เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

คลังปัญญา กระทู้ปักหมุดเดิม เรื่องสำคัญจัดเก็บที่นี่

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby พายุ » Fri Feb 05, 2010 2:12 pm

overtherainbow wrote::mrgreen: หัวข้อแบบนี้ยากจริงๆ
ความเชื่อ ศรัทธา เป็นเรื่องต้องผ่านกระบวนการหลายอย่าง
ใช้เวลาด้วย
ใครคิดทางแก้ได้ ถือได้ว่าช่วยชาติพ้นวิกฤติได้เลย
ขอคิดก่อน คิดมาหลายเดือนแล้วด้วย :|


โจทย์หินจริงๆค่ะ คุณพี่เรนโบว์

จะว่าเอาเรื่องการศึกษา แก้ศรัทธา ก็พูดได้ไม่เต็มปาก
ขนาดคนมีวุฒิการศึกษาซะสูงลิ่ว ก็ยังหลง ความเชื่อ ศรัทธา อยู่ให้เห็นเต็มไปหมด :cry: :cry:
" คนที่พูดคำว่า จงรักภักดี คำที่ดีที่สุดคือ สติ เหนือสิ่งอื่นใด ทุกวันนี้สติหด หาย ขาด ถ้ามีสติ มีศีล มีปัญญา ฉลาดรอบคอบ ก็ไม่ทำให้ใครเดือด ร้อน เพราะฉะนั้น คนในสังคมต้องมีสติ อย่าขาดสติ จะให้เราเข้าใจที่สุด"
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล
User avatar
พายุ
 
Posts: 3977
Joined: Mon Oct 13, 2008 1:33 am

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby พายุ » Sat Feb 06, 2010 2:00 am

หาม่วงล้วนๆไม่ได้ เลยหาเป็นหลากสีให้คุณ bird แทนนะคะ Image
" คนที่พูดคำว่า จงรักภักดี คำที่ดีที่สุดคือ สติ เหนือสิ่งอื่นใด ทุกวันนี้สติหด หาย ขาด ถ้ามีสติ มีศีล มีปัญญา ฉลาดรอบคอบ ก็ไม่ทำให้ใครเดือด ร้อน เพราะฉะนั้น คนในสังคมต้องมีสติ อย่าขาดสติ จะให้เราเข้าใจที่สุด"
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล
User avatar
พายุ
 
Posts: 3977
Joined: Mon Oct 13, 2008 1:33 am

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby พายุ » Mon Feb 08, 2010 2:54 am

อากาศปรวนแปรมาก Image

รักษาสุขภาพด้วยนะคะคุณ bird
" คนที่พูดคำว่า จงรักภักดี คำที่ดีที่สุดคือ สติ เหนือสิ่งอื่นใด ทุกวันนี้สติหด หาย ขาด ถ้ามีสติ มีศีล มีปัญญา ฉลาดรอบคอบ ก็ไม่ทำให้ใครเดือด ร้อน เพราะฉะนั้น คนในสังคมต้องมีสติ อย่าขาดสติ จะให้เราเข้าใจที่สุด"
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล
User avatar
พายุ
 
Posts: 3977
Joined: Mon Oct 13, 2008 1:33 am

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Mon Feb 08, 2010 5:38 pm

ทุนนิยมแบบแม้ว ๆ

ก่อนเข้าสู่เนื้อหาระบบเศรษฐกิจทุนนิยมแบบแม้ว ๆ ขออนุญาติทำความเช้าใจในส่วน
ของระบบเศรษฐกิจที่นานาอารยประเทศนิยมใช้กัน ตามที่นักวิชาการหลายๆ ท่านได้
กรุณาแบ่งปันความรู้ไว้ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือหรือในระบบไอที

ด้วยความเคารพ ผู้เขียนเองมิได้มีความรู้ด้านระบบเศรษฐกิจเชิงวิชาการมากนัก
ด้วยเหตุที่ว่า มิได้เล่าเรียนด้านนี้มาโดยตรง แต่ด้วยภารกิจหน้าที่ ได้มีโอกาสเข้า
ไปคลุกคลี และเก็บตกความรู้มาบ้าง พอประดับรอยหยักของสมองอันน้อยนิด
พอจะสรุปได้ว่า ระบบเศรษฐกิจส่วนใหญ่เท่าที่เคยเรียนรู้มา และที่เคยสัมผัสบางใน
บางโอกาสน่าจะแบ่งออกได้ ๓ ประเภท

๑.) ระบบเศรษฐกิจ แบบสังคมนิยม

มีลักษณะที่พอจะสรุปได้ว่า รัฐจะเป็นผู้กำหนดวางแผนว่าจะ ผลิตสินค้าอะไร และ
บริการอะไร เป็นจำนวนเท่าไร ผลิตอย่างไร ผลิตเพื่อใคร โดยกรรมสิทธิ์ในทรัพย์
สินและทรัพยากรเป็นของรัฐ การตัดสินใจทางเศรษฐกิจ จะขึ้นอยู่กับการวางแผน
และการตัดสินของรัฐเท่านั้น ประเทศเพื่อนบ้านเราที่ยังคงใช้ระบบเศรษฐกิจนี้ เช่น
ประเทศสหภาพ เวียดนาม สหภาพพม่า สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี
เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่ยังคง น่าที่จะใช้ระบบการปกครองแบบสังคมนิยม หรือ คอม
มิวนิสต์ หรืออาจจะเรียกระบบเศรษฐกิจแบบนี้ว่าเป็นแบบบังคับ ก็คงไม่ผิด


๒.) ระบบเศรษฐกิจ แบบทุนนิยม

มีลักษณะโดยร่วมตรงข้ามกับแบบสังคมนิยม คือ เป็นระบบที่หน่วยงานต่าง ๆ หรือ
เอกชน สามารถตัดสินใจผลิตสินค้าและบริการได้อย่างเสรีตามความต้องการ แต่
ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายที่กำหนด (คือต้องไม่ละเมิดกฎหมาย เช่น ผลิตสารเสพติด)
กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินและปัจจัยการผลิตเป็นของเอกชนเท่าที่จะสามารถหามาได้
และ แน่นอนว่า การได้มาก็ต้องอยู่ภายใต้กฏหมายเช่นเดียวกัน

ผู้บริโภคมีสิทธิ์เลือกซื้อสินค้าและบริการได้อย่างเสรี ในจำนวนตามต้องการเท่าที่
ปัจจัยจะเอื้ออำนวย (มีเงินมากก็ซื้อได้มาก) เป็นระบบที่สามารถแข่งขันได้อย่างเสรี
รัฐจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวหรือยุ่งเกี่ยวให้น้อยที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม ในระบบเศรษฐกิจ
ที่มีการแข่งขันกันแบบนี้ก็สามารถเกิดการผูกขาดขึ้นได้

โดยผู้ประกอบการรายย่อยและสามารถกำหนดราคาสินค้าเพื่อสร้างกำไรเกินควร
เนื่องจากมีอำนาจต่อรองที่สูงเมื่อกลไกราคาไม่สามารถจัดสรรทรัพยากรได้อย่างมี
ประสิทธิภาพเพียงพอ รวมถึงการผลิต การจ่ายแจกสินค้าให้แก่ระบบเศรษฐกิจด้วย


๓.) ระบบเศรษฐกิจแบบผสม

เป็นระบบเศรษฐกิจที่ผสมกันระหว่างแบบสังคมนิยมและแบบทุนนิยม เอกชนและรัฐมี
ส่วนร่วมในการแก้ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เอกชนสามารถผลิตสินค้าและบริการได้
อย่างเสรีแบบทุนนิยม ควบคู่ไปกับการแทรกแซง ควบคุม หรือบังคับโดยรัฐในบางส่วน
เพื่อป้องกันการผูกขาด หรือในบางกรณีรัฐอาจจะร่วมเป็นเจ้าของกิจการกับเอกชน เช่น
รัฐวิสาหกิจต่างๆ


คร่าว ๆ คงอธิบายได้เพียงเท่านี้ ตามความรู้ความสามารถที่มีอยู่ ไม่สามารถอธิบายเชิง
วิชาการได้มากไปกว่านี้ (รับสภาพด้วยความเต็มใจ)

คราวนี้ลองมาพิจารณาระบบเศรษฐิกจในช่วงปี ๒๕๔๔ - ปี ๒๕๔๙ ยุคแม้วครองเมือง
ยุคของรัฐบาลนักธุรกิจ ที่สร้างคะแนนจากนโยบายขายฝันที่มุ่งให้กู้และกระจายเม็ดเงิน
งบประมาณสู่กลุ่มบุคคลที่แม้วเรียกขานว่า รากหญ้า อีกทั้งยังเก่งในด้านการตลาดการ
สร้างภาพ เพื่อโฆษณาชวนเชื่อให้มวลชนที่หวังประโยชน์ระยะสั้นเฉพาะหน้า หลงไหล
เชื่อตามคำโฆษณาที่ว่า

แม้วทำเพื่อมวลชนมากกว่าพรรคการเมืองอื่นหรือรัฐบาลที่ผ่านมา และ

แม้วเก่งกว่า ดีกว่าใคร ๆ

หรือข้อมูลข่าวสารที่ว่า

นักการเมืองพรรคไหน ยุคไหน ก็โกงกันทั้งนั้น แต่คนทำงานเก่งก็ดีกว่าคนทำงานไม่เป็น

รัฐบาลแม้ว ๆ ที่เป็นนักธุรกิจก็ขยันสร้างสรรโครงการขายฝันสารพัดโครงการ เพื่อสนอง
ความต้องการของมวลชนและทำให้มวลชนสัมผัสได้จริง ไม่ว่าจะสร้างเงินมาให้มวลชน
ได้ใช้จ่ายจริง อันเป็นความสามารถในการหมุนเงินเก่ง สร้างหนี้เก่ง รวมทั้งการนำเงินใน
อนาคตมาใช้ เช่น การออกพันธบัตรรัฐบาล เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ และประชาชนที่พอ
จะมีฐานะ ซื้อไว้ในครอบครอง ( ใครเป็นคนซื้อ ใครได้รับผลประโยชน์ ก็ กลุ่มนายทุน
พรรคพวกแม้ว ทั้งนั้น ประชาชนตาดำ ๆ เป็นผู้ซื้อรายย่อยทั้งน้าน )

เพื่อผันเม็ดเงินให้แต่ละครัวเรือนในลักษณะที่เรียกว่า เบี้ยหัวแตก ทำให้กลุ่มมวลชนที่
แม้วเรียกว่า รากหญ้า มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน เงินกู้ ได้ง่าย ๆ และเมื่อได้มาอย่าง
ง่าย ๆ ก็ใช้บริโภคอย่างง่าย หมุนเวียนใช้หนี้ ลงทุนแบบไร้ทิศทาง ใช้เงินกู้ที่ได้มาให้
หมดไป โดยไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่คุ้มกับค่าดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น

การที่มวลชนมีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน เงินกู้ได้โดยง่าย ทำให้มวลชนเหล่านั้นมอง
เห็นผลประโยชน์เฉพาะหน้า ผลประโยชน์ระยะสั้น โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นตาม
มาในระยะยาว ประมาณว่า ได้เงินกู้มาง่าย ก็ใช้ไป รายได้ก็ไม่เพิ่ม ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น
ยอดเงินกู้ยังอยู่เท่าเดิม รวมแล้ว รายได้ไม่เพิม แต่หนี้สินเพิ่มแทน กรรมของรากหญ้า
โดยแท้

แต่นายทุนสบายใจ ได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเห็น ๆ แล้วใครหล่ะที่เป็นนายทุน

นโยบายการบริหารโดยยึดหลักระบบทุนนิยมฉบับแม้ว ๆ โดยการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่
ระบบในรูปของเงินทุน เงินกู้ พันธบัตร ขายหุ้นรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งการเปิดเสรีการค้า
เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐและเอกชน ทำให้เศรษฐกิจในช่วงนั้นเติบโตขึ้นโดย
เฉลี่ยประมาณ ๕% แต่เป็นการเติบโตเฉพาะส่วนเท่านั้น เช่น ภาคอุตสาหกรรม นำเข้า
และส่งออก ที่บางกลุ่มได้รับผลประโยชน์


ในขณะที่ภาคเกษตรอันเป็นอาชีพหลักของชาวรากหญ้า เติบโตต่ำกว่า
ภาคอุตสาหกรรมที่พรรคพวกของแม้วเป็นนายทุนใหญ่


เศรษฐกิจโตขึ้น ก็ไม่ได้หมายความว่า มวลชนจะรวยขึ้น สาเหตุที่เศรษฐกิจโตขึ้นส่วน
หนึ่งมาจากการใช้จ่าย การบริโภคเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟื่อย
เช่น การซื้อรถยนต์ มอร์เตอร์ไซค์ โทรศัพท์มือถือ เครื่องใช้ไฟฟ้า และ เหล้า

ซึ่งนายทุนก็คงไม่ใช้ใครที่ไหน ก็พรรคพวกของแม้ว อีกเช่นเคย


ยอดบริโภคสูงขึ้น สินค้าขายได้มากขึ้น กำไรมากขึ้น..แล้วใครได้ประโยชน์ คงไม่
ต้องอธิบายกระมั้ง...ทำกำไรหลายแสนล้านบาทในช่วงแม้วครองเมือง


การเติบโตของเศรษฐกิจในลักษณะนี้เป็นการโตแบบผิวเผิน ฉาบฉวย อยุ่ได้ไม่นาน
และยังส่งผลให้คนส่วนน้อยของประเทศ (ก็นายทุนพรรคพวกของนายใหญ่) รวยขึ้น
รวยขึ้น ในขณะที่มวลชนส่วนใหญ่ รวมไปถึงรากหญ้าก็จนลง จนลง หนี้สินเพิ่มมากขึ้น
มากขึ้น

ที่สำคัญ ประเทศชาติยังเป็นหนี้มากขึ้นอีก อย่างน้อย ๆ ก็ภาระการใช้คืนตามมูลค่า
พันธบัตรที่ออกจำหน่ายพร้อมดอกเบี้ยก็มากโขอยู่

แม้วเค้าเก่ง เค้าฉลาด เค้าเปลี่ยนจากการกู้ต่างประเทศ มากู้ในประเทศแทน

แต่อย่างว่า เงินกู้ จะต่างประเทศ หรือ ในประเทศ ก็เรียกว่าเงินกู้ทั้งนั้น


ว่าง ๆ จะลองคำนวณมูลค่าที่รัฐบาลต้องรับภาระตามมูลค่าพันธบัตรที่ออกจำหน่าย
ในยุดแม้วครองเมืองให้ได้รับทราบกัน

นโยบายบริหารฉบับแม้ว ๆ ที่มุ่งเน้นการแข่งขันหาเงินเพื่อการบริโภคสูงสุด ถือเป็น
การสร้างค่านิยมแบบเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ในลักษณะมือใครยาวสาวได้สาวเอา
ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาความเสื่อมโทรมทางศีลธรรมให้มวลชลทั้งประเทศ รวม
ไปถึงเยาวชนที่จะเติมโตขึ้นในอนาคต ให้กลายเป็นมวลชนด้อยคุณภาพ หากทุก
อย่างยังคงดำเนินต่อมาเรื่อย ๆ หากแม้วยังคงครองเมืองอยู่


เศรษฐกิจฉบับแม้ว ๆ ในยุคแม้วครองเมือง แลกมาด้วยการสูญเสียอย่างมหาศาล
ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรธรรมชาติ จริยธรรม วิถีชีวิต วัฒนธรรมและค่านิยมของประ
เทศ ในยุคแม้วครองเมือง ประเทศขาดทุนทางสังคมอย่างรุนแรงมากกว่าครั้งใดใน
ประวัติศาสตร์การเมือง


หากกล่าวสรุป ๆ คงพอจะอธิบายได้ว่า ทุนนิยมฉบับแม้ว คือ พฤติกรรมการบริหาร
ที่มุ่งเน้นการอัดฉีดเม็ดเงินด้านการลงทุนและการบริโภคสู่มวลชนระดับรากหญ้าทั้ง
ในรูปเงินทุน เงินกู้ หรือการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนซึ่งเป็นการถลุงทรัพยากรธรรมชาติ
เพื่อการหาเสียงและกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะที่ผลประโยชน์จะย้อนกลับสู่นายทุน
และพรรคพวกตนจำนวนมหาศาล โดยไม่คำนึงถึงการสูญเสียทรัพยากร สภาพแวด
ล้อม วัฒนธรรมและวิถีชีวิตอันดีงามทื่สืบทอดกันมาจากอดีตถึงปัจจุบัน

หมายเหตุ
เนื้อหาอาจจะสับสนเล็กน้อย ขออภัยในความผิดพลาดมา ณ โอกาสนี้
Last edited by bird on Mon Feb 08, 2010 5:49 pm, edited 1 time in total.
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Mon Feb 08, 2010 5:47 pm

overtherainbow wrote::mrgreen: หัวข้อแบบนี้ยากจริงๆ
ความเชื่อ ศรัทธา เป็นเรื่องต้องผ่านกระบวนการหลายอย่าง
ใช้เวลาด้วย
ใครคิดทางแก้ได้ ถือได้ว่าช่วยชาติพ้นวิกฤติได้เลย
ขอคิดก่อน คิดมาหลายเดือนแล้วด้วย :|


พายุ wrote:โจทย์หินจริงๆค่ะ คุณพี่เรนโบว์

จะว่าเอาเรื่องการศึกษา แก้ศรัทธา ก็พูดได้ไม่เต็มปาก
ขนาดคนมีวุฒิการศึกษาซะสูงลิ่ว ก็ยังหลง ความเชื่อ ศรัทธา อยู่ให้เห็นเต็มไปหมด :cry: :cry:


ทิ้งโจทย์หินไว้ให้..รู้สึกผิดจริง ๆ

แต่ลองนึกดูอีกที่...ก็ไม่หินเท่าไหร่นะค่ะ :mrgreen:

พายุ wrote:หาม่วงล้วนๆไม่ได้ เลยหาเป็นหลากสีให้คุณ bird แทนนะคะ Image


พายุ wrote:อากาศปรวนแปรมาก Image

รักษาสุขภาพด้วยนะคะคุณ bird


ขอบคุณค่ะ คุณพายุ ดูแลสุขภาพเช่นกันค่ะ

หายไปเพราะติดภารกิจ อยู่ในจุดที่ไร้ซึ่งสัญญาณจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
แต่ก็เก็บตกอะไรมาได้เยอะมาก ๆ

งานนี้ เค้าเอาจริง ล้มกระดานจริง
แต่..ก็อยู่ระหว่างการเคลียร์ให้เรียบร้อยที่สุดค่ะ
จะห้ามไม่ให้กังวลก็คงไม่ได้

บอกได้แต่เพียงว่า

สติเท่านั้น ที่จะทำให้ทุกอย่างสิ้นสุดลงด้วยความเรียบร้อย

ส่งกำลังใจช่วยทุกฝ่ายค่ะ
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby overtherainbow » Tue Feb 09, 2010 11:54 am

เรามีสติ มีสตางค์บ้างแต่ก็น้อยยยมากๆ
ไม่เหมือนอีกพวก ไม่มีสติแต่มีสตางค์มหาศาล
คนที่ซื้อได้ด้วยเงินมันมากขึ้นทุกทีๆ เพราะมันไม่เคนรู้จักคำว่า พอ :shock:
User avatar
overtherainbow
 
Posts: 3123
Joined: Sat Dec 27, 2008 12:36 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby pooyong » Tue Feb 09, 2010 12:24 pm

bird wrote:ทุนนิยมแบบแม้ว ๆ
หากกล่าวสรุป ๆ คงพอจะอธิบายได้ว่า ทุนนิยมฉบับแม้ว คือ พฤติกรรมการบริหาร
ที่มุ่งเน้นการอัดฉีดเม็ดเงินด้านการลงทุนและการบริโภคสู่มวลชนระดับรากหญ้าทั้ง
ในรูปเงินทุน เงินกู้ หรือการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนซึ่งเป็นการถลุงทรัพยากรธรรมชาติ
เพื่อการหาเสียงและกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะที่ผลประโยชน์จะย้อนกลับสู่นายทุน
และพรรคพวกตนจำนวนมหาศาล โดยไม่คำนึงถึงการสูญเสียทรัพยากร สภาพแวด
ล้อม วัฒนธรรมและวิถีชีวิตอันดีงามทื่สืบทอดกันมาจากอดีตถึงปัจจุบัน


ไม่เฉพาะทรัพยากรธรรมชาติ หรอกที่ถูกทำลาย
ทรัพยากรมนุษย์ ก็ถูกทำลาย แม้ไม่ได้ถูกทำลายชีวิต
แต่ก็ทำลายความรู้สึกนึกคิด ทำลายคุณธรรมในจิตใจ
ทำลายความกระตือรือล้น ที่จะทำงานเพื่อสังคม

นั่นเท่ากับทำลายประเทศไปในตัว เพราะทรัพยากรมนุษย์ของชาติเรา
ถูกทำลายไปเยอะมาก ที่มีอยู่ก็ไม่สามารถสู้กับชนชาติอื่นได้
การรับใช้แผ่นดิน คือความเบิกบาน
User avatar
pooyong
 
Posts: 1496
Joined: Mon Oct 19, 2009 9:55 am

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby พายุ » Wed Feb 10, 2010 5:22 pm

bird wrote:
หายไปเพราะติดภารกิจ อยู่ในจุดที่ไร้ซึ่งสัญญาณจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
แต่ก็เก็บตกอะไรมาได้เยอะมาก ๆ

งานนี้ เค้าเอาจริง ล้มกระดานจริง
แต่..ก็อยู่ระหว่างการเคลียร์ให้เรียบร้อยที่สุดค่ะ
จะห้ามไม่ให้กังวลก็คงไม่ได้

บอกได้แต่เพียงว่า

สติเท่านั้น ที่จะทำให้ทุกอย่างสิ้นสุดลงด้วยความเรียบร้อย

ส่งกำลังใจช่วยทุกฝ่ายค่ะ



จะพยามกังวลให้น้อยที่สุดนะคะ :( :cry:
" คนที่พูดคำว่า จงรักภักดี คำที่ดีที่สุดคือ สติ เหนือสิ่งอื่นใด ทุกวันนี้สติหด หาย ขาด ถ้ามีสติ มีศีล มีปัญญา ฉลาดรอบคอบ ก็ไม่ทำให้ใครเดือด ร้อน เพราะฉะนั้น คนในสังคมต้องมีสติ อย่าขาดสติ จะให้เราเข้าใจที่สุด"
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล
User avatar
พายุ
 
Posts: 3977
Joined: Mon Oct 13, 2008 1:33 am

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Wed Feb 10, 2010 9:53 pm

ยุทธศาสตร์ สงครามใต้ดิน

สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ยากที่จะคาดเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง
สถานการณ์จะรุนแรงเหมือนช่วงเมษายน ๒๕๕๒ "สงกรานต์เลือด" หรือไม่ เหตุการณ์
ที่ผ่านมาถือเป็นช่วงที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างประชาชนคนไทย
ด้วยกัน อันเป็นผลมาจากการปลุกระดมของกลุ่มมวลชนภายใต้แกนนำและการโฟนอิน
ของนายใหญ่ทรักกี้ แต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นมาได้ โดยมีผู้เคราะห์ร้ายเสียชีวิต ๒ ท่าน

แต่สถานการณ์ ณ วันนี้ เสมือนเป็นสงครามครั้งสุดท้ายหรือไม่ ไม่อาจทราบได้ สาเหตุ
เพราะแกนนำเคยประกาศว่าเป็นสงครามครั้งสุดท้ายมานับครั้งไม่ถ้วน หรืออาจจะเป็น
การก่อความวุ่นวายครั้งใหญ่อีกครั้ง ก่อนการตัดสินคดีประวัติศาสตร์ ในอีกไม่กี่สัปดาห์
ข้างหน้านี้

สถานการณ์ ณ วันนี้แตกต่างจากเหตุการณ์เมื่อครั้งสงกรานต์ที่ผ่านมา เพราะเดิมพัน
ครั้งนี้มีมูลค่าสูงถึง ๗๖,๐๐๐ ล้านบาท หากบุคคลใดก็ตามที่สามารถนำทรัพย์สินจำ
นวนนี้ให้กลับคืนสู่อุ่มมือของทรักกี้ได้ บุคคลนั้นจะได้รับผลตอบแทน ๒๕ %ของมูลค่า
ที่สามารถนำกลับคืนมาได้ (ลองคำนวณดูว่าเมีมูลค่าเท่าใด) ทุกขุมกำลังจึงต้องเร่งให้
ทุกอย่างจบลงโดยเร็วที่สุด

ณ วันนี้ ข่าวการเคลื่อนไหว การสั่งสมกองกำลังติดอาวุธ แม้กระทั่งการใช้กำลังสนับสนุน
จากนอกเขตประเทศ ส้วนอยู่ในความสนใจของสื่อมวลชนและประชาชนทุกกลุ่ม ทุกชนชั้น
ทุก ๆ สายอาชีพ ในบางกลุ่มมีการเตรียมรับสถานการณ์ที่ยากจะคาดเดาได้ว่า

อะไรกำลังจะเกิดขึ้น...

คนไร้แผ่นดิน กำลังปฎิบัติ วางแผนเพื่อเผาบ้านเผาเมือง เผาแผ่นดิน
เกิดของตนเองกระนั้นหรือ


กลุ่มบุคคลบางกลุ่ม ที่กำลังจะก่อสงครามประชาชนขึ้นในเมืองของตนเอง กำลังจะจุดไฟ
สงครามกลางเมือง เพียงเพื่อผลประโยชน์ของบุคคลคนเดียวกระนั้นหรือ


จิดใจของบุคคลเหล่านั้น สร้างขึ้นมาด้วยอะไร....

ลองย้อนเหตุการณ์ การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่ผ่านมาในช่วงระยะเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็น
การนัดชุมนุนย่อยตามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับคดีประวัติศาสตร์ ซึ่งการชุมนุมแต่ละครั้ง
แต่ละแห่งจะมีผู้ชุมนุมประมาณ ๑๐๐ – ๒๐๐ คน เสมือนเป็นการสร้างความปั่นป่วน
หรือไม่ หรือเป็นเพียงการสร้างกระแสเล็ก ๆ น้อย ๆ

เพื่อกลบร่องรอยการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่

ข่าวการฝึกซ้อมกองกำลังบริเวณตระเข็บชายแดน ข่าวการลักลอบขนอาวุธ หรือกระทั้ง
ข่าวการสอนการทำระเบิดเพลิงอย่างง่าย ๆ

จากการวิเคราะห์สถานการณ์ ณ วันนี้ไม่น่าไว้วางใจเพราะการเคลื่อนไหวไม่เป็นไปตามปกติ
ของระบอบประชาธิปไตย ตามคำกล่าวอ้างว่าต้องการประชาธิปไตยให้กับมวลชน

แต่การเคลื่อนไหวเป็นไปในลักษณะสร้างเงื่อนไข โดยมีเป้าหมาย ๒ อย่างคือ

๑) สร้างอำนาจต่อรองเพื่อนำสู่การให้พ้นจากความผิดใน และได้ทรัพย์สินกลับคืน
๒) เพื่อล้มรัฐบาล อาจร้ายแรงถึงสถานการณ์รุนแรง เกินควบคุม และนำไปสู่การยึดอำนาจ
นั่นหมายความว่า ทุกคดีจะยุติลงโดยอัตโนมัติ

โดยดำเนินการเปลี่ยนแนวรุกจากเดิม ใน ๔ ด้าน

๑) แนวรุกด้านมวลชนของกลุ่มมวลชนทรักกี้ ซึ่งเปลี่ยนการชุมนุมใหญ่ไปเป็นการเพิ่ม
ความรุนแรงในการก่อการต่อต้านโดยคนไม่กี่คน การพูดในลักษณะข่มขู่ สิ่งที่น่าเป็น
ห่วงคือการเริ่มพูดถึงระดับความขัดแย้งพูดถึงสงครามประชาชน

๒) แนวร่วมผ่านพรรคการเมืองใหญ่ที่ใช้กลไกของแกนนำที่ใกล้ชิดหรือญาติของทรักกี้
และแรงผลักดันจากการถอนถอนและอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อนำสู่การแทรกแซงการเริ่ม
ต้นกระบวนการปฏิรูปการเมืองซึ่งแกนนำได้พูดชัดว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์เพื่อนำระบอบ
ธิปไตยฉบับแม้ว ๆ กลับคืนมา

๓) แนวร่วมนอกประเทศ ที่นับวันจะน้อยลงในแต่ละวัน การเคลื่อนไหวของทรักกี้มีการ
เปลี่ยนเป็นการสร้างพันธมิตรกับประเทศองค์กรและบุคคลที่ไม่มีจุดยืนที่ให้ความสำคัญกับ
ระบบยุติธรรมหรือเห็นแต่ผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวมของประเทศ

๔) สงครามสื่อสารมวลชนที่มีการปลุกระดมโดยใช้สื่อบนดินและใต้ดินเป็นหลักไปสู่การ
เพิ่มการบิดเบือนประเด็นด้านเศรษฐกิจเพื่อลดความน่าเชื่อถือและซ้ำเติมประเทศ

ทุก ๆ การเคลื่อนไหวของทรักกี้ แกนนำ และกลุ่มมวลชนทรักกี้ที่กำลังดำเนินการอยู่
เพื่อหวังผล หรือ ต้องการให้เกิดสถานการณ์ใด

ทิ้งประเด็นไว้ให้ทุกท่านให้วิเคราะห์ และพิจารณาด้วยวิสัยทัศน์ของทุก ๆท่าน

หวังแต่เพียงว่า...ขออย่าให้สถานการณ์ เหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น
อย่าเป็นดั่งที่หลาย ๆ ท่าน หลาย ๆ องค์กร คาดเดาไว้

หวังแต่เพียว่า...กลุ่มบุคคลเหล่านั้น จะหยุดคิด ว่า คุ้มแล้วหรือที่จะแลก
ความพินาศย่อยยับของประเทศ กับผลประโยชน์ของบุคคลเพียงคนเดียว


หวังแต่เพียงว่า...ขอให้ทุกอย่างยุติลงด้วยความเรียบร้อย
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby pooyong » Thu Feb 11, 2010 3:03 am

bird wrote:ยุทธศาสตร์ สงครามใต้ดิน
หวังแต่เพียว่า...กลุ่มบุคคลเหล่านั้น จะหยุดคิด ว่า คุ้มแล้วหรือที่จะแลก
ความพินาศย่อยยับของประเทศ กับผลประโยชน์ของบุคคลเพียงคนเดียว


บุคคลระดับแกนนำของลิ่วล้อแม้ว ไม่ได้ทำเพื่อแม้วอย่างเดียวหรอก
ส่วนใหญ่ทำเพื่อตัวเองด้วย กะหวังรวยทางลัด กับได้ตำแหน่งใหญ่โต
โดยยอมแลกกับความฉิบหายของประเทศ น่าอนาถความคิด
การรับใช้แผ่นดิน คือความเบิกบาน
User avatar
pooyong
 
Posts: 1496
Joined: Mon Oct 19, 2009 9:55 am

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Thu Feb 11, 2010 8:13 am

[quote="pooyong]บุคคลระดับแกนนำของลิ่วล้อแม้ว ไม่ได้ทำเพื่อแม้วอย่างเดียวหรอก
ส่วนใหญ่ทำเพื่อตัวเองด้วย กะหวังรวยทางลัด กับได้ตำแหน่งใหญ่โต
โดยยอมแลกกับความฉิบหายของประเทศ น่าอนาถความคิด[/quote]

แต่สำหรับเบิร์ดแล้ว....
กลับคิดว่า สุดท้าย เหล่าบรรดาแกนนำและบุคคลที่ออกมาร่วมเคลื่อนไหว
ในครั้งนี้ ด้วยความคิดที่ว่า จะได้รับตำแหน่งใหญ่โต ได้รับการปูนบำเหน็จ
อย่างงาม....

สุดท้าย...คงเป็นได้แค่ เศษสวะ ในสายตาของทรักกี้เท่านั้น

บทเรียน ตัวอย่าง มีให้เห็นจากอดีตถึงปัจจุบัน...

คิดหรือว่า...คนที่กระทำการได้ทุกอย่าง ไม่เว้นแม้กระทั่ง
จุดไฟเผาบ้าน เผาเมืองตัวเอง สร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้น
บนแผ่นดินเกิด แผ่นดินอันเปรียบเสมือนแผ่นดินแม่

เค้าจะมองเห็น จะสำนึกถึงบุญคุณที่เหล่าบรรดาแกนนำ
ร่วมกันกระทำเพื่อนำเค้ากลับสู่บัลลังค์แห่งอำนาจ

บุคคลท่านนี้ ไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา ไม่เคยเห็นว่า
ใครมีประโยชน์ ใครมีบุญคุณ

มองเห็นแต่ว่า...กรูต้องเป็นที่หนึ่งเสมอ
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby แดง ขาว น้ำเงิน » Thu Feb 11, 2010 9:11 am

พายุ wrote:อากาศปรวนแปรมาก Image

รักษาสุขภาพด้วยนะคะคุณ bird


บอกแต่คนอื่น ตัวเองละหายยังไข้ 2009 นะ หายยัง :lol: :lol:
"ผู้ที่ใช้สติปัญญาไม่เป็น คือคนโง่ ผู้ที่ไม่กล้าใช้สติปัญญา คือทาส" เพลโต้
User avatar
แดง ขาว น้ำเงิน
Moderator
 
Posts: 4943
Joined: Thu Feb 12, 2009 4:07 pm
Location: Earth

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby pooyong » Fri Feb 12, 2010 6:42 pm

bird wrote:บุคคลท่านนี้ ไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา ไม่เคยเห็นว่า
ใครมีประโยชน์ ใครมีบุญคุณ
มองเห็นแต่ว่า...กรูต้องเป็นที่หนึ่งเสมอ


อันนี้จริง แต่เสื้อแดงคงมองไม่เห็นหรอก
เห็นแต่ภาพลวงตา ที่แม้วสร้างไว้
การรับใช้แผ่นดิน คือความเบิกบาน
User avatar
pooyong
 
Posts: 1496
Joined: Mon Oct 19, 2009 9:55 am

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Sat Feb 13, 2010 10:30 pm

จากจดหมายฉบับหนี่ง

ที่มา http://www.newskythailand.us/board/inde ... t=prev#new

จดหมายเปิดผนึกถึงทักษิณ:ยุทธวิธีทะลวงแผนลอบสังหาร หักด่านล้อมปราบผู้ชุมนุมเสื้อแดง

โดย Pegasus
10 ธันวาคม 2552

เรียน ฯพณฯ ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

สืบเนื่องจากการที่ผู้แทนของรัฐบาลและผู้นำเหล่าทัพได้ออกมาแสดงความเห็นว่า การจะทำให้บ้านเมืองสงบได้
นั่นคือการห้ามประชาชนออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมและประชาธิปไตย มิฉะนั้น สิ่งที่จะตามมาโดยนัยที่
แสดงให้รู้โดยไม่กล่าวถึง คือการกวาดล้างขนานใหญ่

และเมื่อนำท่าทีนี้มาประกอบกับข่าวต่างๆในเรื่องการเตรียมคนต่างด้าว การที่มีกลุ่มบุคคลที่ไม่ใช่ฝ่ายประชา
ธิปไตยจัดหาอาวุธ กระสุน ระเบิดเข้ามาเป็นจำนวนมากเพื่อหาโอกาสใส่ร้ายคนเสื้อแดงว่า เป็นคนทรยศชาติ
ชักศึกเข้าบ้าน มีอาวุธสงคราม เหตุช่างละม้ายคล้ายคลึงกับ กรณี 6 ตุลาคม 2519 ที่มีการกล่าวหานักศึก
ษาว่าสมคบกับเวียดนาม มีอาวุธสงคราม มีอุโมงค์ใต้ดิน และเป็นคอมมิวนิสต์

ความแตกต่างในครั้งนี้ก็คงมีเพียงข้อกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดี มุ่งล้มล้างราชบัลลังก์ มาแทนข้อหาคอมมิวนิสต์
เท่านั้นเอง เนื่องจากไม่มีเงื่อนไขให้ทำได้

การนี้ แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ออกมาให้สัมภาษณ์และผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังต้องการแตกหักกับประชาชน โดยหา
ทางให้คนเสื้อแดงเดินงานผิดพลาด ยัดเยียดข้อหามีอาวุธ หรือพยายามชักชวนให้เสื้อแดงหลงผิดมาร่วมการ
ฝึกอาวุธที่ฝ่ายรัฐบาลหรืออาจเป็นฝ่ายเสื้อแดงที่ถูกซื้อตัวไปจัดสร้างภาพขึ้น

จากนั้นจะกวาดจับแกนนำ ปิดสถานีวิทยุชุมชน โทรทัศน์ เว๊บไซต์ต่างๆ ดังที่เคยทำมา จากนั้นล้อมปราบ
ให้ตื่นกลัวตกใจหนีพ่ายไปคนละทิศละทางเหมือนหลัง 6 ตุลาคม 2519 แล้วมีรัฐบาลที่สร้างภาพให้เหมือนกับ
เป็นกลางมาคอยถ่วงเวลา และทำให้คนกรุงเทพฯส่วนใหญ่ที่มีความรู้ทางการเมืองน้อยกว่าคนต่างจังหวัดหลง
เชื่อและให้การสนับสนุน เพื่อเป็นการซื้อเวลา ส่วนเป้าหมายสุดท้ายของฝ่ายเผด็จการก็ยังคงมีอยู่ประการเดียว
คือ การลอบสังหาร ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีให้ได้ โดยคนเหล่านี้เชื่อว่าฝ่ายประชาธิปไตยจะยอมจำนนไปเอง

ฯพณฯ โดนลอบสังหารมาหลายครั้ง รวมถึงการใช้เครื่องบินรบเตรียมยิงเครื่องบินพลเรือนของ ฯพณฯ รวมถึง
การสั่งสังหารคนเสื้อแดงในกรณีสงกรานต์เลือดแล้วใส่ร้ายป้ายสี เหตุการณ์ต่างๆเช่นนี้ สามารถโยงกลับไปได้
ถึงการกระทำของพรรคการเมืองเก่าแก่บางพรรค ร่วมกับสื่อมวลชนและกองทัพ ทำการขับไล่ กวาดล้าง และ
สังหาร กลุ่มของ ดร.ปรีดี พนมยงค์อย่างโหดเห้มและอำมหิตผิดมนุษย์ยิ่งนักมาแล้ว

บัดนี้เวลาแห่งการฆ่าฟันประชาชนได้กลับมาอีกครั้งหนึ่งฯพณฯ ได้โปรดพิจารณาเลือกที่จะยืนเคียงข้างประชาชน
เดินไปพร้อมกับประชาชนอย่างถูกต้อง ตรงความต้องการและความเป็นจริง ด้วยการสอบถามเรื่องต่างๆตรงมา
ยังแกนนำของคนเสื้อแดงทั่วประเทศซึ่งแกนนำส่วนกลางความจริงวันนี้น่าจะมีวิธีการติดต่ออยู่เพื่อให้ ฯพณฯ ทราบ
ว่าจุดยืนของประชาชนส่วนใหญ่อยู่ที่ใดกันแน่

การพิจารณาตัดสินใจของ ฯพณฯ ในการเดินงานการเมืองต่างๆจะได้ถูกต้องตามความต้องการของประชาชน
อย่างแท้จริง เมื่อทุกฝ่ายเปิดหน้าเข้าปะทะกันแล้ว ขอความลังเลต่างๆของฯพณฯ ในการรุกใหญ่เพื่อสร้างประ
ชาธิปไตยที่สมบูรณ์จงหมดไป จังหวะก้าวต่างๆจึงจะชัดเจนและไม่ทำให้เกิดความผิดพลาดจนพ่ายแพ้เพราะ
ความไม่รู้จิตใจของมวลชน ซึ่งจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

การพ่ายแพ้ครั้งนี้หากเกิดขึ้น ก็จะเป็นการยืดชัยชนะของประชาชนออกไปอีกหลายสิบปี เนื่องจากคนรุ่นที่ซาบ
ซึ้งในระบอบประชาธิปไตยนั้นอายุมากกันเป็นส่วนใหญ่ เด็กรุ่นหลังๆถูกล้างสมองให้ยอมสยบ งดเว้นการคิด
และวิพากษ์ วิจารณ์มานานจนหมดสมรรถภาพไปแล้ว สาเหตุคงเกิดจากการควบคุมกระทรวงศึกษาธิการอย่าง
เข้มงวดเด็ดขาดของพรรคการเมืองเก่าแก่ในสมัยที่มีการเลือกตั้งและคนของอำมาตย์ในสมัยเผด็จการจนประสบผล
สำเร็จ

สำหรับเหตุการณ์ในปัจจุบัน เนื่องจากการมาร่วมงานเฉลิมฉลองของผู้ที่ใส่เสื้อสีชมพูจำนวนมาก เท่ากับว่าเป็น
คำพิพากษาให้ตัดสินประหารชีวิตกลุ่มคนเสื้อแดง แม้ว่าในกลุ่มคนสีชมพูนั้นจะมีคนเสื้อแดงเกินกว่าครึ่งหรือคน
อื่นๆที่มาเพราะการระดม เกณฑ์คนมาก็ตาม แต่ความเข้าใจผิดของฝ่ายเผด็จการย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ เนื่องจาก
ถูกข้อมูลหลอกลวงมาโดยตลอด การตัดสินใจให้มีการปราบปรามครั้งนี้จึงเกิดขึ้น

หากต้องการน้อมนำเอาความสงบให้เกิดกับสังคมไทยแล้วไซร้ ต้องมีข้อพิจารณาต่างๆดังต่อไปนี้

ถ้ามีการปราบปรามประชาชนเหมือนกรณี 6 ตุลาคม 2519 ปริมาณประชาชนที่ให้การสนับสนุนประชาธิปไตย
ในยุคนั้น กับชาวเสื้อแดงในสมัยนี้แตกต่างกันอย่างมาก ด้วยความก้าวหน้าทางข่าวสารข้อมูลที่ก้าวหน้ากว่า
ประชาชนรับรู้ความจริงและเกิดการหู ตา สว่างกันอย่างมากมาย และทราบเป็นอย่างดีว่าใครที่อยู่เบื้องหลังการ
ปราบปรามในครั้งนี้ ถ้าหากเกิดขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้นจากการที่ประชาชนทราบว่ามีการสังหารพี่น้องไปแล้วในช่วงสงกรานต์เลือด แต่ก็ไม่ได้เกรงกลัว
กลับขยายตัวขึ้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นทวีคูณเพียงแต่รอเวลาเท่านั้นที่จะประสบชัยชนะ

ถ้ามีการปราบปรามประชาชนจริง ทหารที่ออกมาจะถูกโดดเดี่ยวจากหน่วยงานอื่นๆ เนื่องจากทุกคนจะมองเห็น
แนวโน้มดีว่าประชาชนจะสู้อย่างถวายชีวิตแม้ว่าจะมือเปล่าปราศจากอาวุธ แต่ด้วยจำนวนคนที่มากมายมหาศาล
หากมีความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็หมายถึงการจลาจลใหญ่ และไม่มีใครสามารถห้ามปรามอารมณ์ของประชา
ชนได้อย่างแน่นอน สิ่งที่คาดไม่ถึงอาจจะเกิดขึ้นและอาจเกิดขึ้นร้ายแรงกว่าที่ฝ่ายสร้างสถานการณ์ให้เกิดการ
ปราบจะคาดหรือจินตนาการได้ถึงเสียอีก

ดังนั้นการสูญเสียอย่างคาดไม่ถึงและการนองเลือดคงจะเกิดขึ้น แม้ว่าอาจเป็นความจำเป็นและจะเหมือนหรือใกล้
เคียงกับประเทศในยุโรปที่ผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้วก็ตาม แต่เนื่องจากจำนวนของประชาชนมีมากมายเกินกว่า
เหตุการณ์เกิดขึ้นของประเทศต่างๆในอดีต การสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินย่อมมากมายขึ้นเป็นเงาตามตัว และแน่
นอนว่าทหารที่ออกมาปราบนั้นคงไม่เหลือรอดกลับไปได้ไม่ต่างกับกรณีปฏิวัติฝรั่งเศสเช่นกัน

ถ้าหากทหารเห็นว่าการปราบปรามคนเสื้อแดงเกินกว่ากำลังที่มี ก็อาจหันไปยึดอำนาจรัฐบาล สร้างสถานการณ์
ว่าให้กลับคืนสู่สภาพปกติ อาจมีการผ่อนปรนบางประการเพื่อให้ฝ่ายเสื้อแดงหยุดการเคลื่อนไหว เป็นต้น หรือ
ไม่อย่างนั้นก็สร้างสถานการณ์ความวุ่นวายก่อนแล้วให้มีการออกมายึดอำนาจเหมือนกรณี 6 ตุลาคม 19 แล้ว
ขอนายกพระราชทานเพื่อปิดปากประชาชน ซึ่งก็อาจมีทั้งปราบอีกครั้งหรือผ่อนปรนให้พอเป็นการซื้อเวลาจนกว่า
จะลอบสังหาร ฯพณฯ ได้สำเร็จก็เป็นได้

แนวทางการใช้กำลังทั้งสองแนวทางถ้ามีการสังหารเกิดขึ้นไม่ว่ากรณีใดก็ตาม ก็อาจนำมาซึ่งการจลาจลที่ไม่รู้จุดจบ
หรืออาจบานปลายกลายเป็นการยกสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มาไว้ในภาคกลางก็อาจเป็นได้

ดังนั้น เพื่อให้ชาติบ้านเมืองกลับสู่ความสงบอย่างแท้จริง วิถีทางที่ควรกระทำคือแนวทางรัฐสภา ซึ่งรัฐบาลสามารถ
ทำได้โดยง่ายด้วยการคืนอำนาจให้กับประชาชนเจ้าของอธิปไตยเป็นผู้ตัดสิน และด้วยการออกกฎหมายกรณีเร่งด่วน
เป็นบทเฉพาะกาลให้องค์กรอิสระที่ล้วนมาจากการยึดอำนาจของคมช.ยุติการทำงาน


ให้มีเฉพาะการสรรหากกต.ใหม่ทุกระดับ โดยพรรคการเมืองทุกพรรคมาเป็นกรรมการร่วมคัดเอาบุคคลที่คิดว่าจะ
ให้คุณให้โทษกับพรรคการเมืองออกไปเหลือแต่ผู้ที่เป็นกลางจริงๆและรู้จักวิธีจัดการเลือกตั้งมาเป็น กกต. จากนั้น
ยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสิน ฝ่ายพรรคเพื่อไทยยอมเสียเปรียบที่ไม่ได้เป็นผู้คุมอำนาจรัฐ พรรคร่วมรัฐบาล
น่าจะได้เปรียบอยู่แล้ว จึงไม่ควรมีข้อบิดพลิ้วเป็นประการใด

วิถีทางประชาธิปไตยโดยประชาชนเท่านั้นจึงจะคืนความสงบ สันติให้กับประเทศไทยได้ เพราะถ้าเป็นประชาธิปไตย
แล้ว ที่มาขององค์กรอิสระและกระบวนการตุลาการภิวัฒน์ก็จะกลับเข้ารูปเข้ารอย ความยุติธรรมก็จะกลับคืนมา เมื่อ
มีความยุติธรรมสามารถคืนความเป็นธรรมให้กับประชาชนได้ ความสงบก็เกิดขึ้นเป็นธรรมดา

จึงขอเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้โปรดนำข้อเสนอนี้ยื่นเป็นทางเลือกต่อรัฐบาลเพื่อยุติความขัดแย้งโดยเร็ว
ด้วยการคืนอำนาจอธิปไตยกลับคืนไปสู่ประชาชน

เพื่อป้องกันมิให้เกิดการเสียเลือดเนื้ออันจะนำมาซึ่งความเสียหายอย่างนึกไม่ถึงได้อีกมากมายตามมา


ด้วยความเคารพอย่างสูง

Pegasus


ถึงบรรทัดนี้ ทุกท่านคงได้ทัศนาทุก ๆ ประโยค ทุก ๆ ข้อความที่ปรากฎอยู่ คงมิต้องชี้นำประการใด
ทุกท่านคงจะวิเคราะห์และพิจารณาเนื้อหาและความต้องการที่บ่งบอกอยู่ในเอกสารข้างต้นได้เป็นอย่างดี และให้
บังเอิญ ที่วันนี้ ( ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ) คุณชัยสิทธิ์ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการหนึ่งทางสื่อวิทยุด้วย
ประโยคที่ว่า

ขอให้รัฐยุบสภา เพื่อที่ทุกอย่างจะได้ยุติ

และให้บังเอิญที่การเคลื่อนไหวของกลุ่มแกนนำมวลชน เร่งเร้าปลุกระดมกำลังมวลชนอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่
กลางเดือนมกราคม ๒๕๕๓

และให้บังเอิญอีกเช่นกัน กับข่าวคราวการโอนเงินจำนวนมหาศาลทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ

จะโดยบังเอิญหรือไม่ มิอาจทราบได้กับข่าวคราวการสุ่มฝึกซ้อมของกลุ่มมวลชนอีกกลุ่มในบริเวณตะเข็บ
ชายแดน

สอดคล้องกับการประกาศแต่งตั้ง ผู้นำจากแดนไกล แต่กลับถูกฝ่ายเดียวกันเองออกมาปฏิเสธเสียงแข็ง

พร้อม ๆ กับการจัดต้งกลุ่มนักรบแมวดำ (ใช่หรือปล่าว) จากชายที่ไม่ยอมถอดเครื่องแบบ

ทุก ๆ อย่าง.....มันช่างบังเอิญ...บังเอิญเกินไปหรือไม่...
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Sun Feb 14, 2010 3:19 pm

ทักสินาทิบปตัย

นับจากช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๔ ถึง ปี พ.ศ. ๒๕๔๙ อันเป็นปีที่พรรคการเมืองสามารถ
จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองภายหลังการเปลี่ยน
แปลงการปกครองเมื่อปี ๒๔๗๕ ภายใต้การนำของหัวหน้าคณะรัฐบาลที่มีอำนาจ
เกีอบเบ็ดเสร็จ

และด้วยช่องโหว่งของธรรมนูญ ๒๕๔๐ ที่เปิดโอกาสให้นักการเมืองซึ่งส่วนใหญ่ล้วน
เป็นตัวแทนของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ และมีจำนวนไม่น้อยที่ขาดคุณสมบัติ ขาดความรู้
ความสามารถที่จะบริหารประเทศ เข้าสู่ระบบการเมือง และยังสามารถดำรงตำแหน่ง
ทางการเมืองได้อย่างสะดวก โดยผ่านระบบสัดส่วน หรือที่เรียกว่า

ปาร์ตี้ลิสต์

ระบบการเมืองในช่วงดังกล่าว มีลักษณะเด่น คือ นายกเข้มแข็ง ในฐานะที่เป็นรัฐบาล
เสียงข้างมาก ทำให้จัดวางระบบการตัดสินใจทางด้านการเมืองและระบบเศรษฐกิจ
โดยมีนายกเป็นแกนกลางของการตัดสินใจทั้งหมด ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์
การเมืองเช่นกัน

นอกเหนือจากนี้ แทร็กกี้ ในฐานะผู้นำรัฐขณะนั้น จัดวางตำแหน่งนายกเสมือนเป็น
ประธานสูงสุด ที่ทรงอำนาจเบ็ดเสร็จขององค์กรเอกชน อันเป็นต้นกำเนิดของระบบ
การเมืองที่นักวิชาการขนานนามว่า

ทักสินาทิบปตัย

อันมีความหมาย อธิปไตยของทักสิน โดยทักสิน และแน่นอนต้อง เพื่อทักสิน

ผลพวงจากกลุ่มอำนาจใหม่ที่เข้าสู่ระบบการเมือง ส่งผลต่อระบบโครงสร้างทาง
สังคม เศรษฐกิจ และอำนาจทางการเมืองภายในประเทศ ซึ่งสิ่งที่เกิดควบคู่กัน
คือกระแสการทุจริตในรูปแบบใหม่ ที่เรียกว่า โกงเชิงนโยบาย ส่งผลให้เกิดการ
ขัดแย้ง แตกแยก ระหว่างประชาชนอย่างรุนแรง และความขัดแย้งนี้ได้กลายเป็น
กระแสหลักในสังคมการเมือง ดังที่ทราบกันอยู่ในปัจจุบัน

ในช่วงดำรงตำแหน่ง แทร็กกี้มักจะกระทำในสิ่งที่หลาย ๆ คนคาดไม่ถึง อันเป็น
เหตุมาจากวิธีการบริหารที่แทร็กกี้นำมาใช้ ในแบบภาพรวมแล้วแยกต่อจ็กซอว์
ซึ่งวิธีการนี้ แทร็กกี้เคยทำสำเร็จมาแล้วในการทำธุรกิจ ก่อนดำรงตำแหน่งผู้นำรัฐ

วิธีการบริหารแบบรูปภาพรวมแล้วแยกต่อจิ๊กซอว์ เป็นวิธีการบริหารที่คู่แข่งคาด
เดาได้ยาก กว่าจะคลำทางเจอ แทร็กกี้ก็ก้าวไปไกล ล้ำหน้าไปแล้ว

หนึ่งในการกระทำที่ใคร ๆ คิดไม่ถึงและไม่เคยมีรัฐบาลสมัยใดกระทำ คือ
การประกาศทำสงครามกับสิ่งผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็น การทำสงครามกับผู้ค้า
ยาเสพติด ติดตามมาด้วย การทำสงครามกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลในประเทศ
ซึ่งนโยบายประการสงครามทั้ง ๒ ไม่เคยมีรัฐบาลใดทำสำเร็จ ไม่กล้าประกาศ
ที่จะทำให้ทั้งยาเสพติดและผู้มีอิทธิพลหายไปจากประเทศภายในระยะเวลาที่
กำหนดไว้

สาเหตุมาจาก ปัญหายาเสพติดมีปัจจยัยหลายด้าน จนยากที่จะปราบปราม ซึ่ง
ปัจจัยดังกล่าวเกิดจากจิตใจของผู้เสพ ปัจจัยจากอิทธิพลของผู้ค้า และ ปัจจัย
จากหนอนในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงปัจจัยจากต่างประเทศ

ในด้านปัญหาผู้มีอิทธิพล ซึ่งเป็นเสมือนวัฒนธรรมในระบบอุปถัมภ์ ที่เกิดขึ้น
ขนานไปกับความไร้ประสิทธิภาพของหน่วยงาน ที่จะช่วยอำนวยความสะดวก
และคุ้มครองประชาชน จึงต้องหาหนทางด้วยตัวเอง คือการพึ่งพิงผู้มีอิทธิพล
ที่อยู่นอกระบบราชในการดำเนินการให้ จนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังจนยากที่จะ
แก้ไขได้

แต่ในช่วงสมัยแทร็กกี้ครองเมือง ได้ประกาศสงคราม อาสาทำให้สำเร็จ ท่าม
กลางความสงสัย ทั้งในแง่ของนโยบาย ในแง่ของการทำลายฐานเสียงของ
คู่แข่ง การละเมิดสิทธิมนุษยชน ภายใต้คำถามที่ว่า

อะไรเป็นเป้าหมายสูงสุด ในการประกาศสงครามกับยาเสพติดและผุ้มีอิทธิพล

ทั้งนี้สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ คือ การประกาศสงครามดังกล่าว สร้างคะแนนนิยมให้
กับรัฐภายใต้การนำของแทร็กกี้อย่างมาก ถึงแม้ว่าในช่วงการทำสงครามจะเกิด
ความรุนแรง ที่เรียกว่า “ตัดตอน” อยู่ในระดับที่สูงอย่างที่ไม่เดยเกิดขึ้น แต่นั้น
ก็ไม่ได้ทำให้คะแนนนิยมแทร็กกี้ลดลงแต่อย่างใด

ถือเป็นความสำเร็จตามนโยบายประชานิยม ที่ไม่สามารถปฏิเสธได้

ผลที่ได้จากการประกาศสงครามอีกประการหนึ่งคือ

การนำเงินใต้ดินขึ้นมาเป็นรายได้ของรัฐ

ฟังดูแล้ว ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร น่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศมากกว่าเป็น
ผลลบมิใช่หรือ


ผลการวิจัยของศูนย์เศรษฐศาสตร์ จุฬา เคยระบุไว้ว่า

ประเทศมีเงินนอกระบบที่ไหลเวียนอยู่โดยไม่การการควบคุม หรือที่เรียกว่าเงินใต้ดิน
นั้นแหละ ซึ่งเงินจำนวนนี้มีมูลค่าสูงประมาณ ๘ หมื่นล้านบาท


และแน่นอน เมื่อครั้งหาเสียงแทร็กกี้ใช้นโยบายประชานิยมขายฝันให้กับกลุ่ม
มวลชนทั้งระดับล่างและระดับกลาง ไม่ว่าจะเป็น โครงการ ๓๐ บาท กองทุนหมู่
บ้าน เอื้ออาทรสารพัดอย่าง ซึ่งนโยบาลเหล่านี้จำเป็นต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมาก
เพื่อนำไปสนองความต้องการ และในรูปของดอกเบี้ยที่ต้องชำระให้กับ ธกส และ
สหกรณ์แทนมวลชนที่เป็นหนี้อยู่ในขณะนั้นอย่างน้อย ๓ ปี เพื่อรักษานโยบาย
ขายฝันให้คงอยู่ และเพื่อรักษาฐานเสียงของแทร็กกี้และพรรคใหญ่


เมื่อรัฐมีนโยบายที่ต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมาก แน่น่อนย่อมต้องหารายได้เข้ารัฐ
ในจำนวนที่มากพอ ๆ กัน

ยิ่งเป้าหมายที่แทร็กกี้ประกาศ จะเร่งให้เกิดงบประมาณสมดุลโดยเร็ว จึงเป็นอีก
สาเหตุที่แทร็กกี้ต้องเร่งให้เกิดรายได้ที่เป็นรูปเป็นร่างโดยเร็ว


สอดคล้องกับผลการวิจัยของศูนย์เศรษฐศาสตร์ข้างต้น ที่ว่า ประเทศเรามีเงิน
นอกระบบ (เงินใต้ดิน) สูงถึง ๘ หมื่นล้านบาท นั่นก็หมายความว่า

หากสามารถผันเงินจำนวนนี้เขามาเป็นรายได้ของรัฐได้ แทร็กกี้ก็จะมีเม็ดเงินมาก
พอสำหรับนโยบายขายฝัน และอาจจะยังพอเหลือแจกจ่ายกันไปคนละเล็กน้อย
จึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากสงครามที่แทร็กกี้ประกาศ จะมุ่งเน้นเป้าหมายในเรื่อง
ยึดทรัพย์ผู้ค้ายาและผู้มีอิทธิพลเป็นเป้าหมายหลัก


การบริหารในรูปแบบนี้ นอกจากแทร็กกี้จะมีเม็ดเงินมาแจกจ่ายมวลชนที่แทร็กกี้
ขนานนามว่า รากหญ้า ในรูปแบบโครงการต่าง ๆ ที่หลาย ๆ คนไม่คาดคิดแล้ว
แทร็กกี้ยังสามารถสร้างฐานเสียงและขุมกำลังได้อย่างมากมาย

อันเป็นผลมาจากการผันเม็ดเงินใต้ดินขึ้นมาเป็นรายได้ รวมกับเม็ดเงินภาษีที่จัด
เก็บจากประชาชน ทำให้แทร็กกี้มีเม็ดเงินไว้ใช้จ่ายอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ภาย
ใต้คำกล่าวอ้างว่านั้น คือ เม็ดเงินของแทร็กกี้เอง ที่มอบให้มวลชน อย่างไม่อาย
ฟ้าดิน

- เพื่อรักษาฐานเสียงในการเลื้อกตั้ง
- เพื่อแทร็กกี้จะสามารถอยู่บนบัลลังค์แห่งอำนาจ
- เพื่ออำนาจการบริหารแบบเบ็ดเสร็จ
- เพื่อปูทางสู่ผลประโยชน์ส่วนตัวจำนวนมหาศาล
- เพื่อการทรุตจริตเชิงนโยบาย
- เพื่อเปลี่ยนแปลงระบบ...ไปตลอดกาล


แต่...ณ วันนี้ ความละโมบ ทะเยอทะยาน ได้นำพาแทร็กกี้มาถึงจุดสุดท้าย

การดิ้นรนครั้งนี้ของแทร็กกี้ อาจจะนำมาซึ่งความพินาศย่อยยับของมวลชน
อาจจะก่อให้เกิดสงครามระหว่างมวลชนที่สนับสนุนแทร็กกี้ โดยมีเป้าหมาย
ให้แทร็กกี้กลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง ภายใต้แกนนำที่หวังเพียงผลประโยชน์ไม่
สนใจว่าประเทศชาติจะเสียหายเพียงใด

กับประชาชนที่ต้องการเพียงปกป้องประเทศชาติบ้านเมืองและสถาบันสูงสุด
อันเป็นจุดรวมดวงใจของคนทั้งปวงให้รอดพ้นจากการรุกรานของกลุ่มบุคคล
ที่ไม่หวังดี กลุ่มคนที่ใช้สัญชาติไทย แต่จิตใจหาใช่คนไทยไม่...

ไม่ว่าฝ่ายใดจะแพ้ ฝ่ายใดจะชนะ...ผลที่ได้สุดท้ายคือ

ความเสียหายของประทศภายใต้ ความบอบช้ำของทุก ๆ คน....
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby wataumi » Sun Feb 14, 2010 11:01 pm

ดันครับ..13หน้าแล้ว ช่วย... มีความตั้งใจมาก ไม่อยากให้เหนื่อยเปล่า
อย่าดึงฟ้าต่ำ อย่าทำหินแตก อย่าแยกแผ่นดิน
เงินภาษีที่เก็บจากประชาชน ต้องเป็นประโยชน์กลับคืนสู่ประชาชนทั้งหมด
User avatar
wataumi
 
Posts: 221
Joined: Sun Feb 07, 2010 1:38 am

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Fri Feb 19, 2010 6:17 pm

ละเมิดสิทธิมนุษยชน

การโฟนอินในแต่ละครั้ง แทร็กกี้มักจะกล่าวอ้างว่า ตนเป็นสัญญลักษณ์ของนักประชาธิปไตย
หรือ การต่อสู้ของมวลชนแทร็กกี้ เป็นการต่อสู้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยในฉบับแม้วกลับคืนสู่
อ้อมกอดของเหล่ามวลชน ฟังแล้วก็ให้นึกย้อนกลับไปในช่วงที่แทร็กกี้ยังรั้งตำแหน่งหัวหน้า
คณะบริหารบ้านเมือง โดยเฉพาะเหตุการณ์ในช่วงปี ๒๕๔๕ – ๒๕๔๖

ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แทร็กกี้และคณะ กล่าวอ้างว่าประเทศเราได้รอดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจตั้งแต่
๒๕๔๐ มาแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าประชาชนจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นตามไปด้วย หรือ
จะเป็นช่วงที่เรามีนายกร่ำรวยที่สุดในภูมิภาค ก็ไม่ได้หมายความว่าประเทศเราจะมีการพัฒนา
อย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรม รวมไปถึง
ด้านสิทธิมนุษยชน

ในช่วงเวลาดังกล่าว ภายใต้การบริหารบ้านเมืองของรัฐแทร็กกี้ นอกจากโดดเด่นด้วยนโยบาย
ขายผันแล้ว ยังมีประเด็นในด้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่น่าสนใจอีกหลายกรณี ซึ่งส่วนใหญ่
มักส่งผลกระทบโดยตรงกับกลุ่มคนยากจนและบุคคลด้อยโอกาสที่ไร้อำนาจการต่อรอง อันเนื่อง
จากรัฐและเอกชนบางกลุ่มเคยชินกับการใช้อำนาจในการกระทำใด ๆ ที่ส่งผลต่อการละเมิด
สิทธิมนุษยชน ที่ได้กำหนดไว้ในปฎิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ดังนี้

viewtopic.php?f=2&t=13262&p=295059#p295059

และตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ ซึ่งบัญญัติสิทธิของบุคคลไว้ในหลายมาตรา ดังตัวอย่าง

viewtopic.php?f=2&t=13262&p=295059#p295059

ในช่วงเวลาที่แทร็กกี้ครองอำนาจบริหารบ้านเมือง รัฐภายใต้การนำของแทร๊กกี้ ได้กระทำการ
อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ ๆ ซึ่งสรุปพอสังเขป ดังนี้

- โครงการท่อก๊าซและโรงแยกก๊าซไทย-มาเลฯ
- โครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก บ้านกรูด
- โครงการเขื่อนปากมูล
- ประเด็นความขัดแย้งที่ดินภาคเหนือ
- พระราชบัญญัติ แร่ และ เหมืองแร่โปแตส อุดร
- ประเด็น พิษสารตะกั่ว ห้วยคลิตี้ล่าง
- การแทรกแซง ข่มขู่ คุกคาม เสรีภาพสื่อมวลชน


รายละเอียดในแต่ละประเด็นดังกล่าวข้างต้น จะได้นำเสนอให้ทุก ๆ ท่านได้วิเคราะห์และ
พิจารณาเป็นหัวข้อต่อ ๆ ไป เพื่อเปรียบเทียบถึงการบริหารบ้านเมืองภายใต้การนำของ
แทร็กกี้ ผู้ประกาศตนเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ตามกรอบรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ กับ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ว่าแท้จริงแล้ว นักประชาธิปไตยท่านนี้ มีความเป็นประชาธิป
ไตยหรือ เป็นนักละเมิดสิทธิมนุษยชนตัวยงกันแน่...
Last edited by bird on Fri Feb 19, 2010 6:50 pm, edited 2 times in total.
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Fri Feb 19, 2010 6:39 pm

ปฎิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน

- ด้วยเหตุที่การยอมรับศักศรีประจำตัว และสิทธิที่เสมอกันไม่อาจโอนแก่กันได้ของสมาชิกทั้ง
ปวงแห่งครอบครัวมนุษย์ เป็นรากฐานของเสรีภาพ ความยุติธรรมและสันติภาพ

- ด้วยเหตุที่การเฉยเมยและดูหมิ่นเหยียดหยามสิทธิมนุษย์ด้วยกันเอง ได้ก่อให้เกิดการกระทำ
อันโหดร้ายป่าเถื่อนทารุณ กระทบกระเทือนมโนธรรมของมนุษยชาติอย่างรุนแรง โดยเหตุที่
ได้มีการประกาศปณิธานสูงสุดของสามัญชนว่า ถึงวาระแห่งโลกแล้วที่นมุษย์จะมีเสรีภาพใน
การพูด ในความเชื่อถือ และทั้งมีเสรีภาพจากความกลัวและความต้องการ

- ด้วยเหตุที่เป็นสิ่งจำเป็นที่สิทธิมนุษยชนควร ได้รับการคุ้มครองโดยหลัก นิติธรรม ถ้าไม่
ต้องการให้มนุษย์ถูกบีบบังคับ ให้หาทางออกโดยการกบฎต่อทรราชย์และการกดขี่อันเป็นที่
พึ่งสุดท้าย

- ด้วยเหตุที่เป็นสิงจำเป็นที่จะส่งเสริมการพัฒนาความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างชาติต่างๆ

- ด้วยเหตุที่บรรดาประชาชนแห่งสหประชาชาติได้ยืนยันไว้ในกฎบัตร ถึงความเชื่อมั่นในสิทธิ
มนุษยชนขั้นพื้นฐาน ในศักดิ์ศรีและคุณค่าของตัวบุคคล และความเสมอกันแห่งสิทธิทั้งชายหญิง
และได้ตัดสินใจที่จะส่งเสริมความก้าวหน้า ทางสังคมตลอดจนมาตฐานแห่งชีวิตให้ดีขึ้น และมี
เสรีภาพมากขึ้น

- ด้วยเหตุที่รัฐสมาชิกได้ปกฏิญาณที่จะให้ได้มา โดยการร่วมมือกับสหประชาชาติ ซึ่งการ
ส่งเสริม การเคารพ และการถือปฎิบัติโดยสากลต่อสิทธิมนุษยชน และเสรีภาพขั้นพื้นฐาน

- ด้วยเหตุที่ความเข้าใจตรงกันในเรื่องสิทธิและเสรีภาพ มีความสำคัญยิ่ง เพื่อให้คำปฎิญาณนี้
เกิดสัมฤทธิ์ผลอย่างเต็มเปี่ยม

ดังนั้น ณ บัดนี้ สมัชชา จึงขอประกาศให้....

ปฏิญญาสากลว่าด้วยเรื่องสิทธิมนุษยชนนี้ เป็นมาตราฐานร่วมกันแห่งความสำเร็จ สำหรับ
ประชาชนทั้งหลายและประชาชาติทั้งปวง ด้วยจุดประสงค์ที่จะให้ปัจเจกบุคคลทุกผู้ทุกนาม
และองค์กรของสังคมทุกหน่วย โดยการรำลึกเสมอถึงปฏิญญานี้ พยายามสั่งสอน และให้
การศึกษาเพื่อส่งเสริม การเคารพต่อสิทธิและเสรีภาพเหล่านี้ ด้วยมาตรการที่เจริญก้างไป
ข้างหน้า ทั้งในและระหว่างประเทศ เพื่อให้ได้มาซึ่งการยอมรับและถือปฎิบัติต่อสิทธิเหล่านั้น
อย่างเป็นสากลและได้ผล ทั้งในหมู่ประชาชนของรัฐสมาชิกเอง และในหมู่ของประชาชน
แห่งดินแดน ที่อยู่ภายใต้ดุลอาณาของรัฐสมาชิกดังกล่าว.

ข้อ 1 มนุษยทั้งหลายทั้งหลายเกิดมามีอิสระเสรี เท่าเทียมกันทั้งศักดิ์ศรีและสิทธิ ทุกคนได้รับ
การประสิทธิ์ประสาทเหตุผลและมโนธรรม และควรปฎิบัติต่อกันอย่างฉันพี่น้อง

ข้อ 2 บุคคลชอบที่จะมี สิทธิและเสรีภาพตามที่ระบุไว้ในปฏิญญานี้ ทั้งนี้โดยไม่มีการจำแนก
ความแตกต่างในเรื่องใดๆ เช่น เชื้อชาติ สีผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความเห็นทางการ
เมือง หรือทางอื่นใด ชาติหรือสังคมอันเป็นที่มาเดิม ทรัพย์สิน กำเนิด หรือสถานะอื่นใด
นอกจาก นี้การจำแนกข้อแตกต่าง โดยอาศัยมูลฐานแห่งสถานะทางการเมือง ทางดุลอาณา
หรือทางเรื่องระหว่างประเทศของประเทศ หรือดินแดนซึ่งบุคคลสังกัดจะทำมิได้ ทั้งนี้ไม่ว่า
ดินแดนดังกล่าวจะเป็นเอกราช อยู่ในความพิทักษ์ มิได้ปกครองตนเอง หรืออยู่ภายใต้
การจำกัดแห่งอธิปไตยอื่นใด

ข้อ 3 บุคคลมีสิทธิในการดำเนินชีวิต ในเสรีธรรมและในความมั่นคงแห่งร่างกาย

ข้อ 4 บุคคลใดจะถูกบังคับให้เป็นทาส หรืออยู่ในภาระจำยอมใดๆมิได้ การเป็นทาสและการ
ค้าทาสจะมีไม้ได้ทุกรูปแบบ

ข้อ 5 บุคคลใดจะถูกทรมานหรือได้รับการปฎิบัติ หรือลงทัณฑ์ซึ่งทารุณโหด ไร้มนุษยธรรม
หรือเหยียดหยามเกียรติมิได้

ข้อ 6 ทุกๆคนมีสิทธิที่จะได้รับ การยอมรับว่าเป็นบุคคลในกฎหมาย ไม่ว่า ณ ที่ใดๆ

ข้อ 7 ทุกๆ คน ต่างเสมอกันในกฎหมายและชอบที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่า
เทียมกัน โดยปราศจากการเลือกปฎิบัติใดๆ ทุกคนชอบที่จะได้รับการคุ้มครองอย่างเสมอ
หน้าจากการเลือกปฎิบัติใดๆ อันเป็นการล่วงละเมิดปฏิญญานี้ และต่อการยุยงส่งเสริมให้
เกิดการเลือกปฎิบัติเช่นนั้น

ข้อ 8 บุคคล มีสิทธิที่จะได้รับการเยียวยาอย่างได้ผล โดยศาลแห่งชาติซึ่งมีอำนาจเนื่องจาก
การกระทำใดๆ อันละเมิดต่อสิทธิขั้นมูลฐาน ซึ่งตนได้รับจากรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมาย

ข้อ 9 บุคคลใดจะถูกจับ กักขัง หรือเนรเทศโดยพลการมิได้

ข้อ 10 บุคคล ชอบที่จะเท่าเทียมกันอย่างบริบูรณ์ ในอันที่จะได้รับการพิจารณาอย่างเป็นธรรม
และเปิดเผย โดยศาลที่เป็นอิสระและ ไร้อคติ ในการวินิจฉัยชี้ขาดสิทธิและหน้าที่ ตลอด
จนข้อที่ตนถูกกล่าวหาใดๆ ทางอาญา

ข้อ 11 บุคคลที่ถูกกล่าวหาด้วยความผิดทางอาญา มีสิทธิ์ที่จะได้รับการสันนิฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์
จนกว่าจะจะมีการพิสูจน์ว่า มีความผิดตามกฎหมาย ในการพิจารณาโดยเปิดเผย ณ ที่
ซึ่งตนได้รับหลักประกันทั้งหมดที่จำเป็นในการต่อสู้คดี บุคคลใดจะถูกถือว่ามีความผิดอันมี
โทษทางอาญาใดๆ ด้วยเหตุ ที่ตนได้กระทำหรือละเว้นการกระทำใดๆ ซึ่งกฎหมาย
ของประเทศหรือกฎหมายระหว่างประเทศ ในขณะที่ได้กระทำนั้นมิได้ถูกระบุว่ามีความผิด
ทางอาญามิได้ และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นหนักกว่าโทษที่ใช้อยู่ในขณะที่การกระทำความ
ผิดทางอาญานั้นเกิดขึ้นมิได้

ข้อ 12 การเข้าไปสอดแทรกโดยพลการในกิจ ส่วนตัว ครอบครัว เคหะสถาน การส่งข่าวสาร
ตลอดจนการโจมตีต่อเกียรติยศและ ชื่อเสียงของบุคคลนั้นจะทำมิได้ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้รับ
การคุ้มครองตามกฎหมายจากการสอดแทรก และการโจมตีดังกล่าว

ข้อ 13 บุคคลมีสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายและในถิ่นที่อยู่ภายในขอบเขตดินแดนของ
แต่ละรัฐ บุคคลมีสิทธิที่จะเดินทางออกนอกประเทศใดๆ รวมทั้งของตนเอง และมีสิทธิที่จะกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอน

ข้อ 14 บุคคลมีสิทธิที่จะแสวงหาและพักพิงในประเทศอื่นๆ เพื่อลี้ภัยจากการถูกกดขี่ข่มเหงสิทธินี้
จะถูกกล่าวอ้างมิได้ในกรณีการฟ้องคดี ซึ่งโดยจากความจริงเกิดจากความผิดที่ไม่ใช่เรื่อง
ทางการเมือง หรือจากการกระทำที่ขัดต่อความมุ่งประสงค์และหลักการของสหประชาชาติ

ข้อ 15 บุคลลมีสิทธิในการถือสัญชาต การถอนสัญชาติโดยพลการ หรือปฎิเสธสิทธิที่จะเปลี่ยน
สัญชาติ ของบุคคลใดนั้น จะกระทำมิได้

ข้อ 16 ชาย-หญิง เมื่อเจริญวัยบริบรูณ์แล้ว มีสิทธิที่จะสมรสและสร้างครอบครัว โดยไม่มีการ
จำกัดใดๆเนื่องจาก เชื้อชาติ สัญชาติ หรือศาสนา บุคคล ชอบที่จะมีสิทธิเท่าเทียมกันใน
เรื่องการสมรส ในระหว่างการสมรส และในการขาดจากการสมรส การสมรสจะกระทำได้
โดยการยินยอมอย่างเสรีและเต็มใจ ของคู่ที่ตั้งใจจะกระทำการสมรส

ครอบครัวคือ กลุ่มซึ่งเป็นหน่วยทางธรรมชาติและพื้นฐานทางสังคม และชอบที่จะได้รับความ
คุ้มครองโดยสังคมและรัฐ

ข้อ 17 บุคคลมีสิทธิในการเป็นเจ้าของทรัพย์สินโดยลำพังตนเอง และโดยการร่วมกับผู้อื่น
การยึดเอาทรัพย์สินของบุคคลใดไปเสียโดยพลการจะกระทำมิได้

ข้อ 18 บุคคล มีเสรีภาพทางความคิด มโนธรรม และศาสนา สิทธินี้รวมถึงเสรีภาพที่จะเปลี่ยน
ศาสนา หรือความเชื่อ และเสรีภาพที่จะแสดงให้ศาสนาหรือความเชื่อประจักษ์ในรูปแบบ
การสั่งสอน การปฎิบัติกิจ การเคารพสักการะบูชา สวดมนต์ และพิธีกรรม ไม่ว่าจะโดย
ลำพังตนเอง หรือร่วมกับผู้อื่นในประชาคม ในที่สาธารณะหรือในที่ส่วนตัว

ข้อ 19 บุคคลมีสิทธิและเสรีภาพ ในความเห็น และการแสดงออก สิทธินี้รวมถึงเสรีภาพที่จะ
ยึดมั่น ในความคิดเห็นโดยปราศจากการสอดแทรก และที่จะแสวงหารับ ตลอดจนการ
แจ้งข่าว รวมทั้งความคิดเห็นโดยผ่านสื่อใดๆ โดยมิต้องคำนึงถึงเขตแดน

ข้อ 20 บุคคลมีสิทธิและเสรีภาพในการชุมนุม และสมาคมโดยสงบ การบังคับให้บุคคลเป็นเข้า
เป็นสมาชิกของสมาคมจะกระทำมิได้

ข้อ 21 บุคคลมีสิทธิที่จะเข้าร่วมในรัฐบาลของตนไม่ว่าจะโดยหรือผู้แทนที่ผ่านการเลือกอย่างเสรี
บุคคลมีสิทธิที่จะเข้าถึงการบริการสาธารณะในประเทศของตน เจตจำนงของประชาชนจะเป็น
ฐานอำนาจของรัฐบาล เจตจำนงนี้จะแสดงออกโดยการเลือกตั้ง เป็นครั้งเป็นคราวอย่างแท้จริง
โดยการให้สิทธิออกเสียงอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมและโดยการลงคะแนนลับ หรือโดยวิธีการลง
คะแนนอย่างเสรี

ข้อ 22 ในฐานะสมาชิกของสังคม ด้วยความเพียรพยายามของชาติตลอดจนความร่วมมือ
ระหว่างประเทศ และโดยสอดคล้องกับการจัดระเบียบและทรัพยากรของแต่ละรัฐบุคคลมีสิทธิ
ในความ มั่นคงทางสังคม และชอบที่จะได้รับผลแห่งสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม
ซึ่งจำเป็นต่อศักดิ์ศรีและการพัฒนาบุคลิกภาพ อย่างเสรีของตน

ข้อ 23 บุคคลมีสิทธิที่จะทำงาน และเลือกงานอย่างเสรี และมีสภาวะการทำงานที่ยุติธรรมและ
พอใจ ที่จะได้รับการคุ้มครองจากการว่างงาน
- บุคคลมีสิทธิที่จะรับค่าตอบแทนเท่ากัน สำหรับการทำงานที่เท่ากัน โดยไม่มีการเลือกปฎิบัติใดๆ
- บุคคลที่ทำงานมีสิทธิในรายได้ซึ่งยุติธรรม และเอื้อประโยชน์เฟื่อเป็นประกันสำหรับตนเองและ
ครอบครัวให้การดำรงค์มีด่าควรแก่สักดิ์ศรี ของมนุษย์ และถ้าจำเป็นก็ชอบที่จะได้รับการคุ้ม
ครองทางสังคมอื่นๆ เพิ่มเติม
- บุคคลมีสิทธิที่จะก่อตั้งและเข้าร่วมสหภาพแรงงาน เพื่อคุ้มครองผลประดยชน์ของตน

ข้อ 24 บุคคลมีสิทธิในการพักผ่อนและเวลาว่าง รวมทั้งการจำกัดเวลาทำงานที่ชอบด้วยเหตุผล
และมีวันหยุดเป็นครั้งคราวที่ได้รับค่าตอบแทน

ข้อ 25 บุคคล มีสิทธิในมาตราฐานการครองชีพที่เพียงพอสำหรับ
สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี สำหรับตนเองครอบครัว รวมทั้งอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย การ
รักษาพยาบาลและบริการทางสังคมที่จำเป็น และสิทธิในความมั่นคงในกรณีย์ว่างงาน เจ็บป่วย
ทุพพลภาพ เป็นหม้าย วัยชรา หรือการขาดปัจจัยในการเลี้ยงชีพ อื่นใดในพฤติการณ์อัน
เกิดจากที่ตนควบคุมได้ มารดาและบุตรชอบที่จะได้รับการดูและความช่วยเหลือเป็นพิเศษ เด็ก
ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นบุตรในหรือนอกสมรส ย่อมได้รับการคุ้มครอง ทางสังคมเช่นเดียวกัน

ข้อ 26 บุคคลมีสิทธิในการศึกษา การศึกษาจะเป็นสิ่งที่ให้ประโยชน์โดยไม่คิดมูลค่า อย่างน้อย
ที่สุดในขั้นประถมศึกษษ และขั้นพื้นฐาน ชั้นประถมศึกษาให้เป็นการศึกษาภาคบังคับ
ขั้นเทคนิคและประกอบอาชีพเป็นการศึกษาที่ต้องจัดให้มีโดยทั่วๆไป ขั้นสูงสุดเป็นขั้นที่จะ
เปิดให้ทุกคนเท่ากันตามความสามารถ

การศึกษา จะมุ่งไปทางการพัฒนาบุคลิกภาพของมนุษย์อย่างเต็มที่ เพื่อเสริมพลังการเคารพ
สิทธิมนุษยชน และเสรีภาพขั้นพื้นฐานให้แข็งแกร่ง และมุ่งเสริมความเข้าใจ ขันติและมิตร
ภาพระหว่างประชาชาติ กลุ่มเชื้อชาติและศาสนา และจะมุ่งขยายกิจกรรมของสหประชาชาติ
เพื่อธำรงสันติภาพ

ผู้ปกครองมีสิทธิก่อนผู้อื่นที่จะเลือกชนิดของการศึกษา สำหรับบุตรหลานของตน

ข้อ 27 บุคคล มีสิทธิที่จะเข้าร่วมการใช้ชีวิตทางวัฒนธรรมในประชาคมออย่างเสรี ที่จะพึงพอ
ใจในศิลปะและมีส่วนในความคืบหน้า และผลประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์
- บุคคล มีสิทธิในการได้รับการคุ้มครองประโยชน์ทางด้านศีลธรรม และทางวัตถุอันเป็นผล
ได้จากการประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์ วรรณกรรม และศิลปธที่ตนเป็นเจ้าของ

ข้อ 28 บุคคลชอบที่จะได้รับ ประโยชน์จากระเบียบสังคมและระหว่างประเทศ อันจะอำนวยให้
การใช้สิทธิและเสรีภาพบรรดาที่ได้ระบุไว้ใน ปฏิญญานี้ทำได้อย่างเต็มที่

ข้อ 29 บุคคลมีหน้าที่ต่อประชาคมอันเป็นที่เดียวซึ่งบุคลิกภาพของตนจะพัฒนาได้อย่างเสรีเต็ม
ความสามารถในการใช้สิทธิและเสรีภาพบุคคลต้องอยู่ภาพใต้เพียงเช่นที่จำกัดโดยกฎหมายเฉพาะ
เพื่อความมุ่งประสงค์ ใหเได้มาซึ่งการยอมรับ และเคารพในสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น เพื่อ
ให้สอดคล้องกับข้อกำหนดขอลศีลธรรม ความสงบเรียบร้อยของประชาชน และสวัสดิการโดย
ทั่วๆไป ในสังคมประชาธิปไตย สิทธิและเสรีภาพเหล่านี้ มิว่าด้วยกรณีใด จะใช้ขัดกับความ
มุ่งประสงค์และหลักการ ของสหประชาชาติไม่ได้

ข้อ 30 ข้อความต่างๆตามปฏิญญานี้ ไม่เปิดช่องที่จะแปลความได้ว่า ให้สิทธิใดๆแก่รัฐ กลุ่มชน
หรือบุคคลใดๆ ที่จะประกอบกิจกรรม หรือกระทำการใดๆ อันมุ่งต่อการทำลายสิทธิและเสรี
ภาพใดๆ ที่ได้ระบุไว้ในบทบัญญัติฉบับนี้.
Last edited by bird on Fri Feb 19, 2010 6:51 pm, edited 1 time in total.
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Fri Feb 19, 2010 6:49 pm

รธน ๒๕๔๐ ว่าด้วยสิทธิมนุษยชน

มาตรา ๔๖
บุคคลซึ่งรวมกันเป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมย่อมมีสิทธิอนุรักษ์หรือฟื้นฟู
จารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะหรือวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่นและของชาติ และมี
ส่วนร่วมในการจัดการ การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล และยั่งยืน ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ

มาตรา ๕๖
สิทธิของบุคคลที่จะมีส่วนร่วมกับรัฐและชุมชนในการบำรุงรักษา และการได้ประโยชน์จาก
ทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ และในการคุ้มครอง

การดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม
จะกระทำมิได้ เว้นแต่จะได้ศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมรวมทั้งได้ให้
องค์การอิสระซึ่งประกอบด้วยผู้แทนองค์การเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมและผู้แทนสถาบันอุดมศึกษา
ที่จัดการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม ให้ความเห็นประกอบก่อนมีการดำเนินการดังกล่าว

ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ดำรงชีพอยู่ได้อย่าง
ปกติและต่อเนื่อง ในสิ่งแวดล้อมที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพหรือ
คุณภาพชีวิตของตน ย่อมได้รับความคุ้มครอง ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ

สิทธิของบุคคลที่จะฟ้องหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่น
หรือองค์กรอื่นของรัฐ เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายตามวรรคหนึ่งและ
วรรคสอง ย่อมได้รับความคุ้มครอง

มาตรา ๕๘
บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับทราบข้อมูลหรือข่าวสาร สาธารณะในครอบครองของหน่วยราชการ
หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น เว้นแต่การเปิดเผยข้อมูลนั้น จะ
กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยของประชาชน หรือส่วนได้เสียอันพึงได้รับ
ความคุ้มครองของบุคคลอื่น ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ

มาตรา ๕๙
บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับข้อมูล คำชี้แจง และเหตุผล จากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ
รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น ก่อนการอนุญาตหรือการดำเนินการโครงการ หรือ
กิจกรรมใดที่อาจมีผลกระทบต่อคุณ-ภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิต หรือ
ส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดที่เกี่ยวกับตนหรือชุมชนท้องถิ่น และมีสิทธิแสดงความคิดเห็นของตน
ในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ ตามกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่กฎหมายบัญญัติ

มาตรา ๖๐
บุคคลย่อมมีสิทธิมีส่วนร่วมในกระบวนการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในการปฏิบัติราช
การทางปกครองอันมีผลหรืออาจมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของตน ทั้งนี้ ตามที่กฎหมาย
บัญญัติ

มาตรา ๖๑
บุคคลย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องราวร้องทุกข์และได้รับแจ้งผลการพิจารณาภายในเวลาอันสมควร
ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ

มาตรา ๖๒
สิทธิของบุคคลที่จะฟ้องหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจราชการส่วนท้องถิ่น
หรือองค์กรอื่นของรัฐ ที่เป็นนิติบุคคล ให้รับผิดเนื่องจากการกระทำ หรือการละเว้นการ
กระทำของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยงานนั้น ย่อมได้รับความคุ้มครอง
ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ

มาตรา ๖๓
บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการ
ปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ มิได้

ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทำการตามวรรคหนึ่ง ผู้รู้เห็นการกระทำดังกล่าว
ย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ
วินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบกระเทือนการดำเนินคดีอาญา
ต่อผู้กระทำการดังกล่าว

ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้พรรคการเมืองใดเลิกกระทำการตามวรรคสอง
ศาลรัฐธรรมนูญอาจสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าวได้
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby DumpDump » Tue Feb 23, 2010 2:44 pm

เข้ามาอ่านมหากาพย์ต่อครับ :D
เหมือนเป็นกระทู้ปลอดฝุ่นเลยแฮะ ไม่มีใครมาดริฟย์มั่งเลย :lol:
อยากรู้ว่าประชาธิปไตยไทยเป็นแบบไหน ให้ดูการใช้รถใช้ถนน
รู้จักกันแต่สิทธิ แต่ไม่เคยรู้จักหน้าที่ ในการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่วางไว้

แป๊ะ ออกไป๊
DumpDump
 
Posts: 1669
Joined: Fri Jan 23, 2009 1:45 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby หัวโบราณ » Wed Mar 03, 2010 3:49 pm

ดันหน่อย ตกลงไปไกลมาก

เป็นกำลังใจในการหาข้อมูลนะคับ
การเมือง(ของทักกี้) คือ อยู่บนความทะเยอทะยานในการอยู่เติบ กินเติบ หรือ
ความมัวเมาในความสุขทางเนื้อหนังโดยปราศจากการนึกถึงโลกหน้า พระเป็นเจ้า
และความตาย และมีอำนาจเป็นความถูกต้อง และประโยชน์ของตน เป็นความยุติธรรม..
(อ. พุทธทาส สวนโมกข์)
User avatar
หัวโบราณ
 
Posts: 788
Joined: Tue Aug 25, 2009 3:18 pm
Location: CA, USA

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby Familie » Fri Mar 05, 2010 5:28 am

เข้ามาให้กำลังใจกับหญิงไทยสมัยใหม่
ที่มีความสามารถและแกร่งกล้า
ผมเลยมีความรู้สึกว่าเป็นคนโบราณไปเลย
ดีใจที่เมืองไทยยังมีคนที่มีความคิดดีๆและรักชาติแบบนี้อีกเยอะ
แผ่นดินไทยจะได้สูงขึ้น
ขอคารวะมาด้วยใจ
ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ คือสมบัตืของลูกหลานไทย
User avatar
Familie
 
Posts: 55
Joined: Tue Aug 11, 2009 1:24 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Fri Mar 05, 2010 9:25 pm

DumpDump wrote:เข้ามาอ่านมหากาพย์ต่อครับ :D
เหมือนเป็นกระทู้ปลอดฝุ่นเลยแฮะ ไม่มีใครมาดริฟย์มั่งเลย :lol:


หัวโบราณ wrote:ดันหน่อย ตกลงไปไกลมาก

เป็นกำลังใจในการหาข้อมูลนะคับ


Familie wrote:เข้ามาให้กำลังใจกับหญิงไทยสมัยใหม่
ที่มีความสามารถและแกร่งกล้า
ผมเลยมีความรู้สึกว่าเป็นคนโบราณไปเลย
ดีใจที่เมืองไทยยังมีคนที่มีความคิดดีๆและรักชาติแบบนี้อีกเยอะ
แผ่นดินไทยจะได้สูงขึ้น
ขอคารวะมาด้วยใจ


ขอบคุณทุกท่านค่ะ ที่ยังคงแวะเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
พอดีช่วงนี้ งานยุ่งนิดหน่อยค่ะ เลยไม่ค่อยมีเวลามาอัพเดทข้อมูลให้

สำหรับข้อมูลที่จะนำเสนอ เค้าลางแห่งความเลวร้าย ที่เตรียมข้อมูลไว้
เพื่อนำเสนอแด่ทุกท่าน...

เคยเป็นข่าวใหญ่ที่เกิดขั้นเมื่อ ๒๑ มีนาคม ๒๕๔๙ ลองเดากันดูน่ะค่ะ

ข่าวนี้เกี่ยวข้องกับ ไทยรักไทย...และเป็นจุดที่ทำให้แม้วและครอบครัว
ต้องประสบชะตากรรมอย่างคาดไม่ถึง อดใจรอพรุ่งนี้ ช่วงสาย ๆ น่ะค่ะ
ขออนุญาติ รวบรวมและเรียบเรียงก่อนค่ะ
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Mon Mar 08, 2010 4:28 pm

แม้วกับไสยศาสตร์

จากทิ่วิเคราะห์สถานการณ์กรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุม โดยเฉพาะแกนนำได้พูดใส่ร้ายป้ายสี
ท่านนายกแม้ว ทำให้ประเทศและชาวพุทธโดยรวมเสียหายต่อชาวโลก โดยเฉพาะการ
ผูกโยงทำให้คนต่างชาติมองท่านนายก ว่าลุ่มหลงคลั่งไคล้ในเรื่องไสยศาสตร์มีการโยง
ว่านายกไปหาหมอเขมรในการปฏิบัติภารกิจที่ภาคอีสาน กล่าวหารัฐบาลว่าอยู่เบื้องหลัง
การทำลายศาลท้าวมหาพรหม ถือเป็นการใส่ร้ายที่น่ารังเกียจและน่าละอาย เพราะนายก
เป็นคนเชื่อเรื่องวิทยาศาสตร์


คือคำกล่าวของอดีต สส บัญชีรายชื่อของพรรคทอรอทอ ที่แก้ต่างให้กับนายใหญ่ เมื่อ
วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๔๙

แม้ว กับ ไสยศาสตร์ เป็นเรื่องจริงหรือเท็จ.....

วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๔๗ กุนซือด้านโหราศาสตร์ ได้แนะนำให้แม้วจัดงาน “ศาสนสัม
พันธ์สมานฉันท์แห่งชาติ” อันเนื่องมาจากช่วงรัฐบาลแม้ว ๑ เกิดหตุร้ายกับประเทศหลาย
เรื่อง เช่น การแพร่ระบาดของโรคซาร์ส และ ไข้หวัดนก สึนามิ รวมไปถึงเหตุการณ์ความ
ไม่สงบในภายใต้ ผู้บริสุทธิ์ถูกฆ่ารายวัน เมื่อที่ปรึกษาด้านโหราศาสตร์แนะนำให้จัดงาน
เพื่อแก้เคล์ด แน่นอน งานดังกล่าวก็บังเกิดขึ้นตามคำบัญชา

ช่วงวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ถึง ๗ ธันวาคม ๒๕๔๘ แม้วเลี่ยงตอบคำถามของสื่อมวลชน
ภายใต้คำกล่าวอ้างที่ว่า “ดาวพุธ” ในช่วงดังกล่าวเป็นช่วงที่ดาวพุธของแม้วถอยหลัง
มากที่สุด ตามคำทำนายของหมอดูที่ว่า เป็นช่วงที่ราหูเสวยอายุจะมีแต่เรื่องวุ่นวาย การ
งดพูดเป็นทางออกที่ดีที่สุด จึงเกิดปรากฎการณ์ “ดาวพุธ “ ขึ้นในบัดดล

วันที่ ๑๖ – ๒๐ มกราคม ๒๕๔๙ แม้วเดินทางเพื่อไปขจัดปัดเป่าสารพัดปัญหาที่รุมเร้า
รัฐบาล กับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เจ้าพ่อ มเหศักดิ์สิตาราม ศาลปู่ตา อ.อาจสามารถ โดยใช้เงินงบ
ประมาณแผ่นดิน อ้างว่าไปแก้ปัญหาความยากจน...

วันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๔๙ แม้วได้ยกมือไหว้ ๓ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใน ๓ ทิศ ได้แก่ วัดพระแก้ว
ศาลหลักเมือง และพระบรมมหาราชวัง เพื่อสาบานว่าสิ่งที่พูดทั้งหมดเป็นความจริง เมื่อ
ครั้งขึ้นเวทีปราศรัยปิดใจครั้งแรกหลังยุบสภาที่ท้องสนามหลวง....

วันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๔๙ สรงน้ำพระเขี้ยวแก้วและสักการะรอยพระพุทธบาท ที่วัดพระพุทธ
บาทราชวรมหาวิหาร พร้อมปิดทอง อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี

วันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๔๙ สักการะอนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช โดยคล้องพวง
มาลาที่ข้อพระกรและพระแสงของ้าว อ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี

วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๔๙ สักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว ที่ลานหน้าศาลากลาง ปราจีนบุรี ก่อนจะเดินทางไปสักการะอนุสาวรีย์พระเจ้า
ตากสิน ที่ค่ายตากสิน และปิดท้ายที่การสักการะศาลเจ้าหลักเมืองที่ค่ายเนินวง อ.เมือง
จ.จันทบุรี ซึ่งเป็นค่ายที่พระเจ้าตากสินไปทุบข้าวหม้อแกง

วันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๔๙ ร่วมชมพิธีบวงสรวงศาลปะกำตามความเชื่อชาวกุย ซึ่งเป็นชาว
พื้นเมืองเขมร ที่ จ.บุรีรัมย์

วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๔๙ สักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ ร.1 อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ก่อน
เดินทางไปยังวัดสุทธจินดา อ.เมือง จ.นครราชสีมา เพื่อกราบนมัสการหลวงพ่อคูณปริ
สุทฺโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่

วันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๔๙ ตรวจเยี่ยมวัดบวรนิเวศวิหาร พร้อมสักการะพระพุทธชินสีห์
พระสุวรรณเขต และสักการะเจดีย์พระประธานที่ประดิษฐานของพระนิรันตราย พระบรม
สารีริกธาตุ และพระไพรีพินาศ

วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๔๙ สักการะพระธาตุดอยตุง อ.แม่สาย จ.เชียงราย

วันที่ ๒๓-๒๔ มีนาคม ๒๕๔๙ ถือเลขดี เวลา ๐๙ง๐๙ น. ขบวนรถเคลื่อนออกจากบ้าน
ซอยจรัญสนิทวงศ์ 69 ขึ้นสะพานกรุงธนฯ วิ่งตรงข้ามแยกวัดราชผาติการาม เข้าสู่ถนน
ราชวิถี เลี้ยวขวา เข้าถนนพระราม 5 ผ่านแยกวัดเบญจมบพิตรฯ วิ่งตรงไปเลี้ยวขวาเข้า
ถนนพิษณุโลก ก่อนเลี้ยวซ้ายเข้าทำเนียบรัฐบาลเมื่อ เวลา ๐๙.๑๙ น.โดยก่อนขบวน
ของนายกฯจะเดินทางถึง เจ้าหน้าที่ได้ทำการเก็บป้ายผ้าสีขาวที่กลุ่มพลังสีขาว เขียน
ข้อความให้กำลังใจนายกฯล้อมรอบรั้วทำเนียบฯออกทั้งหมด พร้อมๆกับเต็นท์สีขาวที่
กางอยู่หน้าตึกไทยคู่ฟ้า

ในขณะเดียวกัน ณ ที่ทำการพรรคทอรอทอ ถนนเพชรบุรี คุณหญิงได้นำทีมรัฐมนตรี
และผู้บริหารพรรค สักการะศาลพระภูมิเจ้าที่ เพื่อปรับฮวงจุ้ยแก้เคล็ด...

จากพฤติกรรมเพียงบางส่วน คงพอจะวิเคราะห์ได้ว่า แท้จริงแล้วแม้วเป็นคนลุ่มหลงและ
คลั่งไคล้ในเรื่องไสยศาสตร์ หรือไม่ คำกล่าวแก้ต่างของอดีต สส จริงเท็จประการใด....
คำตอบคงเกิดขึ้นในใจของทุกท่านแล้ว

แล้วข้อมูลข้างต้นเกี่ยงข้องอย่างไรกับ เค้าลางความเลวร้าย....

Image

ย้อนกลับไปในค่ำคืนของวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๔๙ หากในค่ำคืนนั้นท่านใดนอนดึกสัก
หน่อย คงได้รับทราบข่าวที่สร้างความตระหนก และโกรธแค้นให้กับผู้ที่เคารพนับถือต่อ
องค์ท่านท้าวมหาพรหม บริเวณสี่แยกเอราวัณอย่างแน่นอน

Image

หนุ่มสติไม่ดี บุกเข้าไปทุบองค์ท้าวมหาพรหม สี่แยกราชประสงค์

" หนุ่มสติไม่ดี คลั่งพกค้อนออกจากบ้านกลางดึก บุกเข้าไปทุบองค์ท้าวมหาพรหม สี่
แยกราชประสงค์ แตกละเอียดไม่มีชิ้นดี ชาวบ้านเห็นเข้า แค้นจัด กรูเข้าจับรุมประชา
ทัณฑ์อ่วม ก่อนหนีโซเซออกไปตายหน้าโรงแรมเอราวัณ พ่อเผยป่วยเป็นโรคประสาท
มาร่วม ๖ ปี รักษามาแล้ว หลายที่ก็ไม่ดีขึ้น แต่เป็นคนดีพยายามช่วยเหลือครอบครัวมา
ตลอด ส่วนตำรวจทำงานไวจัดตามรวบมือยำได้แล้วสองคน

เมื่อเวลา ๐๑.๐๐ น.วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๔๙ พ.ต.ต.ธนิ สารวัตรเวร สน.ลุมพินี (ยศ
และตำแหน่งในขณะนั้น) รับแจ้งเหตุ มีชายถูกรุมทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิต หลังจากบุก
เข้าไปทำลายศาลท้าวมหาพรหม ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ถนนเพลินจิต จึงราย
งานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ แล้วรุดไปตรวจสอบยังที่เกิดเหตุ..”

ข้างต้นคือหัวข้อข่าวและเนื้อหาข่าวบางส่วนที่สื่อหลาย ๆ แขนงพร้อมใจกันนำเสนอเป็น
ข่าวใหญ่ในเช้าตรู่ของวันนั้น

เกริ่นมาถึงตรงนี้ หลายท่านคงพอจะจำข่าวนี้ได้เป็นอย่างดี ส่วนรายละเอียดของข่าว
ดังกล่าว ขออนุญาติที่จะไม่นำเสนอ เพราะจุดโฟกัสไม่ได้อยู่ในรายละเอียดของเนื้อ
หาเท่าใดนัก

จุดสังเกตอยู่ที่ พิธีตั้งศาลพระพรหมที่พรรคทอรอทอต่างหาก

จากคำบอกเล่าของบุคคลหนึ่งซึ่งร่วมอยู่ในพีธีดังกล่าว

" ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่ได้อยู่ร่วมในพิธีตั้งศาลพระพรหมที่ทำการพรรค เมื่อวานนี้ ( ๒๓
มีค. ๔๙) ข้าพเจ้าสังเกตุเห็น ตอนที่หลวงปู่ทำพิธีโรยข้าวตอกดอกไม้อยู่นั้น เจ้าหน้าที่
คนหนึ่งที่คอยดูแล ช่วยเหลือในพิธี ได้นำวัตถุสิ่งหนึ่งมีสีทอง ซึ่งดูคล้ายเศษแตกจาก
องค์พระพรหมที่โดนคนบ้าทุบแตกไปนั้น ซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่มากเท่าก้อนหินพอกำได้
ใส่วางลงไปที่ฐานองค์พระพรหมด้วย

ซึ่งขณะนั้น ช่วงที่เจ้าหน้าที่คนนั้น นำวัตถุสีทองสิ่งนั้นใส่ลงไป มีนักข่าวและผู้มีร่วมงาน
หลายคนมองเห็นเช่นกัน แต่ไม่ทราบว่ามันคืออะไร เพียงแต่รู้ว่าเป็นวัตถุเศษแตกสีทอง
จึงอยากบอก ต่อ ๆ กันให้รู้ว่าการที่มีคนบ้าไปทุบองค์พระพรหมแตกนั้น ทำไมมันช่าง
บังเอิญซะขนาดนั้น ข้าพเจ้าตอนนี้เริ่มสงสัย แล้วหละ

สรุปแล้ว วัตถุสีทองคล้ายเศษแตก ชิ้นเล็ก ๆ ที่เจ้าหน้าที่พรรคฯ นำใส่ที่ฐานองค์พระ
พรหม นั้นคืออะไร ทำไมต้องเป็นเศษแตกสีทอง ทำไมมันช่างประจวบเหมาะกับองค์
พระพรหมที่เอราวัณ โดนคนทุกแตกด้วย ทำไม....


กับอีกหนึ่งข้อสังเกตุ

๑) ทุบแขนทั้งสองแขนออกมาแล้วยังคงสภาพเป็นแขนสมบูรณ์ได้อย่างชัดเจน

๒) ทุบศีรษะโดยการทุบที่บริเวณลำคอไม่ใช่ทุบที่ใบหน้าหรือท้ายทอยหรือข้างหูเพราะ
ดูภาพจากข่าวพระเศียรยังคงสภาพดีมากเหมือนกับว่าไม่มีการตกลงมาที่พื้นเลยด้วยซ้ำ
ไป
Image


๓) ทุบลำตัวก็เป็นการทุบตรงส่านล่างใกล้กับก้นกบ ซึ่งถ้าเป็นการทุบจากคนบ้าจะทุบมั่ว
ซึ่งไม่น่าจะเหลือส่วนลำตัวได้ชัดเจนขนาดนี้

๔) ทำไมต้องมีการทุบแยบชิ้นส่วน เป็นแขน เป็นเศียร เป็นลำตัวด้วย ซึ่งมีผู้รู้หลายคน
บอกว่าตำแหน่งจุดต่างๆที่ทุบคล้ายกันมากกับวิชาไสยดำการสะกดหรือตรึงวิญญาณไม่
ให้ไปไหน

๕) หลังจากวันอังคารซึ่งเป็นวันที่ท้าวมหาพรหมถูกทุบ วันพุธบ่ายสี่โมงกว่าแม้วก็มาทำ
พิธีกราบไหว้พระพรหม ซึ่งตรงกับวันและเวลาที่เรียกว่าเป็นช่วงเวลา
มหาฤกษ์ พอดี
และเช้าวันพฤหัสบดีก็มีการทำพิธีตั้งศาลท้าวมหาพรหมที่หน้าทำการพรรค

๖) แล้วทำไมกับการที่คนไปทุบ ถึงกับทำให้คนอีกสามหรือสี่คนต้องมาฆ่าคนที่ทุบด้วย
ทำไมไม่จับตัวส่งตำรวจ


นั่นก็เป็นเพียงข้อสังเกตุจากคนช่างสงสัยเท่านั้น

และด้วยความบังเอิญ ข่าวใหญ่ของวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๔๙

" ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคทอรอทอว่า ภายหลังจากพรรคได้ให้คนงานมาตั้งศาลพระ
พรหมแห่งใหม่ บริเวณทางออกหน้าที่ทำการพรรค ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ วานนี้ (๒๒ มี.ค.
๔๙) จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่า รักษาการนายกรัฐมนตรี พยายามแก้
เคล็ดทางการเมืองจากมรสุมที่รุมเร้าอย่างหนัก

วันนี้ ( ๒๓ มี.ค. ๔๙ ) เวลา ๑๐.๓๐ น. คุณหญิงได้ทำพิธีบวงสรวงตั้งศาลพระพรหม
โดยมีแกนนำพรรคเข้าร่วมคับคั่ง
"

ช่างประจวบเหมาะ ช่างบังเอิญ เกินไปหรือไม่

- วันอังคารที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๔๙ เวลา ๐๑.๐๐ น. คนบ้าบุกทำลายท้าวมหาพรหม
- วันพุธที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๔๙ คนงานตั้งศาลพระพรหมหน้าพรรคใหม่
- วันพฤหัสที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๔๙ คุณหญิงทำพิธีบวงสรวงศาลใหม่


ทุกอย่างประจวบเหมาะ ลงตัวกันอย่างบังเอิญโดยแท้

นอกจากนี้เหตุการณ์แปลก ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา ไม่ว่าจะเป็น

- เหตุการณ์ คนร้ายลักปี่พระอภัยมณี ซึ่งเมื่อเป่าแล้วทุกคนก็จะหลับไหลตามนิทาน
- การบุกเข้าทุบทำลายปราสาทพนมรุ้ง ซึ่งมองกันว่าเป็นการทำพิธีกรรมอะไรบ้างอย่าง

ศาลท้าวมหาพรหมแห่งนี้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเคารพและ
ศรัทธาเป็นจำนวนมาก โดยในแต่ละวันจะมีผู้คนแวะเวียนไปกราบไหว้บูชาตลอดทั้งวัน
เพื่อให้ช่วยประทานพร หรือขอให้กระทำกระทำการใดๆ สำเร็จตามเป้าหมาย จากนั้นก็
จะมาแก้สินบนตามที่ได้อธิษฐานไว้

ถึงกระนั้นก็ยังมีกลุ่มคนบังอาจ เหิมเกริม บุกทำลาย เพื่อหวังผลเป็นการส่วนตัว จะโดย
เจตนาเพื่อแก้เคล็ด เพื่อสะกด หรือจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม


ผลจากการกระทำในครั้งนั้น ส่งผลให้ต้องรับกรรมอยู่ในเวลานี้....
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Thu Mar 18, 2010 12:22 pm

สุดท้าย....แม้ว เดินทางสู่จุดที่ตกต่ำ จะด้วยความตั้งใจหรือไม่
ไม่อาจทราบได้

แต่จากการกระทำของ 3 เกลอ และเหล่าแกนนำทั้งหลาย

การนำเลือดจากเหล่าบรรดาผุ้สนับสนุน ไปเทราดตามจุดต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็น หน้าทำเนียบ หน้าพระแม่ธรณี หน้าบ้านพักย่านสุขุมวิท31
รวมไปถึงการกระทำของพระครู เจ้าอาวาสวัดดัง เชียงใหม่

ซึ่งการกระทำดังกล่าว ได้เผยธาตุแท้ของเหล่าบรรดาแกนนำ
กลุ่มผู้สนับสนุน ซึ่งมาโดยสมัครใจหรือไม่ก็ตามที รวมไปถึง
นายใหญ่ ที่วีดีโอลิงค์ ขอบคุณและชื่นชมการกระทำดังกล่าว

ณ วันนี้ ทั่วโลกได้ทราบถึงการกระทำอันน่ารังเกียจ ถ่อย
ของแกนนำ ผู้สนับสนุน และแน่นอนย่อมจะมองไปถึงนายใหญ่
อดีตนายก พร้อมกับคำถามที่ว่า...

นี่หรือ...คือการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
นี่หรือ...คือการต่อสู้อย่างสันติ
นี่หรือ...คือการกระทำของอดีตนายกคนเก่ง


ณ วันนี้...แม้ว ไม่มีที่ให้ยืนแล้ว...ในประเทศที่เป็นอารยะ
เพราะการกระทำ บูชายัญเลือด สังเวยเลือด อันเป็นการ
กระทำทางไสยศาสตร์ มนต์ดำ เป็นการกระทำของคน
ที่ยังไม่เจริญเท่านั้น

สถานที่เดียวที่ แม้ว...จะใช้ซุกหัวได้ คงเป็น ป่าดงดิบ
ของเผ่าใด เผ่าหนึ่ง ที่ยังคงมีพฤติกรรม สังเวยเลือด.....
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby vigz » Thu Mar 25, 2010 5:01 pm

ดันๆๆๆ กระทู้ ตกไป ดันๆๆ ขึ้นมาใหม่ๆ :lol: :lol: :lol:
พวกเราสีเดียวกันครับ ศีรษะนี้มอบให้พระเจ้าแผ่นดิน
Only love is Real
User avatar
vigz
 
Posts: 120
Joined: Sat Jan 23, 2010 3:48 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby select » Thu Mar 25, 2010 6:30 pm

ATOM wrote:โทษทีท่าน Bird ขอใช้บัตร สอใส่เกือก...
พระท่านว่า..
เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา
จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่
เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู
ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย
จะหาคน มีดี แต่ส่วนเดียว
อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย
เหมือนค้นหา หนวดเต่า ตายเปล่าเอย
ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง..

พอให้อภัยได้

ถ้า..
เขามีจิตสำนึกที่จะกลับเนื้อกลับตัวอย่างแท้จริง

ถ้าเลวแล้ว ยังคิดว่าจะเลลวต่อไปเรื่อยๆ แล้วชักจูงให้คนอื่นมาทำเลวแล้ว คงให้ไม่ได้หรอกครับ
User avatar
select
 
Posts: 478
Joined: Tue Apr 07, 2009 12:38 am

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby select » Thu Mar 25, 2010 6:33 pm

select wrote:
ATOM wrote:โทษทีท่าน Bird ขอใช้บัตร สอใส่เกือก...
พระท่านว่า..
เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา
จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่
เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู
ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย
จะหาคน มีดี แต่ส่วนเดียว
อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย
เหมือนค้นหา หนวดเต่า ตายเปล่าเอย
ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง..

พอให้อภัยได้

ถ้า..
เขามีจิตสำนึกที่จะกลับเนื้อกลับตัวอย่างแท้จริง

ถ้าเลวแล้ว ยังคิดว่าจะเลลวต่อไปเรื่อยๆ แล้วชักจูงให้คนอื่นมาทำเลวแล้ว คงให้ไม่ได้หรอกครับ

ลืมบอกตอมว่า พระท่านสอนให้คิดตาม และดูอย่างอื่นประกอบร่วมด้วย ใช่ว่าใครทำดี บังหน้าความผิดที่ก่อไว้ แล้วให้มองแต่ความดีที่เขาทำก็คงไม่ถูกต้องทั้งหมดเสียทีเดียว

คงไม่ต้องพูดมากนะ โตๆ กันแล้วคงเข้าใจอะไรบ้าง แยกแยะให้เป็นจะได้สอนลูก สอนหลานเป็นคนดีของบ้านเมือง
User avatar
select
 
Posts: 478
Joined: Tue Apr 07, 2009 12:38 am

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby bird » Sat Mar 27, 2010 11:35 pm

ชื่อไทย สัญชาติใดหนอ

มอนเตเนโกร “ หรือ “ สาธารณรัฐมอนเตเนโกร “ ประเทศเล็กๆ ที่แยกออก
มาจาก “ เซอร์เบีย “ จากการลงประชามติเมื่อ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๔๙
ได้เอกราชเมื่อ ๓ มิถุนายน ๒๕๔๙ โดยการรับรองจากนานาประเทศ เป็น
สมาชิกองค์การสหประชาชาติลำดับที่ ๑๙๒ มีระบบการเมืองแบบรัฐสภา มีทั้งประธานาธิบดีที่มาจาก
การเลือกตั้ง และ นายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้ง เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการบริหาร ซึ่งนายกรัฐมน
ตรีคนปัจจุบันชื่อ “ มิโล คุกาโนวิก

มอนเตเนโกร ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจาก “ เซอร์เบีย “ ภายใต้ข้อกล่าวหาที่ว่า

“ อนุญาตให้ผู้หลบหนีความผิดจากประเทศอื่น ๆ เข้ามาถือสัญชาติ “

อันเนื่องมาจาก เหล่าอาญชกรที่หลบหนีกฎหมายชอบที่จะใช้สัญชาติ “ มอนเตเนกริน “ นั้นอาจมา
สาเหตุมาจาก บทบัญญัติกฎหมาย ซึ่งเป็นแบบเดียวกับอดีตรัฐต่าง ๆ ของ “ยูโกสลาเวีย “ ที่ว่า

“ ห้ามไม่ให้ส่งตัวคนในสัญชาติของตนเองไปดำเนินคดีในประเทศอื่น “

แน่นอน...แม้ว...นักโทษหนีคดีอาญาแผ่นดิน ต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งสํญชาติ “ มอนเต “
หนึ่งในวิถีดังกล่าวคือ เข้าประมูลซื้อเกาะ “ สเวตติ นิโคลา “ นอกชายฝั่งเมืองบุดวา ริมทะเล
เอเดรียติก ที่มีพื้นที่ประมาณ ๓๗,๐๐๐ ตรม.

ในมูลค่า ๒๘ ล้านยูโร หรือประมาณ ๑,๒๘๘ ล้านบาท ซึ่งมีขึ้นในวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๓
เพื่อให้ได้มาซึ่งสัญชาติ และพลเมือง ของประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้


กรรมสิทธิ์ในเกาะดังกล่าว ปัจจุบันเป็นของ นายสแตนโก ซูโบทิช นักธุรกิจชาวเซอร์เบีย
ซื้อไว้เมื่อปี ๒๕๕๐ ด้วยราคา ๙๓๔ ล้านบาท โดยมีแผนพัฒนาให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว
แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะ

ทางการ เซอร์เบีย และ อิตาลี ระบุให้ นายสแตนโก ซูโบทิช เป็นบุคคลที่ต้องการตัวในฐานะ
นักค้าของเถื่อนและหนีภาษีตัวเอ้ สร้างความเสียหายให้แก่ เซอร์เบีย และ อิตาลี


อังกฤษ ประกาศถอนวีซ่านักโทษ แม้ว อย่างเป็นทางการ
เยอรมนี มีคำสั่งห้ามนักโทษ แม้ว เข้าประเทศ...
อเมริกา ห้ามนักโทษ แม้ว เข้าประเทศนานแล้ว
ยุโรป...ส่วนใหญ่ก็ประกาศ ห้าม นักโทษ แม้ว เข้าประเทศเช่นเดียวกัน


ยกเว้นประเทศ มอนเต ประเทศเดียวเท่านั้น ที่ยินยอมให้ แม้วถือพาสปอร์ต อาจจะเป็นเพราะ

แม้ว...มีความสำคัญพิเศษต่อรัฐ ในเชิง เศรษฐกิจ และผลประโยชน์อื่น

แน่นอน...การที่อาญชกรได้รับพาสปอร์ต ได้รับสัญชาติ ต้องมีคำอธิบายที่ชัดเจน
จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ทันที่มีรายงานข่าวยื่นยันว่า แม้วได้รับพาสปอร์ตของมอนเต
ผู้นำเอ็นจีโอของมอนเตเนโกร วันยา คาโลวิช ได้ยื่นประท้วงต่อองค์กรเพื่อความ
โปร่งใสระหว่างประเทศ เพื่อเรียกร้องให้ รมต มหาดไทยของมอนเต ชี้แจงว่า

เพราะเหตุใด แม้ว ถึงมีคุณสมบัติเหมาะสมที่ได้รับพาสปอร์ต ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ถือ
สัญชาติพลเรือน...


เมื่อเป็นเช่นนี้...แม้ว จึงได้รับสัญชาติมอนเต ตามมาภายในเวลาไม่ช้าไม่นาน
ซึ่งเป็นที่มาของคำถามจากพรรคฝ่ายค้าน มอนเต ที่ว่า

เพราะเหตุใด แม้วถึงได้สัญชาติพลเมือง ในขณะที่คนหลายพันคนที่อาศัยอยู่ที่นี่
มาหลายสิบปี ไม่เคยเดินทางออกนอกมอนเต กลับไม่ได้รับสัญชาติเป็นพลเมือง


คำถามที่สำคัญของหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน มอนเต คือ...

“ ย่อหน้าใดของประมวลกฎหมายพลเมือง ที่ทำให้อดีตนายกแม้ว ได้รับสถานะ
พลเมืองของมอนเต เพราะเป็นที่รู้กันว่า บุคคลที่ถูกตัดสินจำคุก ๑ ปี หรือมากกว่า
ไม่สามารถที่จะได้รับสถานะเป็นพลเมืองมอนเต ได้ “


และยังนำมาซึ่งข้อท้วงติงจากอียู ต่อมอนเต ที่กำลังอยู่ระหว่างการขอเข้าเป็นสมาชิก
ของอียู

อาจจะไม่ได้รับการพิจารณาให้เข้าเป็นสมาชิก ถ้ายังสนับสนุน นายกแม้ว

แม้ว...ยังไม่หยุดก่อความวุ่นวาย ปั่นป่วน นอกจากจะให้ร้าย ทำลายประเทศบ้าน
เกิดตัวเอง อย่างไร้สติ ยั้งคิดแล้ว ในขณะนี้ แม้ว กำลังนำความวุ่นวาย ปั่นป่วน
ไปมอบให้กับประเทศอื่น ๆ อย่างไม่สนใจใยดีอะไรทั้งสิ้น

คิดแต่เพียงว่า...สนองความต้องการของต้วเอง เท่านั้นเป็นพอ

จากพฤติกรรมข้างต้น คงพอจะเป็นข้อมูลให้ทุกท่านได้วิเคราะห์ว่า

แม้ว ไม่เคยเคารพกฎหมาย และ รัฐธรรมนูญที่ใช้ปกครอง ของประเทศใด ๆ ทั้งสิ้น
แม้วประพฤติตนเป็น บุคคลเหนือกฎหมายในทุกกรณี


จริงเท็จประการใด ทุกท่านคงมีคำตอบอยู่แล้ว...
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว

Postby pooyong » Sun Mar 28, 2010 2:18 pm

จริง
การรับใช้แผ่นดิน คือความเบิกบาน
User avatar
pooyong
 
Posts: 1496
Joined: Mon Oct 19, 2009 9:55 am

PreviousNext

Return to ห้องสมุด



cron