป็นค่าภาษีแทน ขณะที่หาก ครม.มีมติเก็บภาษีในอัตรา 25% เท่ากับรัฐไม่มีรายได้เลย ส่วนผู้ประกอบการรายใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดก็กลายเป็นว่าต้องเสียภาษีนอกเหนือค่าธรรมเนียมให้ กทช. อีก 6% ซึ่งไม่สามารถนำรายได้แบ่งหักอะไรได้ ส่งผลทำให้การเข้าสู่ตลาดยากขึ้น โดยยังไม่นับปัจจัยทางการเมืองที่ขณะนั้นที่นายกรัฐมนตรีเกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในกิจการโทรคมนาคมของประเทศ อีกทั้งการเรียกเก็บภาษีโดยกระทรวงการคลังก็เชื่อมโยงกับการเมืองที่จะกำหนดการเข้าสู่ตลาดของผู้ให้บริการรายใหม่

ดังนั้น มติ ครม.ที่ให้แปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต และให้นำไปหักลดการจ่ายเงินให้กับรัฐจึงไม่สอดคล้องกับแผนแม่บทการพัฒนากิจการโทรคมนาคมซึ่งไม่มีข้อใดระบุว่าให้เก็บภาษีสรรพสามิต

“ตั้งแต่เก็บภาษีสรรพสามิตเริ่มในปี 2546 ขณะนั้นมีผู้ใช้บริการ 35 ล้านเลขหมาย ปัจจุบันมี 100 เลขหมาย แต่ไม่มีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามา ไม่ก่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ทำให้ผู้บริโภคจ่ายค่าบริการที่สูง ทำให้เอกชนได้ผลกำไรตลอดไป แม้ค่าบริการจะลดลงจากเมื่อก่อนมากก็ตาม แต่หากมีการแข่งขันที่เป็นธรรมกว่านี้จะทำให้ผู้บริโภคจ่ายค่าบริการน้อยกว่านี้มาก เห็นว่าการเก็บภาษีสรรพสามิตของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการกีดกันการแข่งขันกิจการโทรคมนาคมอย่างแท้จริง”


http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 18/101081/
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby naiare » Thu Feb 18, 2010 11:04 pm

อ่านไม่จบเลย

แต่จุดสำคัญที่แม้วกลัวคนรู้ที่สุดคือ ตอนอินไซด์ค่าเงินบาทปี 40 ขนเงินออกไปช่วยถล่มประเทศจำนวนมาก เดาๆเอาว่า มันก็วินมาร์คนั่นแหละ
User avatar
naiare
 
Posts: 3000
Joined: Sun Mar 08, 2009 2:35 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Sat Feb 20, 2010 8:25 am

ไตรภาคคดียึดทรัพย์ทักษิณ ภาค 2 เอื้อผลประโยชน์ (11)
: คำสั่งลับ "พบกันครึ่งทาง" เพิ่มเงินกู้พม่าเอื้อ "ชินแซท"


Image

เราให้หลักการเขาไว้ 3,000 ล้านบาท เมื่อเขาขอมา 5,000 ล้านบาท
ก็ให้พบกันครึ่งทาง ให้เขา 4,000 ล้านบาท


และให้แจ้งไปว่านายกรัฐมนตรี ได้สั่งการว่าให้เพิ่มเป็น 4 พันล้านบาท

เป็นคำให้การของ นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ให้ไว้ต่อคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ถึงคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศ เพิ่มวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่รัฐบาลพม่า จาก 3,000 ล้านบาท เป็น 4,000 ล้านบาท เพื่อให้พม่านำไปดำเนินโครงการพัฒนาระบบโทรคมนาคมในเขตชนบท และพื้นที่ห่างไกลของกระทรวงสื่อสารพม่า

จนนำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการทรัพย์สินเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียในกิจการเพื่อประโยชน์สำหรับตนเอง หรือผู้อื่น และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต ทำให้กระทรวงการคลัง และเอ็กซิมแบงก์เสียหายรวม 810 ล้านบาท

รวมทั้งยัง เป็น 1 ใน 5 มาตรการเอื้อประโยชน์ ในคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะ คตส.ตรวจสอบพบว่าพม่าได้นำเงินกู้จำนวนดังกล่าว ไปจัดซื้ออุปกรณ์ ไอพีสตาร์ และอุปกรณ์ต่อพ่วงที่เกี่ยวข้อง โครงการบริการโทรศัพท์ทางไกลชนบท จากบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือชินคอร์ป จำนวน 15 ล้านดอลลาร์ หรือ 593.492 ล้านบาท

จากสำนวนการไต่สวนและสำนวนฟ้อง คดีที่อัยการสูงสุดยื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พบว่า จุดเริ่มต้นการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้แก่พม่า เกิดขึ้นก่อนการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่เมืองบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เดินทางไปเยือนพม่า 2 ครั้ง คือ ระหว่างวันที่ 19-20 มิถุนายน 2544 และระหว่างวันที่ 9-10 กุมภาพันธ์ 2546

ผลการเยือนมีข้อสรุปเกี่ยวกับความร่วมมือด้านการควบคุมยาเสพติด และการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมในการพัฒนาพื้นที่ชายแดน รวมทั้งแหล่งที่มาของเงินทุนที่จะใช้ดำเนินการ จากนั้นในระหว่างวันที่ 6-8 ตุลาคม 2546 พ.ต.ท.ทักษิณได้เดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่เมืองบาหลี อินโดนีเซีย

ภายหลังการหารือกระทรวงการต่างประเทศพม่า มีหนังสือลงวันที่ 13 ตุลาคม 2546 ถึงกระทรวงการต่างประเทศของไทย อ้างถึงการหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณกับนายกฯ พม่า ว่า พ.ต.ท.ทักษิณแสดงความพร้อมของประเทศไทย ที่จะให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่พม่า จึงขอวงเงินสินเชื่ออย่างน้อย 3,000 ล้านบาท เพื่อนำไปซื้อเครื่องจักรก่อสร้างและวัสดุอุปกรณ์จากประเทศไทย เพื่อใช้ในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน

ต่อมาระหว่างการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกัมพูชา ลาว พม่า และไทย ที่กรุงย่างกุ้ง และเมืองพุกาม ประเทศพม่า ระหว่างวันที่ 10-12 พฤศจิกายน 2546 นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้หารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณถึงการขอวงเงินสินเชื่อดังกล่าวแล้ว แจ้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศพม่า ทราบว่าไทยไม่ขัดข้องที่จะให้เงินกู้พม่าจำนวน 3,000 ล้านบาท

จากการตรวจสอบพยานเอกสารและพยานบุคคลของ คตส.พบว่า การประชุมครั้งนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้อนุมัติให้นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมคณะทางการไปด้วย อีกทั้งในระหว่างการประชุมยังมีเจ้าหน้าที่ของชินแซท จำนวน 8 คน และบริษัทเอไอเอส อีก 2 คน เข้าสาธิตระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ จีเอสเอ็ม ผ่านดาวเทียม ก่อนการประชุมผู้นำด้วย

นายสุรเกียรติ์ ให้ปากคำกับ คตส.ว่า ในการประชุมครั้งนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศพม่า ได้แสดงความต้องการให้รวมความร่วมมือด้านโทรคมนาคมระหว่างพม่ากับไทย เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในปฏิญญาพุกาม แต่เขาไม่เห็นด้วย จึงคัดค้านไม่ให้นำความร่วมมือ ด้านโทรคมนาคมมาระหว่างไทยกับพม่าบรรจุไว้ในปฏิญญาพุกาม เนื่องจากเกรงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นเจ้าของกิจการโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ทำให้แถลงการณ์ในปฏิญญาพุกาม มีความร่วมมือเพียง 5 ด้านเท่านั้น ไม่มีความร่วมมือด้านโทรคมนาคม

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการประชุม พม่าได้มีหนังสือลงวันที่ 8 มกราคม 2547 ถึงเอกอัครราชทูตไทย เสนอโครงการพัฒนาระบบโทรคมนาคมในเขตชนบทและพื้นที่ห่างไกลของกระทรวงสื่อสารพม่า เพื่อขอรับความช่วยเหลือจากไทยมูลค่า 24.05 ล้านดอลลาร์ โดยพลจัตวา เต็ง ซอ ได้แจ้งกับนายสุพจน์ ธีรเกาศัลย์ เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศพม่า ว่า "จากการได้เข้าเยี่ยมคารวะ พ.ต.ท.ทักษิณ พ.ต.ท.ทักษิณแจ้งว่าไทยพร้อมที่จะให้การสนับสนุนเงินกู้ เพื่อพัฒนาเครือข่ายโทรคมนาคม"

ในช่วงเดียวกัน คณะเจ้าหน้าที่ของชินแซทได้เดินทางเข้าพบเอกอัครราชทูตไทยและเจ้าหน้าที่สถานทูต ณ กรุงย่างกุ้ง รวมทั้งผู้อำนวยการกองเอเชียตะวันออก 2 กรมเอเชียตะวันออก กต. เพื่อแจ้งการดำเนินธุรกิจของบริษัท ตามโครงการพัฒนาเครือข่ายโทรคมนาคมของพม่า เพื่อติดตามการขอรับเงินกู้สินเชื่อต่ำ

แต่กรมเอเชียตะวันออก รวมทั้งนายสุรเกียรติ์ ต่างไม่เห็นด้วยที่จะให้การสนับสนุนเงินกู้เพื่อพัฒนาโครงการโทรคมนาคมตามที่พม่าขอมา เนื่องจากอาจทำให้ไทยตกเป็นเป้าหมายถูกวิพากษ์วิจารณ์ เสี่ยงต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกวิพากษ์วิจารณ์และโยงว่ามีส่วนได้รับประโยชน์จากการให้ความช่วยเหลือพม่า

กระทั่ง วันที่ 7-8 กุมภาพันธ์ 2547 นายวิน อ่อง รมว.ต่างประเทศพม่า ได้เดินทางเข้ามาประเทศไทย เพื่อหารือเรื่องนี้ พร้อมกับขอลดอัตราดอกเบี้ยเงินก็จาก 5.75% ต่อปี เหลือ 3% ต่อปี กับนายสุรเกียรติ์ อีกครั้งที่ จ.ภูเก็ต จนทั้ง 2 ฝ่ายได้ข้อสรุปร่วมกันว่า ให้พม่าจัดทำโครงการโทรคมนาคมภายในกรอบวงเงินกู้เดิมที่ตกลงกันไว้จำนวน 3,000 ล้านบาท
เมื่อได้ข้อสรุปร่วมกันกระทรวงการต่างประเทศ จึงรายงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณรับทราบ และพิจารณาในส่วนที่พม่าขอลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ลงนามเห็นชอบในเอกสารในวันที่ 8 มีนาคม 2547

ภายหลังการหารือร่วมกันระหว่างสุรเกียรติ์กับ รมว.ต่างประเทศพม่าอีก 7 วัน ฝ่ายพม่าได้มีหนังสือลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2547 ขอเพิ่มวงเงินกู้สินเชื่อจาก 3,000 ล้านบาท เป็น 5,000 ล้านบาท และมีหนังสือลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2547 เพื่อทวงถามผลการพิจารณาของฝ่ายไทย เรื่องนี้รวมทั้งการขอลดอัตราดอกเบี้ย

นายสุรเกียรติ์ ให้ปากคำต่อ คตส.ว่า เขาได้นำเรื่องนี้หารือกับทักษิณ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงสั่งการว่า "เราให้หลักการเขาไว้ 3,000 ล้านบาท เมื่อเขาขอมา 5,000 ล้านบาท ก็ให้พบกันครึ่งทาง ให้เขา 4,000 ล้านบาท และให้แจ้งไปว่านายกรัฐมนตรีไทย ได้สั่งการว่าให้เพิ่มเป็น 4,000 ล้านบาท"

นายสุรเกียรติ์ จึงมีหนังสือกระทรวงการต่างประเทศที่ 1303/437 ลงวันที่ 2 มีนาคม ถึงกระทรวงการต่างประเทศพม่า ว่า "ได้รับคำสั่งจากนายกรัฐมนตรี ให้แจ้งให้ทราบว่าท่านพร้อมที่จะเพิ่มวงเงินกู้จาก 3,000 ล้านบาท เป็น 4,000 ล้านบาท และจะให้การอุดหนุนในส่วนอัตราดอกเบี้ย"

จากนั้นกระทรวงการต่างประเทศ ได้นำเรื่องนี้เสนอให้ ครม.พิจารณาในการประชุมเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2547 และ 8 มิถุนายน 2547 ซึ่งที่ประชุม ครม.ก็มีมติเห็นชอบ ให้เพิ่มวงเงินกู้ให้พม่าจาก 3,000 ล้านบาท เป็น 4,000 ล้านบาท พร้อมกับให้ลดอัตราดอกเบี้ยจาก 5.75% ต่อปี เหลือ 3% ต่อปี และขยายระยะเวลาปลอดชำระหนี้เงินต้น 2 ปีแรกเป็น 5 ปี

ภายหลังพม่าลงนามเงินกู้กับเอ็กซิมแบงก์ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2547 แล้วธนาคารการค้าต่างประเทศแห่งพม่า ได้ยื่นคำขอให้อนุมัติสัญญาจัดซื้อจัดจ้างระหว่างชินแซทกับหน่วยงานของพม่า เพื่อส่งมอบอุปกรณ์ ไอพีสตาร์ และอุปกรณ์ต่อพ่วงที่เกี่ยวข้องสำหรับบริการโทรศัพท์ทางไกลชนบท จำนวนเงิน 15 ล้านดอลลาร์ หรือ 593.492 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการธนาคารเอ็กซิมแบงก์ได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2547

ทั้งนี้ ตามโครงการพัฒนาระบบโทรคมนาคมในเขตชนบทและพื้นที่ห่างไกล ที่กระทรวงสื่อสารพม่า ขอรับความช่วยเหลือ ระบุว่า ชินแซทเป็นผู้มีสิทธิได้รับเลือกเป็นผู้รับงานจ้างและจัดหาอุปกรณ์ทั้ง 3 โครงการ

อย่างไรก็ตาม พ.ต.ท.ทักษิณ ปฏิเสธว่าไม่ได้เจรจาอย่างไม่เป็นทางการกับนายกรัฐมนตรีพม่า เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่พม่า และไม่เคยทราบเรื่องที่พม่าทำหนังสือขอเงินกู้เข้ามา

ขณะที่ คตส.มีความเห็นว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณไม่ทราบเรื่องดังกล่าว เหตุใดจึงไม่คัดค้านหรือทักท้วงในที่ประชุม ครม. ที่เขารับหน้าที่เป็นประธาน เพราะเอกสารเสนอให้ ครม.พิจารณาระบุชัดว่า "การดำเนินการดังกล่าว เริ่มจากการหารืออย่างไม่เป็นทางการของ พ.ต.ท.ทักษิณ"

นอกจากการเพิ่มวงเงินสินเชื่อให้กับพม่า เพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์สื่อสารจากชินแซทแล้ว กรณีอนุมัติโครงการยิงดาวเทียม ไอพี สตาร์ (IP STAR) การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน ลงวันที่ 27 ตุลาคม 2547 การอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทน ดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านดอลลาร์ ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ ยังเป็นอีกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมาตรการเอื้อประโยชน์ ที่บรรยายไว้ในสำนวนฟ้อง (ติดตามต่อฉบับพรุ่งนี้)


http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 19/101279/
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby พระรถ » Sat Feb 20, 2010 10:41 am

บอกได้คำเดียวครับ ว่า...สุดยอด+ที่สุดของการซุกซ้อน
ต้องขอขอบคุณ จขกท นะครับที่เอาข้อมูลดี ๆ มีประโยชน์มาให้ได้อ่าน

ปล. อยากแนะนำให้เอาไปแปะที่Pantip ครับ คนที่เป็นกลางจะได้ ได้อ่านข้อมูลที่ถูกต้อง
User avatar
พระรถ
 
Posts: 35
Joined: Tue Oct 13, 2009 7:44 pm

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby phoosana » Sat Feb 20, 2010 1:43 pm

ไม่มีประโยชน์ถ้าแปะที่พันทิป หาคนเป็นกลางไม่เจอ :lol: (จะลองแปะดูก็ได้ครับ)
ผมก็เคยแปะเรื่องแก้ไขสัญญา TOT
เสื้อแดงมันแถไปเรื่อยครับว่า
รัฐยอมเสียประโยชน์
เพื่อประชาชนส่วนใหญ่ที่ใช้โทรศัพท์มือถือใช้บริการที่ถูกลง

ทั้งๆ ที่ตอนนั้นดีแทคมีต้นทุนสูงกว่า กลับคิดค่าบริการต่ำกว่าของ AIS
หลังแก้ไขสัญญา AIS ไม่ยอมลดค่าบริการด้วยซ้ำ
โดยอ้างกับทีโอทีว่าได้ให้โปรโมชั่นไปก่อนหน้านั้นแล้ว

รอดูว่าศาลจะมีคำตัดสินออกมายังไง ถ้ายึดบางส่วนหรือทั้งหมด
เสื้อแดงจะไม่สนใจคำวินิจฉัยของศาล
และจะพูดเป็นแผ่นเสียงตกร่องว่า

ทำกับข้าว โดนปลด
เมียซื้อ ผัวเซ็น ผัวติดคุก :lol:
We love fender.
User avatar
phoosana
 
Posts: 2608
Joined: Tue Jan 27, 2009 11:13 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Mon Feb 22, 2010 1:18 pm

** คงไม่เอาไปแปะในห้องราชหรอกค่ะ ...
ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องเอาข้อมูลเหล่านี้ไปให้คนที่นั่นอ่าน ...
เสียเวลา .. เปลืองพลังงาน เพราะ พวกเค๊าไม่สนใจหรอก
ห้องราช เน่า เกินกว่าที่จะไปเหยียบแล้วค่ะ
:D
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby nontee » Mon Feb 22, 2010 1:29 pm

see-u wrote:** คงไม่เอาไปแปะในห้องราชหรอกค่ะ ...
ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องเอาข้อมูลเหล่านี้ไปให้คนที่นั่นอ่าน ...
เสียเวลา .. เปลืองพลังงาน เพราะ พวกเค๊าไม่สนใจหรอก
ห้องราช เน่า เกินกว่าที่จะไปเหยียบแล้วค่ะ
:D


โอ้โห.. โดน.. :D :D

อยากให้เจ้าของเวบมันมาอ่านจริงๆเลย

จะได้รู้ว่าห้องนั้นของเวบมันเน่าขนาดหนักแล้ว
User avatar
nontee
 
Posts: 6598
Joined: Tue Jan 26, 2010 2:34 pm
Location: หว้ากอ

Next

Return to สภากาแฟ